“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น
“นี่เจ้า!”
หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว
“ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน
“เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน
“เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง
เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“หากสิ่งที่เสวี่ยหนิงทำเรียกว่าไร้ยางอาย แล้วสิ่งที่เสด็จพี่ท่านทำกับข้าจะเรียกว่าอะไร~”
หยางหมิงบัดนี้อารมณ์ขุ่นมัว สายตาเยือกเย็นจ้องมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของปิงเซียง ทำให้นางต้องใช้ชายอาภรณ์ซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาท่านอ๋อง
ลี่อินสับสนกับสายตาของชินอ๋องที่มองไปยังอี้หนิง และอาการหวาดกลัวของปิงเซียงที่พยายามซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาคู่นั้น
‘นี่มันใช่สายตาของคนเป็นบิดาใช้มองบุตรของตนหรือ’ นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“องค์หญิงสาม หากท่านมาอย่างมิตรข้ายินดีเตรียมเรือนพักให้ท่านได้ แต่หากท่านหวังก่อเรื่องในจวนอ๋องอย่าหาว่าข้าชินอ๋องไม่เกรงใจ”
หยางหมิงจ้องลี่อินไม่วางตา
“นี่!” ลี่อินอยากจะโต้แย้งกับเขาต่อ แต่เมื่อนี่เป็นจวนอ๋องนางเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง
“ได้ เช่นนั้นลี่อินต้องรบกวนท่านจนกว่าพิธีศพของเสด็จพี่จะแล้วเสร็จ หากจะขอรบกวนพักที่เรือนเดียวกับอี้หนิงท่านอ๋องจะขัดข้องหรือไม่” ลี่อินพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพล่านอย่างสุดความสามารถ
“หากคิดว่าสมฐานะ องค์หญิงเชิญพักตามสบาย”
หยางหมิงกล่าวพลางหันไปหาหาเสวี่ยหนิงที่ยังอยู่บนเตียงนอนตามเดิม
ลี่อินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ปิงเซียงนำทางลี่อินไปยังเรือนที่เหมยหลิงและอี้หนิงอาศัย แต่นั่นกลับทำให้ลี่อินต้องขมวดคิ้วแน่น ด้วยเรือนที่ปิงเซียงนำทางไปไม่ใช่เรือนหลักที่ตั้งติดกลับตำหนักอ๋อง หากแต่เป็นเรือนเล็กด้านหลังจวน สภาพที่อยู่ทรุดโทรมจนเกินบรรยาย อากาศที่หนาวเย็นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูเหมันต์ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอย่างรกร้างแทบไม่มีพื้นที่ให้ก้าวเดิน สภาพตัวเรือนที่เก่าจนหน้าต่างห้องโถงไม่สามารถปิดลงได้ เครื่องเรือนมีน้อยชิ้นจนนับได้และพื้นที่มีฝุ่นเขรอะนี่อีก
“นี่มันอะไร? อี้หนิงพักที่นี่หรือ” ลี่อินภาวนาให้นางเข้าใจผิด
“เพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าตอบด้วยความละอาย
หัวใจของลี่อินบีบรัดจนหายใจแทบไม่ออก นางมองหลานสาวตัวน้อยที่บัดนี้หลับปุ๋ยในอ้อมแขนของปิงเซียง
“นี่! จะเป็นไปได้อย่างไร เขาให้บุตรของตนพักที่นี่หรือ แล้วแต่ก่อนพักที่ไหน?” ลี่อินขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ท่านหญิงพักที่นี่ตั้งแต่เกิดเพคะ”
