พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก
“ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์”
“เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน”
“ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ”
“สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้”
คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้
พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย
“ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่ด้านใน
“เข้ามา” น้ำเสียงเย็นชาดังลอดออกมาจากภายใน
ลี่อินก้าวเข้าไปด้านใน สายตากลับสะดุดอยู่บนร่างของเสวี่ยหนิงที่บัดนี้กำลังเก็บถ้วยอาหารบนโต๊ะอยู่
“เจ้าหายดีได้ทันเวลาจริง” ลี่อินอดไม่ได้ที่จะดูแคลนนาง
“ยังไม่หายดีเท่าไหร่ เพียงแค่ค่อยยังชั่วจึงอยากตอบแทนท่านอ๋องที่ช่วยเหลือ” เสวี่ยหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เหอะ!” ลี่อินไม่เชื่อนางแม้เพียงนิด หากแต่ไม่อยากสนใจอีก
“องค์หญิงต้องการสิ่งใด” หยางหมิงไม่ชอบใจการกระทำที่แข็งกร้าวของนางที่มีต่อเสวี่ยหนิง
“หม่อมฉันต้องการพาอี้หนิงกลับแคว้นฉี” ลี่อินไม่อ้อมค้อม
“ไม่ได้!” หยางหมิงตอบทันควัน สายตายังคงจ้องมองหนังสือบนโต๊ะอักษร
“ท่านจะรั้งนางไว้ด้วยเหตุใด นางไม่ใช่บุตรของท่าน” ลี่อินไม่คิดปิดบังผู้ใด
หยางหมิงไม่แปลกใจที่นางรู้เรื่องนี้ เกรงว่าปิงเซียงจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังแล้ว
“เช่นนั้นนางยิ่งต้องอยู่จวนอ๋อง บิดาของนางไม่ยอมรับหากราชสำนักทั้งสองแคว้นรู้เข้าว่าผู้ใดเป็นบิดา องค์หญิงสามรับมือความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นได้หรือ” หยางหมิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลี่อิน
เหตุผลของชินอ๋องฟังขึ้นลี่อินที่รีบร้อน จนลืมคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา
“เช่นนั้น ท่านจะช่วยยอมให้นางกลับไปแคว้นฉีในฐานะบุตรของท่านได้หรือไม่ เช่นไรแม่ของนางก็ไม่อยู่แล้วการให้นางไปอยู่กับท่านยายคงไม่ใช่เรื่องแปลก” ลี่อินต่อรอง
“เหอะ! องค์หญิงสามช่างอารมณ์ขันนัก การทำเช่นนั้นข้าผู้เป็นอ๋องได้ผลประโยชน์ใดกัน”
“การรั้งนางไว้ก็รังแต่จะทำให้ท่านเจ็บแค้น แล้วท่านจะทำเพื่อสิ่งใดกัน” ลี่อินรู้สึกขุ่นเคืองบ้างแล้ว
คำถามของนางกลับไร้การอธิบายของบุรุษที่นั่งนิ่งบนโต๊ะอักษร โดยที่นางไม่อาจคาดเดาความคิดของชายผู้นี้ได้เลย
“หากท่านอ๋องยอมให้อี้หนิงกลับไปกับหม่อมฉัน หม่อมฉันให้คำมั่นว่าจะช่วยทูลกับเสด็จพ่อให้ท่านแต่งเสวี่ยหนิงเป็นชายา”
