เมื่อเผชิญกับทัศนคติเช่นนี้ของเฟยหลิงเอ๋อร์ หานซานเฉียนก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไรขอทานตัวน้อยคนนี้จงใจปกปิดตัวตน การเก็บนางไว้จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันนะ?แต่นางรู้ข่าวเกี่ยวของเจียงหยิงหยิงและรู้ตัวตนของไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์ด้วย ดังนั้นหานซานเฉียนจึงไม่สามารถขับไล่นางไปได้แต่ถ้าอยากรู้ตัวตนของนาง นางก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องเก็บนางเอาไว้ถึงจะรู้ได้ว่านางเป็นใคร“เจ้ามาหาข้าเพราะเหตุใด” หานซานเฉียนถาม และหลังจากถามคำถามนี้ เขาก็เตือนอีกว่า “ข้าจำเป็นต้องรู้ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะตอบข้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าอยู่ด้วย”“ข้าคิดว่าท่านมีพลังมาก เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่” เฟยหลิงเอ๋อร์กล่าวนี่...หานซานเฉียนพูดไม่ออก และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคำถามของเขาไม่จำเป็นเลย และเขาก็ไม่สามารถได้รับคำตอบที่ลึกกว่านี้ได้แต่สิ่งหนึ่งที่หานซานเฉียนแน่ใจก็คือ เฟยหลิงเอ๋อร์ต้องซ่อนความลับบางอย่างไว้ สำหรับสิ่งที่นางต้องการนั้น บางทีอาจต้องรู้จักกันสักพักถึงจะสามารถรู้ได้“ท่านคงไม่คิดที่จะเก็บนางไว้จริง ๆ หรอกใช่หรือไม่?” ไป๋หลิงหว่านเอ๋อร์มองหานซานเฉียนด้วยท่าทางเป็นกังวล นาง
“นายน้อย คุณต้องกลับไปกับเรานะครับ ตอนนี้ตระกูลหานต้องการให้คุณกลับไปเป็นประธานครับ”“คุณพ่อของคุณป่วยหนัก พี่ชายของคุณก็ติดคุกอยู่ ตอนนี้มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะสามารถประคับประคองตระกูลหานต่อไปได้นะครับ”“คุณย่าบอกให้พวกเราพาคุณกลับไปให้ได้ครับ”ณ เมืองหยุนเฉิง ถนนจื่อถง ในมือของหานซานเฉียนถือกล่องของขวัญกล่องหนึ่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าที่ซื้อจากแผงลอยริมถนน และมีสีหน้าเฉยเมย“ตั้งแต่เด็กจนโตฉันไม่เคยพูดจาประจบสอพลอเอาอกเอาใจให้ท่านเอ็นดู ไม่เหมือนพี่ชายของฉันที่ไม่ว่าจะทำอะไรท่านก็ชอบ คุณย่ากลัวว่าฉันจะแย่งตำแหน่งทายาทมาจากพี่ ท่านเลยไล่ฉันออกจากตระกูลหานยังไงล่ะ”“ฉันแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลซูสามปีแล้ว ตลอดเวลานั้นต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสู ตระกูลหานเคยใส่ใจถามไถ่ฉันบ้างไหม ท่านเป็นคนขับไล่ฉันออกจากตระกูลหานเอง ตอนอยากให้กลับ ก็สั่งให้ฉันกลับไป ท่านคิดว่าหานซานเฉียนเป็นสุนัขที่ต้องเชื่อฟังรึไง?”“ตอนนี้ฉันอยากเป็นแค่คนเดินดินธรรมดา ๆ และอยู่อย่างสงบ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่ามาวุ่นวายกับฉัน”หานซานเฉียนเดินออกไปและทิ้งให้คนพวกนั้นมองหน้ากันเลิกลั่กตระกูลซูเป็นตระกูลที่เก่าแก่และม
“แกใส่ร้ายฉัน คุณย่าไม่ได้ดื่มชามาสองปีแล้ว ฉันจะประสงค์ร้ายกับท่านได้ยังไง” ซูไห่เฉากล่าวด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก ท่าทีรีบร้อนหาข้อแก้ตัว ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่าเขากำลังกินปูนร้อนท้อง“อ่อ เป็นแบบนี้เองเหรอ” หานซานเฉียนพยักหน้ารับ และพูดด้วยความเข้าใจในทันทีว่า “นายรู้ว่าคุณย่าไม่ได้ดื่มชา จึงใช้โอกาสนี้ย้อมแมวท่าน โดยโกหกว่าชาผู่เอ๋อร์นี้ราคาแปดแสนแปดหมื่นหยวนสินะ”แววตาของซูไห่เฉาสั่นไหวผิดปกติ เพราะหานซานเฉียนพูดถูกต้องทุกอย่าง แท้จริงแล้วเขาย้อมแมว และอยากให้เป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คุณย่าไม่ได้ดื่มชาแล้ว ดังนั้นท่านจึงไม่น่าที่จะดูออกซูไห่เฉาไม่คิดเลยว่าการที่ตัวเองโอ้อวดต่อหน้าหานซานเฉียนเพื่อให้ญาติ ๆ หัวเราะเยาะเขา แต่กลับถูกหานซานเฉียนเปิดโปงคำโกหกของเขา!“สิ่งที่นายพูดมันไร้สาระ มันเป็นการแต่งเรื่องขึ้นมา คนอย่างนายรู้จักชาชั้นดีด้วยเหรอ?” ซูไห่เฉาพูดอย่างใจเย็นเมื่อบรรดาญาติ ๆ ที่สงสัยซูไห่เฉาได้ยินประโยคนี้ ก็คิดว่าเกือบถูกหานซานเฉียนหลอกเข้าให้แล้วคนกระจอกอย่างเขาจะรู้จักสินค้าระดับสูงเหล่านี้ได้อย่างไร?“หานซานเฉียน ถ้านายไม่รู
“เมื่อหงส์เหินถวิลหา หวีทองคำด้ามหนึ่ง"“หงส์เหินถึง ปิ่นทองคำหนึ่งด้าม"“ประคำหยกมงคลสุขให้โชคหนึ่งเส้น"“กำไรทองคล้องคู่มังกรหงส์หนึ่งคู่"“ถ้วยชามตะเกียบคู่ชุดหนึ่ง คะนึงถึงสัมพันธ์คู่รักเอย" ...เมื่อฟังรายการของขวัญ ผู้คนในตระกูลซูต่างมองหน้ากัน มันจะเป็นของขวัญสำหรับหญิงชราของตระกูลซูได้อย่างไร นี่มันของขวัญสำหรับเจ้าสาวชัด ๆ!“ของขวัญเงินสดมูลค่า แปดร้อยแปดสิบแปดล้านหยวน”ทุกคนในตระกูลซูต่างตกตะลึงเมื่อธนบัตรร้อยหยวนสีแดงสดถูกนำมาวางไว้อยู่ตรงหน้าพวกเขา คนในตระกูลซูทั้งห้องอาหารต่างก็พากันเงียบกริบ ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจแผ่วเบา แปดร้อยแปดสิบแปดล้านหยวนสำหรับตระกูลอันดับสองอย่างตระกูลซู ของขวัญเช่นนี้มีมูลค่ามหาศาลนักหญิงชราของตระกูลซูลุกขึ้นยืน โดยใช้ไม้ค้ำพร้อมกับเดินเข้าไปหาผู้ที่มาส่งของขวัญ และถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นใครกัน แล้วคุณชอบลูกสาวคนไหนของตระกูลซู”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าสาวโสดในตระกูลซูที่ยังไม่แต่งงาน ต่างพากันตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร แต่ในเมื่อเขาสามารถมอบสินสอดทองหมั้นที่น่าต
ณ โรงแรมเพนนินซูล่า ห้องของประธานาธิบดีที่นั่งฝั่งตรงข้ามของหานซานเฉียนคือหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าอย่างวิจิตรงดงาม สวมชุดที่มีสีทองสลับเงิน และมีท่วงท่าที่สง่างาม“ซานเฉียน ในที่สุดลูกก็มาหาแม่สักที แม่มีความสุขมากเหลือเกิน” ผู้หญิงคนนี้ชื่อฉือจิง เธอเป็นแม่ของหานซานเฉียนเมื่อเผชิญหน้ากับมารดาผู้ให้กำเนิด ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสามปี หานซานเฉียนกลับไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร และเขาแทบจะไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำไป“ใครจะไปคิดว่าลูกชายคนสุดท้องของตระกูลหานที่ถูกทอดทิ้งอย่างผม วันนึงเกิดมีประโยชน์ขึ้นมา? ผมไม่เคยคิดมาก่อน คุณเองก็คงจะคิดเหมือนกัน” หานซานเฉียนยกมุมปากขึ้นเบา ๆ“ซานเฉียน แม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วมันไม่ยุติธรรมกับลูก แต่มันเป็นการตัดสินใจของคุณย่า และแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย” ฉือจิงกล่าวขึ้นอย่างไม่สบายใจหานซานเฉียนส่ายหัวและพูดว่า “สามปี? ในสายตาของคุณ ความอยุติธรรมเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วเองงั้นเหรอ?”“สิบสามปีที่แล้ว เขาอายุสิบสองขวบ มีเพียงแค่ชื่อเขาอยู่บนเค้กวันเกิดเท่านั้น ทุกคนคงคิดว่าเขามีความสุข แต่ทุกคนคงลืมไปว่าผมอายุน้อยกว่าเขาแค่ห้านาทีเท่านั้น
“เถ้าแก่ ขอบุหรี่หน่อยครับ”“นายนี่ตรงเวลาทุกวันเลยนะ”ณ ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของบริษัทซู เจ้าของร้านมองไปที่หานซานเฉียนพร้อมกับถอนหายใจวันหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้จะมาที่นี่อย่างตรงต่อเวลาเสมอ นี่ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ตอนแรกเถ้าแก่ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ค่อย ๆ สังเกตได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ซูหยิงเซี่ยออกมาจากบริษัท ชายหนุ่มคนนี้ก็จะตามออกมาด้วยสําหรับตัวตนของหานซานเชียน เถ้าแก่พอจะเดาได้คร่าว ๆ แต่ก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่าตระกูลมีปมที่ยากจะอ่านออกได้ ลูกเขยของตระกูลซูคนนี้ได้รับการปฏิบัติราวกับขยะจากคนทั้งหยุนเฉิง บางทีเขาอาจไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ได้“ผมไม่มีอะไรทำอยู่แล้วครับ” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคน เขาชื่นชมความพากเพียรของหานซานเฉียนมาก เวลาผ่านมาสามปีแล้วที่เขามาที่นี่ในเวลาสี่โมงครึ่งตรงเวลาทุกวัน และคอยปกป้องซูหยิงเซี่ยอยู่อย่างเงียบ ๆ เสมอ“เมื่อไหร่นายถึงจะไปรับเธอหลังเลิกงานล่ะ? เอาแต่มองแบบนี้ทุกวัน มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ในร้านไม่มีลูกค้า เถ้าแก่จึงได้พูดกับหานซานเฉียนหานซานเฉียนมองไ
