“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น
“นี่เจ้า!”
หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว
“ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน
“เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน
“เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง
เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“หากสิ่งที่เสวี่ยหนิงทำเรียกว่าไร้ยางอาย แล้วสิ่งที่เสด็จพี่ท่านทำกับข้าจะเรียกว่าอะไร~”
หยางหมิงบัดนี้อารมณ์ขุ่นมัว สายตาเยือกเย็นจ้องมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของปิงเซียง ทำให้นางต้องใช้ชายอาภรณ์ซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาท่านอ๋อง
ลี่อินสับสนกับสายตาของชินอ๋องที่มองไปยังอี้หนิง และอาการหวาดกลัวของปิงเซียงที่พยายามซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาคู่นั้น
‘นี่มันใช่สายตาของคนเป็นบิดาใช้มองบุตรของตนหรือ’ นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“องค์หญิงสาม หากท่านมาอย่างมิตรข้ายินดีเตรียมเรือนพักให้ท่านได้ แต่หากท่านหวังก่อเรื่องในจวนอ๋องอย่าหาว่าข้าชินอ๋องไม่เกรงใจ”
หยางหมิงจ้องลี่อินไม่วางตา
“นี่!” ลี่อินอยากจะโต้แย้งกับเขาต่อ แต่เมื่อนี่เป็นจวนอ๋องนางเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง
“ได้ เช่นนั้นลี่อินต้องรบกวนท่านจนกว่าพิธีศพของเสด็จพี่จะแล้วเสร็จ หากจะขอรบกวนพักที่เรือนเดียวกับอี้หนิงท่านอ๋องจะขัดข้องหรือไม่” ลี่อินพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพล่านอย่างสุดความสามารถ
“หากคิดว่าสมฐานะ องค์หญิงเชิญพักตามสบาย”
หยางหมิงกล่าวพลางหันไปหาหาเสวี่ยหนิงที่ยังอยู่บนเตียงนอนตามเดิม
ลี่อินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ปิงเซียงนำทางลี่อินไปยังเรือนที่เหมยหลิงและอี้หนิงอาศัย แต่นั่นกลับทำให้ลี่อินต้องขมวดคิ้วแน่น ด้วยเรือนที่ปิงเซียงนำทางไปไม่ใช่เรือนหลักที่ตั้งติดกลับตำหนักอ๋อง หากแต่เป็นเรือนเล็กด้านหลังจวน สภาพที่อยู่ทรุดโทรมจนเกินบรรยาย อากาศที่หนาวเย็นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูเหมันต์ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอย่างรกร้างแทบไม่มีพื้นที่ให้ก้าวเดิน สภาพตัวเรือนที่เก่าจนหน้าต่างห้องโถงไม่สามารถปิดลงได้ เครื่องเรือนมีน้อยชิ้นจนนับได้และพื้นที่มีฝุ่นเขรอะนี่อีก
“นี่มันอะไร? อี้หนิงพักที่นี่หรือ” ลี่อินภาวนาให้นางเข้าใจผิด
“เพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าตอบด้วยความละอาย
หัวใจของลี่อินบีบรัดจนหายใจแทบไม่ออก นางมองหลานสาวตัวน้อยที่บัดนี้หลับปุ๋ยในอ้อมแขนของปิงเซียง
“นี่! จะเป็นไปได้อย่างไร เขาให้บุตรของตนพักที่นี่หรือ แล้วแต่ก่อนพักที่ไหน?” ลี่อินขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ท่านหญิงพักที่นี่ตั้งแต่เกิดเพคะ”
“ตั้งแต่เกิด! มันเกิดสิ่งใดขึ้นเหตุใดชินอ๋องถึงให้บุตรีของตนพักในเรือนที่หนาวเย็นและทรุดโทรมเช่นนี้ เสด็จพี่ข้ายอมหรือ แล้วเหตุใดหากไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงไม่ส่งจดหมายไปแคว้นฉี”
คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาจากความคิดของนาง แม้ชินอ๋องจะได้รับขนานนามว่าบุรุษผู้บ้าคลั่ง แต่คงไม่ถึงขั้นทารุณกับเด็กทารกเช่นนี้ได้
“ทูลองค์หญิง ตอนที่องค์หญิงใหญ่แต่งเข้าจวนใหม่ ๆ ก็พักที่ตำหนักตะวันออกเพคะ” ปิงเซียงสูดหายใจเข้าลึก พลางวางท่านหญิงตัวน้อยลงบนเตียงในห้องบรรทม ก่อนทูลความจริงกับลี่อิน
“หากแต่หลังแต่งงานมาเพียงสองเดือน ในวันคล้ายวันประสูติของท่านอ๋อง คืนนั้นรัชทายาทเสด็จมาร่วมอวยพรด้วย แลดูท่าจะพอพระทัยในท่านหญิงเสวี่ยหนิงไม่น้อย จากนั้น.......” ปิงเซียงไม่กล้าเล่าต่อ