ประโยคนี้ของลี่อินทำให้เสวี่ยหนิงที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ดีใจไม่น้อย ใบหน้าที่มักแต่งแต้มด้วยความโศกเศร้า บัดนี้เกือบปกปิดรอยยิ้มดีใจไม่มิด
“เรื่องของจวนอ๋องไม่คิดให้คนนอกช่วยจัดการ” คำพูดของเขาทำให้ลี่อินยืนตัวชาในทันที
“อีกอย่างการที่ข้าจะได้เสวี่ยหนิงเป็นชายาหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์หญิง เกรงว่าเจ้าจะสำคัญตัวผิด” แววตาดูแคลนถูกส่งมา หยางหมิงไม่คิดไว้หน้าลี่อินเพียงน้อย
“นี่ก็สายแล้วข้าจะให้เย่จินส่งองค์หญิงออกนอกเมือง”
หยางหมิงไล่นางกลาย ๆ
“ได้! หม่อมฉันทูลลา” ลี่อินกำมือแน่น การต่อรองนี้กลับเป็นนางที่เสียเปรียบแลต้องอับอายขายขี้หน้า
ลี่อินกลับไปยังตำหนักเล็กหลังจวน นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้
ปิงเซียงไม่รู้สึกหวาดกลัว
“องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ปิงเซียงเมื่อเห็นลี่อินกลับมาก็รีบร้อนอุ้มอี้หนิงวิ่งไปทูลถามนางในทันที
ลี่อินได้แต่ส่ายหน้า นั่นทำให้ปิงเซียงหวาดกลัวไม่น้อย นางไม่รู้จะเลี้ยงดูท่านหญิงในจวนที่มีแต่ผู้คนรังเกียจได้อย่างไร อีกทั้งสภาพการเป็นอยู่ก็ลำบากเสียยิ่งกว่านางกำนัลในจวนเสียอีก
“ปิงเซียงเจ้าอย่าพึ่งกลัว ข้าสัญญาว่าจะกลับมาพาเจ้ากับ
อี้หนิงกลับแคว้นของเราให้ได้” ลี่อินปลอบนางกำนัลอย่างจนใจ
“นี่คือเงินที่ข้านำติดตัวมาทั้งหมด เจ้าเก็บไว้ใช้หากรวมกับเงินเดือนละสี่ร้อยตำลึงก็คงช่วยยื้อเวลาออกไปได้บ้าง”
ลี่อินไม่ชอบพกของมีค่าติดตัวมากนัก ครั้งนี้จึงมีตั๋วเงินเพียงห้าร้อยตำลึงให้ปิงเซียงไว้ใช้จ่าย
“เจ้าเก็บนี่ไว้ หากจำเป็นก็ขายนำเงินมาเลี้ยงดูอี้หนิงเสีย”
ลี่อินยื่นหยกขาวนวลสลักคำว่าซ่งลี่อินให้กับปิงเซียง พลางสายตาจ้องมองอี้หนิงที่มองนางอยางไร้เดียงสา
“อี้หนิงเด็กดี เจ้ารอท่านน้าอยู่ที่นี่น้าสัญญาว่าจะไปไม่นานแล้วจะกลับมารับเจ้า” ลี่อินประทับริมฝีปากลงแก้มอ่อนนุ่มของเด็กน้อย ก่อนจะตัดใจออกจากตำหนักอ๋องมุ่งกลับแคว้นฉี
ห้าวันหลังจากออกจากแคว้นเว่ย อาชาชั้นดีก็พาลี่อินเข้าสู่เมือง
ซีหนาน แม้จากวังหลวงไปถึงสิบห้าวันแต่ทุกสิ่งยังคงเดิม หากแต่ดวงใจที่หนักอึ้งของนางกลับทำให้ทุกสิ่งรอบตัวพลันดูเศร้าหมองไปด้วย
ลี่อินมุ่งตรงไปยังตำหนักหนิงอันทันทีที่ก้าวเข้าประตูวัง บัดนี้มีเรื่องราวมากมายที่นางต้องแจ้งพระมารดา
“ฮองเฮา องค์หญิงสามกลับมาแล้วเพคะ” เสียงดีใจของแม่นมหลิว ปลุกสตรีที่บัดนี้ผอมแห้งอยู่บนแท่นบรรทมให้ตื่นขึ้น
“รีบพานางมา” เสียงเบาแรงดังขึ้นพร้อมกับความพยายามลุกขึ้นนั่งของฮองเฮาเสวี่ยฉี
“ถวายพระพรเสด็จแม่”
“ลุกขึ้น ๆ” เสียงเบาเอ่ยบอกลี่อิน
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงเป็นเช่นนี้” น้ำใสอุ่นประดับอยู่บนดวงตาของลี่อิน
“ฮองเฮาทรงตรอมพระทัยเพคะ พระนางไม่ยอมเสวยสิ่งใดตั้งแต่องค์หญิงจากไป” แม่นมหลิวทูลความจริง
“ได้อย่างไรกัน หากเสด็จแม่เป็นอะไรไปอีกคน หม่อมฉัน เสด็จพี่เจ๋อหานและอี้หนิงจะอยู่อย่างไรเพคะ” ลี่อินนั่งลงข้างแท่นบรรทมสายตาอ้อนวอนส่งมายังมารดาอย่างน่าสงสาร
“ได้ ๆ แม่จะไม่ทำแล้ว” เสวี่ยฉีรับปากลี่อินอย่างว่าง่าย
“แล้ว...พิธีศพเรียบร้อยดีหรือไม่” เสวี่ยฉีดวงตาแดงก่ำตรัสถามถึงพิธีของบุตรคนแรกของนาง
“อือ เรียบร้อยดีเพคะ เสด็จพี่จากไปอย่างสมพระเกียรติ”
ลี่อินปลอบใจพระมารดา หากแต่ว่าเรื่องอี้หนิงจะทำอย่างไร พระนางถึงจะสามารถรับเรื่องราวนี้ไหว
“มีสิ่งใดหรือไม่ อย่าคิดปิดบังแม่อีกเลย” เสวี่ยฉีที่เห็นแววตากังวลของธิดาตน นางรู้ได้ทันทีว่าลี่อินกำลังปิดบังนางอยู่
“มิกล้าปิดเสด็จแม่ หม่อมฉันรู้ความลับที่ยากจะเชื่อเข้า เสด็จแม่จะรับไหวหรือไม่” ลี่อินกล่าวหยั่งเชิง
“เล่ามาเถิด” เสวี่ยฉีกุมมือลี่อินแน่น
“เสด็จแม่ อี้หนิงไม่ใช่ธิดาของหยางหมิงอ๋อง หากแต่เป็นธิดาของรัชทายาทถานหย่งเจี๋ย” ลี่อินสัมผัสได้ว่าพระหัตถ์ของฮองเฮาสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
“เสด็จพี่ต้องการเอาชนะเสวี่ยหนิงที่หมายจะเป็นชายา
รัชทายาท จึงฉวยโอกาสตอนที่เขาเมามายร่วมหลับนอน”
“เหตุใด เหตุใดกัน ทำไม่เหมยหลิงถึงสิ้นคิดเช่นนั้น” เสวี่ยฉีฮองเฮาไม่อาจกลั่นความโทมนัสได้อีกต่อไป ทรงกันแสงปานจะขาดใจ
ลี่อินทำสิ่งใดไม่ได้ นางปลอบพระทัยมารดาอยู่เงียบ ๆ นางจำต้องบอกความจริงพระมารดาให้กระจ่าง ดีกว่าให้พระนางคาดเดาสิ่งต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง นั่นจะยิ่งทำให้พระมารดาทรงประชวรหนักกว่าเดิม
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่พาหลานกลับมาด้วย” เสวี่ยฉีพลันหวนนึกถึงหลานสาวที่น่าสงสารของตน
“หม่อมฉันต่อรองกับอ๋องหยางหมิงแล้วเพคะ แต่เขาไม่ยอม” ลี่อินทูลฮองเฮาอย่างจนใจ
“แล้วเช่นนี้เราจะทำอย่างไรกันดี อี้หนิง! อี้หนิง!ของข้า” ความโทมนัสของฮองเฮาทำให้พระนางกันแสงอีกครั้ง
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
ฤดูใบไม้ผลิเมืองเถียนชิง ชายแดนแคว้นฉีและเว่ย ราษฎรเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก การปลูกข้าวคือสินค้าที่ราษฎรลงทุนลงแรงและเฝ้าคอยฤดูเก็บเกี่ยวอย่างใจจดใจจ่อ ลานกว้างชายป่ากระโจมติดธงแคว้นฉีและเว่ยถูกตั้งขึ้นไม่ไกลกัน มีทหารลาดตระเวนเข้มงวด “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงลี่อินไม่อยู่ในกระโจมพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเฒ่าคู่พระทัยหย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีกราบทูล ทำให้บทสนทนาของกษัตริย์แคว้นฉีและเว่ยต้องหยุดชะงักลง “ให้คนไปตามนางมา” หย่งเฮ่าไม่พอพระทัยนักที่องค์หญิงสามซุกซนไม่เรียบร้อยดั่งเช่นท่านหญิงสอง ที่แม้เป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากตาอิ้งนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาแต่กลับมีกิริยาเรียบร้อยกว่าพระธิดาทุกพระองค์ “ให้ลูกไปตามเถิดเพคะ” ซ่งเสวี่ยหนิง ท่านหญิงสองที่ทำหน้าที่คอยชงชาให้ฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นทูลเสนอตัว “เช่นนั้นก็รีบเถิด อีกครู่อ๋องหยางหมิงจะมาถึงแล้ว” “เพคะ” เสวี่ยหนิงวางกาน้ำชา พร้อมทั้งออกไปตามน้องต่างมารดาที่เกิดช้ากว่านางเพียงวันเดียว หากแต่ยศนั้นช่างแตกต่าง นางเป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากนางกำนัลต่ำศักดิ์ แต่ลี่อิน
สามปีหลังจากการเสด็จส่วนพระองค์ที่เมืองเถียนชิงของฮ่องเต้ ในค่ำคืนที่ดวงดาวประดับทั่วท้องฟ้า เสียงครางซาบซ่านของการร่วมรักระหว่างชายหญิง ดังออกมานอกตำหนักลับในเมืองซีหนานเมืองหลวงแคว้นฉี เหล่านางกำนัลที่ยืนรอปรนนิบัติต้องถอยห่างออกจากตัวตำหนักหลายร้อยฉื่อ กระนั้นเสียงร่วมรักของผู้เป็นนายยังลอยตามลมเข้าหูของบ่าวไพร่จนผู้คนทนฟังไม่ไหว เมื่อเสียงเงียบลง ปิงเซียงนางกำนัลข้างกายจึงรีบเข้ากราบทูลอย่างรีบร้อน “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกให้กลับวังตอนนี้เพคะ” หากแต่สตรีที่อยู่บนเตียงไม่ได้ตื่นตระหนก ยังคงนอนแนบชิดบุรุษใต้ผ้าไหมหนานุ่ม สายตาจ้องมองเรือนร่างบุรุษไม่มีขวยเขิน “แจ้งกลับไป วันนี้ข้าไม่สบายพรุ่งนี้จะเข้าเฝ้าแต่เช้า” คำพูดไม่ใส่ใจขององค์หญิง ทำให้ปิงเซียงหวาดกลัวแทนผู้เป็นนาย “ครั้งนี้ฝ้าบาทส่งองครักษ์ตำหนักเฉวียนชิงมาเพคะ เกรงว่าคงไม่อาจขัดขืนได้” ร่างบางดวงหน้าเย่อหยิ่ง เมื่อรู้ว่าคนที่เสด็จพ่อของตนส่งมาตามคือองครักษ์ส่วนพระองค์ จึงรีบผละออกจากร่างบุรุษรูปงามที่ตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อในทั
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ “เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป “ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต “องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้ ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง “นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น “เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา “อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่”
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี