Share

บทที่ 5

“เถ้าแก่ ขอบุหรี่หน่อยครับ”

“นายนี่ตรงเวลาทุกวันเลยนะ”

ณ ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของบริษัทซู เจ้าของร้านมองไปที่หานซานเฉียนพร้อมกับถอนหายใจ

วันหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้จะมาที่นี่อย่างตรงต่อเวลาเสมอ นี่ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ตอนแรกเถ้าแก่ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ค่อย ๆ สังเกตได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ซูหยิงเซี่ยออกมาจากบริษัท ชายหนุ่มคนนี้ก็จะตามออกมาด้วย

สําหรับตัวตนของหานซานเชียน เถ้าแก่พอจะเดาได้คร่าว ๆ แต่ก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่าตระกูลมีปมที่ยากจะอ่านออกได้ ลูกเขยของตระกูลซูคนนี้ได้รับการปฏิบัติราวกับขยะจากคนทั้งหยุนเฉิง บางทีเขาอาจไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ได้

“ผมไม่มีอะไรทำอยู่แล้วครับ” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคน เขาชื่นชมความพากเพียรของหานซานเฉียนมาก เวลาผ่านมาสามปีแล้วที่เขามาที่นี่ในเวลาสี่โมงครึ่งตรงเวลาทุกวัน และคอยปกป้องซูหยิงเซี่ยอยู่อย่างเงียบ ๆ เสมอ

“เมื่อไหร่นายถึงจะไปรับเธอหลังเลิกงานล่ะ? เอาแต่มองแบบนี้ทุกวัน มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ในร้านไม่มีลูกค้า เถ้าแก่จึงได้พูดกับหานซานเฉียน

หานซานเฉียนมองไปที่ประตูของบริษัทซูและยิ้มเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า “มันยังไม่ถึงเวลาครับ”

“น้องชาย มีคำกล่าวอยู่คำนึง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดได้หรือเปล่า” เถ้าแก่เอ่ย

“แน่นอนครับ”

“ฉันคิดว่านายดูไม่เหมือนคนธรรมดาเลย ทำไม...ทำไมนายถึงแต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลซูล่ะ?” แม้ว่าเถ้าแก่ไม่ได้มีสายตาที่เฉียบแหลม แต่ทุกวันเขาก็ติดต่อกับลูกค้าจำนวนมาก ในสายตาของเขา หานซานเฉียนนั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ มันยากที่จะบอกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่เถ้าแก่คิดว่าเขาแตกต่างจากคนเหล่านั้น

“มีเลือดมีเนื้อ กิน ดื่ม และนอนไม่ต่างจากคนอื่น ผมเป็นคนธรรมดานั่นแหละครับ” หานซานเฉียนตอบ

“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” เถ้าแก่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ต้องทนกับคำวิจารณ์มากมาย ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงปวดประสาทไปนานแล้ว”

ปวดประสาทอย่างนั้นเหรอ?

หานซานเฉียนยิ้มออกมา ในฐานะที่เขาเป็นเหมือนคนต่ำต้อยและลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อแต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลซู ซูหยิงเซี่ยยังไม่ปวดประสาทเลย แล้วเขามีสิทธิ์อะไรที่จะปวดประสาทกัน

ในสายตาของคนอื่น หานซานเฉียนต้องทนต่อความอัปยศอดสู

แต่ในสายตาของหานซานเฉียนนั้น ซูหยิงเซี่ยถูกเยาะเย้ยยิ่งกว่าเขา

“สิ่งที่ผมอดทน ยังเทียบกับสิ่งที่เธอเจอไม่ได้เลย” หานซานเฉียนกล่าว

เถ้าแก่ถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก

หลังจากซูหยิงเซี่ยเลิกงาน หานซานเฉียนก็บอกลาเถ้าแก่ตามปกติ และขับรถยนต์ไฟฟ้าคันเล็กออกไป

ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่ที่ประตูบริษัท จนกระทั่งร่างของหานซานเฉียนลับตาไป

เป็นเวลาสามปีแล้วที่หานซานเฉียนมารอซูหยิงเซี่ยเลิกงานทุกวัน

และซูหยิงเซี่ยก็รอให้หานซานเฉียนกลับไปก่อนเธอถึงจะขึ้นรถ

เมื่อกลับถึงบ้าน ซูกั๋วเย่าบอกกับเจี่ยงหลานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุม เจี่ยงหลานก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าขึ้นมาทันที

“ซูหยิงเซี่ย ลูกบ้าหรือเปล่า ลูกเคยคิดบ้างไหมว่าเราจะอยู่ยังไงถ้าถูกไล่ออกจากตระกูลซู”

“ซูไห่เฉาจงใจเล่นงานลูก ลูกไม่รู้หรือไงว่าเขาต้องการอะไร”

ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ลูกรู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เราได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลซู”

เมื่อเจียงหลานได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ และเธอก็แผดเสียงออกมาว่า “ในเมื่อลูกก็รู้ แล้วลูกจะไปตกลงทำไม พวกเขายังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วลูกจะทำได้ยังไง”

ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกสับสนมาก เธอเชื่อในตัวหานซานเฉียน แต่เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นถูกหรือผิดกันแน่

แม้ว่าสถานะครอบครัวของเธอในบริษัทจะต่ำมาก แต่คุณย่าเสียชีวิต เธอก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเธอถูกขับไล่ออกจากตระกูลซู เธอก็จะไม่ได้อะไรเลย

การเชื่อในตัวหานซานเฉียนกับชะตาในอนาคตมันเป็นเดิมพันที่มีราคาสูง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พูดมันออกไปแล้ว จะเปลี่ยนใจได้เหรอ?

“แม่คะ แม่ไม่เชื่อในตัวลูกอย่างนั้นเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม

เจี่ยงหลานรู้สึกโกรธมาก จนทุบหน้าอกตัวเองแล้วพูดว่า “ลูกจะให้แม่เชื่อในตัวลูกได้ยังไง ในเมื่อคนในตระกูลซูยังสิ้นหวัง แล้วอะไรคือเหตุผลที่ลูกคิดว่าลูกจะทำมันได้?”

นั่นสิเหตุผลอะไรกันล่ะ?

ซูหยิงเซี่ยไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม แต่ที่เธอตอบตกลงทำงานนี้ เป็นเพราะข้อความนั้นจากหานซานเฉียน

เมื่อหานซานเฉียนกลับถึงบ้าน เขาเดินไปหาซูหยิงเซี่ยและพูดกับแม่ของเธอว่า “คุณแม่ควรเชื่อเธอนะครับ ผมเชื่อว่าหยิงเซี่ยจะต้องทำได้แน่นอน”

เจี่ยงหลานเหลือบตามองหานซานเฉียนอย่างเหลืออด และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับแก ถ้าไม่ใช่เพราะแกแต่งงานกับบ้านเรา ลูกสาวคนสวยของฉันก็จะได้แต่งงานกับครอบครัวที่มั่งคั่งและมีอนาคตที่ดี แกทำลายครอบครัวเรา แกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น”

หานซานเฉียนเงียบและเดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร

“หานซานเฉียน ฉันเชื่อคุณได้ใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยถามหานซานเฉียนทันที

หานซานเฉียนหันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน”

“เกิดอะไรขึ้น?” เจี่ยงหลานเห็นว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบถามซูหยิงเซี่ยเรื่องนี้ หรือว่าเป็นเพราะคนต่ำต้อยคนนี้ที่ทำให้ซูหยิงเซี่ยตกลงทำงานนี้

“แกกลับมานี่ พูดให้ชัดเจน แกเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย? แกบอกให้หยิงเซี่ยตกลงทำงานนี้เหรอ?” เจียงหลานถามหานซานเฉียน

ซูหยิงเซี่ยรู้ดีว่าถ้าแม่ของเธอรู้เกี่ยวกับข้อความนั้น แม่จะต้องทำให้หานซานเฉียนลำบากแน่ และอาจถึงขั้นไล่หานซานเฉียนออกจากบ้าน

“แม่คะ เรื่องนี้ลูกเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว

“ไม่เกี่ยวอย่างนั้นเหรอ แม่ว่าลูกหลงเจ้าคนต่ำต้อยนี้ ลูกเชื่อสิ่งที่เขาพูดใช่ไหม? ซูหยิงเซี่ยลูกบ้าหรือเปล่า” เจี่ยงหลานคว้าไหล่บางของซูหยิงเซี่ยเอาไว้ ด้วยอารมณ์โกรธของเธอ เธอจึงเผลอบีบไหล่ของลูกสาวจนเธอรู้สึกเจ็บปวด

เมื่อหานซานเฉียนเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของซูหยิงเซี่ย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นราวกับน้ำแข็ง เขาคว้าข้อมือแม่ของเธอ และพูดอย่างเย็นชาว่า “หยิงเซี่ยจะทำได้หรือไม่ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณแม่ก็รู้เองว่าทำไมคุณแม่ถึงต้องเชื่อเธอครับ”

เจี่ยงหลานยิ่งรู้สึกโกรธจัด เพราะเขาไม่สิทธิ์มาพูดอะไรทั้งนั้น

“แกปล่อยฉัน ครอบครัวของเราไม่ฟังคำพูดของแก” เจี่ยงหลานกล่าว

หานซานเฉียนมองไปที่เจียงหลานด้วยสายตาเย็นยะเยือก เขาไม่ยอมปล่อยข้อมือเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความแข็งข้อแบบนี้ในตระกูลซู

เมื่อเจี่ยงหลานมองไปยังนัยน์ตาของหานซานเฉียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหวาดกลัว ราวกับว่าเขาอยากจะฆ่าเธอจริง ๆ

เมื่อซูกั๋วเย่าเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงรีบเข้ามาห้ามและพูดว่า “พวกคุณหยุดได้แล้ว ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว ทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้เราควรจะช่วยกันหาวิธีที่จะทำให้หยิงเซี่ยทำงานนี้ให้สำเร็จดีกว่า”

หลังจากที่เจี่ยงหลานปล่อยซูหยิงเซี่ยให้เป็นอิสระแล้ว หานซานเฉียนก็ปล่อยเธอเช่นกัน และเขาก็พูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “ผมจะทำไปอาหาร”

เจี่ยงหลานกัดฟันด้วยความเคียดแค้นพลางมองไปที่ข้อมือสีแดง และพูดอย่างโกรธจัดว่า “ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะหาทางไล่แกออกไปจากบ้านของเราให้ได้ ไอ้คนไร้ค่า”

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เจี่ยงหลานไม่ได้มาที่โต๊ะ ซูกั๋วเย่าพูดเกี่ยวกับบริษัทลั่วเฉวที่โต๊ะอาหาร ในใจเขาเองก็รู้สึกกลัวมาก เพราะในวันพรุ่งนี้ถ้าซูหยิงเซี่ยทำไม่สำเร็จ พวกญาติของตระกูลซู และซูไห่เฉาจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่ หากพวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลซูจริง พวกเขาจบเห่แน่

หลังอาหารเย็น หานซานเฉียนไปอาบน้ำ เขากลับมาที่ห้องและพบว่าซูหยิงเซี่ยกำลังนั่งอยู่บนเตียง และมองตรงมาที่เขา

หานซานเฉียนนอนอยู่ที่ข้างล่าง เขาพูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “เจ้าของบริษัทลั่วเฉวเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม”

“อ้อ” ซูหยิงเซี่ยตอบง่าย ๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ

ห้องเงียบมากจนอาจจะได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา ตลอดสามปีที่ผ่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

แต่วันนี้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกแปลก โดยเฉพาะตอนที่หานซานเฉียนจับข้อมือแม่ของเธอในตอนนั้น ซูหยิงเซี่ยไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของเขาเลย

“คราวหน้าไม่ต้องไปรอฉันที่หน้าบริษัทแล้ว” ซูหยิงเซี่ยพูดขึ้น

หานซานเฉียนแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดว่าซูหยิงเซี่ยจะรู้เรื่องนี้

“ได้”

ซูหยิงเซี่ยหันหลังให้หานซานเฉียน เธอกัดริมฝีปากแน่น และหัวใจของเธอก็รู้สึกเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก

เธอคิดเสมอว่าเธอต้องการจะหย่ากับหานซานเฉียนเพื่อจะได้เป็นอิสระ แต่พอเมื่อวานนี้เเม่ของเธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอถึงได้รู้ว่าเธอทำไม่ได้

ผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าเขาจะไร้ค่าหรือไร้ประโยชน์เพียงใด เขาก็อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดสามปี

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาต่ำต้อยแค่ไหน ไม่ว่าทัศนคติของเขาจะเย็นชาเพียงใด แต่เขาก็ยิ้มอย่างสดใสต่อหน้าเธอเสมอ

หัวใจของมนุษย์ทำมาจากเลือดเนื้อ และหัวใจของซูหยิงเซี่ยไม่ได้เป็นเหล็ก ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ข้าง ๆ ไปแล้ว

“มารอรับฉันที่หน้าประตูบริษัทแทน”

หานซานเฉียนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เขามองดูแผ่นหลังของซูหยิงเซี่ยที่นอนตะแคงอยู่ สีหน้าที่ตกตะลึงของเขาค่อย ๆ เต็มไปด้วยความสุข

ซูหยิงเซี่ยไม่เห็นสีหน้าของหานซานเฉียน และไม่ได้ยินคำตอบของเขา เธอจึงคิดว่าเขาไม่เต็มใจ เธอเลยพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ถ้านายไม่เต็มใจก็ลืมมันซะ”

หานซานเฉียนลุกขึ้นนั่งและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เต็มใจ...เต็มใจ ผมเต็มใจ”

ซูหยิงเซี่ยสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของหานซานเฉียน น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาราวกับไข่มุก แท้ที่จริงแล้วเธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้

“สามปีมานี้ ฉันขอโทษนะ”
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Pipo Pippoo
เนื่อเรื่อง​มันซ้ำกับหลายเรื่อง แค่ปลี่ยนตัวละคร ไม่น่าอ่าน
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status