“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”
ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ
“เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป
“ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต
“องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้
ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง
“นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น
“เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา
“อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่” สายตาที่มองเด็กน้อยอย่างเอ็นดูเริ่มพร่ามัว ด้วยดวงเนตรทั้งสองมีหยดน้ำใส่เอ่อล้น
อี้หนิงแม้อายุเพียงขวบเศษกลับรู้ความไม่น้อย เพียงลี่อินยื่นมือไปหา เจ้าตัวน้อยก็ปีนออกจากอ้อมแขนของปิงเซียง คว้ามมือบางของนางในทันที
“เก่งมาก เก่งมากอี้เอ๋อร์ของน้า” ลี่อินดึงเด็กน้อยเข้ามากอด หวังให้ร่างเล็กของเด็กน้อยปลอบโยนความเสียใจของตน ที่บัดนี้เจ็บปวดเกินจะทานทน
ภาพเบื้องหน้าของปิงเซียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เด็กอายุเพียงขวบเศษต้องสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ กลับได้พบสตรีคนแรกในครอบครัวที่รักนางสุดหัวใจ ภาพน้าหลานที่ปลอบโยนกันนี้จะดีเท่าไหร่กันหากไม่ได้เกิดขึ้นในงานศพของใครสักคน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ลี่อินอุ้มอี้หนิงไว้แน่น ก่อนถามคำถามกับปิงเซียงนางกำนัลข้างกายเหมยหลิง
“ทูลองค์หญิงสาม คืนนั้นองค์หญิงใหญ่กำลังจะลักลอบออกจากจวนเพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าทูลความจริง
ลี่อินหวั่นใจว่าการหนีออกจากจวนอ๋องของท่านพี่ของตน จะเกี่ยวข้องกับบุรุษอื่นนอกจวน
“เสด็จพี่จะไปที่ใด”
“หอชายงามเพคะ พระองค์หลงใหลบุรุษรูปงามในหอนั้น”
ปิงเซียงจนใจที่จะปิดบัง
ลี่อินมองหน้าหลานสาวที่ไร้เดียงสา กำลังเล่นกับปิ่นปักผมของนางด้วยความสงสาร
“แล้วอย่างไรต่อ”
“ท่านหญิงเสวี่ยหนิงพบเข้า จึงจะไปแจ้งท่านอ๋องแต่องค์หญิงใหญ่ทรงรั้งไว้ก่อน”
“องค์หญิงใหญ่คงเกรงว่าเมื่อท่านอ๋องรู้จะลงโทษพระนาง ดังเช่นเหตุการณ์ในอดีต จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นใกล้กลับสระน้ำในสวนเจ้าค่ะ”
“แลทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำ บ่าวไพร่ไม่มีใครกล้าลงไปช่วย ด้วยเกรงว่าจะทีความผิดโทษฐานแตะต้องพระธิดาของฮ่องเต้ จึงได้แต่แจ้งท่านอ๋อง”
“จากนั้นท่านอ๋องจึงมายังสระน้ำ.....”
“เขาช่วยเสวี่ยหนิงก่อนจะช่วยเสด็จพี่ใช่หรือไม่” ลี่อินกล่าวขัดปิงเซียง
“เพคะ” ปิงเซียงได้แต่หยักหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“หึ! ช่างดีเสียจริง กล้าช่วยสตรีอื่นก่อนชายาของตน” ลี่อินเจ็บปวดแทนพี่สาวของตน จนเผลอกอดร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้น
“แง~.....”
เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บของอี้หนิงทำให้ลี่อินรู้สึกตัว ใบหน้าน้อย ๆ มีน้ำตาอาบแก้ม ร่างน้อยสะอื้นไห้ทำให้ลี่อินปวดใจอย่างยิ่ง
“โอ๋ โอ๋~ น้าขอโทษนะอี้หนิง เด็กดีไม่เจ็บแล้ว” ลี่อินก้มลงเป่าร่างเล็ก หวังว่าจะให้นางหายเจ็บได้โดยเร็ว
หากแต่เด็กน้อยเมื่อถูกทำให้เจ็บแล้วก็หวาดกลัว ปีนป่ายออกจากอ้อมกอดของลี่อิน ยื่นมือน้อย ๆ ไปทางปิงเซียง จนลี่อินจนใจยอมคืนนางให้กับพี่เลี้ยงที่ดูแลมาตั้งแต่เกิด สายตาที่เอ่อล้นด้วยหยดน้ำใสเจือด้วยคำขอโทษส่งไปหาเด็กน้อย หากแต่อี้หนิงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมาย ใบหน้าน้อย ๆ ยังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของปิงเซียง
“แล้วตอนนี้ชินอ๋องอยู่ที่ใด” ลี่อินนึกได้ว่านางมาถึงนานแล้ว แต่กลับไม่พบเจ้าของจวนออกมาต้อนรับเลย
“ท่านอ๋อง....น่าจะอยู่...เอ่อ.เรือนท่านหญิงเสวี่ยหนิงเพคะ” สิ้นเสียงของปิงเซียง ลี่อินโกรธจนแทบอดกลั้นไม่อยู่
“เหตุใดร่างของพระชายายังอยู่ในจวน ท่านอ๋องยังคงไปหาอดีตคนรักอีก”
“ท่านหญิงเสวี่ยหนิงยังคงป่วยหนักจากการจมน้ำเพคะ หมอหลวงยังคงต้องมาดูอาการทุกวัน” ปิงเซียงอธิบายให้กระจ่าง
“เช่นนั้นข้าควรไปเยี่ยมนางแทนเสด็จพ่อเสียหน่อย”
ลี่อินในยามปกติจะยึดเหตุผลเป็นสำคัญ แต่ในยามนี้ยากที่นางจะใช้สติอยู่เหนืออารมณ์ได้ แม้พี่สาวนางจะทำผิดมากเพียงใดแต่บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวามีควรอยู่ไว้ทุกข์ให้กับชายาก่อนมิใช่หรือ
เรือนรับรองหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของจวนดูโออ่าไม่น้อย หากผู้ที่ไม่รู้อาจจะหลงคิดว่าเป็นเรือนของชายาอีกคนของชินอ๋องได้ สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของลี่อินมากยิ่งขึ้น
ภายในเรือนถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพง แจกันบางอันแม้แต่ในตำหนักองค์หญิงของนางยังหามาประดับไม่ได้ นี่ยังไม่รวมการเชิญหมอหลวงมาตรวจสตรีนางหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอีก
“ดูท่าพี่เขยของข้าจะเอาใจเสวี่ยหนิงไม่น้อย” ลี่อินพึมพำด้วยสายตาเย้ยหยัน
เจียฮุ่ยนางกำนัลข้างกายเสวี่ยหนิงมองเห็นลี่อิน ในใจเกิดกลัวไม่น้อย รีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย
“เรียนท่านหญิง องค์หญิงลี่อินมาถึงแล้วเพคะ”
เสวี่ยอวี่รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงในทันที นางรู้ว่าแคว้นฉีต้องส่งคนมาร่วมพิธีศพองค์หญิงใหญ่แน่ หากแต่ไม่คิดว่าจะเป็นลี่อิน สตรีที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ใด หากนางคิดอยากโต้แย้งแม้ผู้นั้นเป็นฮ่องเต้นางก็มิละเว้น
ดีที่ลี่อินไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด แต่หากนางมาที่นี่เกรงว่าเรื่องจะไม่จบง่าย ๆ
หยางหมิงสังเกตเห็นแววตาหวาดกลัวของร่างบางที่ยังคงนอนป่วยบนเตียง อกด้านซ้ายก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าไม่ต้องกลัว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าข้าจะปกป้องเจ้าเอง” แววตาห่วงใยทอดยาวให้กับท่านหญิงผู้อาภัพ
“อือ หม่อมฉันเชื่อพระองค์” เสวี่ยหนิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ให้นางเข้ามา” หยางหมิงเอ่ยอนุญาต
“ลี่อิน คาราวะชินอ๋อง” ลี่อินยอบกายเคารพเขาตามศักดิ์
หยางหมิงปรายตามองสตรีผู้มาเยือน แม้อาภรณ์ที่นางสวมใส่จะเป็นของบุรุษที่คาดว่าเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง หากทว่าดวงหน้างดงามนั้นกลับไม่อาจปิดบังความเป็นสตรีของนางได้ ดวงตางดงามราวไข่มุกที่บัดนี้แดงก่ำ บ่งบอกว่านางคงไปไหว้ศพของเหมยหลิงมาแล้ว
“องค์หญิงสามตามสบาย โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ” หยางหมิงดึงสายตาของตนกลับ
“หม่อมฉันคิดว่าเวลานี้ท่านอ๋องจะโทมนัสจากการจากไปของพระชายาเสียอีก” ลี่อินจ้องมองสตรีที่คุ้นหน้าบนเตียงนอน
“ข้าจะรู้สึกเช่นไร ไม่จำเป็นต้องให้องค์หญิงลี่อินทรงกังวล” หยางหมิงยืนขวางตรงหน้าลี่อิน เขาเห็นนางที่จ้องมองเสวี่ยหนิงด้วยสายตาคาดโทษ จึงคิดใช้ร่างกายตนปกป้องเสวี่ยหนิงจากสายตาคู่นี้
ลี่อินเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ‘ตัวเขาเป็นถึงชินอ๋อง แต่กลับแสดงออกว่าปกป้องสตรีอื่นชัดเจนเพียงนี้เลยหรือ’
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
ฤดูใบไม้ผลิเมืองเถียนชิง ชายแดนแคว้นฉีและเว่ย ราษฎรเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก การปลูกข้าวคือสินค้าที่ราษฎรลงทุนลงแรงและเฝ้าคอยฤดูเก็บเกี่ยวอย่างใจจดใจจ่อ ลานกว้างชายป่ากระโจมติดธงแคว้นฉีและเว่ยถูกตั้งขึ้นไม่ไกลกัน มีทหารลาดตระเวนเข้มงวด “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงลี่อินไม่อยู่ในกระโจมพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเฒ่าคู่พระทัยหย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีกราบทูล ทำให้บทสนทนาของกษัตริย์แคว้นฉีและเว่ยต้องหยุดชะงักลง “ให้คนไปตามนางมา” หย่งเฮ่าไม่พอพระทัยนักที่องค์หญิงสามซุกซนไม่เรียบร้อยดั่งเช่นท่านหญิงสอง ที่แม้เป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากตาอิ้งนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาแต่กลับมีกิริยาเรียบร้อยกว่าพระธิดาทุกพระองค์ “ให้ลูกไปตามเถิดเพคะ” ซ่งเสวี่ยหนิง ท่านหญิงสองที่ทำหน้าที่คอยชงชาให้ฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นทูลเสนอตัว “เช่นนั้นก็รีบเถิด อีกครู่อ๋องหยางหมิงจะมาถึงแล้ว” “เพคะ” เสวี่ยหนิงวางกาน้ำชา พร้อมทั้งออกไปตามน้องต่างมารดาที่เกิดช้ากว่านางเพียงวันเดียว หากแต่ยศนั้นช่างแตกต่าง นางเป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากนางกำนัลต่ำศักดิ์ แต่ลี่อิน
สามปีหลังจากการเสด็จส่วนพระองค์ที่เมืองเถียนชิงของฮ่องเต้ ในค่ำคืนที่ดวงดาวประดับทั่วท้องฟ้า เสียงครางซาบซ่านของการร่วมรักระหว่างชายหญิง ดังออกมานอกตำหนักลับในเมืองซีหนานเมืองหลวงแคว้นฉี เหล่านางกำนัลที่ยืนรอปรนนิบัติต้องถอยห่างออกจากตัวตำหนักหลายร้อยฉื่อ กระนั้นเสียงร่วมรักของผู้เป็นนายยังลอยตามลมเข้าหูของบ่าวไพร่จนผู้คนทนฟังไม่ไหว เมื่อเสียงเงียบลง ปิงเซียงนางกำนัลข้างกายจึงรีบเข้ากราบทูลอย่างรีบร้อน “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกให้กลับวังตอนนี้เพคะ” หากแต่สตรีที่อยู่บนเตียงไม่ได้ตื่นตระหนก ยังคงนอนแนบชิดบุรุษใต้ผ้าไหมหนานุ่ม สายตาจ้องมองเรือนร่างบุรุษไม่มีขวยเขิน “แจ้งกลับไป วันนี้ข้าไม่สบายพรุ่งนี้จะเข้าเฝ้าแต่เช้า” คำพูดไม่ใส่ใจขององค์หญิง ทำให้ปิงเซียงหวาดกลัวแทนผู้เป็นนาย “ครั้งนี้ฝ้าบาทส่งองครักษ์ตำหนักเฉวียนชิงมาเพคะ เกรงว่าคงไม่อาจขัดขืนได้” ร่างบางดวงหน้าเย่อหยิ่ง เมื่อรู้ว่าคนที่เสด็จพ่อของตนส่งมาตามคือองครักษ์ส่วนพระองค์ จึงรีบผละออกจากร่างบุรุษรูปงามที่ตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อในทั
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ “เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป “ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต “องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้ ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง “นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น “เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา “อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่”
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี