“ใครกัน กล้าพูดจาโอหังที่นี่!”เหมยชิงเกอพลิกข้อมือ พลังกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากร่าง ผลักเปิดประตูโรงเตี๊ยมจึงก็เห็นร่างใหญ่ยักษ์ยืนประจันหน้าอยู่นอกประตู ร่างนั้นสูงกว่าสองเมตร แข็งแรงบึกบึนมาก แขนข้างหนึ่งหนากว่าเอวของอินชิงเสวียน หัวใหญ่โตราวกระด้ง ดวงตาปานระฆัง มือแต่ละข้างถือค้อนทองแดงอันใหญ่ เมื่อประกอบกับร่างสูงใหญ่นั้นแล้ว ทำให้ดูค่อนข้างน่ากลัว“เจ้าเป็นใคร”ศิษย์ของตำหนักเทพชักกระบี่ออกมา เดินไปถามที่ประตู“ไปพบยมบาลแล้ว เขาจะบอกเจ้าเอง”คนผู้นั้นยกค้อนทองแดงขึ้น และโจมตีศิษย์ตำหนักเทพอย่างรุนแรงศิษย์ตำหนักเทพยกกระบี่ขึ้นต้านรับ แต่รู้สึกถึงแรงมหาศาลกดลงบนหัว กระบี่ยาวก็แตกออกเป็นสองท่อน จากนั้นก็รู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอก และมีเลือดไหลออกมาเต็มปาก“บังอาจ!”เหมยชิงเกอเปล่งแสงสีม่วงที่ฝ่ามือ แล้วทุบไปยังค้อนใหญ่ แต่ถูกกระแทกกลับไปหลายก้าว ศิษย์คนเมื่อกี้ถูกอัดกระแทกจนหน้าอกอัดกับแผ่นหลัง เนื้อและกระดูกบางราวกับกระดาษเสียงของเจ้าตัวใหญ่ยักษ์นั้นดังก้องราวกับระฆัง หัวเราะลั่นและพูดว่า “ยอดฝีมือยุทธภพอะไรกัน มีความสามารถแค่นี้เอง พวกเจ้าทุกคน ออกมาซะ”หลังจากเสียง
คนถือค้อนใหญ่ก้าวไปข้างหน้า ยกค้อนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นแก่เจ้าที่แก่ปูนนี้แล้ว หากไม่อยากตาย ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ”เย่จิ่งอวี้เคารพนักพรตเทียนชิงมาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธว่า “หนูโง่เขลา ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”มือซ้ายยกขึ้นโบกรางๆ ในอากาศ พลังแห่งฟ้าดินได้หลอมรวมเข้ากับกำลังภายในที่จุดตันเถียนทันที และมันยังคงเติบโตไม่หยุดคนที่ถือค้อนใหญ่หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ควรมองข้ามบุคคลผู้นี้ชายอ้วนเตี้ยชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งตรงเข้าใส่เย่จิ่งอวี้“เจ้าเด็กกำแหง ตายซะ!”เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าหลบ และก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังชายอ้วนเตี้ยราวกับผี ฝ่ามือประทับหลังหัวใจของเขาอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆเมื่อชายอ้วนเตี้ยรู้สึกตัว มันก็สายเกินไปแล้ว ร่างอ้วนของเขาหันขวับ มือซ้ายของเย่จิ่งอวี้ก็มาถึงแล้ว รวบนิ้วเป็นหมัด และชกเข้าที่หน้าอกของชายอ้วนเตี้ยเปรี้ยงมีเสียงเปรี้ยงที่ประตู ชายอ้วนตัวเตี้ยก็พ่นเลือดออกมาจากปาก กระเด็นถอยออกไป ผู้หญิงสวมชุดขาดริ้วสีม่วงที่อยู่ล้อมอยู่ก็ตรงเข้าไปรับทันที และกรีดร้องด้วยความตกใจ“ต้าหลาง!”เย่จิ่งหลานที่ยืนอยู่บนโต๊ะก็มองตามออกไป เกือ
เหมยชิงเกอเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เฮ่อฉางเฟิงฟังอย่างสั้นๆ และกระชับ คนเหล่านี้มีระดับฌานตบะที่สูงมาก และมีความเชี่ยวชาญในการสร้างค่ายกลเฮ่อฉางเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“คิดไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือเช่นนี้ในยุทธจักร หากเป็นเช่นนั้น งั้นก็ให้คุณชายหลิวรั้งอยู่ที่นี่ เขาเชี่ยวชาญวิชาค่ายกล อาจสามารถช่วยได้”แม้ว่าหลิวซือจวินต้องการกลับไปที่อิ๋นเฉิง เพื่อไปพบกับเฮ่อยวน แต่เฮ่อฉางเฟิงพูดขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จึงพยักหน้าและพูดว่า “สหายเฮ่อวางใจ ถ้าเผชิญหน้ากับค่ายกล ข้าจะช่วยผู้อาวุโสทุกท่านทำลายค่ายกลอย่างแน่นอน”“รบกวนแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงไม่พูดอะไรอีก ขึ้นหลังม้าแล้วสะบัดแส้จากไปในโรงเตี๊ยม เย่จิ่งหลานถอนหายใจ“นักพรตรู้ทั้งรู้ว่ามีญาติและเพื่อนของข้าอยู่ข้างนอกหมด แล้วทำไมเขาถึงเลือกมาที่นี่ในเวลานี้”ความหมายที่ชัดเจนคือ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนต้องไม่มีทางเฝ้าดูเขาถูกนำตัวไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอนนักพรตเทียนชิงหัวเราะเบาๆ ลูบหนวดเคราสีขาวราวหิมะแล้วพูดว่า “อาตมภาพไม่ได้มาที่นี่เพื่อพาเจ้าไป ทุกวันนี้ยุทธภพกำลังประสบปัญหา ตอนนี้เมื่ออาตมภาพ
อินชิงเสวียนลูบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ท่านย่ากับท่านยายพูดถูกแล้ว แต่นี้ไปต้องเรียกแบบนี้แหละ”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม“ลูกทราบแล้ว”เมื่อได้ยินคำเรียกแทนตัวแบบนี้ จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วัน เสี่ยวหนานเฟิงก็ดูเหมือนจะโตขึ้นมาก ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกายและจิตใจนางกระชับแขนเล็กน้อย กดเสี่ยวหนานเฟิงแรงๆ ตั้งแต่ออกจากวังมา นางก็ดูแลลูกน้อยเกินไป“ให้พ่อดูหน่อยซิ ลูกอ้วนขึ้นไหม”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกมา แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไปน่องเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิงสะบัด กระโดดขึ้นไปบนตัวของเย่จิ่งอวี้อย่างว่องไว เย่จิ่งอวี้ชั่งน้ำหนักในมือ และพบว่าตัวหนักขึ้นมากจริงๆ“เด็กดี อยู่บนภูเขาเจ้าเชื่อฟังหรือเปล่า”เสี่ยวหนานเฟิงเชิดหน้าขึ้นทันที“แน่นอน จ้าวเอ๋อร์เก่งมาก”เฟิงเอ้อร์เหนียงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความรัก“จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีมากจริงๆ ไม่เลือกของกิน ไม่เคยวิ่งมั่วซั่ว สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือการดูศิษย์เหล่านั้นฝึกฝนวรยุทธ์ ถ้าเขาโตขึ้น จะเป็นผู้รอบรู้ทั้งศิลปะและวรยุทธ์อย่างแน่นอน”
ต่งจื่ออวี๋อารมณ์ดี เมื่อเห็นเกอหงหยวนออกไป เขาก็ตามนางไปทันที“อย่าผลีผลาม ระวังไว้ดีกว่า”เก่อหงยวนมาถึงข้างหน้าคนผู้นั้นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า คนผู้นั้นก็หันขวับทันที ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำราวกับสัตว์ป่า นางจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวต่งจื่ออวี๋ใช้ดัชนีกระบี่ จี้สกัดจุด คนผู้นั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที แต่ยังคงส่งเสียงคำรามที่ไม่เต็มใจออกมาในในช่วงเวลาฉับพลันนั้นเอง มีอีกคนถูกคนก่อนหน้ากัด บริเวณไหล่มีเลือดไหลนอง กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ไม่นานก็กลายเป็นเช่นกัน อ้าปากคำรามคำว่าฆ่าไม่หยุด“รีบปราบสองคนนี้เร็ว”ต่งจื่ออวี๋เหาะไปข้างหน้า จี้สกัดจุดทั้งสองคน แม้ว่าพวกเขาจะล้มลงกับพื้น แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดุร้ายมาก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ต้องตกใจ หลบหลีกไปล้อมวงมองอยู่ไกลๆเก่อหงหยวนมองดูทั้งสองคน ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นี่มันวิทยายุทธ์อะไรกันเนี่ย จะติดต่อเหมือนโรคระบาดได้อย่างไร”ต่งจื่ออวี๋ส่ายหัว“ข้าไม่รู้ เจ้ารีบไปแจ้งรหัสลับของเป่ยไห่ทันที ติดต่อกับหอมั่วเตา ข้าจะมัดพวกเขาทั้งสามไว้ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บอีก”“ได้”เก่อหงยวนหมดอารมณ์สนุกสนาน จากนั้นก็วา
ในเวลาเดียวกัน สำนักหลักหลายแห่งได้รับข้อความจากผู้คุมตราเซี่ยวพวกเขาทั้งหมดประหลาดใจที่รู้ว่ามีการพลิกผันเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อแคว้นเฟยเหยา หากข้อมูลเป็นจริง การต่อสู้ครั้งนี้อาจซับซ้อนกว่าศึกที่เป่ยไห่เฮ่ออวิ๋นทงก็ได้รับจดหมายเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเจ้าสำนักเซี่ยวตายแล้ว เนื้อตัวสั่นเทิ้ม นิ้วมือสั่นระริกเจ้าสำนักเซี่ยวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดในศึกเป่ยไห่ได้อย่างปลอดภัยเสมอ ซึ่งพิสูจน์ในด้านวรยุทธ์ของเขาได้ดีที่สุด แม้ว่าผู้อาวุโสชราอย่างพวกเขาจะไม่เต็มใจจะยอมรับ แต่หากเจ้าสำนักเซี่ยว คิดว่าตัวเองเป็นอันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าอวดอ้างว่าตนเป็นที่หนึ่งคิดไม่ถึง เขาจะเสียชีวิตก่อนพวกเขาความทรงจำเกี่ยวกับงานเลี้ยงและความสนุกสนานในเป่ยไห่ยังคงชัดเจนอยู่ในใจ เฮ่ออวิ๋นทงดวงตาแดงก่ำอย่างอดไม่ได้เขารู้ว่าหลังจากที่เหล่าเซี่ยวกลับมาก็ไปหานักพรตเทียนจี เพื่อหาทางทำลายฝังโลหิตให้กับเย่จิ่งอวี้ แต่เขาไม่คาดคิดว่าการพบกันครั้งสุดท้ายจะเป็นการอำลาตลอดไป!เขาค่อยๆ รวบนิ้วทั้งห้าจนแน่น ข้อนิ้วลั่นกรอบแกรบ กระบี่ที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความโกรธของเจ
ชายร่างสูงประกบมือคารวะแล้วพูดว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”ชิงฮุยทอดสายตามองภูเขาไกลๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ออกไปเถอะ”ทุกคนโค้งคำนับถอยออกไปหลายก้าว แล้วทั้งหมดก็กลืนหายเข้าไปในป่าชิงฮุยยังคงมองทอดสายตาไปไกล สายลมพัดชายเสื้อสีเทาพลิ้วไหว ท่าทางที่โดดเด่นนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนเทพเซียนหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กระซิบว่า “สุ่ยชิง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง!”...ลั่วสุ่ยชิงยังคงเดินเตร่ไปรอบๆ หมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง ชาวยุทธ์ที่หมดสติวิ่งเข้าไปในเมือง พุ่งเข้าใส่ผู้คนอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนที่ถูกกัดรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และปล่อยเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวผู้คนต่างตื่นตระหนกและทยอยหลบหนีไป เด็กหญิงผมเปียตัวน้อยคนหนึ่งร้องไห้ พลางวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านั้น“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป ท่านพ่อ!”คนผู้นั้นอุ้มเด็กหญิงตัวขึ้นมา อ้าปากจะกัดนาง เมื่อเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเด็กหญิง ลั่วสุ่ยชิงก็สะเทือนใจอย่างยิ่ง นางเหาะไปข้างหน้า ซัดฝ่ามือใส่ไหล่คนผู้นั้นพลังงานสีดำที่มองไม่เห็นไหลเข้าสู่ร่างกายของลั่วสุ่ยชิงตามฝ่ามือของนาง และจิตสำนึกของผู้คนก็ชัดเจนขึ้นในทันใดลั่วสุ่ยชิงก้าวไปข้างหน้า มาปรากฏตัวต่อห
“ลูกชายของข้า”อินชิงเสวียนโยนกุ้งมังกรน้อยลงในตะกร้า แล้วล้างมือถังเล็กๆ ใกล้ๆเสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวคนแปลกหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “สวัสดีพี่สาว ข้าชื่อเย่จ้าวเอ๋อร์”เมื่อเห็นปากเล็กๆ ที่พูดปากหวานของลูกก อินชิงเสวียนก็ยิ้มด้วยความรัก“จ้าวเอ๋อร์เก่งมาก”เมื่อได้ยินคำชมของแม่ เสี่ยวหนานเฟิงก็มีความสุขมาก หน้าอกเล็กๆ ยืดสูงขึ้นเล็กน้อย เขากะพริบตาที่ดูเหมือนมณีสีดำขนาดใหญ่ มองดูลั่วสุ่ยชิงอย่างสงสัย“พี่สาวอยากจับกุ้งด้วยไหม ท่านแม่บอกว่าอันนี้อร่อย”ลั่วสุ่ยชิงชอบเด็กมาก โดยเฉพาะเด็กน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเสี่ยวหนานเฟิง ใบหน้าดวงเล็กที่ขาวเนียนละเอียด คิ้วที่ยกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นความสง่างาม และดวงตากลมโตที่สดใส คู่กับริมฝีปากทั้งสองที่เม้มเล็กน้อย ซึ่งปากเล็กๆ นั้นดูคล้ายกับเย่จิ่งอวี้มากนางค่อยๆ นั่งลงและพูดกับเสี่ยวหนานเฟิงอย่างอ่อนโยนว่า “พี่สาวไม่จับหรอก แม่ของเจ้าเป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆ ทั้งยังทำอาหารอร่อย”เมื่อได้ยินลั่วสุ่ยชิงยกย่องแม่ของตัวเอง เสี่ยวหนานเฟิงก็ค่อนข้างภูมิใจ เขามองไปที่อินชิงเสวียน และพูดว่า “แม่ของข้าเป็นคนที่มีสุดยอดที่สุดในโลก”ลั
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