ชิงกวานอ๋องหยิบปิ่นปักผมทำจากหยกเนื้อดี ที่สั่งทำเป็นพิเศษเพื่อจะมอบให้กับเสี่ยวเจิ้งในวันสำคัญเลี้ยงต้อนรับนางในตำแหน่งบุตรีบุญธรรม แม้การให้ปิ่นปักผมจะดูไม่เหมาะนักทว่าเขากลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้ว มือบางซีดขาวเหมือนหญิงสาว เปิดกล่องไม้ตั้งใจวางปิ่นปักผมไว้ที่เดิม แต่
“เคร้งงงง”
ปิ่นปักผมร่วงลงพื้น กระทบกับพื้นห้องแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ชิงกวานอ๋องสีหน้าเจ็บซ้ำ ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันให้กับตัวเอง
“สวรรค์เพียงแค่ส่งเจ้ามา พานพบหาได้ส่งเจ้ามาเคียงข้างข้า หยวนกัง หยวนกัง”หยวนกังวิ่งเข้ามาในห้องจ้องมองพื้นที่มีเศษปิ่นปักผมแตกกระจาย ไม่แม้แต่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากก้มลงเก็บไว้ในกล่องไม้ ตามเดิม
“ข้าน้อยจะให้ช่างทำขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิม”
“ไม่ต้องแล้ว เดินทางไปที่สำนักกงซุน บอกกล่าวกับอาจารย์ให้มารักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ข้าเบื่อที่จะต้องนั่งแบบนี้เต็มทีแล้ว”
“ท่านอ๋องแต่นั่นย่อมอันตรายยิ่งอาจารย์ของท่านอ๋อง ..มีเพียงวิชาแพทย์เถื่อน จะช่วยท่านอ๋องได้หรือ”
“ข้าไม่อาจรออีกต่อไป ไม่ว่าวิธีไหนก็จะต้องเสี่ยงดูสักครั้ง”
หยวนกังถอนหายใจสีหน้าเศร้าสร้อยก้าวขาออกจากห้องไป
ร่างบางขยับกายลุกจากแท่นนอน อินฉางรั้งเอวบางของหมิงเยว่ไว้แน่น
“ไม่เพียงแต่ลืมรักข้า เจ้า เพียงแค่ให้... ให้เวลากับข้ามากหน่อยเจ้าก็ทำไม่ได้ อินเฉิงไม่ได้รอเจ้า ที่ห้องบรรทมเสียหน่อย”
“เราสองคนก็เพียงแค่ ปรารถนาในสิ่งเดียวกันหาใช่ความรักนิรันดริ์ไม่”
หมิงเยว่เอ่ยปากด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ข้ารักนิรันดิร์ แต่เจ้ากับเห็นความรักของข้าไร้ค่า”
“หมดเวลาของท่านแล้ว ในวังหลวงคนของฝ่าบาทมีไม่น้อยในตำหนักชิงหนิงกงเอง ข้าก็ไม่เคยรู้ว่ามีคนของฝ่าบาทอยู่ด้วยหรือไม่ ท่านไปเสียชินอ๋อง”
ตำหนักฤดูหนาว
“ข้าทำข้าวต้มไก่ฉีกร้อนๆ ต้มไก่จนเปื่อยยุ่ยแล้วฉีกเป็นเส้นบางๆ เจ้ากินมากหน่อยจะได้หายป่วย”
อยากจะถามว่าเขาเป็นฮ่องเต้ทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วยหรือ แต่ในยามนี้ไม่อยากจะมองใบหน้าหล่อเหลาที่ทำสีหน้าระรื่นนั้นด้วยซ้ำไป แม้แต่เสียงยังไม่อยากจะได้ยิน
“คนดี กินเสียหน่อยเจ้ายิ่งกำลังป่วยไข้”
เสี่ยวเจิ้ง เบือนหน้าหนีซุกกายอยู่กับผ้าห่ม
“กินเสียหน่อยข้าป้อน มะข้าเป่าให้แล้วกำลังอุ่นๆ ”
ขยับกายบนแท่นนอน ตักข้าวต้มขึ้นเป่าไล่ลมร้อน แต่เสี่ยวเจิ้งกลับไม่แม้แต่จะหันมอง
“จะโกรธจะเกลียดก็ได้แต่ต้องกินเสียหน่อยตอนนี้เจ้าเป็นสนมข้าแล้วบัญชาของข้าเจ้ากล้าขัดหรือ”
เริ่มหมดความอดทน
“ไม่กินใช่ไหมหากไม่กิน ข้าจะสำเร็จโทษอีกครั้งหลังจากที่คิดว่าจะปล่อยเจ้าไว้จนกว่าจะหายป่วย ขืนยังไม่กินข้าจะปล้ำเจ้าทั้งๆ ที่ป่วยแบบนี้ได้ยินไหมนับหนึ่ง นับสอง…นับ…”
เสี่ยวเจิ้งคว้าถ้วยข้าวต้มตักใส่ปากในทันที ไม่ต้องให้นับถึงสาม อินเฉิงยิ้มหยัน
“ชอบให้ใช้ไม่แข็งก็ไม่บอก ต่อไปอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
อมยิ้มเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเจิ้งกินข้าวต้ม จนหมดถ้วยภายในพริบตา ยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนให้อย่างเบามือ แต่อีกคนกลับเบือนหน้าหนี อินเฉิเอียงคอโน้มตัวลงใช้ปากอุ่น เช็ดริมฝีปากที่เปรอะเปื้อน ไม่สนใจว่าเสี่ยวเจิ้งจะอายจนหน้าแดง หรือดิ้นรนผลักไสเขาเพียงใด
