พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์น
ของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้
ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง
หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ย
ขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร
ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที
“เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง
“เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้
พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง
“อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
“หากแต่แม่กลัว หากเจ้า......” ฮองเฮาเกรงพระธิดาของตนจะจบชีวิตเหมือนผู้เป็นพี่สาว
“เสด็จแม่อย่าทรงกังวล หม่อมฉันจะดูแลตัวเองและจะพา
อี้หนิงกลับมาหาพระองค์ให้ได้เพคะ” ลี่อินรู้ว่ามารดาห่วงเรื่องใด
“แต่ซ่งเสวี่ยหนิงจะต้องมีสามีร่วมกับเจ้า เจ้าทำใจได้หรือ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันกังวลเพคะ” ลี่อินไม่คิดว่าหยางหมิงจะแตะต้องตนเอง บุรุษผู้นั้นไม่ยอมทำให้เสวี่ยหนิงขุ่นเคืองแน่
“แล้วเสด็จพ่อจะยอมหรือไม่เพคะ” นางเป็นห่วงว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงอนุญาตมากกว่า
“ให้เป็นหน้าที่ของแม่เถอะ” ฮองเฮาแววตาเด็ดเดี่ยว ก่อนจะลุกขึ้นจากหน้าพระพุทธรูป เสด็จไปยังตำหนักเฉวียนชิง
ตำหนักเฉวียนชิงบัดนี้ขุนนางคนสำคัญ ร่วมหารือราชกิจกับฮ่องเต้
ด้วยการสู่องค์หญิงสามของทั้งสองแคว้นล้วนมีผลกับแคว้นฉีทั้งสิ้น
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นว่าชินอ๋องเหมาะสมกับองค์หญิงสามมากกว่า ด้วยพระองค์กับฮ่องเต้แคว้นเว่ยเป็นพระสหาย การช่วยเหลือระหว่างแคว้นย่อมมีมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าจง เจ้ากรมอาญากราบทูล
“หากแต่กระหม่อมเห็นว่าเป็นพระชายาแคว้นหานก็ไม่เลว แม้ฝั่งนั้นมิได้ให้คำมั่นว่าจะได้ตำแหน่งฮองเฮาในอนาคตหรือไม่ แต่ด้วยอำนาจของแคว้นหานก็คุ้มที่จะเสี่ยงพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเฉิน เจ้ากรมกลาโหมออกความเห็นบ้าง
“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทตอบรับสาส์นแต่งงานแคว้นเว่ย”
ฮองเฮาเสวี่ยฉีกล่าวขัดการหารือของเหล่าขุนนาง
“ถึงอย่างไร การแต่งงานขององค์หญิงก็ต้องให้วังหลังเห็นชอบ หม่อมฉันในฐานะแม่ขอให้พระองค์คล้อยตามเพคะ”
แม้ว่าฮองเฮาจะทูลขออนุญาต หากแต่สายพระเนตรที่จ้องมองฮ่องเต้กลับคล้ายการข่มขู่เสียมากกว่า เหล่าขุนนางต่างรีบถอยออกจากตำหนัก
“เหตุใดต้องเป็นแคว้นเว่ย” ฝ่าบาทลุกขึ้นจากโต๊ะอักษร จ้องมองสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนหวาน
“เพราะอี้หนิง ลี่อินต้องการนางคืนเช่นเดียวกับหม่อมฉัน”
“ชินอ๋องจะยอมหรือ” ฮ่องเต้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความโศกเศร้าและเจ็บแค้น ทำให้พระองค์ประชวรอยู่หลายวัน
“หม่อมฉันเชื่อในตัวลี่อิน ขอฝ่าบาททรงอนุญาต”
“หากไม่ยอม เจ้าจะใช้การตายของเหมยหลิงเป็นข้ออ้างทำร้ายอันหยาและเสวี่ยหนิงหรือ?”
ฮองเฮาไม่ยอมตอบสิ่งใด เพียงยอบกายเคารพแล้วถอยออกจากตำหนักไป
พิธีอภิเษกสมรสของแคว้นฉีและเว่ยจัดขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้เป็น
ลี่อินที่เร่งให้พิธีจัดขึ้นโดยเร็ว จนทำให้ฮ่องเต้ไม่ทรงพอพระทัยด้วยทรงมองว่าไม่สำรวมกิริยา ลี่อินกลับไม่ใส่ใจนางรู้ว่าสิ่งที่นางทำเพื่อสิ่งใดกันแน่ กลับเป็นรัชทายาทเจ๋อหานที่ใส่ใจกับงานอภิเษกสมรสนี้ จากบุรุษผู้สุขุม จิตใจเปี่ยมล้นด้วยความอ่อนโยน บัดนี้กลับร่ำสุราไม่สนราชกิจ อีกทั้งโมโหร้ายจนเหล่านางกำนัลขันทีในตำหนักว่านอันหวาดกลัว นั่นทำให้ลี่อินผิดหวังในตัวพระเชรษฐาไม่น้อย
“เสด็จพี่ หม่อมฉันลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
“เข้ามา” น้ำเสียงเมามายดังลอดออกมาจากห้องบรรทม
ลี่อินก้าวเข้าไปในห้องที่ปิดมืด แม้ยามนี้ข้างนอกจะยามเฉินแล้วแต่ภายในห้องนี้กลับไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเพียงนิด ลี่อินเปิดหน้าต่างทุกบานที่มีในห้องบรรทมออก แสงที่ส่องเข้ามาทำให้บุรุษที่นั่งอยู่ด้านล่าง
แท่นบรรมทมต้องยกมือขึ้นบังแสงที่ส่องเข้าดวงเนตร
“พระองค์ดื่มมากี่วันแล้ว”
ลี่อินมองดูไหเหล้ามากมายที่กองทั่วพื้น หากแต่บุรุษเบื้องหน้ากลับไม่ตอบสิ่งใด
“เสียพระทัยที่เสวี่ยหนิงต้องแต่งเข้าจวนอ๋องหรือ”
เจ๋อหานเงยหน้ามองลี่อินในทันที ไหเหล้าที่พึ่งเปิดถูกวางลงพื้นด้วยมือที่สั่นเทา
“เจ้ารู้หรือ?”
“ไม่ใช่เพียงหม่อมฉัน เสด็จแม่ ท่านพี่เหมยหลิง แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบ หากแต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยถาม”
เจ๋อหานร่างกายโงนเงนจนต้องใช้แท่นบรรทมรองรับร่าง สิ่งที่ตนคิดว่าปกปิดไว้ดีแล้วกลับถูกผู้อื่นมองเห็นโดยง่าย
“แล้วเหตุใดไม่มีผู้ใดกล่าวเรื่องนี้กับข้า”
“เพราะไม่มีผู้ใดยอมรับได้ ท่านมีใจให้น้องต่างมารดาก็เรื่องหนึ่ง ความแค้นของสองครอบครัวทำให้ทุกคนยากจะยอมรับ ส่วนฮ่องเต้เกรงว่าต้องการให้ท่านแต่งงานกับบุตรีของขุนนางใหญ่สักคน”
ลี่อินอธิบายให้พระเชษฐาของตนได้รู้แจ้ง แม้นางจะสงสารในรักที่ไม่สมหวัง หากแต่รักที่ผิดที่ผิดทางนี้ให้มันจบลงจะดีกับเขามากกว่า
“หากพระองค์ยังอาลัยอาวรณ์นางอยู่ คืนนี้ท่านก็ดื่มให้เมามายเสีย พรุ่งนี้จงลุกขึ้นกลับมาเป็นเสด็จพี่ที่สุขุม อ่อนโยนของข้าเช่นเดิมได้หรือไม่”
“เจ้าไม่เคยมีรัก รู้หรือไม่ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด” เจ๋อหานในใจไม่ยอมรับ
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ แต่หม่อมฉันทราบดีว่าหาก
รัชทายาทของแคว้นหมกมุ่นแต่ความรักชายหญิง ราษฎรจะทนทุกข์เพียงใด”
คำกล่าวของลี่อินทำให้เจ๋อหานชะงักงัน รัชทายาทมองผู้เป็นน้องสาวด้วยสายตาหลากหลายอารมณ์
“เหตุใดเจ้าถึงเข้มแข็งนัก งานแต่งนี้เจ้ารักเขาหรือ” เจ๋อหานนับถือในความเด็ดเดี่ยวของลี่อิง
“ไม่รักและไม่เกลียด หากการแต่งงานของหม่อมฉันจะช่วยให้อี้หนิงมีชะตาชีวิตที่ดีขึ้น นั่นก็คุ้มค่า”
ลี่อินจ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ยังคงไม่ยอมรับความเป็นจริง แม้ว่านางจะยกราษฎรทั้งแคว้นมาอ้าง แต่ยังมิอาจสู้เสวี่ยหนิงเพียงผู้เดียวได้
“พรุ่งนี้หม่อมฉันต้องไปแคว้นเว่ยแล้ว ต่อจากนี้เสด็จแม่จะเหลือเพียงท่านพี่เพียงผู้เดียวที่จะปกป้องพระนางได้ หวังว่าท่านจะได้สติโดยเร็ว” กล่าวจบก็เตรียมจากไป
“ช้าก่อน!”
ลี่อินชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงของพระเชษฐาเอ่ยขึ้น
“เจ้าคิดว่า เสวี่ยหนิงรักข้าจริงหรือไม่” ดวงตาแดงก่ำของ
รัชทายาทบัดนี้เอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา
“หากรัก นางคงไม่คิดจะถวายตัวเป็นพระสนมแคว้นเว่ยหรอกเพคะ”
สิ้นคำตอบของลี่อิน น้ำตาบุรุษไหลอาบแก้มในทันที หัวใจบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก เขารู้มาว่ารัชทายาทแคว้นเว่ยพึงพอใจนาง หากแต่ไม่คิดว่านางเองจะมีใจให้ชายอื่นเช่นกัน
ยามเหม่า ลี่อินถูกนางกำนัลนับสิบรุมล้อม เครื่องประดับมากมายถูกปักลงบนเส้นผมสีดำขลับ ร่างขาวราวไข่มุกถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์มงคลสีแดงฉาน ดวงหน้างดงามถูกประทินโฉมให้งามยิ่งขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่มบัดนี้ถูกย้อมด้วยชาดสีแดงทับทิม พัดแสนประณีตถูกถือไว้บังใบหน้าราวเทพธิดาของลี่อิน
ฮองเฮาที่ยังอาวรณ์ธิดากันแสงอยู่ในตำหนัก มิอาจเอื้อนเอ่ยอวยพรธิดา
“เสด็จแม่อย่าทรงกันแสงเลยเพคะ หม่อมฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี และจะพาอี้หนิงกลับมาให้ได้”
ฮองเฮาตรัสสิ่งใดไม่ออก ได้แต่กอดพระธิดาไว้แน่น พลางพยักหน้ารับคำสัญญาของนาง
แม่นมหลิวนำเสด็จองค์หญิงสามแห่งแคว้นฉีขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เตรียมเคลื่อขบวนออกนอกวัง
“ลี่อิน” เสียงที่นางคุ้นเคยดังขึ้น
“เสด็จพี่!” นางแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเจ๋อหานออกมาส่งนาง อีกทั้งวันนี้เขากลับมาสุขุมแลอ่อนโยนเช่นเดิม
“พี่มาส่งเจ้า นับจากนี้ข้าจะอยู่เพื่อท่านแม่ และราษฎรแคว้นฉีเจ้าไม่ต้องกังวล” เจ๋อหานให้คำมั่นกับนาง สายตาที่แน่วแน่ทำให้ลี่อินเชื่อมั่นสุดหัวใจ
“อือ” นางพยักหน้ารับ ดวงตาร้อนผ่าวจากหยดน้ำใสที่เอ่อล้น
“หม่อมฉันต้องไปแล้ว” เสียงนั้นยังคงสั่นเครือ
“อือ รักษาตัวด้วย” เจ๋อหานมองตามเกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามจดสุดสายตา
ขบวนรับเสด็จเจ้าสาวของแคว้นเว่ยรั้งรอที่หน้าประตูวัง หากแต่กลับไม่เห็นชินอ๋องเจ้าบ่าวของพิธีนี้รอรับเจ้าสาวตามประเพณี
“ทูลองค์หญิง ท่านอ๋องประชวรกะทันหันมิอาจเสด็จมารับพระองค์ด้วยตนเอง จึงส่งกระหม่อมมารับแทน” เย่จินรู้สึกกระดากอายที่ต้องอ้างเหตุผลเช่นนี้
“ช่างเถิด รีบออกเดินทางเถอะ”
ข้อแก้ตัวน่าขันเช่นนี้มีหรือที่ลี่อินจะคาดเดาไม่ได้ เกรงว่าเวลานี้พระองค์คงอยู่เป็นเพื่อนสตรีในดวงใจแน่
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
หยางหมิงที่ถูกลี่อินกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัวแต่เช้า จ้องสายตาดื้อรั้นนั้นของนางเช่นกัน หากแต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกดวงตาคู่งามราวไข่มุกนั้นล่อลวงให้ตกอยู่ในภวังค์ “ตกลงท่านอ๋องจะอนุญาตหรือไม่” ลี่อินขมวดคิ้วแน่น เสียงของนางปลุกให้หยางหมิงตื่นจากภวังค์ เขาดึงสายตากลับเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย “หากอยากไปก็ไป” “ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ นางก็ไม่อยู่ก่อกวนเขาอีก หยางหมิงมองตามหลังนาง ‘เพียงอยากไปหลาหลานสาวนางถึงกลับกล้าบุกห้องนอนผู้อื่นเลยหรือ หรือนี่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อตำหนิเขาที่ไม่อยู่ร่วมหอกับนาง’ เขาอดคิดเข้าข้างตนมิได้ ตำหนักเล็กยังคงเงียบสงบเช่นเดิม หากแต่ต้นหญ้าที่เคยมีในครั้งก่อนบัดนี้ถูกกำจัดออกบ้างแล้ว อีกทั้งฝุ่นเขรอะตามพื้นดูเบาบางลงไม่น้อย “พระชายา” ปิงเซียงดีใจเมื่อเห็นว่าผู้ใดมายังตำหนัก “อี้หนิงเล่า?” ลี่อิงหันมองหาเด็กน้อยที่นางห่วงใย “ยังหลับอยู่เพคะ” “อือ แล้วระหว่างที่ข
ตำหนักเล็กหลังเรือนบัดนี้ดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีข้าวของเครื่องใช้ของลี่อินเข้ามาเพิ่มเติม หากแต่นั่นก็ทำให้ปิงเซียงรู้สึกอุ่นใจที่บัดนี้จะมีเจ้านายคอยปกป้องและดูแลท่านหญิงตัวน้อยของนางแล้ว “ปิงเซียง เจ้าไปตามช่างฝีมือมาซ่อมแซมตำหนัก และไปหาสาวใช้มาเพิ่มอีก เราคงต้องอยู่จวนอ๋องอีกนานกว่าข้าจะคิดหาวิธีได้” “เพคะพระชายา” ลี่อินใช้สินเดิมของตนในการปรับปรุงตำหนักหลังเล็กนี้เสียใหม่แม้ตำหนักหลังนี้จะหนาวเหน็บ หากแต่เมื่อกำจัดต้นไม้ที่ขึ้นรกทั่วตำหนักออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาบ้างอากาศรอบตำหนักก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย ลี่อินยังสั่งให้คนสวนปลูกดอกไม้ไว้หน้าจวนจะได้ทำให้ตำหนักที่ดูน่ากลัวหลังนี้มีสีสันมากขึ้น อี้หนิงเด็กหน้อยวัยขวบเศษชื่นชอบดอกไม้ไม่น้อยแววตาเศร้าหมองของนางกลับดุสดใสขึ้น เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินคลานเล่นไปทั่วล้านหน้าตำหนัก ทำเอาปิงเซียงต้องคอยเดินตามจนเหนื่อยล้า ลี่อินนั่งมองหลานรักที่ร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดีในใจของนางก็อบอุ่นหัวใจขึ้น ด้านหยางหมิงที่ยุ่งอยู่กับการฝึกทหารในกองทัพชานเมือง เมื่อกลับเข้าจวนก็พบว่าเสวี่ยหน
ตำหนักเล็กหลังเรือนบัดนี้ดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีข้าวของเครื่องใช้ของลี่อินเข้ามาเพิ่มเติม หากแต่นั่นก็ทำให้ปิงเซียงรู้สึกอุ่นใจที่บัดนี้จะมีเจ้านายคอยปกป้องและดูแลท่านหญิงตัวน้อยของนางแล้ว “ปิงเซียง เจ้าไปตามช่างฝีมือมาซ่อมแซมตำหนัก และไปหาสาวใช้มาเพิ่มอีก เราคงต้องอยู่จวนอ๋องอีกนานกว่าข้าจะคิดหาวิธีได้” “เพคะพระชายา” ลี่อินใช้สินเดิมของตนในการปรับปรุงตำหนักหลังเล็กนี้เสียใหม่แม้ตำหนักหลังนี้จะหนาวเหน็บ หากแต่เมื่อกำจัดต้นไม้ที่ขึ้นรกทั่วตำหนักออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาบ้างอากาศรอบตำหนักก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย ลี่อินยังสั่งให้คนสวนปลูกดอกไม้ไว้หน้าจวนจะได้ทำให้ตำหนักที่ดูน่ากลัวหลังนี้มีสีสันมากขึ้น อี้หนิงเด็กหน้อยวัยขวบเศษชื่นชอบดอกไม้ไม่น้อยแววตาเศร้าหมองของนางกลับดุสดใสขึ้น เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินคลานเล่นไปทั่วล้านหน้าตำหนัก ทำเอาปิงเซียงต้องคอยเดินตามจนเหนื่อยล้า ลี่อินนั่งมองหลานรักที่ร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดีในใจของนางก็อบอุ่นหัวใจขึ้น ด้านหยางหมิงที่ยุ่งอยู่กับการฝึกทหารในกองทัพชานเมือง เมื่อกลับเข้าจวนก็พบว่าเสวี่ยหน
หยางหมิงแปลกใจไม่น้อย เหตุใดนานเพียงนี้แล้วรถม้ายังไม่พาลี่อินกลับมาอีก “เย่จิน” หยางหมิงหันไปหาองครักษ์ข้างกาย “กระหม่อมจะไปถามพ่อบ้านเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ......เพียงครู่เย่จินก็กลับมาพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ทูลท่านอ๋อง พ่อบ้านลืมทำตามรับสั่ง ไม่ได้บอกให้รถม้าไปรับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” “ลืมหรือ? เป็นพ่อบ้านทำงานบกพร่องถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เอาตัวไปลงโทษ แล้วไล่ออกซะ” หยางหมิงกล่าวอย่างเดือดดาลก่อนหันหลังกลับออกจากจวน รถม้าจวนอ๋องวิ่งสุดกำลังโดยมีเย่จินเป็นผู้บังคับ หยางหมิงมองผ่านสายฝนหาร่างบางของลี่อินที่อาจจะกำลังเดินทางกลับจวน “หยุดรถ ตรงนั้น!” ชินอ๋องร้องสั่งเย่จิน ก่อนพุ่งลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ด้านลี่อินที่เดินฝ่าฝนเร่งรีบกลับจวน ผ่านถนนที่มืดมิดอย่างยากลำบากความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจ ทำให้ร่างบางหวาดระแวงทุกฝีก้าวที่ก้าวเดิน ร่มที่ถือมาไม่ได้ช่วยกันสายฝนที่กระหน่ำลงมาได้เลย อาภรณ์ผืนบางเปียกโชกแนบร่างบางจนน่าอาย ลี่อินเร่งฝีเท้าไม่หยุดหย่อนก่อนจะรู้สึกว่าแ
