กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว
“เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก
“เข้ามาเถิด”
“เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้
เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน
“อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง
“หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย
เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจกลับคล้ายมีเข็มนับพันทิ่มแทงจนเจ็บปวด
“หนิงเอ๋อ ข้าขอโทษที่ไม่อาจทัดทานเสด็จพ่อได้” เจ๋อหานจับสายคาดเอวเพื่อหวังให้สองมือได้สัมผัสมือเรียวของสตรีที่ตนรัก
“จะเป็นความผิดของเสด็จพี่ได้อย่างไร หากฝ่าบาทตรัสแล้วใครจะกล้าขัด” แม้กล่าวเช่นนั้นแต่เสวี่ยหนิงยังคงเศร้าหมอง
“เช่นนั้นข้าจะขอร้องเสด็จพี่ ไม่แน่นางอาจจะยินยอมเราสองบอกความจริงนางดีหรือไม่” สายตาคาดหวังของเจ๋อหานส่งมายังนาง
แต่นั่นกลับทำให้เสวี่ยหนิงตื่นกลัว หากเหมยหลิงรู้เรื่องนี้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามทุกคนในวังต้องรู้ และด้วยนิสัยขององค์หญิงใหญ่นางและมารดามิอาจรอดชีวิตในวังแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน ความโหดร้ายของเหมยหลิงเป็นที่กล่าวขาน แลไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะเห็นชอบกับความรักครั้งนี้ไม่ เช่นนั้นนางจะเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด
“เสด็จพี่อย่าได้วู่วาม พระองค์ก็ทรงทราบว่าองค์หญิงใหญ่ไม่โปรดหม่อมฉันและท่านแม่ เกรงว่าเรื่องนี้จะยิ่งทำให้นางกริ้วมากขึ้นเพคะ”
เจ๋อหานไตร่ตรองตามที่นางกล่าว เรื่องนี้ไม่เกิดจริงด้วยความแค้นของสองครอบครัวพี่สาวตนคงไม่มีวันเห็นชอบ
“เช่นนั้น............เจ้ารอข้าได้หรือไม่ เมื่อข้าได้ครองราชย์ข้าจะพาเจ้ากลับมา แลมอบตำแหน่งชายาของข้าให้กับเจ้า” เจ๋อหานกล่าว พลางดึงมือเรียววางแนบอกของตน
เสวี่ยหนิงไม่พอใจนักกับคำมั่นนี้ของเจ๋อหาน เพราะรัชทายาทไม่ได้สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้กับนาง ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานจึงแข็งกระด้างขึ้นมาชั่วครู่ ถึงแม้โกรธเกรี้ยวแต่นางจำต้องสะกดมันเอาไว้
“อือ หม่อมฉันจะรอ” นางหนิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่ในใจของกลับโมโหแทบระเบิด
เสวี่ยหนิงออกจากห้องอักษรด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามที่นางต้องการแม้แต่น้อย ท่าทางอ่อนหวานที่แสดงต่อหน้าเจ๋อหานบัดนี้กลับแทนที่ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว แววตาเศร้าสร้อยกลับกลายเป็นแข็งกร้าวในทันที
“ไร้ประโยชน์ อ่อนแอสิ้นดี” เสวี่ยหนิงก่นด่ารัชทายาทไม่เกรงกลัวผู้ใดจะได้ยิน
ข่าวการอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่และชินอ๋องแคว้นฉี ถูกเล่าขานในหมู่ราษฎรทั่วเมืองหลวง ไม่ต่างจากวังหลังบัดนี้วุ่นวายกับการเตรียมสินเดิมให้สมพระเกียรติองค์หญิงใหญ่แคว้นฉี
“ลี่อินเจ้าช่วยแม่ตรวจดูทีว่าของที่เตรียมกับรายการในหนังสือนี่ตรงกันหรือไม่” ฮองเฮายื่นหนังสือรายการสินเดิมให้กับลี่อินตรวจสอบ
“เสด็จพี่เล่าเพคะ” ลี่อินที่ถูกตามมาจากตำหนักให้ช่วยตรวจสอบสินเดิมถามหาพี่สาวด้วยความเป็นกังวล
ฮองเฮาได้แต่เพียงส่ายหน้าเมื่อถูกถามถึงพระธิดาองค์โต หลังจากรู้ว่าต้องแต่งไปแคว้นฉี เหมยหนิงก็ออกไปหาความสำราญยังตำหนักลับนอกวังทุกวี่วัน
“หม่อมฉันจะออกไปตามเสด็จพี่ พรุ่งนี้ขบวนรับเจ้าสาวจะถึงเมืองหลวงแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าแคว้นเว่ยจะไม่พอใจแน่” ลี่อินทูลมารดาพลางวางหนังสือรายการสินเดิมลง
“อือ เช่นนั้นแม่ฝากเจ้าด้วย” ฮองเฮาพยักหน้าคล้อยตาม แม้เหมยหลิงจะดื้อด้านและรับมือได้ยาก แต่หากลี่อินเป็นคนจัดการนางก็วางใจได้
ตำหนักลับของเหมยหลิงตั้งอยู่นอกเมืองหลวงเขาครึ่งลูกนั้นถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดจากทหารฝีมือดี หากไม่ได้รับอนุญาตผู้ใดก็ผ่านเข้าไปยังบริเวณตำหนักไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับลี่อินนางมายังตำหนักนี้หลายครั้ง แลทุกครั้งเป็นมารดาขอร้อง
ลี่อินเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวมุ่งไปยังตำหนักลับอย่างคุ้นเคย หากแต่ไปถึงสวนห่างจากตัวตำหนักหลายฉื่อ กลับเห็นปิงเซียงยืนเฝ้าอยู่
“เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่” ลี่อินถามได้ด้วยความสงสัย
“องค์หญิงสาม หม่อมฉัน...” ปิงเซียงหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะใช้คำใดกราบทูลลี่อินดี
เสียงครางอย่างสุดหฤหรรษ์ในกามารมณ์ของชายหญิง ดังลอยมาจากตัวตำหนัก ทำให้ลี่อินต้องมองตามเสียงนั่นแลรู้ว่าเหตุใดนางกำนัลข้างกายต้องถอยมาคอยปรนนิบัติไกลถึงเพียงนี้ หากแต่ลี่อินไม่ได้หยุดรอการ่วมรักของผู้เป็นพี่สาวให้จบลง นางกลับมุ่งตรงไปยังตำหนักโดยที่ปิงเซียงเองไม่กล้าทูลทัดทาน
ภายในโถงรับรองบุรุษรูปงามหลายคนอาภรณ์หลุดลุ่ย เผยให้เห็นอกแกร่งอันน่าหลงใหล คุณชายรูปงามเหล่านั้นบ้างก็คุ้นเคยกับองค์หญิงสามอยู่บ้าง ด้วยว่าเคยมาสร้างความสุขให้องค์หญิงใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสได้เชยชมความงามล่มเมืองขององค์หญิงสาม หากจะเปรียบสตรีเป็นบุปผาลี่อินมักถูกยกให้เป็นราชินีของเหล่าบุปผาโดยไม่ต้องกังขา ใบหน้างดงามราวเทพธิดา ดวงตางดงามราวไข่มุก คิ้วโก่งดังคันศร จมูกได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อ อีกทั้งร่างบอบบางที่มีผิวขาวราวหิมะนี้ยากจะให้บุรุษใดอดใจไหว
“องค์หญิงใหญ่กำลังบรรทม องค์หญิงสามรั้งรออยู่ด้านนอกดีหรือไม่ กระหม่อมจะคอยปรนนิบัติพระองค์เอง” บุรุษหน้าหวานที่นางไม่รู้จักชื่อกลับกล้าขวางทาง สายตาจาบจ้วงนั้นจ้องมองนางอย่างไม่คิดปิดบัง
“หากเจ้ายังอยากจะใช้ดวงตาคู่นี้อยู่ จงถอยออกไปซะ” ลี่อินไม่ได้หวาดกลัวกับสายตาที่มองมา สายตาแข็งกร้าวที่จ้องบุรุษเบื้องหน้าบ่งบอกว่านางจะทำเช่นที่พูดจริง
ชายหนุ่มรูปงามจำต้องถอยให้นาง ด้วยอำนาจที่นางมีสามารถสั่งสังหารเขาได้โดยง่าย แม้องค์หญิงใหญ่ออกตัวก็ใช่ว่าจะปกป้องตนได้
ภายในห้องบรรทมเสียงครวญครางยังคงไม่หยุดลง แม้มีผ้าม่านขาวหลายชั้นปกปิดเรือนร่างของชายหญิงบนเตียง หากแต่ยังคงเห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงสอดประสานกันได้อย่างเลือนราง ความกล้าของลี่อินหยุดอยู่แค่เพียงประตูหน้าห้องบรรทม
“เสด็จพี่ พระองค์ต้องกลับวังแล้ว”
เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้เหมยหลิงต้องหยุดชะงักการกระทำของตนในทันที
“เจ้าไม่ต้องห่วง เสร็จกิจแล้วข้าจะกลับไปทันการส่งตัวเจ้าสาวแน่” เหมยหลิงรู้ว่าน้องสาวตนมาด้วยเรื่องอันใด
“ชินอ๋องจะเข้าเมืองแล้ว พระองค์คงไม่คิดว่าชินอ๋องผู้บ้าคลั่งจะพึงใจการกระทำนี้ของชายาตนหรอกนะ” ลี่อินยังคงยืนนิ่งหน้าประตู
“ต่อไปข้าต้องอยู่แต่ในจวนเน่า ๆ ของชายผู้นั้นแล้ว ให้ข้าเสพสุขอีกนิดไม่ได้หรือไร” เสียงเหมยหลิงเริ่มเจือด้วยความหงุดหงิด
“หากครึ่งชั่วยามเสด็จพี่ยังไม่เสด็จออกมา เกรงว่าผู้จะตามมาจะเป็นฝ่าบาท แลบัดนั้นคงสมใจคนตำหนักดอกท้อแน่”
สิ้นเสียงของลี่อิน เพียงไม่กี่อึดใจประตูห้องบรรทมก็ถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าที่บูดบึ้งของเหมยหลิง
“กลับ!” นางกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนเดินนำน้องสาวออกจากตำหนักลับ
ลี่อินรู้ดีว่าหากต้องการให้พี่สาวกลับไปกับตนการใช้ตำหนักดอกท้อเป็นข้ออ้างมักได้ผลที่สุด ด้วยนางเห็นความเจ็บช้ำของมารดาที่ได้รับจาก
อันหยา สาวใช้ข้างกายที่ตอบแทนความรักของนางด้วยการทอดกายให้ฮ่องเต้นั้นมันมากมายเพียงใด
รุ่งเช้าขบวนรับตัวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูวังตั้งแต่ยามเหม่า บุรุษในชุดมงคลสีแดงใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวเทพเซียนลงจุติ ดวงตาคู่งามดั่งดวงตากวางป่าที่แฝงด้วยความเย็นชา รับกับคิ้วเข้มได้เข้ากันอย่างน่าประหลาด บัดนี้นั่งบนอาชาอย่างองอาจ
หลิวหลัวหลินแม่นมข้างกายฮองเฮา ประคององค์หญิงใหญ่ในชุดสีแดงชาดที่บัดนี้ถือพัดบังใบหน้างามขึ้นบนเกี้ยวเจ้าสาว หากแต่สายตาของชินอ๋องกลับไม่เหลียวมองชายาของตนเพียงนิด ดวงตาลึกล้ำดังมหาสมุทรกลับทอดยาวไปยังเสวี่ยหนิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง สตรีที่เขาหมายอยากให้เป็นพระชายา หากแต่บิดาไม่ยินยอมโดยอ้างความมั่นคงของแคว้น การอภิเษกสมรสกับองค์หญิงสายตรงจะทำให้แคว้นมีความมั่นคง มากกว่าการอภิเษกสมรสกับบุตรตรีของนางกำนัล
ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนออกจากวังหลวง มีเพียงแค่ลี่อินที่เห็นความไม่น่าวางใจของการแต่งงานนี้ ชินอ๋องที่ไม่ยอมเชื่อฟังผู้อื่นเช่นนั้นไม่มีวันที่จะยกย่องสตรีอื่นที่ไม่รักแน่ แลด้วยนิสัยของเหมยหลิงเกรงว่าการแต่งงานนี้จะนำความขัดแย้งมาสู่สองแคว้นเสียมากกว่า
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ “เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป “ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต “องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้ ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง “นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น “เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา “อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่”
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
ฤดูใบไม้ผลิเมืองเถียนชิง ชายแดนแคว้นฉีและเว่ย ราษฎรเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก การปลูกข้าวคือสินค้าที่ราษฎรลงทุนลงแรงและเฝ้าคอยฤดูเก็บเกี่ยวอย่างใจจดใจจ่อ ลานกว้างชายป่ากระโจมติดธงแคว้นฉีและเว่ยถูกตั้งขึ้นไม่ไกลกัน มีทหารลาดตระเวนเข้มงวด “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงลี่อินไม่อยู่ในกระโจมพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเฒ่าคู่พระทัยหย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีกราบทูล ทำให้บทสนทนาของกษัตริย์แคว้นฉีและเว่ยต้องหยุดชะงักลง “ให้คนไปตามนางมา” หย่งเฮ่าไม่พอพระทัยนักที่องค์หญิงสามซุกซนไม่เรียบร้อยดั่งเช่นท่านหญิงสอง ที่แม้เป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากตาอิ้งนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาแต่กลับมีกิริยาเรียบร้อยกว่าพระธิดาทุกพระองค์ “ให้ลูกไปตามเถิดเพคะ” ซ่งเสวี่ยหนิง ท่านหญิงสองที่ทำหน้าที่คอยชงชาให้ฮ่องเต้ทั้งสองแคว้นทูลเสนอตัว “เช่นนั้นก็รีบเถิด อีกครู่อ๋องหยางหมิงจะมาถึงแล้ว” “เพคะ” เสวี่ยหนิงวางกาน้ำชา พร้อมทั้งออกไปตามน้องต่างมารดาที่เกิดช้ากว่านางเพียงวันเดียว หากแต่ยศนั้นช่างแตกต่าง นางเป็นเพียงท่านหญิงที่เกิดจากนางกำนัลต่ำศักดิ์ แต่ลี่อิน
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้ “เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า” “ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน” “พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง” “ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง” คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่
พระราชสาส์นขอแต่งงานแคว้นเว่ยถูกส่งมาพร้อมกับพระราชสาส์นของแคว้นหานทั้งสองแคว้นล้วนสู่ขอองค์หญิงสามซ่งลี่อิน ทำให้บัดนี้ราชสำนักแคว้นฉีต้องหารือกันอีกครั้ง หย่งเฮ่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่คิดจะยกลี่อินให้กับชินอ๋อง ด้วยแคว้นเว่ยขอลี่อินเป็นชายาเอกแลเสวี่ยหนิงเป็นชายารอง การจะให้ธิดาทั้งสองแต่งเข้าจวนอ๋องดูแล้วแคว้นฉีจะขาดทุนมากเกินไป อีกทั้งหากลี่อินแต่งกับรัชทายาทแคว้นหานที่มีอำนาจมากกว่าแคว้นเว่ยและฉี เช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ หากแต่บุญคุณที่ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงเคยช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบสังหารเมื่อครายังเป็นรัชทายาท จนทำให้ทั้งสองเป็นสหายร่วมสาบานนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ด้านลี่อินเมื่อรู้ว่ามีราชสาส์นขอแต่งงานจากแคว้นเว่ย ก็รีบเข้าเฝ้าฮองเฮาในทันที “เสด็จแม่ โปรดช่วยรับสั่งกับเสด็จพ่อให้ลูกแต่งไปแคว้นเว่ยด้วยเพคะ” ลี่อินคุกเข่าขอร้อง “เจ้าต้องการไม่หาอี้หนิงใช่หรือไม่” ฮองเฮาที่บัดนี้ใช้พระธรรมเป็นที่พึ่ง นั่งภาวนาหน้าพระพุทธรูปตรัสพลางลืมตาขึ้นมองนาง “อือ” ลี่อินพยักหน้ารับ
หยางหมิงเมื่อยอมอภิเษกสมรสเพื่อความมั่นคงของแคว้นแล้ว ครานี้จึงขอทำตามใจปรารถนาแต่งงานกับสตรีที่ตนรัก “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอพระองค์พระราชทานอนุญาตแต่งซ่งเสวี่ยหนิงท่านหญิงแคว้นฉีเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงคุกเข่าหน้าโต๊ะทรงอักษร “ข้าจะให้เจ้าแต่งซ่งเสวี่ยหนิงได้เพียงชายารองเท่านั้น ตำแหน่งพระชายาเอกชินอ๋องข้าจะยกให้ซ่งลี่อิง องค์หญิงที่มีฮองเฮาเป็นมารดา” ฮ่องเต้เหว่ยเฉียงรับสั่งอย่างชัดเจน “พระองค์ไม่กลัวนางทำเรื่องอัปยศเช่นพี่สาวหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงไม่พอใจกับการอภิเษกสมรสครั้งนี้ “นางไม่ใช่เหมยหลิง เหตุใดจึงคิดว่านางจะทำเช่นนั้น แต่ถึงแม้นางจะทำมากกว่าเหมยหลิงเจ้าก็ยังคงต้องแต่งกับนาง เจ้าลืมหน้าที่ของบุรุษราชวงศ์แล้วหรือ”เหว่ยเฉียงเห็นความอยู่รอดของแคว้นมากกว่าความสุขของโอรสตน “การอภิเษกสมรสระหว่างแคว้น หากไม่อภิเษกกับองค์หญิงสายตรงอันมีมารดาเป็นฮองเฮา มีพระเชษฐาร่วมอุทรเป็นรัชทายาท การสมรสนี้แคว้นจะได้ประโยชน์ใด” ฮ่องเต้เตือนสติหยางหมิง “ไตร่ตรองดูเถิด เจ้าจะละทิ้งหน้าที่ต่อร
พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก “ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์” “เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน” “ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ” “สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้” คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้ พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย “ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่
“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น “นี่เจ้า!”หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว “ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน “เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน “เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เสด็จพี่วางพระทัย เสด็จแม่ท่านพี่เจ๋อหานและข้าสบายดี”ลี่อินกล่าวพลางไหว้เคารพศพ “เสด็จแม่ฝากปิ่นไม้นี้มาให้พระองค์ด้วย พระนางบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ พี่สาวตลอดไป” น้ำใสร้อนเริ่มไหลอาบดวงหน้าลี่อินอีกครั้ง นางวางปิ่นไม้ในหีบศพของผู้ที่จากไป “ท่านอย่าได้ห่วงอี้หนิง นางเป็นถึงธิดาอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่” ลี่อินยังคงยืนคุยกับร่างของเหมยหลิงเสมือนางยังคงมีชีวิต “องค์หญิง องค์หญิงสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว บ่าวได้พบท่านแล้ว” เสียงปิงเซียงกล่าวพร้อมสะอื้นไห้ ลี่อินหันมองตามเสียงที่ดังมา สายตาหยุดอยู่ที่เด็กน้อยแก้มกลมแดงในอ้อมกอดของปิงเซียง หน้าตาเด็กน้อยละม้ายคลายเสด็จพี่ของตนไม่น้อย ชุดลายดอกโบตั๋นที่นางเคยตัดให้ยังคงอยู่บนร่างเล็กนั่น ทำให้นางรู้แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คืออี้นิงหลานสาวของนางเอง “นี่! ถานอี้หนิง ใช่หรือไม่” ร้อยยิ้มบนใบหน้าของลี่อินมาพร้อมกลับน้ำตาที่เอ่อล้น “เพคะ นี่คือท่านหญิงอี้หนิง” ปิงเซียงพยักหน้าตอบทั้งน้ำตา “อี้หนิง มาให้ท่านน้าอุ้มได้หรือไม่”
สองปีแล้วที่เหมยหลิงแต่งเข้าจวนชินอ๋องแห่งแคว้นเว่ย ลี่อินกลับได้รับข่าวที่ส่งกลับมาน้อยมาก จดหมายฉบับล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อนเหมยหลิงแจ้งข่าวว่าตนได้คลอดองค์หญิงตัวน้อย มีนามว่าอี้หนิง ข่าวนั่นทำให้ฮองเฮาดีพระทัยไม่น้อย ของรับขวัญหลานถูกส่งไปยังแคว้นเว่ย มากมาย หากแต่นับจากนั้นข่าวคราวเริ่มเงียบหายทำให้ลี่อินกังวลใจไม่น้อย “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทเรียกหาที่ตำหนักฮองเฮาเพคะ” อี้เฉานางกำนัลข้างกายแจ้งกับผู้เป็นนาย ลี่อินที่กำลังปักเย็บชุดเด็ก หวังส่งเป็นของขวัญให้อี้หนิงดังที่เคยส่งไปทุกปีวางชุดลงอย่างเหนื่อยล้า “พอรู้หรือไม่ว่าเรื่องใด” ลี่อินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปตำหนักหนิงอัน “บ่าวคิดว่าน่าจะเรื่องคุณชายหลายตระกูลส่งจดหมายสู่ขอเพคะ” อี้เฉากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ลี่อินบัดนี้สมควรแก่การออกเรือนแล้ว หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกว่าสตรีใด ๆ ในแคว้นฉี เป็นที่หมายตาของตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวง ด้วยเป็นองค์หญิงที่กำเนิดจากฮองเฮา แลเป็นหลานรักของตระกูลหลานผู้มีท่านตาเป็นถึงมหาราชครูของแคว้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะเด
กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก “เข้ามาเถิด” “เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน “อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง “หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจก
“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้ “แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา “เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่ เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง “ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อี