“ควรมีสาวใช้มาคอยดูแลงานในบ้าน”
“บ่าวผู้ชายมันทำงานไม่ได้หรือไง”
“บางอย่างมันก็ต้องใช้ผู้หญิงทำ” หยางกั๋วชิ่งส่ายหน้าไปมา “เดินทางคราวนี้ก็หาซื้อสาวใช้มาสักคน”
“แถวบ้านเราไม่มีรึ” ซื้อของมาค้าขายวุ่นวายมากพอแล้ว ไยต้องหาซื้อสาวใช้มาอีก คนมิใช่สิ่งของ ถึงมีแข้งมีขาแต่ก็ลำบากที่ต้องคอยดูแลระหว่างเดินทาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่นิยมรับงานคุ้มครอง ‘คน’ นัก
“ชื่อเสียงท่านไม่มีผู้ใดกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงแล้ว”
“ข้า?”
“นายท่านโหดเหี้ยมทำสาวใช้ร้องไห้กระเจิดกระเจิง มีใครกล้ามาเป็นสาวใช้ที่นี่”
“แค่ร้องไห้! ข้ามิได้หักแขนขานางเสียหน่อย นางบังอาจยั่วยวนแม้กระทั้งท่านพ่อ ข้าไม่สั่งโบยนางก็ดีเพียงใดแล้ว”
“เอาเถอะๆ อย่างไรก็หาสาวใช้มาช่วยแบ่งเบาภาระป้าอิงอู่กับบรรดาสาวใช้รุ่นป้า”
หยางเหลาหู่และหยางกั๋วชิ่งเป็นถึงคุณชายของตระกูลหยาง ทว่าบิดามารดาทั้งสองอบรมเลี้ยงดูพวกเขามิให้ถือตนว่าเหนือผู้อื่น หญิงรับใช้อายุมากเหล่านี้ บางคนทำงานมาตั้งแต่บิดาของพวกเขายังไม่แต่งเป็นภรรยาด้วยซ้ำ จึงอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว คนที่เหลืออยู่นี้ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เขาจึงเลี้ยงดูให้อยู่ต่อไปแม้ทำอะไรไม่ได้มากแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มได้แต่เดินวนไปมาอย่างหงุดหงิด หันกลับไปเปลี่ยนเสื้อ
ตัวนอกหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินครามสีประจำของป้อมพยัคฆ์ทมิฬมาสวม พลางสำรวจดูกระบี่ประจำกาย
หลังจากที่เขาตัดสินใจสืบทอดกิจการของบิดาด้วยวัยเพียงสิบหกนั้น เขาทำงานหนัก เรียนรู้งานอย่างขันแข็ง เสียสละตัวเองไม่ได้เที่ยวเล่นสนุกเหมือนผู้อื่น แต่มันคุ้มค่ากับตัวเลขในบัญชีและทรัพย์สมบัติในห้องคลังที่เพิ่มขึ้น เรื่องคิดคำนวนเขาไม่คล่องแคล่วเท่าหยางกั๋วชิ่ง แต่เรื่องวรยุทธรวมทั้งพละกำลังเขาเก่งกาจกว่านัก ทั้งสองพี่น้องช่วยกันสองแรงแข็งขัน ทำให้กิจการต่างๆ ที่เคยซบเซาอยู่พักใหญ่กลับมาดีขึ้นตามลำดับ จนสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลหยางรุ่นที่สามโด่งดังอีกครั้ง
เขาบำรุงปรับปรุงความเป็นอยู่ของป้อมพยัคฆ์ทมิฬ สิ้นเงินและเวลาไปหลายปีแต่นับว่าคุ้มค่า ไม่มีจุดใดที่หลังคารั่วอีก ทุกคนในป้อมได้กินอิ่มนอนหลับอย่างไร้กังวล แต่เมื่ออายุมาถึงปีที่ยี่สิบก็ถูกบิดามารดารบเร้าให้แต่งงานมีหลานเสียที เดิมทีเขามีคู่หมั้นคู่หมายแต่ตายไปก่อนที่เขาจะได้พบหน้า เขายุ่งเรื่องกิจการคุ้มกันสินค้า มิไว้ใจผู้อื่นให้เดินทางแทนเขา และบรรดาลูกค้าเชื่อใจเขาแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยได้อยู่ป้อมฯ นัก ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น น้องชายของเขา-หยางกั๋วชิ่งก็ถูกมารดาขู่เข็นเรื่องให้แต่งภรรยาเช่นกัน แต่ยังทำเป็นหูทวนลมกับสิ่งที่ได้ยิน
ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษตามประสาคนฝึกวรยุทธ เขารู้สึกได้ว่ามีมีคนเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มหมุนตัวไปดูก็ต้องขมวดคิ้ว
หญิงสาวร่างเล็กยืนแอบที่หลังบานประตู โดยที่ยังแง้มหน้าโผล่ดูด้านนอก
“เจ้าทำอะไรนะ!”