หันไปตักข้าวต้มใส่ปากตัวเองบ้าง หิวจนตาลายกว่าจะได้เสวยเช้าปาไปจนเกือบเที่ยง
“รีบหายได้แล้วเพราะข้าทำเป็นแค่ข้าวต้ม หากว่าเจ้ายังป่วยอยู่แบบนี้เราสองคนคงต้องกินข้าวตัมเสียทุกมื้อ”
เสี่ยวเจิ้งเบือนหน้าหนีซุกตัวนิ่ง ทั้งปวดเมื่อยและเจ็บปวดไปทั้งตัว
แต่อีกคนกลับร่าเริงหน้าระรื่น แววตาสดใสอีกทั้งยังมีแววตาขี้เล่น ไม่เหมือนยามที่พบกันครั้งแรก เสี่ยวเจิ้งหลับตาเสียจะได้ไม่ต้องเห็นในหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้น มีความสุขอะไรหนักหนา หรือว่ามีความสุขที่ได้ครอบครองร่างกายของเสี่ยวเจิ้ง เริ่มคิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่เสียหากยังอยู่ก็จะต้องถูกเขารังแกร่ำไป
“คิดอะไรอยู่”
ยื่นใบหน้าหล่อเหลา หน้าเข้ามาใกล้สุดใกล้
“อย่าบอกนะว่าคิดจะหนีไปจากที่นี่ อย่างที่บอกด้านล่างหุบเขามีพยัคฆ์ร้าย และที่นี่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขามีทางขึ้นลงเพียงทางเดียว เจ้าไม่มีทางหนีไปได้”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
ป้อคุน ตะโกนเข้ามาดังๆ อินเฉิงเปิดประตูออกช้าๆ
“มีอะไรเอะอะโวยวาย”
“ฝ่าบาท…”
ป้อคุนชะโงกหน้าเข้ามามองเสี่ยวเจิ้ง ที่นอนบนแท่นนอนก็เข้าใจหลายๆอย่างได้ในทันทีเผลออมยิ้ม
“พูดได้ ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เหลือบตามองเสี่ยวเจิ้งที่ซุกกายในผ้าห่มบนแท่นนอน
“ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ”
“คนของเราส่งข่าวต่อๆ กันมาว่าฮองเฮาทรงประชวรหนัก”
อินเฉิงขมวดคิ้วเข้าหากันในทันทีสีหน้าเป็นกังวลยิ่งนัก
“ฝะฝ่าบาท จะทำเช่นไร”“ข้าก็คงต้องกลับวังหลวง” ป้อคุน พยักหน้าไปทางร่างเล็กที่ซุกตัวบนแท่นนอนหันหลังไม่สนใจคำพูดของคนทั้งสอง“ทิ้งนางไว้ที่นี่ คอยดูไม่ให้นางหนีไปไม่นานข้าจะกลับมา….”น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ รู้สึกใจหายเหมือนดวงใจหลุดลอยหายไป“ป้อคุนน้อมบัญชาฝ่าบาท”“อย่าให้นางหนีไปแค่นั้นพอ”เสี่ยวเจิ้งยกมือขึ้นอุดหูด้วยคำพูดที่เหมือนเสี่ยวเจิ้งเป็นนักโทษรอการประหาร ยิ่งทำให้รู้สึกว่า อินเฉิงเห็นเสี่ยวเจิ้งเป็นแค่สิ่งของหามีชีวิตจิตไม่“ฝ่าบาทจะออกเดินทางเลยหรือไม่”“คงต้องออกเดินทางในทันทีฮองเฮายามป่วยไข้ต้องมีข้าข้างกายเสมอ ตอนนี้นางคงกำลังรู้สึกน้อยใจที่ข้าทิ้งนางมาแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะข้ามาประพาสป่า ทิ้งนางจึงทำให้นางล้มป่วย”ป้อคุนพยักหน้าขึ้นลง“ป้อคุนจะเตรียมม้า” อินเฉิงพยักหน้าเมื่อป้อคุนประสานมือจากไป อินเฉิงสาวเท้ามายืนที่แท่นนอน ทรุดกายลงเอื้อมมือจับที่ท่อนแขนของเสี่ยวเจิ้งให้หันกลับมาแต่อีกคนกลับแสร้งทำเป็นนอนหลับ“ข้าจะกลับวังหลวง อีกไม่กี่วันจะกลับมา เจ้าอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับ”เสี่ยวเจิ้งผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงส่งภาษามือปล่อยข้าไปเสียรับรองว่าข้าไม่ถือโทษเรื่องที่เก