“หากเจ้ายังป่วยอยู่ เช่นนั้นวันพรุ่งงานเลี้ยงน้ำชาจวนโหวเจ้าก็ไม่ต้องไปก็ได้” หยางหมิงเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหลับไปจากเสียงกล่อมจึงเอ่ยขึ้น ลี่อินหยุดชะงักในทันที นางจำได้ว่าพระชายารัชทายาทเป็นบุตรีของท่านโหวแม่ทัพใหญ่แคว้นฉี การกระทำของพี่สาวนางนอกจากจะขัดแย้งกับชินอ๋องแล้ว ยังทำให้จวนโหวไม่พอใจเพราะเหตุการณ์ครานั้นทำให้พระชายารัชทายาทเสียใจจนตกเลือด “หม่อมฉันจะไปเพคะ” แววตามุ่งมั่นของนางแม้ร่างกายยังป่วยอยู่ทำให้หยางหมิงไม่กล้าขัด “เช่นนั้นพรุ่งนี้ยามอู่รถม้าจะรอที่หน้าจวน” “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ หยางหมิงออกตรวจกองทัพแต่จิตใจกลับฟุ้งซ่าน ตั้งแต่ที่ลี่อินถูกทิ้งให้เดินกลับจวนครานั้น แต่นางกลับไม่โวยวายให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้เขาเองเริ่มมองว่านางแตกต่างจากเหมายหลิงอยู่บ้าง “เจ้าว่าองค์หญิงสามเป็นคนเช่นไร” ชินอ๋องที่ควรมีสมาธิกับการอ่านสาส์นกองทัพ กลับเอ่ยถามเย่จินไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินคิดว่าตนหูฝาด แต่หยางหมิงกลับ
“เช่นนั้นองค์หญิงสามต้องการคุยกับกระหม่อมเรื่องใด หรือเรื่องที่กระหม่อมเรียกท่านว่าพระชายาเมื่อครู่หรือ” จื้อหาวสงสัย “ไม่” ลี่อินส่ายหน้า “ข้าเพียงอยากจะขอโทษจวนโหวในสิ่งที่องค์หญิงใหญ่กระทำต่อพระชายารัชทายาท ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เกินจะให้อภัยเพียงร้องขอท่านและจวนโหวอย่าได้มองอี้หนิงเป็นศัตรู นางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่เกิดมา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดของมารดา” “ข้านึกว่าอยากให้จวนโหวยกโทษให้องค์หญิงใหญ่เสียอีก” “จวนโหวทำได้หรือ?” ลี่อินหยั่งเชิง ในใจนางมีคำตอบอยู่แล้ว จื้อหาวไม่ตอบคำถามนี้ของนาง เขาเพียงจ้องมองนางและส่ายหน้า “หากแต่ข้าสามารถรับปากองค์หญิงได้ จวนโหวแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ หลานสาวของท่านเป็นผู้บริสุทธิ์สำหรับจวนโหวเช่นกัน” “ขอบคุณท่านโหวน้อย” ลี่อินยอบกายขอบคุณโดยไม่ถือศักดิ์ “เช่นนั้นในอนาคตหากโหวน้อยมีสิ่งใดให้ลี่อินช่วยเหลือ อย่าได้เกรงใจ ข้ารับปากจะช่วยเต็มที่” จื้อหาวเลิกคิ้ว เขาสงสัยว่าสตรีบอบบางอย่างนางจ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนอ๋อง หยางหมิงลงจากรถม้าได้ก็ไม่รีรอผู้ใดเดินจ้ำอ้าวเข้าตำหนักตนไป ทำให้เสวี่ยหนิงที่รอท่านอ๋องช่วยประคองลงรถม้าเช่นที่เคย ต้องหน้างอเรียกหาสาวใช้แทน ต่างจากลี่อินที่ไม่ได้สนใจท่าทีของหยางหมิง ตอนนี้นางเพียงอยากพักผ่อนแล้วค่อยตื่นขึ้นมาหาหนทางทำเงินในภายหลัง ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ภายในตำหนักเล็กนางกำนัลเริ่มจุดไฟให้แสงสว่าง ลี่อินที่ผล็อยหลับเพราะอาการป่วยปรือตาขึ้นมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเสียงกระดิ่งในข้อเท้าเด็กน้อยดังเป็นจังหวะการก้าวเดินตรงมาที่ลี่อิน ก่อนจะยื่นมือน้อย ๆ ของนาง เป็นสัญญาณให้ผู้เป็นน้าที่นั่งอยู่เป็นเตียงอุ้มตนไว้ “อี้หนิงคิดถึงน้าแล้วหรือ ทำไมดูหนักขึ้นอีกแล้ว” เสียงหวานเย้าหยอกเด็กน้อยมัดแกะในอ้อมแขน “พระชายา เครื่องเสวยพร้อมแล้วเพคะ” อี้เฉาทูลแจ้ง เมื่ออุ้มอี้หนิงนั่งลงบนโต๊ะอาหาร เด็กน้อยก็รีบคว้าน่องไก่ขึ้นมากัดด้วยใบหน้าชอบอกชอบใจ ทำให้ลี่อินยิ้มตาหยีมองดูนางกินอย่างเอ็นดูอาหารบนโต๊ะมีสามสี่อย่าง เพราะเป็นคำสั่งของลี่อินเองที่ให้ทำอาหารแค่พอกิน ด้วยค่าใช้จ่ายในตำหน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ
กบฏยอมจำนน เจ๋อหานเสด็จประทับบนบัลลังก์มังกร ขุนนางประกาศโองการ“ด้วยโองการสวรรค์ ฮ่องเต้เจ๋อหานขึ้นครองบัลลังก์ ราษฎรเป็นสุขไร้ทุกข์นิรันดร์ เริ่มต้นศักราชหย่งฉีนับแต่นี้” สิ้นคำประกาศ เหล่าขุนนางคุกเข่ากราบถวายบังคม “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” “ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นเถิด ราชโองการแรกของข้า อภัยโทษทหารที่ร่วมก่อกบฏ ส่งไปชายแดนทำดีไถ่โทษ แม่ทัพอู๋ไท่และรองแม่ทัพ ปลดออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์กึ่งหนึ่ง เนรเทศไปดินแดนรกร้าง ไม่เอาความคนในตระกูล องค์ชายจี้หานให้ไว้ทุกข์ยี่สิบปีเฝ้าสุสานฮ่องเต้หย่งเฮ่า” “น้อมรับราชโองการ” หยางหมิงยืนข้างลี่อิน มองดูเหตุการณ์สำคัญของแคว้นฉีโดยไม่คิดก้าวก่าย ส่วนลี่อินเงยหน้ามอกบุรุษที่ตัวสูงกว่าสายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “ชินอ๋องถานหยางหมิง ขอบใจที่ตอบรับสาน์สขอความช่วยเหลือจากเรา” พระราชดำรัสของฮ่องเต้ ทำผู้คนในท้องพระโรงหรือแม้แต่ลี่อินต่างสับสน เหตุเพราะว่าการขอความช่วยเหลือจากแคว้นเว่ยไม่ได้มีการหารือในหมู่ขุนนางหรือแม่ทัพ “แคว้นฉี เป็นบ้านเกิดของพระชายา
พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นตามกำหนดเดิม ลานหน้าท้องพระโรงถูกตระเตรียมสำหรับราชพิธี เหล่าขุนนางยังคงเข้าร่วมพระราชพิธีโดยมิหวาดหวั่นการชิงบัลลังก์ขององค์ชายสี่จี้หาน รัชทายาทซ่งเจ๋อหานสวมชุดมังกรพิธีการ ก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงสู่ท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารค่อมกายเคารพฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เครื่องประโคมบรรเลงตามจังหวะการเสด็จของฮ่องเต้ ไทเฮายืนอยู่เหนือบันไดท้องพระโรง พร้อมเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อรอรับเสด็จฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮ่องเต้เจ๋อหานคุกเข่าถวายพระพรพระราชมารดาก่อนจะนำเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง หากแต่ประตูวังกลับมีกองกำลังของอู๋ไท๋บุกเข้ามาล้อมรอบลานพิธี “องค์ชายเจ๋อหานจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลวงอู๋ไท่ลงจากม้าศึกชี้ดาบตรงมายังว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้น “บังอาจ เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก กล้าดีอย่างไรไม่เรียกฮ่องเต้ตามธรรมเนียม แลยังถือดาบต่อหน้าพระพักตร์อีก” มหาราชครูหลานต่อว่าอย่างมิเกรงกลัว “หึ! ตาเฒ่าหลานซื่อ ใครนับหลานชายเจ้าเป็นกษัตริย์กัน ทั้งอ่อนแอ ขลาดกลัวใช้แต่การเจรจาต่อรองไม่เห็นความสำคัญของการรบ แล้วเช่นนี้จะปก
เสวี่ยหนิงถูกส่งกลับแคว้นฉี ฮองเฮาเสวี่ยฉีนำเหล่าขุนนางบีบบังคับฝ่าบาทให้สั่งประหารเสวี่ยหนิง จนฮ่องเต้ที่ไร้ทางเลือกสั่งประหารธิดาของตนเองเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ สนมคนโปรดถูกเนรเทศไปชายแดน ส่วนซิ่วหรูถูกสั่งกักบริเวณในตำหนักนานสองปี โหวน้อยหวงจื้อหาวแม้มิได้มีเจตนาทำร้ายเหมยหลิง หากแต่มอบยาสวาทมิรู้จบเพราะสงสารน้องสาว ถูกส่งไปต่างแคว้นทำหน้าที่ทูตเจรจาการค้าเพื่อประโยชน์ของแคว้นเว่ย ลี่อินกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้น นางย้ายกลับมาอยู่ตำหนักพระชายาพร้อมอี้หนิง เด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นในตำหนักกว้างยิ้มอย่างพอใจ “ชอบ” อี้หนิงที่พึ่งฝึกพูดเปล่งเสียงบอก “อี้เออร์ชอบก็ดีแล้ว” ลี่อินลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่ หากแต่ความสุขกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อม้าเร็วจากแคว้นฉีขอเข้าเฝ้า “ทูลองค์หญิงสาม บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮาทูลเสด็จพระองค์กลับไปสักการะพระศพพ่ะย่ะค่ะ” ลี่อินแม้รู้ว่าบิดาป่วยมานาน หากแต่เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทจากไปแล้ว สติของนางขาวโพลนทันที เสียงสุดท้ายที่นางได้ยินกลับเป็นเสี