ลี่อินได้ฟังเช่นนี้ นางคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ หากแต่มันอัปยศเกินกว่าที่พี่สาวนางจะกระทำลงไป
“เล่า!” เสียงไม่มั่นคงกำชับนางกำนัล
“รัชทายาทเมามาย ท่านหญิงจึงฉวยโอกาสพารัชทายาทเข้าห้องบรรทม” บ่าวพยายามทัดทานพระองค์แล้วเพคะ บ่าวทำสุดความสามารถแล้วแต่องค์หญิงใหญ่ไม่ยอมฟังบ่าวเลย เสียงสะอื้นของ
ปิงเซียงดังขึ้น
“จากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
มือเรียวของลี่อินกำแน่น ดวงตาพร่ามัวด้วยหยดนำที่เอ่อล้น นางไม่คาดคิดว่าเสด็จพี่ของตนจะกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้ รัชทายาทคือพระเชรษฐาร่วมอุทรของชินอ๋อง หากเป็นเช่นนั้นจริงการที่หยางหมิงจะเดือดดาลก็เป็นเรื่องที่สมควร
“ท่านอ๋องพบทั้งสองเปลือยเปล่าบนเตียงบรรทม พะ พระองค์กริ้วมาก ใช้กระบี่จ่อที่คอของพระเชรษฐา”
“แล้วท่านพี่ล่ะ นางว่าอย่างไร” ลี่อินสงสัยว่านางทำเพื่อการใดกันแน่
“พระนางไม่กล่าวสิ่งใด เพียงยิ้มเหย้ยหยันท่านหญิง
เสวี่ยหนิงเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าจะบอกว่า เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อเอาชนะ
เสวี่ยหนิงเช่นนั้นหรือ” ลี่อินแทบทรงตัวยืนไม่ไหว นางจำต้องนั่งลงบนตั่งเตี้ยข้างเตียงนอน
ปิงเซียงไม่กล่าวสิ่งใด เพียงพยักหน้าตอบ
“จากนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นอีก”
“องค์รัชทายาทคุกเข่าขอโทษท่านอ๋อง พระองค์อ้างว่าเมามากเพคะ เมื่อท่านอ๋องหันไปมององค์หญิงพระนางกลับยิ้มอย่าพอใจ นั่นจึงทำให้ท่านอ๋องรู้ว่านางจงใจ”
“เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องทำสิ่งใดไม่ได้ฝ่าบาทไม่ยอมให้หย่า แลไม่สามารถยกองค์หญิงเป็นชายารัชทายาทได้ เรื่องนี้จึงถูกกำชับไม่ให้ผู้ใดเอ่ยถึง”
“แล้วชินอ๋องยอมหรือ” นางสงสัยว่าเขายอมเสียเกียรติได้หรือ
“เพื่อบ้านเมือง ท่านอ๋องไม่ตรัสถึงเรื่องนั้นอีกแลให้องค์หญิงใหญ่มาอยู่เรือนหลังไม่ให้เกี่ยวข้องกันอีก ให้พระนางใช้สินเดิมให้การใช้ชีวิต และจะมอบเงินอีกสี่ร้อยตำลึงให้ทุกเดือนในการใช้จ่ายแลจ้างบ่าวไพร่เพคะ”
“แล้วเหตุใดภายใน 2 ปี เรือนหลังนี้ถึงได้ทรุดโทรมนัก”
“พระนางนำสินเดิมและเงินที่ได้จากท่านอ๋องไปปรนเปรอเหล่าชายงามจนเหมดเพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าอย่างละอายใจ
ลี่อินรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว นางไม่รู้จักเสด็จพี่ของนางเพียงน้อย พลางสายตาหวาดหวั่นถูกส่งไปหาอี้หนิงที่ยังคงหลับบนเตียง
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านพี่ของข้า.....” ลี่อินไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ
“หลังจากเหตุการณ์ของรัชทายาท ท่านอ๋องก็ออกปราบกบฏทางตอนเหนือ ทำให้องค์หญิงสามารถทำตามพระทัยได้โดยง่ายเพคะ”
“แล้วอี้หนิง....” ลี่อินไม่กล้าถามต่อ
“พระธิดาขององค์รัชทายาทเพคะ” ปิงเซียงรู้ว่าองค์หญิงสามต้องการตรัสสิ่งใด
“เหตุใดเจ้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เพราะองค์หญิงใหญ่ไม่เคยร่วมหอกับท่านอ๋อง แลก่อนที่ท่านอ๋องจะออกศึกองค์หญิงใหญ่ก็ทรงครรภ์แล้ว” ปิงเซียงที่อยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างใกล้ชิด นางไม่มีทางคาดเดาผิดแน่
“มิน่าเล่า สายตาที่เขามองอี้หนิงถึงมีแต่ความเกลียดชัง”
ลี่อินหันมองหลานตัวน้อยด้วยความสงสาร การเกิดมาของนางนอกจากปราศจากความรักของบิดาแล้ว ยังได้รับความเกลียดชังจากผู้คนมากมาย
“อี้หนิงของน้าไม่ต้องกลัว ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
หยดน้ำใสร้อนผ่าวไหลอาบแก้ม นางเวทนาในชะตาของเด็กน้อยผู้นี้สุดขั้วหัวใจ
“ชินอ๋องเคยทุบตีเสด็จพี่หรือไม่” ลี่อินแม้ผิดหวังต่อการกระทำของเหมยหลิง แต่ก็ไม่ปรารถนาให้ใครทำร้ายนาง