“ว้าย!” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ รีบหมุนตัวมาดู แต่พอเห็นอีกฝ่ายกำลังจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่อยู่ นางรีบก้มหน้างุดลงทันที
“เป็นอะไรของเจ้า”
หยางเหลาหู่ยกมือขึ้นกอดอก ก้มมองตัวเองด้วยความแปลกใจ ปกติผู้หญิงคนไหนเห็นเขามีแต่อ่อนระทวยทั้งนั้น เพิ่งจะมียายเด็กผอมกะหร่องคนนี้ที่เอาแต่ก้มหน้า ดวงตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางสวมชุดกระโปรงปักลายดอกไม้เล็กๆน่ารัก ยืนกอดห่อผ้าใบย่อม เขารู้สึกถึงคนที่วิ่งผ่านหน้าห้องของเขาไปพร้อมเสียงพูดคุยที่เขาไม่สนใจ แต่กลับทำให้ผู้หญิงคนนั้นกระเถิบกายเข้ามาในห้องมากขึ้น ราวกับกลัวคนอื่นจะรู้ว่านางอยู่ตรงนี้
“เสี่ยวหงส่งเจ้ามาใช่ไหม” เขาถามทำลายความเงียบตรงหน้าทิ้ง
“อะ...เอ่อ...” หญิงสาวเงยหน้ามองเขา อึกอักพูดไม่ออกเหมือนคนเป็นใบ้
“เจ้ามาทำงานเป็นสาวใช้?”
“สาวใช้?” แล้วนางก็พูดออกมาจนได้ แล้วก็ทำหน้าอย่างเพิ่งนึกได้ รีบพยักหน้าแรงๆ ทันที “ข้าทำอาหารได้ ทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้าหรือรดน้ำพรวดดินต้นไม้ก็ได้เจ้าค่ะ”
“อยากได้แค่คนทำความสะอาดบ้านกับทำอาหาร ซ่อมเสื้อผ้า
แต่รดน้ำพรวนดินคงไม่เหมาะกับเด็กอย่างเจ้า”
เขากวาดตามองหญิงสาวเบื้องหน้า ประเมินด้วยสายตา
“อายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบเจ็ดแล้ว” นางทำตาดุใส่ แต่ประโยคของหญิงสาวทำให้เขาหัวเราะพรืดออกมา
“ตัวเล็กเหมือนเด็ก ที่บ้านเจ้ายากจนกินไม่อิ่มหรือไร”
“ก็ท่านมันตัวโตเป็นยักษ์เองนี่” นางเผลอโต้เถียงเขา แต่พอรู้ตัวก็หุบปาก
หยางเหลาหู่รู้สึกชอบใจ ไม่ค่อยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขาบ่อยนัก เอาเถอะ ขุนให้อ้วนอีกนิดคงพอมีแรงทำงานได้
“อยู่กินที่บ้านข้า ยังไงไม่อดมื้อกินมื้อหรอก ขอแค่ทำงานเต็มกำลังของเจ้าก็พอ หากไม่ไหวส่งกลับอย่างเดียว”
“ได้” นางพยักหน้ารับแล้วอดเหลือบมองไปทางประตูไม่ได้
“เจ้าเตรียมข้าวของมาแล้วใช่ไหม” เขามองไปที่ห่อผ้าใบย่อมของนาง
“เจ้าค่ะ ไปได้เลย” นางรีบพูดเหมือนกลัวเขาเปลี่ยนใจ
“ดี ข้าก็ไม่อยากเดินทางกลางคืน” เขาพยักหน้า “ช่วยถือของให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ”
สั่งอะไรก็ทำ
หยางเหลาหู่นึกในใจ เห็นหญิงสาววางห่อผ้าของตัวเองแล้วเดินไปเก็บเสื้อของเขาที่วางทิ้งไว้บนที่นอน นางบรรจงพับแล้ววางใส่ห่อผ้าของเขาอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว เขามองเพลินจนลืมไปว่าตัวเองต้องรีบเดินทางแล้วเช่นกัน
“เจ้าชื่ออะไร”
“เสี้ยวเวย” หญิงสาวตอบแล้วก็สะดุ้งเหมือนคิดอะไรได้ แต่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย “แล้วนายท่านล่ะเจ้าคะ จะให้ข้าเรียกว่าอะไร”
“หยางเหลาหู่” เขาเอ่ยแล้วก็เห็นนางจัดเก็บเสื้อผ้าของเขาเรียบร้อย
นางคว้าห่อผ้าของตนเองมากอดแนบอก อีกมือถือห่อผ้าให้เจ้านายอีก
“จ้องข้าทำไม”
หยางเหลาหู่เห็นการทิ้งระยะห่างของนางที่มีต่อเขาก็รู้สึกพอใจ อย่างน้อย นางไม่ได้แสดงการยั่วยวนเขาเหมือนเช่นผู้หญิงคนก่อน แม้การพบกันแค่อึดใจตัดสินคนไม่ได้ แต่เขารู้สึกพอใจกับการทำตามคำสั่งของนาง
หลัวเสี้ยวเวยแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระนั้นก็อดกังวลคนที่ตามมาจับตัวนางไม่ได้ ไม่เอาล่ะ ยังไงครั้งนี้นางไม่ยอมถูกส่งไปขายตัวใช้หนี้ ถึงลุงจางฉวนและป้าสะใภ้เคยเลี้ยงดูนางมาอย่างไร แต่ให้ตอบแทนบุญคุณเช่นนี้นางยอมทำไม่ได้ นางได้แต่ขอโทษลุงจางฉวนในใจ ขอไปตายเอาดาบหน้า ยอมถูกตราหน้าเป็นคนอกตัญญู แต่นางไม่คิดจะขายตัวเป็นอนุให้ใครทั้งนั้น
หญิงสาวถือห่อผ้าตัวเองและถือห่อสัมภาระให้เขา แต่เพราะนางตัวเล็กจึงดูขัดหูขัดตา ชายหนุ่มเป็นฝ่ายคว้าห่อผ้าของนางและของเขามาถือให้เสียเอง
“นายท่าน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางพูดขึ้นแล้วก้าวเร็วๆ ตามร่างสูงที่ก้าวช้าแต่ก้าวได้ยาวกว่านางนัก
“รู้แล้ว เจ้ามีสัมภาระอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”
“ไม่มี แต่ข้าเป็นสาวใช้นะเจ้าคะ” นางทำให้เขาไม่พอใจและถูกถีบตัวส่งกลับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มหรือเปล่านะ
“รู้แล้ว แล้วรู้ไว้ด้วยว่าที่ทำให้นี่ไม่ได้เต็มใจ แต่ข้ากำลังรีบ”
หยางเหลาหู่พูดเสียงเรียบ อดเหลือบตามองคนตัวเล็กไม่ได้ แค่เดินตามยังหอบแล้วจะมีแรงทำงานบ้านไหวไหม? หญิงสาวก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาใครและกลัวใครจะเห็นนางเข้า เขาพานางมายังด้านนอก มีรถม้าสามคันและคนจำนวนหนึ่งที่ทำราวกับรอชายผู้นี้อยู่นานแล้ว
เขาเหวี่ยงห่อผ้าเข้าไปในรถม้า ทำให้หญิงสาวรู้ว่านางต้องขึ้นรถม้าคันนี้ แต่เพราะไม่มีเก้าอี้หรือบันไดสำหรับปีนขึ้นรถม้า นางไม่มีปัญญาปีนขึ้นเอง เขย่งจนสุดปลายเท้าอยู่หลายทีก็ไม่อาจพาตัวเองเข้าไปด้านในได้สำเร็จ เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด จำใจจับเอวของหญิงสาวยกนางขึ้นตัวลอย ส่งนางเข้าไปในรถม้าได้อย่างง่ายดาย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยทำหน้าไม่ถูก จึงพูดแก้เก้อออกไป “รถม้าของนายท่านสูงไปนะ”“รถม้าของข้าผิดซินะ”“ขออภัยที่ตัวข้าเล็กไปหน่อย”“ทั้งตัวเล็กและขาสั้นด้วย”“ปาก...” ปากคอร้ายกาจเหลือเกิน นางยั้งปากได้ทัน ทำให้ได้แต่ค้อนขวับเข้าให้ “เจ้าพูดอะไร”“เปล่าเจ้าค่ะ” “งั้นเราไปเถอะ”“อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างลืมตัว ไมได้สนใจสายตาดุดันของ หยางเหลาหู่ เขาอ้าปากจะพูดตำหนินาง แต่หญิงสาวกลับมุดเข้าไปด้านในหาที่ให้ตัวเองได้นั่งรวมอยู่กับข้าวของหลายอย่างที่เขาซื้อกลับไปตามรายการของหยางกั๋วชิ่งเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ หลัวเสี้ยวเวยได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ต่อไปนี้ขอลิขิตชีวิตตัวเองเถอะนะ!อาจเป็นเพราะความกังวลและเคร่งเครียดสะสมมานาน ทำให้หญิงสาวเผลอหลับไปในรถม้า รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนรถม้าโคลงไปโคลงมา อาจเพราะถนนขรุขระ นางสะลึมสะลือตื่นไม่เต็มตา แต่รู้สึกว่ามีมือใหญ่ประคองศีรษะไม่ให้ไปกระแทกกับผนังของรถม้า มือหยาบกระด้างนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทว่านางไม่อาจฝืนตื่นได้ จึงปล่อยให้ตัวเองหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรถม้าผ่านทางขรุขระ มือนั้นจึงถอยห่าง นา
ลุงจางฉวนและป้าสะใภ้หลินถิง ภายนอกดูเป็นคนดีโอบอ้อมอารี เห็นนางมาในสภาพน่าเวทนาก็โอบกอดและดูแลอย่างดี ท่านลุงกับท่านป้าให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทางการประกาศแล้วว่าครอบครัวของนางตายหมดรวมทั้งตัวนางเอง ทั้งสองจึงให้นางอยู่ในบ้านสกุลจางในฐานะหญิงรับใช้เพื่อปกปิดร่องรอยของนางเอง ทว่านางกลับได้ทำงานทุกอย่างในบ้านลุงจางฉวนเช่นเดียวกับหญิงรับใช้จริงๆ ลุงจางเป็นญาติทางมารดา แม้ลำดับญาติจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่มีบ้านอยู่ใกล้กันเพียงคนละหมู่บ้าน ลุงจางเป็นเพียงเศรษฐีจางที่กินเงินเก่า ภายนอกเป็นเศรษฐีมั่งคั่งภายในกลวงว่างเปล่า ลูกสาวแต่งเข้าสกุลอื่นไปแล้ว ลูกชายเสเพลผลาญเงินเล่นไปวันๆ แม้เคยเกาะแกะนางอยู่บ้างแต่ไม่เคยล่วงเกิน อาจเพราะว่าอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่บ้าง ทำให้นางอยู่รอดปลอดภัย นางไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนางนั้นเป็นมาอย่างไร ไม่อาจสืบเสาะค้นหาความจริงในข้อนั้นได้ ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้เกลี้ยกล่อมให้นางไม่คิดสืบหาถึงเหตุร้ายในคืนนั้น แม้แต่ป้ายวิญญาณของบิดามารดาหรือเรื่องศพก็ไม่ได้ไปจัดการ เพราะนางคือ
“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว” “เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง“รอบหน้า?” “พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”“ฮืม”หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”“ขะ...ขอรับ” ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป “มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แ
“ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน” “เจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง “มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่ รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย” ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี “นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน” หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้ ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน จากเด
ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย “นี่”เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!” เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาล
“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่“แค่นั้น?”“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...” ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง “เสร็จแล้วก็ออกไปได้” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไป
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่
“เวยเอ๋อร์ เรียกชื่อข้า” เขาช้อนตัวนางขึ้นนั่งสบตากับเขาอย่างแน่วแน่“ข้าไม่ต้องการทำให้เจ้าเจ็บ เรียกชื่อข้า ให้ข้ามีสติรู้ตัวว่าเบื้องของหน้าข้าคือเจ้า”“ยะ..หยาง..เหลา..หู่” นางเรียกชื่อเขาตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าร่างกายของนางที่เริ่มร้อนระอุเพราะไอร้อนจากกายของเขา หรือเพราะความเขินอายที่เปลือยเปล่าต่อหน้าบุรุษผู้นี้กันแน่ “เรียกอีก” ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้แผ่นหลังของนาง ปลุกเร้าจนนางอ่อนระทวย เขารู้ว่านางบริสุทธิ์ปานใด เป็นดอกไม้ที่ไม่เคยถูกชายใดแตะต้อง เขายิ่งต้องข่มสัตว์ร้ายในตัวเองไม่ให้ตะกละตะกราม ค่อยๆ แทะเล็มผิวกายเนียนนุ่ม “เหลาหู่...” หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา ทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านจุดเปลวไฟในกายของนาง เขาค่อยๆ ประคองแผ่นหลังของนางลงนอนอีกครั้ง ครอบครองยอดอกของนางด้วยริมฝีปาก นางไม่อาจทนนอนนิ่งได้ ร่างกายขยับตัวกระสับกระส่าย ส่งเสียงครวญไม่หยุด ปากของเขายังขบกัดยอดอกของนางจนเจ็บแปลบและเสียวซ่านไปพร้อมกัน มืออีกข้างบีบเคล้นนวดคลึงราวกับมอบความยุติธรรมให้ทรวงอกทั้งสองข้างได้ลิ้มรสชาติแปลกประหลาดที่นางไม่เคยพานพบเสียงครวญครางของนางปลุกเร้าสัตว์ร้าย
อาลี่ร้องห้าม แต่หลัวเสี้ยวเวยกลับหันมาสบตาด้วย แววตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เป็นดวงตาที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ “ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ คนที่เหลือรอดอยู่จับขังคุกใต้ดินให้หมด รอข้ากลับมาตัดสินโทษด้วยตนเอง” “ขอรับคุณชายรอง” ผู้อารักขาแต่ละคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเอง หยางกั๋วชิ่งหันไปทางอาลี่ให้เขาช่วยดูแลบิดามารดาให้ ทำราวกับหญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาโอบเอวนางแล้วใช้วิชาตัวเบาพานางมาส่งถึงหอฝึกตน ซึ่งปกติจะเข้าได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น “เจ้าแน่ใจแล้วรึ” หลัวเสี้ยวเวยพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นข้าที่ล้วนเต็มใจทำอย่างยิ่ง” “ข้าฝากชีวิตพี่ใหญ่ไว้ในมือของเจ้าแล้ว” เขายกมือประสานแสดงความคารวะอย่างจริงใจ แม้เขาเตรียมการรับมือคนจากของหอนางแอ่นเป็นอย่างดีแต่ไม่คิดว่าจะมีจุดผิดพลาดเช่นนี้ได้ “คุณชายรองไปดูนายท่านและฮูหยินเถิด ข้าจะรีบเข้าไปดูคุณชายใหญ่” หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ เขาหยิบป้ายคำสั่งประทับที่ประตูหอฝึกตน ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่หันกลับมามอ
เพียงสิ้นประโยคของอี้เอ๋อร์ เหล่าบุรุษในชุดดำก็ชักกระบี่ออกมา พุ่งตรงมาทางนาง หญิงสาวผวาเฮือกพลิกตัวใช้ร่างกายตนเองปกป้องร่างของฮูหยินที่ยังไม่ได้สติ นางหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง เคล้ง!!! เสียงกระบี่หล่นกระทบพื้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเรียกสติให้หลัวเสี้ยวเวยหันไปมอง แขนข้างที่จับกระบี่ขาดกระเด็นหล่นลงพื้น เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นพร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งในอากาศ หยางเหลาหู่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในมือข้างขวาถือกระบี่เปื้อนเลือด ส่วนอีกข้างกุมลำคอของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าหลัวเสี้ยวเวย “ฉิวเตี๋ย!” อี้เอ๋อร์ตะโกนเรียกอย่างตกใจ ยามนี้ใบหน้ามีไฟโทสะคุกรุน “ฉิวเตี๋ย? ชื่อของเจ้าสินะ” หยางเหลาหู่เลิกคิ้วแล้วออกแรงบีบลำคอของหญิงสาวแรงขึ้นอีกนิด สีหน้าของหญิงผู้นั้นเจ็บปวดยิ่ง เขาใช้เพียงมือข้างเดียวก็ทำให้นางไม่อาจดิ้นรนต่อต้านได้แล้ว “เป็นแม่นางฉิวเตี๋ยแห่งหอนางแอ่นนี่เอง” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยแสร้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งที่เขาระแคะระคายเรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นนางเข้ามาแล้ว เขาเดินเข้ามาพร