“ขะขะข้าน้อยพบเด็กหญิงคนนี้เมื่อ15ปีก่อนจำได้แม่นยำเพราะนางกัดข้าน้อยจนเป็นแผลลึกที่แขนข้างซ้าย” เปิดรอยแผลเป็นให้ดู“แล้วนางไปไหนเสีย”“คะคือว่าตอนนั้นข้าน้อยบังเอิญพบนาง เดินอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแคว้นใต้เห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาน่าเอ็นดูคงจะขายได้ราคา จึงได้พยายามจับตัวนาง แต่ทว่าเด็กคนนั้นยอมตายไม่ยอมให้จับ ไม่ว่าข้าน้อยจะตีหรือขู่นางก็หาทางหนี สุดท้ายก็หนีออกจาก..กรงที่ขังแล้วข้าน้อยจับนางตั้งใจจะลงโทษจึงถูกนางกัดเข้าที่แขนอย่างแรงแล้วนางก็หนีไปห่างจากนี่ไปไม่ถึงสิบลี้ เพราะข้าน้อยกำลังจะส่งเด็กๆยังบ้าน ขุนนางในวังหลวงแคว้นเหว่ย”“นางหนีไปคนเดียวหรือ”“ขอรับใต้เท้าข้าน้อยยังแช่งให้นางไปตายเสียเพราะป่าแถบนั้นหมาจิ้งจอกชุกชุมยิ่งนัก”เจียเกอถอนหายใจตวัดกระบี่เก็บเข้าฝัก“เจ้าไปเสีย แล้วจำคำสัญญาไว้คราวหน้าหากข้าผ่านมาทางนี้อีกแล้วยังเห็นเจ้าค้าขายเด็กอีกข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”พ่อค้าทาสร่างท้วมประสานมือ รีบวิ่งหายไปในทันที“องค์หญิงท่านยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ที่นี่มีแต่ป่าเขา”ถอนหายใจยาวเดินไปตามทิศที่ชายร่างท้วมบอกมาจวนอ๋อง“อาจารย์ขาของข้ามีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งไหม”“ท่านอ๋อง เรื่องน
บางอย่างกำลังแล่นเข้ามาในหัว สับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าคือความรู้สึกใดกันแน่“ฝ่าบาท เสด็จเพียงลำพังหรือไร หมิงเยว่ไม่เห็นท่านองครักษ์ป้อคุน”“ข้าเร่งเดินทางจึงให้ ป้อคุนดูแลกระโจมประพาสป่าให้ทหารช่วยเก็บกวาดแล้วจึงค่อยตามมาทีหลัง”“หมิงเยว่ห่วงความปลอดภัย ฝ่าบาทยิ่งนัก เดินทางเพียงลำพัง”“เป็นเพราะฝ่าบาทห่วงฮองเฮาที่ทรงป่วยไข้เป็นประจำจึงเร่งเดินทาง หรือไม่แน่บางทีอาจ มีสิ่งใดที่ให้ป้อคุนดูแลอยู่”อินฉางก้าวขาเข้ามาแบบถือวิสาสะ“อินฉาง เองก็เข้าออกตำหนักชิงหนิงกงดั่งตำหนักตัวเอง”อินฉางหน้าเจื่อนก่อนจะยิ้มมุมปาก“ฝ่าบาทไม่อยู่ ฮองเฮาทรงประชวรเป็นอินฉางที่แวะเวียนเยี่ยมเยือน ฝ่าบาทจะคิดเล็กคิดน้อยทำไมเราสองคนก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ภรรยาของท่านก็เหมือน… ก็เป็นพี่สะใภ้ข้า”หมิงเยว่ขยับกายด้วยความรู้สึกอึดอัดอินเฉิงยิ้ม“ที่ผ่านมา เรื่องราวในราชสำนักมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่”เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย“ ฝ่าบาทไม่อยู่ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ท่านอาชิงกวานอ๋องเดินทางเข้ามาในวังหลวงทั้งๆ ที่ต้องใช้รถเข็นให้คนเข็นมาดังคนพิการ น่าขายหน้ายิ่งนัก บาดเจ็บดังคนพิการเพียงนั้นควรจะอยู่ที่จวนอ๋อง ยังกล้าเข้ามาให้
วังหลวงอู่อินเฉิง นั่งนิ่งในอ่างไม้ หลับตาลงช้าๆ แต่กลับมีใบหน้างดงามของเสี่ยวเจิ้งลอยมาตรงหน้า ใบหน้าโศกสลดกับกลิ่นกายหอมยวนใจ ดวงตาหวาดกลัวและอ้อนวอน ถอนหายใจยาว“ข้า เผลอใจคิดถึงเจ้าได้อย่างไรกัน”พยายามเข้าข้างตัวเองว่าเพราะรสสวาทที่หอมหวานและใหม่จึงทำให้ครุ่นคิดถึงแต่เสี่ยวเจิ้ง หาใช่ความรู้สึกลึกซึ้งในใจ“ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้า ข้าไม่มีทางคิดถึงเจ้าาาาาา”ส่งเสียงดังลั่นห้อง ขันทีทรุดกายลงตรงหน้าด้วยความตกใจกลัว“ฝะ ฝะฝ่าบาทฮองเฮาทรงรอเสวย ให้ข้าน้อยมาทูลเชิญฝ่าบาท” อู่อินเฉิงเหมือนเพิ่งจะได้สติ โบกมือให้ขันทีลุกขึ้น ก่อนจะสวมอาภรณ์ถอนหายใจยาว ครุ่นคิดเพียงแค่เขาจะทำอย่างไรจึงจะเลิกคิดถึงเสี่ยวเจิ้งตำหนักเมฆาของชินอ๋อง“หากท่านช่วยข้าเรื่องนี้ ตำแหน่งผู้นำแปดกองธงข้าจะมอบมันให้ท่านเองกับมือ”“ชินอ๋องแต่ แต่ข้าน้อยเกรงว่า”“ป้อคุนไม่อยู่ที่นี่ ชิงกวานอ๋องเองก็กำลังบาดเจ็บเจ้ายังเกรงกลัวสิ่งใดอีก ลำพัง ฝ่าบาทจะกล้าต่อกรกับเราหรือ” หัวหน้าองครักษ์มีสีหน้าครุ่นคิด“แล้วท่านจะให้ข้า ลงมือเมื่อไหร่กัน”“อีกสองวัน”แววตาตื่นเต้น ตกใจไม่คิดว่าทุกอย่างจะรวดเร็วเพี