“ไม่เพคะ แม้ทรงกริ้วเพียงใดก็มิเคยลงมือ มากสุดคือมัดเท้านางไว้ในตำหนักเป็นเวลา 7 วัน เพราะรู้ว่าองค์หญิงหลับนอนกับบุรุษอื่นทั้งที่ทรงพระครรภ์”
“แล้วเหตุใดการเป็นอยู่ยากลำบากเช่นนี้ เจ้าไม่แจ้งท่านอ๋อง” ลี่อินหันไปถามปิงเซียง
“บ่าวมิกล้า องค์หญิงใหญ่ไม่ให้บ่าวบอกเพราะเกรงท่านอ๋องจะลงโทษอีกเพคะ” ปิงเซียงทูลอย่างสิ้นหวัง
ลี่อินยากจะเชื่อว่าทั้งหมดคือฝีมือขององค์หญิงใหญ่ ผู้ที่รักคนในครอบครัวยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วไยปล่อยให้พระธิดาของตนทุกข์ทรมานเช่นนี้
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
ฤดูใบไม้ผลิเมืองเถียนชิง ชายแดนแคว้นฉีและเว่ย ราษฎรเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก การปลูกข้าวคือสินค้าที่ราษฎรลงทุนลงแรงและเฝ้าคอยฤดูเก็บเกี่ยวอย่างใจจดใจจ่อ ลานกว้างชายป่ากระโจมติดธงแคว้นฉีและเว่ยถูกตั้งขึ้นไม่ไกลกัน มีทหารลาดตระเวนเข้มงวด “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงลี่อินไม่อยู่ในกระโจมพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเฒ่าคู่พระทัยหย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีกราบทูล ทำให้บทสนทนาของกษัตริย์แคว้นฉีและเว่ยต้องหยุดชะงักลง “ให้คนไปตามนางมา” หย่งเฮ่าไม่พอพระทัยนักที่องค์หญิงสามซุกซนไม่เรียบร้อยดั่งเช่นท่านหญิงสอง ที่แม้เป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากตาอิ้งนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาแต่กลับมีกิริยาเรียบร้อยกว่าพระธิดาทุกพระองค์ “ให้ลูกไปตามเถิดเพคะ” ซ่งเสวี่ยหนิง ท่านหญิงสองที่ทำหน้าที่คอยชงชาให้ฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นทูลเสนอตัว “เช่นนั้นก็รีบเถิด อีกครู่อ๋องหยางหมิงจะมาถึงแล้ว” “เพคะ” เสวี่ยหนิงวางกาน้ำชา พร้อมทั้งออกไปตามน้องต่างมารดาที่เกิดช้ากว่านางเพียงวันเดียว หากแต่ยศนั้นช่างแตกต่าง นางเป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากนางกำนัลต่ำศักดิ์ แต่ลี่อิน
สามปีหลังจากการเสด็จส่วนพระองค์ที่เมืองเถียนชิงของฮ่องเต้ ในค่ำคืนที่ดวงดาวประดับทั่วท้องฟ้า เสียงครางซาบซ่านของการร่วมรักระหว่างชายหญิง ดังออกมานอกตำหนักลับในเมืองซีหนานเมืองหลวงแคว้นฉี เหล่านางกำนัลที่ยืนรอปรนนิบัติต้องถอยห่างออกจากตัวตำหนักหลายร้อยฉื่อ กระนั้นเสียงร่วมรักของผู้เป็นนายยังลอยตามลมเข้าหูของบ่าวไพร่จนผู้คนทนฟังไม่ไหว เมื่อเสียงเงียบลง ปิงเซียงนางกำนัลข้างกายจึงรีบเข้ากราบทูลอย่างรีบร้อน “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกให้กลับวังตอนนี้เพคะ” หากแต่สตรีที่อยู่บนเตียงไม่ได้ตื่นตระหนก ยังคงนอนแนบชิดบุรุษใต้ผ้าไหมหนานุ่ม สายตาจ้องมองเรือนร่างบุรุษไม่มีขวยเขิน “แจ้งกลับไป วันนี้ข้าไม่สบายพรุ่งนี้จะเข้าเฝ้าแต่เช้า” คำพูดไม่ใส่ใจขององค์หญิง ทำให้ปิงเซียงหวาดกลัวแทนผู้เป็นนาย “ครั้งนี้ฝ้าบาทส่งองครักษ์ตำหนักเฉวียนชิงมาเพคะ เกรงว่าคงไม่อาจขัดขืนได้” ร่างบางดวงหน้าเย่อหยิ่ง เมื่อรู้ว่าคนที่เสด็จพ่อของตนส่งมาตามคือองครักษ์ส่วนพระองค์ จึงรีบผละออกจากร่างบุรุษรูปงามที่ตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อในทั
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ “เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป “ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต “องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้ ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง “นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น “เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา “อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่”
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี