“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้
“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”
หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่
“แค่นั้น?”
“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...”
ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
“ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไปทางประตู
“เดี๋ยว”
หญิงสาวหยุดชะงักแล้วหมุนตัวกลับ แต่ร่างใหญ่เคลื่อนไหวรวดเร็วเข้ามาประชิดตัวนาง แม้นางยืนเต็มความสูง แต่ศีรษะของนางแค่ปลายคางของเขาเท่านั้น หลัวเสี้ยวเวยเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขาโน้มหน้าลงมา ยื่นปลายจมูกดอมดมกลิ่นจากเส้นผมของนาง
“กลิ่นเหมือนดอกไม้”
มือเล็กยกขึ้นแตะศีรษะตัวเอง “คงเป็นกลิ่นมะลิ เมื่อครู่ข้าไปเก็บดอกมะลิมา”
“บ้านข้ามีดอกมะลิด้วยรึ” เขาเงยตัวขึ้นจ้องมองอย่างแปลกใจ
“มะ..มี ยะ..อยู่ ด้านหลังโรงครัวขอรับ”
อาลี่พูดขึ้นทำให้หลัวเสี้ยวเวยหันไปส่งยิ้มเป็นการขอบคุณที่ช่วยยืนยันให้นาง อาลี่มาทันช่วยชีวิตนางพอดิบพอดี
“อืม” หยางเหลาหู่พยักหน้ารับแล้วมองอาลี่ที่เดินเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ “ข้าสั่งให้เจ้ามาพักที่เรือนของข้า ไยไม่เมื่อคืนไม่เห็นมา”
“หา!” คราวนี้หลัวเสี้ยวเวยอ้าปากค้าง เมื่อวานนางคิดว่าเขาพูดเพราะโมโห ป้าอิงอู่เองก็ให้นางนอนที่เรือนคนรับใช้ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังให้นางมานอนที่เรือนของเขา
ยัยเด็กผอมกะหร่องคนนี้ยังไงกันนะ! เห็นบิดากับมารดาเขาเอ็นดูเข้าหน่อยก็ไม่เห็นคำพูดของเขาเป็นเรื่องสำคัญหรือไร! หยางเหลาหู่รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก สัญชาตญาณบอกเขาว่านางไม่ใช่หญิงรับใช้ธรรมดาแน่
“มีห้องว่างอยู่ตั้งหลายห้อง ข้าเมตตาให้เจ้าอยู่ห้องที่ใกล้ข้าที่สุด” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
หลัวเสี้ยวเวยทำตาปริบๆ เห็นทีว่าถ้าอ้าปากพูดอะไรออกไปอีกคำอาจได้เลื่อนหน้าที่มาคอยอุ่นเตียงให้เป็นแน่ หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าซ่อนความไม่พอใจ ทำได้เพียงผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หยางเหลาหู่มองหน้าอาลี่ที่เดินเข้ามาเพื่อปรนิบัติเขา
“กั๋วชิ่งอยากให้เจ้าไปช่วยงาน เขาเปรยกับข้าหลายครั้งแล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีใครรู้หนังสือเท่าเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็อยู่ที่นี่ได้ กั๋วชิงชอบแกล้งคนแต่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก”
“ขะ..ขอรับ” อาลี่ยกมุมปากยิ้มนิดๆ “ขะ ข้าน้อยจะไป รับใช้ คุ..คุณชายรอง”
อาลี่ช่วยผู้เป็นนายผลัดเปลี่ยนเสื้อชุ่มเหงื่อออก เขาอยู่รับใช้หยางเหลาหู่มาหลายปี รู้ดีว่าชายผู้นี้แม้ภายนอกดูแข็งกระด้างแต่จิตใจดี ระแวดระวังแต่เป็นคนมีเหตุมีผล ผิดกับหยางกั๋วชิงที่ดูสุภาพไร้กำลังแต่ซ่อนความเอาแต่ใจและเผด็จการอย่างร้ายกาจ ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับล่อลวงให้เขาก้าวเข้าไปติดกับอย่างไม่รู้ตัว
อาลี่ลอบถอนหายใจ คล้ายว่าหญิงสาวคนนั้นจำเขาไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่านางคือ ‘คุณหนูหลัวเสี้ยวเวย’ ที่เขาเคยพบเมื่อหลายปีก่อน ข่าวที่ได้ยินคือคนตระกูลหลัวตายในกองเพลิงครั้งนั้น คนในบ้านทั้งหมดหกสิบสามชีวิตกลายเป็นเถ้าถ่านยากจะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นใคร ทรัพย์สมบัติถูกปล้นชิงนอกจากซากศพและเถ้าถ่านแล้วก็ไร้ของมีค่าใด
เขาไม่เคยคิดว่าคนอย่างคุณหนูหลัวที่งดงามราวกับดอกไม้ เป็นที่รักใคร่ของทุกคน เวลานี้นางคือคนเดียวกับ “เสี้ยวเวย” หญิงรับใช้แสนต่ำต้อย ทว่าใบหน้าของนางยังประดับรอยยิ้มเสมอ ราวกับเรื่องราวเลวร้ายในคืนนั้นไม่อาจกระชากเอารอยยิ้มของนางไปได้
หรือบางที... ควรหลงลืมอดีตของตนเองเสีย
หรือบางคราว....เราควรปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป และอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
เขาอยากลืมเรื่องเหล่านั้นให้หมดสิ้น ไม่อยากจดจำว่าตนเองเคยเป็นใครมาก่อน การที่เขายังมีชีวิต ยังหายใจอยู่เช่น ดั่งถูกสาปให้ตกนรกตายทั้งเป็น เหตุใดสวรรค์โหดร้ายให้เขายังมีชีวิตอยู่กับความผิดบาปในครั้งนั้น
“อาลี่”
“ขะ..ขอรับ”
“กั๋วชิ่งหาเรื่องรังแกเจ้าหรือไม่” หยางเหลาหู่เอ่ยขึ้นแล้วตัวเดินนำออกมาจากห้องของตน
“มะ ไม่มี ขะ ขอรับ” อาลี่ส่ายหน้ายืนยัน “คุณชาย ระ รอง ดะ ดีกับข้ามาก”
“ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดว่าใครรังแกเจ้าสักครั้ง” หยางเหลาหู่ทำหน้าหงุดหงิด “ข้าช่วยเจ้าตลอดเวลาไม่ได้ อย่างไรเจ้าต้องมีปากมีเสียพูดแทนตัวเองบ้าง แต่เจ้าไม่เหมาะจะทำงานข้างตัวข้าจริงๆ กั๋วชิ่งเองบ่นว่าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า”
อาลี่ไม่คิดว่าหยางกั๋วชิ่งกล้ารบเร้าคุณชายใหญ่เช่นนี้ เดิมทีเขาเคยคิดว่า หยางกั๋วชิ่งเห็นเขาเป็นเพียงของเล่นไม่นานคงเบื่อไปเอง นานวันเข้า หยางกั๋วชิ่งไม่คิดจะปล่อยเขา และยังแสดงความเป็นเจ้าของไม่เกรงสายตาบ่าวรับใช้คนอื่น หากไม่เพราะหยางเหลาหู่มิค่อยได้อยู่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ คงระแคะระคายเรื่องนี้ไปแล้ว
เขาไม่รังเกียจหลางกั๋วชิ่ง ทว่ากลับพอใจที่อยู่เงียบๆ เช่นนี้
หยางเหลาหู่เห็นการนิ่งเงียบของอาลี่ตีความได้ทั้งยอมรับและปฏิเสธ เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถดูแลปกป้องอาลี่ไปได้ทั้งชีวิต เด็กชายที่เขาหิ้วคอเสื้อเปื้อนเปรอะคราบเลือดและโคลนตม
“ข้ารำคาญที่กั๋วชิ่งเซ้าซี้ ถ้าเจ้าไม่ลำบากใจก็ไปช่วยงานกั๋วชิ่ง แต่ถ้าถูกน้องชายข้ารังแกก็กลับมาอยู่กับข้า”
“แล้ว... แล้วแม่นางเสี้ยวเวย...”
“ข้าไม่ไว้ใจนาง”
หยางเหลาหู่ไม่ปิดบังความคิดตนเอง บิดามารดาของเขาเอ็นดูนางเกินไป แม้รู้ดีว่ามารดาอยากมีลูกสาวมากเพียงใด แต่...กับเจ้าเด็กโตไม่เต็มวัยที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่นาน มารดากลับแสดงความรักใคร่ออกหน้าออกตาขนาดนั้น นั้นเป็นสาเหตให้เขาไม่ไว้ใจนาง
‘ไม่ไว้ใจ’ แต่ให้มาทำงานด้วย ซ้ำยังให้ห้องพักใกล้กันอีก อาลี่ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม ไม่มีใครอยู่ใกล้คุณหนูหลัวแล้วจะใจแข็งกับนางได้หรอก อาลี่เพียงพยักหน้ารับทราบตามหน้าที
หากนี้เป็นการลงโทษจากสวรรค์ เขาขอให้ทุกลมหายใจดูแลเลือดเนื้อคนสกุลหลัวให้ดีที่สุด แม้ไม่อาจชดใช้ความผิดของตัวเองได้
แต่หวังให้มีสักคืน...ที่เขาหลับตาได้อย่างสนิทใจ
หยางเหลาหู่ทำงานอย่างไม่เป็นสุขนัก น้องชายคงกลัวว่าคนเป็นพี่จะได้อยู่บ้านสบาย จึงสรรหางานนอกบ้านให้ต้องออกไปสั่งงานด้วยตนเอง เขาไม่ใช่คนประเภทชี้นิ้วสั่ง ต้องลงมือทำไปพร้อมกับผู้อื่น จำต้องออกจากเรือนพักแต่เช้า อาหารการกินมีคนนำมาส่งถึงที่ กว่าจะกลับเข้ามาก็มืดค่ำ เป็นเช่นนี้อยู่ราวเจ็ดวันงานขุดลอกทางส่งน้ำจึงลุล่วง
บุรุษหนุ่มกลับป้อมพยัคฆ์ทมิฬได้เพียงแค่ครึ่งวัน หัวหน้าหมู่บ้านก็วิ่งหน้าตาตื่นมาตามเขา ด้วยมีเหตุดินถล่มตรงทางลงเขา เขาจึงเกณฑ์คนของตนออกไปจัดการ โดยไม่ต้องคนของทางการเข้ามาปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งใช้เวลาร่วมห้าวันจึงแล้วเสร็จ เขาจึงได้กลับป้อมพยัคฆ์ทมิฬอย่างเหนื่อยล้า
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว สายตาเหลือบเห็นสาบเสื้อของเขาไม่เรียบร้อยจึงยื่นมือไปขยับจับให้เข้าที มือเรียวลูบเนื้อผ้าให้เรียบตึง แต่ลืมไปว่ามือของตนนั้นทาบอยู่กับแผงอกของเขา พลันนางรู้สึกถึงร่างที่เกร็งขึ้น มือเล็กรีบชักกลับอย่างเพิ่งนึกได้ เงยหน้าของมองเห็นดวงตาคมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางรีบก้มหน้างุดแล้วหมุนตัวออกไปทันที รีบเดินเสียจนเกือบสะดุดธรณีประตู“ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านใหญ่กับฮูหยิน”“เผื่อข้าด้วย ข้าจะไปกินพร้อมท่านพ่อกับท่านแม่”“เจ้าค่ะ”หลัวเสี้ยวเวยรีบเดินกลับมาที่ครัว เห็นบ่าวคนอื่นเตรียมยกสำรับอาหารไปให้นายท่านใหญ่กับฮูหยินพอดี จึงจัดแจงเพิ่มของคุณชายใหญ่ไปอีกชุด แล้วรีบเดินไปที่เรือนของผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นใบหน้ามีเมตตาของทั้งสองแล้วนางก็สงบใจลงได้ ทำใจให้สงบลงและดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะหยางต๋าเดินไม่ค่อยสะดวก นางจึงรีบเข้าไปหวังจะช่วยประคอง แต่กลับถูกร่างของหยางเหลาหู่เข้ามาเบียดจนนางแทบกระเด็นไปด้านข้าง หลัวเสี้ยวเวยขวับมามองอย่างไม่พอใจนัก “คุณชายใหญ่!”“ทำไมต้องทำเป็นตกใจ” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้มลงกระซิ
เพียงแค่เขาขยับปลายนิ้วกลับล่วงรู้ว่าต้องหยิบยื่นสิ่งใดให้ ที่สำคัญอาลี่อ่านหนังสือออกเขียนได้ แต่เก็บกดความสามารถของตนเองไว้ ด้วยความสงสัยและต้องการจับผิดนั้นทำให้เขากลายเป็นฝ่ายที่ผู้อื่นมองว่า หาเรื่อง‘กลั่นแกล้ง’อาลี่อยู่เสมอ ทำให้พี่ใหญ่หิ้วอาลี่เป็นเด็กรับใช้ข้างตัว เพื่อมิให้คนอื่นกล้ารังแก หยางกั๋วชิงรู้ว่าหยางเหลาหู่มิได้คิดอะไรกับอาลี่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พี่ใหญ่หิ้วกลับมาระหว่างทาง บางคนไร้บ้าน บางคนถูกปล้นชิง บางคนไม่มีที่ไป แม้แต่หมาแมวก็ยังเคยหิ้วกลับมา ทว่าคนที่ดูแลคนเหล่านั้นและสัตว์ตัวเล็กที่พี่ใหญ่หิ้วมาคือเขา เพียงเพราะอยากจับผิด เพียงเพื่ออยากพิสูจน์สิ่งที่ตนคิด กลายเป็นกักขังอีกฝ่ายด้วยไฟปรารถนา ในท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ถูกเขาปลุกเร้าจนเร่าร้อนปลดเปลื้องความต้องการที่อัดแน่น คล้ายเป็นห้วงเวลาที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เมื่อคลื่นพายุอารมณ์พัดผ่านจึงกลับมาเป็นอาลี่ที่นิ่งงัน ความรู้สึกอยากเอาชนะกลายเป็นต้องการปกป้องดูแล เขารู้ว่าอาลี่ไม่คิดร้ายกับเขาหรือผู้อื่น เพียงแค่มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อ
ทว่ากลับได้ยินเสียงหวีดร้อง เท้าของเขาหนักอึ้ง ดวงตาพร่าด้วยเลือดสีสดที่ไหลเข้าตา ทั้งปวดแสบปวดร้อนใบหน้าและเนื้อตัว ร่างล้มกลิ้งไปกับโคลนตมด้านข้างถนน เขาอยู่ตรงนั้นขยับตัวไม่ไหว แม้ดวงตาจะปิดแต่หูกลับได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงเพลิงไหม้ด้านหลัง ที่ผ่านมาไม่เคยมีความสูญเสียเช่นนี้ เขาได้แต่ภาวนาให้ตัวเองได้ตายอย่างสงบ เพื่อได้ติดตามทุกคนไปชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ทว่าเช้าวันต่อมา เขากลับยังมีชีวิตอยู่ และถูกมือใหญ่ของหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นจากข้างถนน “ยังไม่ตายนี่” ‘ไยเขายังไม่ตายอีก’ คราวนั้นเขาจำได้เพียงหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นแล้วส่งตัวไปหลังรถม้า สติของเขาก็ดับวูบไปอีกครั้ง ต่อมาจึงรู้ว่าหยางเหลาหู่มีธุระต้องติดต่อกับคนสกุลหลัว แต่กลับมาช้าไปเพียงวันเดียว พลันเกิดเรื่องเสียก่อน หยางเหลาหู่ให้หมอมาดูแลรักษาของเขาอยู่สองหรือสามวันก่อนจะพากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแห่งนี้ กว่าบาดแผลไฟไหม้จะหายดี เขารักษาตัวนานอยู่เกือบปี กว่าร่างกายจะขยับตัวลุกเดินเหินได้ปกติก็ข้ามไปอีกปี แผลไฟไหม้ยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้เขาใต้เสื้อผ้
หยางเหลาหู่แม้เก่งกาจในเกือบทุกด้าน แต่เรื่องสตรีนั้น ประสบการณ์การทำความเข้าใจจิตใจของผู้หญิงยังอ่อนด้อยนัก เขาใช้เวลาทุ่มเทให้กับป้อมพยัคฆ์ทมิฬจนละเลยเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว และผู้หญิงที่เขายุ่งด้วยก็มีแต่นางคณิกา ซึ่งพวกนางล้วนแต่เอาอกเอาใจเขาทั้งสิ้น ชายหนุ่มนึกถึงภาพนางผวาขึ้นกลางดึก ท่าทางเหมือนคนหายใจไม่ออกคล้ายจมน้ำ ทำให้เขาพลอยกังวลไปด้วย แม้นางไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกคืน แต่...เขาอดเป็นห่วงอย่างไรเหตุผลไม่ได้ มือเรียวกำลังจะดึงประตูปิดลง แต่มือใหญ่กลับยื่นมาขวางไว้ก่อน ดวงตาที่กลั้นน้ำตาเต็มที่จ้องมองเจ้าของมือที่ยื่นมา ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาดุดันจ้องมองนางอยู่ นางยังไม่ตื่นจากความทุกข์ระทม เผลอถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หลงลืมไปว่าตอนนี้นางเป็นสาวใช้ มิใช่คนหนูหลัว โดยไม่รู้ตัว หยางเหลาหู่ยื่นมือไปใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มของหญิงสาว “เหตุใดดวงตาเจ้าจึงมีน้ำตาเช่นนี้” “อ๊ะ!” นางสะดุ้ง ยกมือขึ้นแตะแก้มของตัวเอง นางร้องไห้เมื่อใดกัน นางผงะถอยหลังแต่ร่างกายซวนเซ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มาพาร่างนา
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่
“เวยเอ๋อร์ เรียกชื่อข้า” เขาช้อนตัวนางขึ้นนั่งสบตากับเขาอย่างแน่วแน่“ข้าไม่ต้องการทำให้เจ้าเจ็บ เรียกชื่อข้า ให้ข้ามีสติรู้ตัวว่าเบื้องของหน้าข้าคือเจ้า”“ยะ..หยาง..เหลา..หู่” นางเรียกชื่อเขาตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าร่างกายของนางที่เริ่มร้อนระอุเพราะไอร้อนจากกายของเขา หรือเพราะความเขินอายที่เปลือยเปล่าต่อหน้าบุรุษผู้นี้กันแน่ “เรียกอีก” ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้แผ่นหลังของนาง ปลุกเร้าจนนางอ่อนระทวย เขารู้ว่านางบริสุทธิ์ปานใด เป็นดอกไม้ที่ไม่เคยถูกชายใดแตะต้อง เขายิ่งต้องข่มสัตว์ร้ายในตัวเองไม่ให้ตะกละตะกราม ค่อยๆ แทะเล็มผิวกายเนียนนุ่ม “เหลาหู่...” หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา ทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านจุดเปลวไฟในกายของนาง เขาค่อยๆ ประคองแผ่นหลังของนางลงนอนอีกครั้ง ครอบครองยอดอกของนางด้วยริมฝีปาก นางไม่อาจทนนอนนิ่งได้ ร่างกายขยับตัวกระสับกระส่าย ส่งเสียงครวญไม่หยุด ปากของเขายังขบกัดยอดอกของนางจนเจ็บแปลบและเสียวซ่านไปพร้อมกัน มืออีกข้างบีบเคล้นนวดคลึงราวกับมอบความยุติธรรมให้ทรวงอกทั้งสองข้างได้ลิ้มรสชาติแปลกประหลาดที่นางไม่เคยพานพบเสียงครวญครางของนางปลุกเร้าสัตว์ร้าย
อาลี่ร้องห้าม แต่หลัวเสี้ยวเวยกลับหันมาสบตาด้วย แววตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เป็นดวงตาที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ “ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ คนที่เหลือรอดอยู่จับขังคุกใต้ดินให้หมด รอข้ากลับมาตัดสินโทษด้วยตนเอง” “ขอรับคุณชายรอง” ผู้อารักขาแต่ละคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเอง หยางกั๋วชิ่งหันไปทางอาลี่ให้เขาช่วยดูแลบิดามารดาให้ ทำราวกับหญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาโอบเอวนางแล้วใช้วิชาตัวเบาพานางมาส่งถึงหอฝึกตน ซึ่งปกติจะเข้าได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น “เจ้าแน่ใจแล้วรึ” หลัวเสี้ยวเวยพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นข้าที่ล้วนเต็มใจทำอย่างยิ่ง” “ข้าฝากชีวิตพี่ใหญ่ไว้ในมือของเจ้าแล้ว” เขายกมือประสานแสดงความคารวะอย่างจริงใจ แม้เขาเตรียมการรับมือคนจากของหอนางแอ่นเป็นอย่างดีแต่ไม่คิดว่าจะมีจุดผิดพลาดเช่นนี้ได้ “คุณชายรองไปดูนายท่านและฮูหยินเถิด ข้าจะรีบเข้าไปดูคุณชายใหญ่” หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ เขาหยิบป้ายคำสั่งประทับที่ประตูหอฝึกตน ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่หันกลับมามอ
เพียงสิ้นประโยคของอี้เอ๋อร์ เหล่าบุรุษในชุดดำก็ชักกระบี่ออกมา พุ่งตรงมาทางนาง หญิงสาวผวาเฮือกพลิกตัวใช้ร่างกายตนเองปกป้องร่างของฮูหยินที่ยังไม่ได้สติ นางหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง เคล้ง!!! เสียงกระบี่หล่นกระทบพื้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเรียกสติให้หลัวเสี้ยวเวยหันไปมอง แขนข้างที่จับกระบี่ขาดกระเด็นหล่นลงพื้น เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นพร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งในอากาศ หยางเหลาหู่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในมือข้างขวาถือกระบี่เปื้อนเลือด ส่วนอีกข้างกุมลำคอของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าหลัวเสี้ยวเวย “ฉิวเตี๋ย!” อี้เอ๋อร์ตะโกนเรียกอย่างตกใจ ยามนี้ใบหน้ามีไฟโทสะคุกรุน “ฉิวเตี๋ย? ชื่อของเจ้าสินะ” หยางเหลาหู่เลิกคิ้วแล้วออกแรงบีบลำคอของหญิงสาวแรงขึ้นอีกนิด สีหน้าของหญิงผู้นั้นเจ็บปวดยิ่ง เขาใช้เพียงมือข้างเดียวก็ทำให้นางไม่อาจดิ้นรนต่อต้านได้แล้ว “เป็นแม่นางฉิวเตี๋ยแห่งหอนางแอ่นนี่เอง” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยแสร้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งที่เขาระแคะระคายเรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นนางเข้ามาแล้ว เขาเดินเข้ามาพร