หมิงเยว่ยิ้มอ่อนโยน ทว่าคอยสังเกตทั้งท่าทีและน้ำเสียงของอินเฉิงตลอดเวลา"ฝ่าบาทควรจะไปอย่างยิ่ง ไปแสดงความห่วงใยที่บุตรีบุญธรรมของท่านอ๋องหายไปเผื่อว่าท่านอ๋องมีสิ่งใดให้ช่วย""นั่นมันเรื่องของท่านอา บุตรีบุญธรรมคนนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับมา หากนางจะหายสาบสูญไปก็ยิ่งดีกับข้า เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าควรจะจัดการด้วยไม้แข็ง""บางทีคิดว่าควรใช้ แต่ไม่ควรใช้กับคนบางคน"เหลือบตามอง อู่อินเฉิง"นั่นสินะ ข้าควรจะไปจวนอ๋อง เจ้ากินเสีย ข้าไปที่จวนท่านอาดูสักคราบางทีอาจได้ความกระจ่างในหลายเรื่องที่ข้ากำลังสับสน"หมิงเยว่ยิ้ม อู่อินเฉิงก้าวขามีหัวหน้าองครักษ์ปาถั่วตามไปติดๆชินอ๋องก้าวเข้ามาทันทีเมื่ออินเฉิงจากไป"เห็นไหมสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้า ความลับไม่มีในโลก อินเฉิงคิดว่าตัวเองฉลาดลักพาตัวบุตรีบุญธรรมท่านอาไปกกกอด จะว่าไปอินเฉิงที่ทำเป็นว่ารักและสงสารฮองเฮาเพียงคนเดียวกลับแอบมีหญิงอื่นไว้บำเรอในตำหนักดูหนาว เฮ้อข้าละอิจฉาเสียจริง นั่นเพราะเขาเป็นฮ่องเต้อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลา ทำเรื่องเช่นนี้คราวหลังก็จะอ้างว่าฮองเฮาให้ความสุขไม่ได้ ทั้งๆที่ฮองเฮาก็หิวกระหายแทบขาดใจ"รั้งร่างบางมากอดซุ
ป้อคุนเดินเลือกผ้าห่มและข้าวของจำเป็น เครื่องเทศสำคัญ และขนมหวานบางชนิด อีกทั้งหยิบชาดีสองสามห่อไว้ในมือ อากาศหนาวดื่มชาร้อนๆ จึงทำให้ร่างกายอบอุ่น คงอีกนานกว่าอู่อินเฉิงจะกลับมา บางทีเสี่ยวเจิ้งอาจผ่อนคลายได้มากกว่านี้ หากว่าไม่ต้องพบกับอู่อินเฉิง แต่จะว่าไปป้อคุนก็ยังอยากให้อู่อินเฉิงดีกับเสี่ยวเจิ้งเสียหน่อย เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นภรรยาปกติแล้วอู่อินเฉิงไม่ใช่คนที่ร้ายกาจอะไร เพียงแต่รักหมิงเยว่มากไปก็เท่านั้น จึงไม่มีสายตาไว้มองหญิงอื่นหอบของพะรุงพะรังบรรทุกบนหลังม้า หันหลังกลับไปยังตำหนักฤดูหนาวยกของลงจากหลังม้า ลำเลียงเข้าไปยังห้แวครัว“ พระสนม พระสนม” เดินหา เสี่ยวเจิ้งจนทั่วแต่ไม่พบป้อคุนเริ่มใจเสีย“พระสนม พระสนม”เสี่ยวเจิ้งหอบลูกหลีมาหอบใหญ่ วางตรงหน้าป้อคุนยิ้มบางๆ ป้อคุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสี่ยวเจิ้งเลือกหยิบลูกหลีลูกใหญ่ที่สุด สวยที่สุดให้ป้อคุน“กิน”ป้อคุนยิ้มแม้ในใจจะรู้สึกสงสารเสี่ยวเจิ้งแต่ก็ทำได้เพียงยิ้ม ทั้งๆที่คิดว่าเสี่ยวเจิ้งจะหนีไปแต่เสี่ยวเจิ้งกลับทำให้เขาวางใจนางก่อนหน้านั้นเสี่ยวเจิ้งตามป้อคุนลงไปด้านล่างหุบเขา ภายในใจครุ่นคิดหากว่าเสี่ยวเจิ้งหนีไปคนที่
แต่ทุกอย่างหาได้เป็นดั่งใจคิด ปาถั่วจี้กระบี่เข้าที่คอหอยของอู่อินเฉิง อินฉางยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ“ท่านพี่ มีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”หมิงเยว่ถลาเข้ามากอดอินเฉิงไว้แน่น“ไหนว่าจะไม่ฆ่า เขา”“นั่นมันแค่คำพูดบนแท่นนอน เจ้าคิดจริงจังเพียงนั้นเชียวหรือ หมิงเยว่ยามที่ข้าอยาก ก็มักจะยอมตกลงง่ายดาย”“อินฉางข้าขอร้อง อย่าสังหารเขา”น้ำตาปริ่มขอบตา อินเฉิงสะบัดตัวไม่ยอมให้หมิงเยว่กอดรัด“เจ้าไปเสียอย่าได้มาตีสองหน้า ในเมื่อใจและกายของเจ้าอยู่กับคนชั่วอินฉาง เป็นข้าที่โง่งมมาตลอด เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีข้าเพียงคนเดียว เป็นข้าที่คิดว่าเจ้ามีเพียงข้าคนเดียวมาตลอด สงสารเห็นใจเจ้า”อินฉางกระชากแขนหมิงเยว่ให้ลุกขึ้นโอบรอบไหล่บาง“บอกฮ่องเต้โง่งมนั่นไปว่าเราสองคนรักกันมาก่อน เป็นเขาที่แย่งเจ้าไปจากข้า แล้วตอนนี้เขายังคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบซ่อนหญิงงามไว้ที่ตำหนักฤดูหนาว เฝ้าพูดให้ตัวเองน่าเห็นใจ รอให้ข้าจัดการกับท่าน ข้าก็จะจับตัวนางมาให้หมิงเยว่ ทรมานให้สาสม”อู่อินเฉิงลุกขึ้นยืน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่อินฉางพูดถึงเสี่ยวเจิ้ง องครักษ์ใช้ทวนในมือกดตัวอินเฉิงให้คุกเข่า“ฆ่าเขาเสีย”“ม่ายยยยยย” อินฉาง
หยวนกัง ควบม้าตามชิงกวานอ๋องพร้อมด้วยร่างโชกเลือดของอู่อินเฉิงบนหลังม้าอีกตัวจงหลินกับมารดา เองก็เร้นกายออกจากจวนอ๋องทหารและองครักษ์นับสิบนับร้อยออกลาดตระเวณ“หยุดดดดดดดด”เสียงเข้มของหัวหน้ากองธงเหลืองขลิบตวาดดังลั่นเมื่อเห็นม้าของชิงกวานอ๋องควบมาด้วยความเร็ว“ฉีป้านคาราวะท่านอ๋อง”“อย่าขวาง หากยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา”“ท่านอ๋องฝ่าบาทอินฉาง ให้คลุมตัวพวกท่านไว้”ชิงกวานอ๋องยิ้มหยัน“ฮะฮะฮ่าาาาฝ่าบาท ใครกันยกตำแหน่งนี้ให้กับเขา ในเมื่อข้าชิงกวานอ๋องยังไม่ได้จับกระบี่”ตะวัดกระบี่จ่อคอหอยของฉีป้าน“ปล่อยพวกเราไปเสีย หากข้ากลับมาอีกครั้งพร้อมกับฝ่าบาท จะละเว้นท่านฉีป้าน”ฉีป้านยืนนิ่งงันไม่กล้าสบตาชิงกวานอ๋อง“เปิดทาง”ตะโกนให้เหล่าทหารกองธงเหลืองขลิบเปิดทางสองข้างทางถูกแหวกเป็นช่องให้ม้าทั้งสามตัววิ่งออกจากด่านกวงเหมิน“ใต้เท้าหากฝ่าบาททราบเรื่องนี้”ฉีป้านยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเงียบ“ อย่าสนใจให้หยุดพูดเรื่องนี้เสีย เห็นไหมว่าอู่อินเฉิงเองยังหายใจอยู่ แล้วอีกอย่างชิงกวานอ๋องก็เลือกข้างแล้ว เรื่องนี้ยังยากที่จะเดาได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ”“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทอาการสาหัส คนของอินฉ
"แต่ฝ่าบาทหมดหนทางแล้วท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไรหยวนกังก็จะพาท่านอ่องหนีออกมาเช่นกันตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้แค่เพียงช่วยให้ฝ่าบาทหนีออกมาก่อน ท่านอ๋องขวางพวกมันไว้เพื่อให้ฝ่าบาทหนีอกมาฝ่าบาทอย่าทำให้ความตั้งใจของท่านอ๋องเสียเปล่า""แต่ท่านอาบาดเจ็บไม่น้อยข้าจะไปช่วยท่านอา เจ้าขลาดเขลาเพียงนั้นเชียวหรือป้อคุน"ป้อคุนทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น"ฝ่าบาท หนีก่อนก่อนเถอะขอรับ ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุดท่านอ๋องทรงเข้าใจข้อนี้ดีจึงพยายามที่จะกันทหารพวกนั้นเพื่อให้ฝ่าบาทหนีไปหากว่าฝ่าบาทยังเป็นว่าสิ่งที่ป้อคุนหยวนกังและท่านอ๋องทำไปทั้งหมดนั้นขลาดเขลาป้อคุนจะขอให้ฝ่าบาททรงสังหารป้อคุนเสียไม่เช่นนั้นป้อคุนก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาท กลับไปที่ด่านปงเปียง"อู่อินเฉิงทรุดกายลงปล่อยกระบี่ลงข้างกาย"ข้าไม่อาจปล่อยท่านอาไว้ที่นั่นป้อคุนเข้าใจไหมท่านอาเป้นเหมือนบิดาเป็นเป็นพี่น้องและเป็นเหมือนคนที่หวังดีกับข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้""ฝ่าบาท ท่านอ๋องจะดีใจหากทว่าฝ่าบาทปลอดภัยและด้วยความภักดีของหยวนกังจะไม่มีทางให้ท่านอ๋องต้องตาย"อู่อินเฉิงพยักหน้า"กันเถอะไปรอที่ด่านชายแดนแคว้นใต้"สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาเราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าไม่อาจดูดายปล่อยให้ท่านอาและพวกเขาต้องเผชิญศึกเพียงลำพัง เช่นนั้นจึงขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่นี่แต่สัญญาว่าหากเราทั้งหมดไม่อาจต้านทัพของอิงฉางได้ข้าจะเร้นกายไปยังที่ปลอดภัยพร้อมกันนั้นท่านอาเองก็สำคัญไม่น้อยการกอบกู้บัลลังก์ของเฉิงอู่ต้องกาศัยท่านอา เช่นนั้นหากเราทั้งหมดไม่อาจต่อกรก็ควรจะหนีไปเสียแต่ในตอนนี้ก็ต้องลองยืนหยัดให้ถึงที่สุดก่อน”ชิงกวานอ๋องถอนหายใจปฏิเสธไม่ได้ว่าที่อินเฉิงพูดมาทุกอย่างล้วนสำคัญเขาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ดีว่าด่านปงเปียงมีกำลังเพียงหยิบมือไม่อาจต่อกรกับทหารของอินฉางฮ่องเต้ได้แม้จะมีฝีมือดีแค่ไหนก้ไม่อาจต่อกรกับทหารจำนวนมากราวกับมดปลวกได้“ฝ่าบาทอย่าลืมคำมั่นนี้หากว่าไม่อาจต่อกรฝ่าบาทจะต้องหนีไปเสียอย่าได้ห่วงใครไม่ว่าจะใครหรือแม้กระทั่งชิงกวานอ๋อง”อู่อิงเฉิงยิ้มน้อยๆ“อิงเฉิงสัญญาจะไม่ทำให้ท่านอาจต้องเป้นกังวล“ดี เช่นนั้นร่วมรบเคียงข้างสร้างขวัญกำลังใจ ป้อคุนหยวนกังอารักขาฝ่าบาทจนถึงที่สุดหากไม่ไหวสิ่งเดียวที่ต้องทำแบบไม่ต้องคิดคือพาฝ่าบาทเร้นกายไปเสียแล้วพบกันที่จุดนัดพบข้ามผ่านด่านชายแดนแคว้นใต้”สี่แรงร่วมใจฟ
“เช่นนั้นหยงเจิ้งกลับไปที่นั่น เสด็จพ่อกับฮองเฮาตั้งใจออกผนวช จึงขาดคนคอยดูแล”“จะดีไหมหากให้ป้อคุนไปคอยดูที่นั่น พร้อมกับหยวนกัง”“ข้าตั้งใจประทานงานแต่งงานให้กับป้อคุนและซือหรูเสียเพราะสองคนรอเวลานี้มานาน”หยงเจิ้งพูดยิ้มๆ“ดีเลย เช่นนั้นส่งข่าวให้เจียเกอช่วยดูแลพวกเขา ระหว่างนี้คนทั้งหมดภักดียิ่งนักไม่มีสิ่งใดให้หนักใจ ฝ่าบาทหยงเจิ้งจึงจะออกผนวชได้อย่างหมดห่วงเสียที”“ที่นี่คงเงียบเหงาหากไม่มีป้อคุนหยวนกังและซือหรู”“ชิงกวานน้อย ขอตามไปที่วังหลวงแคว้นใต้กับท่านอาทั้งสอง ข้าเองก็ไม่อาจขัดเพราะหยวนกังกับป้อคุนดูแลชิงกวานน้อยอีกทั้งยังฝึกปรือวรยุทธ์ให้จนเชี่ยวชาญ”“คงจะต้องคิดถึงทุกคน”อินเฉิงกอดรวบร่างอุ้ยอ้ายไว้ในอ้อมแขน“มีข้าอยู่เจ้าจะไม่ต้องเหงา”“ฝ่าบาทเอาแต่ใจใครกันจะลืมได้ เมื่อคราวอยู่ที่ตำหนักฤดูหนาวก็เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน”“เช่นนั้นอย่างไรเล่าเจ้าจึงตั้งครรภ์ข้าจึงไม่ต้องรอนาน หากไม่ไปที่ตำหนักฤดูหนาวรำลึกความหลังกันเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไร ข้าเองตามใจชิงกวานน้อยที่อยากจะมีน้อง”หยงเจิ้งยิ้มเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อ อู่อินเฉิงกอดไว้แน่น“ข้ารักเจ้ามีเจ้าคนเดียวตลอดไปข้าสัญญาและจะไม
อินเฉิงลุกขึ้นพิงแท่นบรรทมเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งสองตารอยยิ้มเป็นสุข ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหยงเจิ้งที่หลับใหลไปกับอ้อมกอดของเขา ความสุขที่มาถึงยามที่ผ่านความทุกข์ระทม จึงนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริงสายลมพัดผ่าน ชิงกวานอ๋องวิ่งหลบซุกตัวยังโขดหิน หยวนกังเกาหัวแกรกๆ ป้อคุนวิ่งตาม หันหน้าหันหลังไม่พบ อ๋องน้อยว่าแอบหลบอยู่ตรงไหนหยวนกังส่ายหน้าไปมา ลูบเคราวยาว“เราสองคนคงจะแก่ไปแล้วจึงไม่อาจหาท่านอ๋องน้อยพบ”“เชิญท่านเพียงลำพังเลยหยวนกัง ข้ายังไม่อยากจะแก่ท่านอ๋องน้อยวิ่งหลบรวดเร็วเหมือนชิงกวานอ๋องที่พลิกพลิ้วยิ่งกว่าใคร อีกหน่อยหากฝึกปรือวิชากระบี่คงหาตัวจับยาก”หยวนกังอมยิ้ม“ข้า ได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยทรงขออนุญาตฝ่าบาทฝึกวิชากระบี่ เราสองคนคงต้องลับคมกันหน่อยเพื่อรอวันถวายการฝึกสอน”“ฮ่าาา เหมือนจริงๆ ช่างเหมือนท่านอ๋องชิงกวานเสียจริง มุ่งมั่นยิ่งนัก เราสองคนคงต้อง ทุ่มเทฝึกสอนกันให้มากหน่อย”ป้อคุนเอ่ยขึ้นดังๆ“หยวนกัง…ป้อคุน…..”ชิงกวานน้อยวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของหยวนกัง“ฮ่าาาาท่านอ๋องในที่สุดก็ยอมออกมา”ป้อคุนอมยิ้ม“ก็ข้าได้ยินว่า ท่านอาทั้ง
ดวงตาพร่ามัวกลอกกลิ้งไปมาทั้งซ้ายและขวา เสียงอ้อแอ้ขององค์ชายน้อยดังแว่วมา แต่ไกล“ชิงกวานน้อยของแม่ เจ้าจะรีบตื่นแต่เช้าทำไมกันเสด็จพ่อยังคงหลับใหล”เสียงหวานของหยงเจิ้งทำเอาอินเฉิงยิ้มกว้างยกมือขึ้นคลำที่ดวงตาทั้งสองข้างสูดลมหายใจลึกๆ“เสี่ยวเจิ้ง”หยงเจิ้งขยับกายหันมา มองร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาลืมตาอยู่บนแท่นบรรทม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่ใบหน้างาม“ฝ่าบาท ท่านฟื้นแล้ว”ดวงตาซ้ายขวากลอกกลิ้งไปมา มองเห็นใบหน้างามเด่นชัด“ข้านอนไปนานแค่ไหน เสี่ยวเจิ้งกับองค์ชายน้อยถึงได้มาอยู่ข้างกายข้าได้”“องค์ชายน้อยชิงกวาน”อุ้มร่างเล็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้ปลุกยามเช้ามาใกล้ๆ อินเฉิงรับเอาร่างเล็กจิ๋วไว้ในอ้อมแขน“ชิงกวาน ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเสียจริง เจ้า เป็นคนที่ทำให้ พ่อกับแม่ได้มีวันนี้วันที่เราพร้อมหน้า”หยงเจิ้งปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา อินเฉิงดึงมือหยงเจิ้งให้นั่งลงข้างๆ เขาจูบซับน้ำตาให้เบาๆ“ท่านอาไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าหยงเจิ้งของข้า ดวงตานี้ของท่านอาอยากเห็นรอยยิ้มของเจ้า มิใช่หยาดน้ำตา”หยงเจิ้งยิ้มทั้งน้ำตา“มีวันนี้ได้เพราะท่านอ๋อง ข้าหยงเจิ้งเช่นไรจะกล้าขัดคำสั่ง”ยิ้มกว้างสดใส อินเฉิงกอดรวบร่าง
“ข้า อัปลักษณ์เพียงนี้ เป็นท่านอาที่จะต้องดูแลหยงเจิ้งต่อไป เป็นท่านอาอินเฉิงจึงวางใจ”หมอหลวงวิ่งถือหลวมยาเข้ามา อินเฉิง ขยับกายให้หมอหลวงตรวจดูอาการของ ชิงกวานอ๋อง“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องไร้ความสามารถไม่อาจดูแลนาง ฝ่าบาทจึงคู่ควรที่สุด”หมอหลวงลุกขึ้นยืนประสานมือตรงหน้าอินเฉิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอินเฉิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา หยวนกังเบือนหน้าหนีปาดน้ำตาที่ไหลริน“ท่านอา เราไปพักที่ตำหนักให้ท่านหมอ จัดเทียบยาดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยน“หยวนกังตามอาจารย์ให้ข้าทีข้าอยากจะพักเสียหน่อย ฝ่าบาทพยุงชิงกวานไปเถิด ให้หยวนกังตามอาจารย์”หยวนกังยิ้มกว้าง เหมือนจะเริ่มมีความหวังว่าอาจารย์กับวิชาแพทย์เถื่อนจะสามารถช่วยชีวิตท่านอ๋องได้“หยวนกังรีบไปแล้วท่านอ๋องอดทนหน่อย”วิ่งออกจากท้องพระโรงกระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปราวกับลูกดอกพุ่งเข้าสู่เป้าอินเฉิงพยุงชิงกวานอ๋องหมอหลวงตรวจดูอาการของป้อคุนอย่างเร่งรีบบนแท่นบรรทม ร่างสูงองอาจนอนเหยียดยาวใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้กลับซีดขาว แต่แววตายังอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งที่อินเฉิงเคยเห็น เลือดสดๆ ยังไหลซึมออกจากบาดแผล“ท่านอาอดทนหน่อย อาจารย์ปู่กำลังมา”“เพื่อฝ่าบาทต่างหาก
อินฉางดวงตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่า หมิงเยว่ล้มลงคว่ำหน้าลงกับพื้นเลือดอาบไปทั่วร่างบาง ตรงเข้าหอบเอาร่างบางที่หายใจรวยริน“ม่ายยยยไม่นะหมิงเยว่ต้องไม่ใช่เจ้าต้องไม่ใช่เจ้าหมิงเยว่ขะขะข้าขอโทษ หมิงเยว่ ข้าไม่ให้เจ้าตายไม่หมิงเยว่ อย่าทำแบบนี้หมิงเยว่”ทว่าร่างโชกเลือดหาได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไม่ยังคงนิ่งงัน ดวงตาอาบไปด้วยหยาดน้ำตา สิ้นลมหายใจโดยไม่ได้ร่ำลา“หมิงเยว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”อินฉางอุ้มร่างโชกเลือดไว้ในอ้อมแขนดวงตาแดงก่ำ“อินฉิง ท่านจะต้องรับผิดชอบ ปาถั่วรับบัญชาข้า ฆ่าอู่อินเฉิงกับป้อคุนแล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ”ปาถั่วก้มหน้าประสานมืออินฉางเดินโซเซพาร่างไร้วิญญาณของหมิงเยว่ออกจากท้องพระโรง“ยิง”ปาถั่วสั่งพลธนูทว่ายังไม่ทันได้เหนี่ยวคันธนู พลธนูทั้งหลายต่างล้มลงไปกองกับพื้นองครักษ์หลายนายต่างวิ่งถือกระบี่เข้ามาล้อมชิงกวานอ๋องที่ในมือกำกระบี่ ฟาดฟันสังหารมือยิงธนูจนบาดเจ็บล้มตาย“ฝ่าบาท”พยุง อินเฉิงที่ถูกลูกดอกปักเข้าที่ขาข้างขวา“ท่านอา มาทันเวลาพอดี”“อย่าเพิ่งพูดอะไร ฝ่าบาทจงรีบเปิดประตูให้คนของเรา ชิงกวานจะหันเหความสนใจของคนพวกนี้ ป้อคุนยังไหวหรือไม่”ป้อคุนที่ไม่อาจขยับกาย“ชิงกวา
ทัพของอู่อินเฉิง ดาหน้าที่ประตูวังหลวงแคว้นเหว่ย พลธนูเหนี่ยวคันธนูสุดแรงรอเพียงคำสั่งให้ยิงอยู่บนป้อมปราการสูงบนประตูวังทั้งสี่ด้าน“ยิง”ป้อคุนทะยานเข้ามาขวางอู่อินเฉิงที่ตกเป็นเป้าของธนูใช้กระบี่ในมือกวัดแกว่งคุ้มภัย อู่อินเฉิงเองก็กำกระบี่ในมือกวัดแกว่งปัดป้อง เหล่าทหารโห่ร้องหาได้สะทกสะท้านต่อความเจ็บความตายตรงหน้า“บุกเข้าไปในวังหลวงจับตัวอู่อินฉางมาคุกเข่าตรงหน้าฝ่าบาท”ป้อตี้ออกคำสั่ง ดังลั่น หทารกล้าทั้งหลายต่างพุ่งตัวเข้าไปยังประตูวัง ออกแรงดันประตู ให้เปิดอ้าออกเพื่อให้กองทัพเข้าไปภายในห่างจากวังหลวงสิบลี้“ท่านอ๋องเปลวไฟ ลุกไหม้อยู่ที่วังหลวงเกรงว่าตอนนี้ทัพของฝ่าบาทคงถึงที่นั่นแล้ว”หยวนกังเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวล“เร่งเดินทางอารักขาฝ่าบาท ข้าไม่อาจวางใจอู่อินฉางหาใช่ผู้ที่ซื่อตรงไม่จะต้องซ่อนกลโกงไว้รอฝ่าบาทเป็นแน่”ชิงกวานอ๋องควบม้าเร็วรี่ยังกลุ่มควันที่ลอยวนบนท้องฟ้าอินฉางนั่ ไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์มังกรในท้องพระโรง ในมือมีจอกสุรารสเลิศ ข้างกายเป็นหมิงเยว่ ที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเอง กับปาถั่วที่กุมกระบี่ข้างเอวไว้แน่นเสียงโห่ร้องใกล้เข้ามา อินเฉิงก้าวขายาวๆยังหน้าบัลลั
“ข้าหากจะต้องตายเพราะการณ์นี้ ก็คงจะต้องยอมเพราะเลือกข้างผิดเดิม อู่อินเฉิงไม่จะไม่เคยใส่ใจ กองทัพแต่ทว่าชิงกวานอ๋องกับผูกใจ เหล่าทหารกล้าบทเรียนครั้งนี้ ไม่อาจแก้ไขแม้ตอนนี้จะมีที่มั่นและกำลังคนแต่หากชิงกวานอ๋อง เอ่ยปากไม่แน่ว่าเหล่าทาหรพวกนี้จะย้ายข้างหรือไม่”“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ชิงกวานอ๋องในครั้งนี้ไม่ได้ มาด้วยมีเพียงอู่อินเฉิงเท่านั้น”ปาถั่วขมวดคิ้ว“บางทีนี่อาจเป็นแผนการตลบหลังไม่อาจวางใจ”ถอนหายใจยาวตำหนักชิงหนิงกง“ฮองเฮาอู่อินเฉิงยกทัพกลับมาที่วังหลวง คงจะถึงวังหลวงในอีกไม่ช้า”หมิงเยว่ ลุกขึ้นจากแท่นนอนสีหน้าแสดงความดีใจ“เขากลับมาแล้วเขาไม่ได้ทอดทิ้งข้าเขายังรักข้าอย่างน้อยก็กลับมาทวงบัลลังก์และคงจะมารับข้าเป็นฮองเฮาของเขาเหมือนเคย”ตงฟางหัวถอนหายใจ หมิงเยว่หลายเดือนที่ผ่านมา สติหลุดลอย พูดจาเลื่อนเปื้อนติดอยู่ในความเพ้อฝันเสียมากกว่าความจริง“ฮองเฮา ไม่แน่ว่าอู่อินเฉิงจะกลับมาหาฮองเฮา”“เขาต้องมาในเมื่อในใจเขามีข้าเพียงคนเดียว เขาทำทุกอย่างเพื่อข้า ข้ารู้แล้วข้าเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นกันเขาจะได้ไม่ต้องลำบากทวงคืนบัลลังก์”ดวงตาเป็นประกายสดใสตงฟางหัวถอนหายใจ“ฮองเฮา