วันรุ่งขึ้น ซูไห่เฉานั่งอยู่ในสำนักงาน ทันทีที่รับสาย ๆ หนึ่ง เขาก็หัวเราะจนน้ำตาไหลเพื่อนร่วมงานในตระกูลซูอีกสองสามคนมองดูซูไห่เฉาที่กำลังหัวเราะอย่างงุนงง“ไห่เฉาเกิดอะไรขึ้น นายตลกอะไรนักหนา?”“หยุดหัวเราะ แล้วบอกเราเร็ว ๆ สิ” “คงไม่ใช่เพราะซูหยิงเซี่ยหนีไปแล้วใช่ไหม?”ซูไห่เฉาจับท้องของเขาและพูดว่า “ฉันหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว ซูหยิงเซี่ยนี่โง่จริง ๆ”“เกิดอะไรขึ้น รีบบอกมาเร็วเข้า” ญาติของตระกูลซูหลายคนกระวนกระวายราวกับมดที่อยู่บนหม้อไฟ“ผู้หญิงบ้าคนนี้ให้หานซานเฉียนขับรถยนต์ไฟฟ้าพาเธอไปยังบริษัทลั่วเฉวน่ะสิ เธอเสียสติไปแล้วสินะ” ซูไห่เฉาพูดเมื่อได้ยินประโยคนี้ เสียงหัวเราะมากมายก็ดังขึ้นในสำนักงาน ไม่มีใครหยุดหัวเราะได้เลย ทุกคนต่างหัวเราะกันดังลั่น“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เธอจะไปเจรจาเรื่องความร่วมมือในสภาพแบบนี้ บริษัทลั่วเฉวคงจะยอมเจรจากับเธออยู่หรอกนะ?”“ฉันว่าเธอคงยอมแพ้แล้วล่ะ แต่ก็นะ พวกเรายังขอเจรจาไม่ได้เลย แล้วเธอจะทำได้ยังไง”“ไห่เฉา วิธีนี้ของนายใช้ได้เลยนะ ครั้งนี้ซูหยิงเซี่ยไม่รอดแน่ เธอจะถูกไล่ออกจากตระกูลซู เมื่อถึงเวลาแบ่งทรัพย์สมบัติ เธอก็จะไม่ได้อะไรเลย”
เมื่อการเซ็นสัญญาเสร็จสิ้น ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากบริษัทลั่วเฉวราวกับว่าวิญญาณออกจากเธอไปแล้ว ชายที่สอดแนมในระยะไกลเห็นฉากนี้จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรรายงานกับซูไห่เฉาทันทีหลังจากที่ซูไห่เฉาได้รับข่าว เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก เขาวางแผนจัดประชุมภายในขึ้นทันที และในระหว่างนั้นเขาจะไล่ซูหยิงเซี่ยออกจากตระกูลซู"เป็นไงบ้าง?" หานซานเฉียนเดินดิ่งเข้าไปหาซูหยิงเซี่ย เมื่อเห็นท่าทางที่สิ้นหวังของเธอ ในใจจึงคิดว่าจงเหลียงให้การต้อนรับบกพร่องหรือ? “เซ็นสัญญาแล้ว” ซูหยิงเซี่ยมองไปที่หานซานเฉียน และกล่าวด้วยน้ำเสียงทึมทื่อหานซานเฉียนยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อได้เซ็นสัญญาแล้ว ทำไมคุณถึงดูสิ้นหวังแบบนี้ล่ะ”ซูหยิงเซี่ยไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง แต่เธอรู้สึกเหมือนเธอฝันไปขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของซูหยิงเซี่ยก็ดังขึ้น และหลังจากเห็นชื่อซูไห่เฉา เธอพูดขึ้นอย่างหมดคำจะพูดว่า“ซูไห่เฉานี่รอไม่ไหวเลยเหรอ”“แต่คราวนี้เขาต้องผิดหวังแน่” หานซานเฉียนกล่าว“ทั้งหมดนี้คือคุณงามความดีของคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ บ้านของเราต้องจบเห่แน่” ซูหยิงเซี่ยมองไปที่หานซานเฉียนอย่างซาบซึ้งใจ“อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้นอกจากคุณนะ”