เมื่อกลับถึงบ้าน เจี่ยงหลานนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ซูกั๋วเย่าดูโทรทัศน์ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว บนโต๊ะน้ำชามีโจ๊กสองถ้วยที่ยังไม่กินไม่เสร็จ และผักดองหนึ่งจานวางอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ ซูหยิงเซี่ยก็รู้สึกโมโห อย่าบอกนะว่าพอไม่มีหานซานเฉียน แม้แต่ชีวิตตัวเองพวกเขาก็ยังจัดการไม่ได้? หรือคาดหวังให้หานซานเฉียนทำกับข้าวอยู่บ้านไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ? “แม่คะ แค่ไม่ได้เข้าครัวมาหลายปี คงไม่ใช่ว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วนะคะ ถ้าต่อไปหานซานเฉียนไม่ได้ทำกับข้าว แม่คงไม่อดตายหรอกใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยบ่นขณะที่เก็บถ้วยและตะเกียบ เจี่ยงหลานไม่ตอบ ซูกั๋วเย่าถอนหายใจและพูดว่า “แม่ของลูกเริ่มเสียดายเงินสองแสนนั่นแล้วน่ะสิ แถมยังบอกอีกว่าต่อไปจะตัดค่าใช้จ่ายประจำวันเหลือครึ่งเดียว” พอพูดถึงเรื่องเงิน เจี่ยงหลานก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอหันไปพูดกับหานซานเฉียนด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายใช้เงินได้แค่เดือนละห้าร้อยหยวนเท่านั้น” “ห้าร้อยหยวน?” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากครัวอย่างโมโห ทั้งครอบครัวมีตั้งสี่คน ห้าร้อยหยวนต่อเดือนจะซื้ออะไรได้ จะให้กินแต่โจ๊กหรือไง? “แม่คะ อย่าให้มัน
ในขณะรับประทานอาหารเย็นอยู่ ซูกั๋วเย่าก็ได้รับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางของเขาไม่สู้ดีนัก หลังจากวางสาย เขาดูท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เจี่ยงหลานเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นเรื่องเสียเงิน ครอบครัวเราไม่มีวันไป” “ถังเฉิงเย่โทรมาบอกว่าย้ายบ้านแล้ว เขาชวนพวกเราไปเยี่ยมบ้านน่ะ” ซูกั๋วเย่ากล่าว การขึ้นบ้านใหม่สื่อถึงการมอบของขวัญ แต่สถานการณ์ของเจี่ยงหลานในตอนนี้การใช้เงินก็เหมือนการฆ่าเธอ แต่ถังเฉิงเย่อุตส่าห์โทรมาด้วยตัวเองจะไม่ไปก็ไม่ได้ “ครอบครัวคุณอาถังย้ายบ้านใหม่เหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม ถังเฉิงเย่เป็นเพื่อนเก่าของซูกั๋วเย่า ทั้งสองครอบครัวเคยสนิทสนมกันมาก่อน ถังเฉิงเย่ถึงขั้นอยากเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน และอยากให้ซูหยิงเซี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ของเขา ต่อมาหลังจากที่หานซานเฉียนแต่งเข้าตระกูลซู ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวก็จืดจางลงไป “ใช่ ได้ยินว่าย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่สไตล์ดูเพล็กซ์” ซูกั๋วเย่ากล่าว “ไปก็ให้คนอื่นเหยียดหยาม ไม่ไปหรอก” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ในอดีตถังเฉิงเย่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวของพวกเขา เพ
“ในเมื่อวันนี้มารวมตัวกันแล้ว พวกเราก็ไปกันให้หมดเลย จะได้ไปดูว่าบ้านใหม่ของเถ้าแก่ซูเป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงเย่ไม่ได้กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เลย เขาโทรเรียกทุกคนมาที่นี่ “ใช่ ๆ ๆ พวกเราจะได้อาศัยบารมีด้วย ไม่รู้ว่าจะใหญ่เท่าบ้านหลังนี้ของเถ้าแก่ถังหรือเปล่านะ” “เถ้าแก่ซู บ้านหลังใหม่ของนายซื้อของโครงการไหนเหรอ” “ยังไงนายก็เป็นสมาชิกของตระกูลซู คงไม่ด้อยไปกว่าของเถ้าแก่ถังหรอกนะ?” ซูกั๋วเย่าพยักหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรดี บ้านใหม่อะไรกัน ตอนนี้ครอบครัวของเขาแทบไม่มีอะไรกินแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้าน วันนี้ลูกชายของถังเฉิงเย่ไม่ได้กลับมา ถือว่าตัดไปหนึ่งปัญหา ไม่อย่างนั้นหานซานเฉียนคงไม่ได้สบายใจอยู่แบบนี้ หลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูกั๋วเย่าก็หาข้ออ้างขอตัวกลับ ก่อนไปถังเฉิงเย่ยังย้ำว่าอย่าลืมโทรหาเขา เพื่อนคนอื่น ๆ ก็มองมาอย่างมีความสุขเช่นกัน หานซานเฉียนเลยกำหนดเวลา และบอกพวกเขาว่าให้เป็นวันที่ 15 เดือนหน้า ส่วนที่อยู่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง คำพูดของเขาทำให้เจี่ยงหลานโมโหจนแทบบ้า หลังจากหานซานเฉียนและทุกคนกลับไปแล้ว ถังเฉิงเย่ก็พูดกับเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย
ภายในห้อง แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะพอเดาได้ว่าบ้านที่หานซานเฉียนซื้อนั้นคงเทียบกับบ้านของเถ้าแก่ถังเฉิงเย่ไม่ได้ แต่ในใจเธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าบ้านใหม่นั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้บ้านที่พักอยู่บนชั้นหกต้องขึ้นลงบันไดทุกวัน เหนื่อยเอาการทีเดียว ถึงแม้สภาพแวดล้อมบ้านใหม่จะไม่ได้ดีเท่าบ้านของเถ้าแก่ถังเฉิงเย่ แต่ขอแค่มีลิฟต์ก็พอใจแล้ว “คุณคงไม่ได้คิดจะมีความลับกับฉันใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยพูดกับหานซานเฉียน “ความจริงคุณก็เห็นอยู่ทุกวัน” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นทุกวัน?” ซูหยิงเซี่ยขมวดคิ้วแน่นและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่เขาพูดว่าเห็นอยู่ทุกวันคงไม่ใช่ชุมชนนี้หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ความฝันที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็คงจะพังทลาย “พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ คุณว่างหรือเปล่า?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “ฉันรับปากเฉินหลิงเหยาไว้ว่าจะไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนเธอ ความเจ็บปวดที่คุณทิ้งไว้ให้เธอ ตอนนี้ฉันต้องเป็นคนมารับเคราะห์แทน” ซูหยิงเซี่ยพูดพร้อมกับถลึงตาใส่หานซานเฉียน หานซานเฉียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เฉินหลิงเหยายังไม่ปล่อยวางจากเรื่องนั้นอีกเหรอ? วันต่อมา หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยเพิ่งตื่นนอนก็ได
ซูหยิงเซี่ยไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเมื่อคืนหานซานเฉียนได้บอกแล้วว่าเธอเห็นมันทุกวัน ในเมื่อเป็นสถานที่ที่เธอเห็นทุกวัน ก็น่าจะอยู่ในบริเวณชุมชนของเธอนั่นเอง แต่ในเมื่อหานซานเฉียนพูดขึ้นมาแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็เกิดอยากรู้ จึงถามเขาไปว่า “อยู่ที่ไหนล่ะ?” หานซานเฉียนชี้ไปที่คฤหาสน์ใจกลางภูเขาแล้วบอกว่า “นั่นไง” ซูหยิงเซี่ยตะลึงงันอยู่นานก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา เธอมองไปที่หานซานเฉียนอย่างหมดคำพูด “ต่อหน้าฉันคุณยังจะคุยโม้อยู่อีกเหรอ? รีบกลับบ้านกันเถอะ เฉินหลิงเหยากำลังรอฉันอยู่” หานซานเฉียนยังไม่ทันได้อธิบาย ซูหยิงเซี่ยก็วิ่งออกไปไกลแล้ว แต่การที่เธอไม่เชื่อก็ถือเป็นเรื่องปกติ คฤหาสน์ใจกลางภูเขา มีราคาประมูลขายเฉียดร้อยล้าน ใครจะคิดว่าผู้ที่ซื้อไปคือลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ของตระกูลซู? หานซานเฉียนยิ้มบาง ๆ มองตามหลังซูหยิงเซี่ยแล้วพูดขึ้นว่า “วันที่ 15 เดือนหน้าคุณก็รู้เอง หวังว่าคุณจะพอใจกับเซอร์ไพรส์นี้นะ” หลังรับทานอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ซูหยิงเซี่ยก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินหลิงเหยา เธอกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามให้หานซานเฉียนมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอจะเ
“รถสองคันที่บ้านเขาเป็นคนซื้อ แถมเร็ว ๆ นี้เขายังซื้อบ้านอีกด้วย ถึงจะเป็นบ้านมือสองแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลย” ซูหยิงเซี่ยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เฉินหลิงเหยาเป็นคนแรกที่ได้รู้ และเป็นคนที่เธออยากแบ่งปันด้วยมานานแล้ว เฉินหลิงเหยาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เธอนึกว่าซูหยิงเซี่ยเอาเงินจากบริษัทไปซื้อรถซะอีก ไม่คิดเลยว่าจะมาจากน้ำพักน้ำแรงของหานซานเฉียน รถสองคันมูลค่านับล้าน ยังมีบ้านมือสองอีกหนึ่งหลัง เขาคนนี้รวยมากจริง ๆ! “ซูหยิงเซี่ย เธอปล่อยให้ผู้ชายมีเงินส่วนตัวได้ยังไง? เธอไม่รู้เหรอว่ามันเป็นเรื่องต้องห้าม? วันหลังเขาจะมีเงินทุนสำหรับการนอกใจเธอได้นะ” เฉินหลิงเหยามองซูหยิงเซี่ยอย่างโกรธเคือง ซูหยิงเซี่ยส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ เธอไม่เคยกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถ้าหานซานเฉียนจะนอกใจเธอก็คงทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงป่านนี้? ช่วงเวลาสามปีเต็ม ทุกคนรู้สถานะของเขาในตระกูลซูเป็นอย่างดีว่าเขาได้รับความอัปยศมากมายเพียงใด สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่ได้ทำให้เขามีใจออกห่างจากเธอ นับประสาอะไรกับตอนนี้ “เธอคิดมากไปแล้วล่ะ เมื่อก่อนก็ไม่เคยนอกใจ เขาจะรอมาจนถึงตอนนี้เนี่ยนะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ย พอเห็นสีห
“ไปสิ มีที่ไหนที่คนอย่างข่งอู่เข้าไปไม่ได้บ้าง” ข่งอู่ตบหน้าอกรับประกัน หลังจากที่ทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ใจกลางภูเขา ระหว่างทาง ข่งอู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เขานึกภาวนาในใจว่าขออย่าให้เจอเจ้าของคฤหาสน์ใจกลางภูเขาเลย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เหตุผลที่โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงเป็นเขตที่อยู่อาศัยอันหรูหรา นอกจากเรื่องขององค์ประกอบสภาพแวดล้อมแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดก็คือการไม่ถูกใครรบกวน คฤหาสน์ทุกหลังล้วนมีพื้นที่ส่วนตัว การรุกล้ำอาณาเขตของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการฝ่าฝืนกฎ นับตั้งแต่มีการเปิดใช้โครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงก็มีการละเมิดกฎเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปและมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ยังไม่ทันถึงไหล่เขา หญิงสาวร่างเล็กก็ดูเหมือนจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว ขณะที่ข่งอู่รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนจะมีสัญญาณของลางร้าย “คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดบนเขาหยุนติงแล้วสินะ?” หญิงร่างเล็กพูดพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ข่งอู่ชะเง้อคอดูว่ามีใครอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่นอก
“ข่งอู่ คุณกำลังทำอะไรน่ะ คนพวกนี้...” “คุณอย่าพูดมาก หุบปากซะ” ข่งอู่ตวาดใส่ หญิงสาวร่างเล็กตกใจ หรือว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติงจะเป็นคนใหญ่คนโตเหรอ? ไม่อย่างนั้นเขาจะมีอาการตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้เหรอ “คุณ...ดูคุ้น ๆ หน้านะ เป็นคนของตระกูลข่งใช่ไหม?” หัวหน้ารปภ.เดินเข้าไปหาข่งอู่และถามเสียงเย็น ข่งอู่เหงื่อแตกพลั่กเต็มหลังมือ เขารีบบอกอย่างรวดเร็วว่า “พี่ชาย ให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” “ฮึ่ม!” หัวหน้ารปภ.ทำเสียงฮึดฮัดและพูดว่า “คุณไปกับผมหน่อย ตระกูลข่งอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว คงไม่มีทางที่จะไม่รู้กฎของที่นี่ ในเมื่อคุณบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่น คุณก็ควรจะรู้ราคาที่คุณต้องจ่าย” ข่งอู่กลัวจนขาอ่อน ไปกับเขาอย่างงั้นเหรอ? ได้ยินมาว่าแผนกนิติบุคคลมีห้องเล็ก ๆ ไว้จัดการกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎโดยเฉพาะ เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งเข้าไปข้างในและออกมาพร้อมกับขาที่หัก หลังจากเหตุการณ์นั้นทางครอบครัวก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนจะรีบย้ายออกจากเมืองหยุนเฉิงไปในทันที “พี่ชาย ผมเพิ่งทำครั้งแรก