“ตั้งแต่เกิด! มันเกิดสิ่งใดขึ้นเหตุใดชินอ๋องถึงให้บุตรีของตนพักในเรือนที่หนาวเย็นและทรุดโทรมเช่นนี้ เสด็จพี่ข้ายอมหรือ แล้วเหตุใดหากไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงไม่ส่งจดหมายไปแคว้นฉี”
คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาจากความคิดของนาง แม้ชินอ๋องจะได้รับขนานนามว่าบุรุษผู้บ้าคลั่ง แต่คงไม่ถึงขั้นทารุณกับเด็กทารกเช่นนี้ได้
“ทูลองค์หญิง ตอนที่องค์หญิงใหญ่แต่งเข้าจวนใหม่ ๆ ก็พักที่ตำหนักตะวันออกเพคะ” ปิงเซียงสูดหายใจเข้าลึก พลางวางท่านหญิงตัวน้อยลงบนเตียงในห้องบรรทม ก่อนทูลความจริงกับลี่อิน
“หากแต่หลังแต่งงานมาเพียงสองเดือน ในวันคล้ายวันประสูติของท่านอ๋อง คืนนั้นรัชทายาทเสด็จมาร่วมอวยพรด้วย แลดูท่าจะพอพระทัยในท่านหญิงเสวี่ยหนิงไม่น้อย จากนั้น.......” ปิงเซียงไม่กล้าเล่าต่อ
ลี่อินได้ฟังเช่นนี้ นางคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ หากแต่มันอัปยศเกินกว่าที่พี่สาวนางจะกระทำลงไป
“เล่า!” เสียงไม่มั่นคงกำชับนางกำนัล
“รัชทายาทเมามาย ท่านหญิงจึงฉวยโอกาสพารัชทายาทเข้าห้องบรรทม” บ่าวพยายามทัดทานพระองค์แล้วเพคะ บ่าวทำสุดความสามารถแล้วแต่องค์หญิงใหญ่ไม่ยอมฟังบ่าวเลย เสียงสะอื้นของ
ปิงเซียงดังขึ้น
“จากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
มือเรียวของลี่อินกำแน่น ดวงตาพร่ามัวด้วยหยดนำที่เอ่อล้น นางไม่คาดคิดว่าเสด็จพี่ของตนจะกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้ รัชทายาทคือพระเชรษฐาร่วมอุทรของชินอ๋อง หากเป็นเช่นนั้นจริงการที่หยางหมิงจะเดือดดาลก็เป็นเรื่องที่สมควร
“ท่านอ๋องพบทั้งสองเปลือยเปล่าบนเตียงบรรทม พะ พระองค์กริ้วมาก ใช้กระบี่จ่อที่คอของพระเชรษฐา”
“แล้วท่านพี่ล่ะ นางว่าอย่างไร” ลี่อินสงสัยว่านางทำเพื่อการใดกันแน่
“พระนางไม่กล่าวสิ่งใด เพียงยิ้มเหย้ยหยันท่านหญิง
เสวี่ยหนิงเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าจะบอกว่า เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อเอาชนะ
เสวี่ยหนิงเช่นนั้นหรือ” ลี่อินแทบทรงตัวยืนไม่ไหว นางจำต้องนั่งลงบนตั่งเตี้ยข้างเตียงนอน
ปิงเซียงไม่กล่าวสิ่งใด เพียงพยักหน้าตอบ
“จากนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นอีก”
“องค์รัชทายาทคุกเข่าขอโทษท่านอ๋อง พระองค์อ้างว่าเมามากเพคะ เมื่อท่านอ๋องหันไปมององค์หญิงพระนางกลับยิ้มอย่าพอใจ นั่นจึงทำให้ท่านอ๋องรู้ว่านางจงใจ”
“เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องทำสิ่งใดไม่ได้ฝ่าบาทไม่ยอมให้หย่า แลไม่สามารถยกองค์หญิงเป็นชายารัชทายาทได้ เรื่องนี้จึงถูกกำชับไม่ให้ผู้ใดเอ่ยถึง”
“แล้วชินอ๋องยอมหรือ” นางสงสัยว่าเขายอมเสียเกียรติได้หรือ
“เพื่อบ้านเมือง ท่านอ๋องไม่ตรัสถึงเรื่องนั้นอีกแลให้องค์หญิงใหญ่มาอยู่เรือนหลังไม่ให้เกี่ยวข้องกันอีก ให้พระนางใช้สินเดิมให้การใช้ชีวิต และจะมอบเงินอีกสี่ร้อยตำลึงให้ทุกเดือนในการใช้จ่ายแลจ้างบ่าวไพร่เพคะ”
“แล้วเหตุใดภายใน 2 ปี เรือนหลังนี้ถึงได้ทรุดโทรมนัก”
“พระนางนำสินเดิมและเงินที่ได้จากท่านอ๋องไปปรนเปรอเหล่าชายงามจนเหมดเพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าอย่างละอายใจ
ลี่อินรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว นางไม่รู้จักเสด็จพี่ของนางเพียงน้อย พลางสายตาหวาดหวั่นถูกส่งไปหาอี้หนิงที่ยังคงหลับบนเตียง
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านพี่ของข้า.....” ลี่อินไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ
“หลังจากเหตุการณ์ของรัชทายาท ท่านอ๋องก็ออกปราบกบฏทางตอนเหนือ ทำให้องค์หญิงสามารถทำตามพระทัยได้โดยง่ายเพคะ”
“แล้วอี้หนิง....” ลี่อินไม่กล้าถามต่อ
“พระธิดาขององค์รัชทายาทเพคะ” ปิงเซียงรู้ว่าองค์หญิงสามต้องการตรัสสิ่งใด
“เหตุใดเจ้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เพราะองค์หญิงใหญ่ไม่เคยร่วมหอกับท่านอ๋อง แลก่อนที่ท่านอ๋องจะออกศึกองค์หญิงใหญ่ก็ทรงครรภ์แล้ว” ปิงเซียงที่อยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างใกล้ชิด นางไม่มีทางคาดเดาผิดแน่
“มิน่าเล่า สายตาที่เขามองอี้หนิงถึงมีแต่ความเกลียดชัง”
ลี่อินหันมองหลานตัวน้อยด้วยความสงสาร การเกิดมาของนางนอกจากปราศจากความรักของบิดาแล้ว ยังได้รับความเกลียดชังจากผู้คนมากมาย
“อี้หนิงของน้าไม่ต้องกลัว ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
หยดน้ำใสร้อนผ่าวไหลอาบแก้ม นางเวทนาในชะตาของเด็กน้อยผู้นี้สุดขั้วหัวใจ
“ชินอ๋องเคยทุบตีเสด็จพี่หรือไม่” ลี่อินแม้ผิดหวังต่อการกระทำของเหมยหลิง แต่ก็ไม่ปรารถนาให้ใครทำร้ายนาง
“ไม่เพคะ แม้ทรงกริ้วเพียงใดก็มิเคยลงมือ มากสุดคือมัดเท้านางไว้ในตำหนักเป็นเวลา 7 วัน เพราะรู้ว่าองค์หญิงหลับนอนกับบุรุษอื่นทั้งที่ทรงพระครรภ์”
“แล้วเหตุใดการเป็นอยู่ยากลำบากเช่นนี้ เจ้าไม่แจ้งท่านอ๋อง” ลี่อินหันไปถามปิงเซียง
“บ่าวมิกล้า องค์หญิงใหญ่ไม่ให้บ่าวบอกเพราะเกรงท่านอ๋องจะลงโทษอีกเพคะ” ปิงเซียงทูลอย่างสิ้นหวัง
ลี่อินยากจะเชื่อว่าทั้งหมดคือฝีมือขององค์หญิงใหญ่ ผู้ที่รักคนในครอบครัวยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วไยปล่อยให้พระธิดาของตนทุกข์ทรมานเช่นนี้
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
หยางหมิงที่ถูกลี่อินกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัวแต่เช้า จ้องสายตาดื้อรั้นนั้นของนางเช่นกัน หากแต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกดวงตาคู่งามราวไข่มุกนั้นล่อลวงให้ตกอยู่ในภวังค์ “ตกลงท่านอ๋องจะอนุญาตหรือไม่” ลี่อินขมวดคิ้วแน่น เสียงของนางปลุกให้หยางหมิงตื่นจากภวังค์ เขาดึงสายตากลับเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย “หากอยากไปก็ไป” “ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ นางก็ไม่อยู่ก่อกวนเขาอีก หยางหมิงมองตามหลังนาง ‘เพียงอยากไปหลาหลานสาวนางถึงกลับกล้าบุกห้องนอนผู้อื่นเลยหรือ หรือนี่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อตำหนิเขาที่ไม่อยู่ร่วมหอกับนาง’ เขาอดคิดเข้าข้างตนมิได้ ตำหนักเล็กยังคงเงียบสงบเช่นเดิม หากแต่ต้นหญ้าที่เคยมีในครั้งก่อนบัดนี้ถูกกำจัดออกบ้างแล้ว อีกทั้งฝุ่นเขรอะตามพื้นดูเบาบางลงไม่น้อย “พระชายา” ปิงเซียงดีใจเมื่อเห็นว่าผู้ใดมายังตำหนัก “อี้หนิงเล่า?” ลี่อิงหันมองหาเด็กน้อยที่นางห่วงใย “ยังหลับอยู่เพคะ” “อือ แล้วระหว่างที่ข
ตำหนักเล็กหลังเรือนบัดนี้ดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีข้าวของเครื่องใช้ของลี่อินเข้ามาเพิ่มเติม หากแต่นั่นก็ทำให้ปิงเซียงรู้สึกอุ่นใจที่บัดนี้จะมีเจ้านายคอยปกป้องและดูแลท่านหญิงตัวน้อยของนางแล้ว “ปิงเซียง เจ้าไปตามช่างฝีมือมาซ่อมแซมตำหนัก และไปหาสาวใช้มาเพิ่มอีก เราคงต้องอยู่จวนอ๋องอีกนานกว่าข้าจะคิดหาวิธีได้” “เพคะพระชายา” ลี่อินใช้สินเดิมของตนในการปรับปรุงตำหนักหลังเล็กนี้เสียใหม่แม้ตำหนักหลังนี้จะหนาวเหน็บ หากแต่เมื่อกำจัดต้นไม้ที่ขึ้นรกทั่วตำหนักออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาบ้างอากาศรอบตำหนักก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย ลี่อินยังสั่งให้คนสวนปลูกดอกไม้ไว้หน้าจวนจะได้ทำให้ตำหนักที่ดูน่ากลัวหลังนี้มีสีสันมากขึ้น อี้หนิงเด็กหน้อยวัยขวบเศษชื่นชอบดอกไม้ไม่น้อยแววตาเศร้าหมองของนางกลับดุสดใสขึ้น เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินคลานเล่นไปทั่วล้านหน้าตำหนัก ทำเอาปิงเซียงต้องคอยเดินตามจนเหนื่อยล้า ลี่อินนั่งมองหลานรักที่ร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดีในใจของนางก็อบอุ่นหัวใจขึ้น ด้านหยางหมิงที่ยุ่งอยู่กับการฝึกทหารในกองทัพชานเมือง เมื่อกลับเข้าจวนก็พบว่าเสวี่ยหน
ตำหนักเล็กหลังเรือนบัดนี้ดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีข้าวของเครื่องใช้ของลี่อินเข้ามาเพิ่มเติม หากแต่นั่นก็ทำให้ปิงเซียงรู้สึกอุ่นใจที่บัดนี้จะมีเจ้านายคอยปกป้องและดูแลท่านหญิงตัวน้อยของนางแล้ว “ปิงเซียง เจ้าไปตามช่างฝีมือมาซ่อมแซมตำหนัก และไปหาสาวใช้มาเพิ่มอีก เราคงต้องอยู่จวนอ๋องอีกนานกว่าข้าจะคิดหาวิธีได้” “เพคะพระชายา” ลี่อินใช้สินเดิมของตนในการปรับปรุงตำหนักหลังเล็กนี้เสียใหม่แม้ตำหนักหลังนี้จะหนาวเหน็บ หากแต่เมื่อกำจัดต้นไม้ที่ขึ้นรกทั่วตำหนักออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาบ้างอากาศรอบตำหนักก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย ลี่อินยังสั่งให้คนสวนปลูกดอกไม้ไว้หน้าจวนจะได้ทำให้ตำหนักที่ดูน่ากลัวหลังนี้มีสีสันมากขึ้น อี้หนิงเด็กหน้อยวัยขวบเศษชื่นชอบดอกไม้ไม่น้อยแววตาเศร้าหมองของนางกลับดุสดใสขึ้น เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินคลานเล่นไปทั่วล้านหน้าตำหนัก ทำเอาปิงเซียงต้องคอยเดินตามจนเหนื่อยล้า ลี่อินนั่งมองหลานรักที่ร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดีในใจของนางก็อบอุ่นหัวใจขึ้น ด้านหยางหมิงที่ยุ่งอยู่กับการฝึกทหารในกองทัพชานเมือง เมื่อกลับเข้าจวนก็พบว่าเสวี่ยหน
หยางหมิงแปลกใจไม่น้อย เหตุใดนานเพียงนี้แล้วรถม้ายังไม่พาลี่อินกลับมาอีก “เย่จิน” หยางหมิงหันไปหาองครักษ์ข้างกาย “กระหม่อมจะไปถามพ่อบ้านเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ......เพียงครู่เย่จินก็กลับมาพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ทูลท่านอ๋อง พ่อบ้านลืมทำตามรับสั่ง ไม่ได้บอกให้รถม้าไปรับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” “ลืมหรือ? เป็นพ่อบ้านทำงานบกพร่องถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เอาตัวไปลงโทษ แล้วไล่ออกซะ” หยางหมิงกล่าวอย่างเดือดดาลก่อนหันหลังกลับออกจากจวน รถม้าจวนอ๋องวิ่งสุดกำลังโดยมีเย่จินเป็นผู้บังคับ หยางหมิงมองผ่านสายฝนหาร่างบางของลี่อินที่อาจจะกำลังเดินทางกลับจวน “หยุดรถ ตรงนั้น!” ชินอ๋องร้องสั่งเย่จิน ก่อนพุ่งลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ด้านลี่อินที่เดินฝ่าฝนเร่งรีบกลับจวน ผ่านถนนที่มืดมิดอย่างยากลำบากความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจ ทำให้ร่างบางหวาดระแวงทุกฝีก้าวที่ก้าวเดิน ร่มที่ถือมาไม่ได้ช่วยกันสายฝนที่กระหน่ำลงมาได้เลย อาภรณ์ผืนบางเปียกโชกแนบร่างบางจนน่าอาย ลี่อินเร่งฝีเท้าไม่หยุดหย่อนก่อนจะรู้สึกว่าแ
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ
กบฏยอมจำนน เจ๋อหานเสด็จประทับบนบัลลังก์มังกร ขุนนางประกาศโองการ“ด้วยโองการสวรรค์ ฮ่องเต้เจ๋อหานขึ้นครองบัลลังก์ ราษฎรเป็นสุขไร้ทุกข์นิรันดร์ เริ่มต้นศักราชหย่งฉีนับแต่นี้” สิ้นคำประกาศ เหล่าขุนนางคุกเข่ากราบถวายบังคม “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” “ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นเถิด ราชโองการแรกของข้า อภัยโทษทหารที่ร่วมก่อกบฏ ส่งไปชายแดนทำดีไถ่โทษ แม่ทัพอู๋ไท่และรองแม่ทัพ ปลดออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์กึ่งหนึ่ง เนรเทศไปดินแดนรกร้าง ไม่เอาความคนในตระกูล องค์ชายจี้หานให้ไว้ทุกข์ยี่สิบปีเฝ้าสุสานฮ่องเต้หย่งเฮ่า” “น้อมรับราชโองการ” หยางหมิงยืนข้างลี่อิน มองดูเหตุการณ์สำคัญของแคว้นฉีโดยไม่คิดก้าวก่าย ส่วนลี่อินเงยหน้ามอกบุรุษที่ตัวสูงกว่าสายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “ชินอ๋องถานหยางหมิง ขอบใจที่ตอบรับสาน์สขอความช่วยเหลือจากเรา” พระราชดำรัสของฮ่องเต้ ทำผู้คนในท้องพระโรงหรือแม้แต่ลี่อินต่างสับสน เหตุเพราะว่าการขอความช่วยเหลือจากแคว้นเว่ยไม่ได้มีการหารือในหมู่ขุนนางหรือแม่ทัพ “แคว้นฉี เป็นบ้านเกิดของพระชายา
พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นตามกำหนดเดิม ลานหน้าท้องพระโรงถูกตระเตรียมสำหรับราชพิธี เหล่าขุนนางยังคงเข้าร่วมพระราชพิธีโดยมิหวาดหวั่นการชิงบัลลังก์ขององค์ชายสี่จี้หาน รัชทายาทซ่งเจ๋อหานสวมชุดมังกรพิธีการ ก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงสู่ท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารค่อมกายเคารพฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เครื่องประโคมบรรเลงตามจังหวะการเสด็จของฮ่องเต้ ไทเฮายืนอยู่เหนือบันไดท้องพระโรง พร้อมเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อรอรับเสด็จฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮ่องเต้เจ๋อหานคุกเข่าถวายพระพรพระราชมารดาก่อนจะนำเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง หากแต่ประตูวังกลับมีกองกำลังของอู๋ไท๋บุกเข้ามาล้อมรอบลานพิธี “องค์ชายเจ๋อหานจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลวงอู๋ไท่ลงจากม้าศึกชี้ดาบตรงมายังว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้น “บังอาจ เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก กล้าดีอย่างไรไม่เรียกฮ่องเต้ตามธรรมเนียม แลยังถือดาบต่อหน้าพระพักตร์อีก” มหาราชครูหลานต่อว่าอย่างมิเกรงกลัว “หึ! ตาเฒ่าหลานซื่อ ใครนับหลานชายเจ้าเป็นกษัตริย์กัน ทั้งอ่อนแอ ขลาดกลัวใช้แต่การเจรจาต่อรองไม่เห็นความสำคัญของการรบ แล้วเช่นนี้จะปก
เสวี่ยหนิงถูกส่งกลับแคว้นฉี ฮองเฮาเสวี่ยฉีนำเหล่าขุนนางบีบบังคับฝ่าบาทให้สั่งประหารเสวี่ยหนิง จนฮ่องเต้ที่ไร้ทางเลือกสั่งประหารธิดาของตนเองเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ สนมคนโปรดถูกเนรเทศไปชายแดน ส่วนซิ่วหรูถูกสั่งกักบริเวณในตำหนักนานสองปี โหวน้อยหวงจื้อหาวแม้มิได้มีเจตนาทำร้ายเหมยหลิง หากแต่มอบยาสวาทมิรู้จบเพราะสงสารน้องสาว ถูกส่งไปต่างแคว้นทำหน้าที่ทูตเจรจาการค้าเพื่อประโยชน์ของแคว้นเว่ย ลี่อินกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้น นางย้ายกลับมาอยู่ตำหนักพระชายาพร้อมอี้หนิง เด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นในตำหนักกว้างยิ้มอย่างพอใจ “ชอบ” อี้หนิงที่พึ่งฝึกพูดเปล่งเสียงบอก “อี้เออร์ชอบก็ดีแล้ว” ลี่อินลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่ หากแต่ความสุขกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อม้าเร็วจากแคว้นฉีขอเข้าเฝ้า “ทูลองค์หญิงสาม บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮาทูลเสด็จพระองค์กลับไปสักการะพระศพพ่ะย่ะค่ะ” ลี่อินแม้รู้ว่าบิดาป่วยมานาน หากแต่เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทจากไปแล้ว สติของนางขาวโพลนทันที เสียงสุดท้ายที่นางได้ยินกลับเป็นเสี