ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย
“นี่”
เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!”
เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาลอบอยู่ใกล้รถม้าที่นางพักผ่อน กลางดึก นางเป็นเช่นนั้นอีก เขาไม่ได้ปลุกนางแต่ปล่อยให้นางผวาลุกขึ้นนั่งแล้วร่วงผล็อยลงไป ตลอดสิบคืนที่ผ่านมา เขาแอบลอบเข้ามาดูนาง ทำให้รู้ว่านางไม่ได้นอนละเมอทุกคืน แต่ละครั้งนั้น...ช่างน่าสงสารจับใจ กระนั้นเขามิได้ปล่อยใจไปกับความน่าเวทนานี้ ยังคงวางกำแพงตั้งระวังนางไว้อย่างดียิ่ง
ทุกเช้าหยางเหลาหู่จะคุมชายฉกรรจ์ฝึกซ้อมวรยุทธ ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ คนของเขาต้องแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมเสมอ หยางกั๋วชิ่งมักเรียกใช้คนในป้อมไปทำงานของตนได้แทบตลอดเวลา ขณะที่หยางเหลาหู่เดินกลับมาจากลานฝึก หยางกั๋วชิ่งก็เดินตรงเข้ามาโดยมีอาลี่เดินตามอยู่ด้านหลังดุจเงาตามตัว ดวงตาคมของหยางเหลาหู่หรี่มองน้องชาย
ที่อายุห่างกันเพียงสองปีแล้วโคลงศีรษะไปมา
“เจ้าหาเรื่องแกล้งอาลี่อีกแล้ว” หยางเหลาหู่เปิดปากชิงตำหนิน้องชายก่อน
“พี่ใหญ่ใส่ความข้า” หยางกั๋วชิ่งแสร้งทำเป็นตัดพ้อ
“อาลี่ผิวบางโดนแดดนิดเดียวก็แดงเป็นรอยไหม้ แล้วไยเจ้าลากเขาติดตามมาที่ลานฝึกซ้อมเช่นนี้”
หยางเหลาหู่ติดขี้สงสารไปสักหน่อย อาลี่เป็นเด็กที่เขาหิ้วคอเสื้อเหวี่ยงขึ้นรถม้ากลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬ รอยแผลเป็นอันน่าเวทนาแล้วยังท่าทีขลาดกลัวนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที
“เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านยิ่งไม่สบายตัว” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำตำหนิของพี่ชาย
“ขะ...ข้า เต็มใจ” อาลี่เอ่ยปากส่งเสียงไกล่เกลี่ย
อาลี่รู้ดีว่าหยางเหลาหู่แม้มีรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดัน แต่ความจริงเป็นคนใจอ่อนขี้สงสาร พบเจอแมวหมาบาดเจ็บหรืออดยากก็หิ้วคอกลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เขาดูแลทุกครั้งไป เหมือนที่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นมาจากโคลนตมในวันนั้น
“ข้ามิเคยเห็นเจ้าไม่เต็มใจสักครั้ง” หยางเหลาหู่ย่นจมูก “มาถึงนี้มีอะไรรึ”
“เข้าเรื่องได้เสียที” หยางกั๋วชิงพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าอยากได้แรงคนไปช่วยขุดลอกทางน้ำทางทิศเหนือ”
“หือ?”
“ข้าวางแผนขยายพื้นที่เพาะปลูกทางทิศเหนือ อีกไม่นานฝนจะมาแล้ว ข้าอยากสำรองน้ำไว้ใช้ยามแล้งด้วย”
หยางเหลาหู่จ้องมองสีหน้าจริงจังของน้องชาย เขาสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยออกมา
“ได้! ข้าจะไปคุมงานให้เอง”
“อย่างไรข้าก็ต้องไปด้วย” น้องชายคลี่กระดาษที่ร่างแผนการเพาะปลูกไว้ให้พี่ชายดู นอกจากพื้นที่เพาะปลูกยังมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์และอีกหลายอย่างที่ทำให้คนเป็นพี่ต้องขมวดคิ้ว
“มากถึงเพียงนี้”
“ท่านเดินทางกลับมาช้า ข้าเลยเพิ่มนั้นเพิ่มนี้เข้าไปอีก”
หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างเคยชิน เรื่องเหล่านี้เขาเคยปรึกษาพี่ใหญ่มาก่อนแล้ว มั่นใจว่าพี่ชายไม่คัดค้านอะไร เขาจึงเพิ่มรายการสิ่งที่ควรทำเข้าไปอีกหลายรายการ อย่างไรก็มีคนมีแรงงานให้ใช้อยู่แล้ว จะเป็นอะไรไปเล่า
“ข้าเดินทางตามกำหนดเวลาไม่เคยล่าช้า” หยางเหลาหู่โคลงศีรษะแล้วมองไปทางอาลี่ “อยู่ด้วยกันเจ้ามิห้ามปรามกั๋วชิ่งบ้าง”
อาลี่เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม
“ปรึกษาท่านพ่อดีแล้ว?”
“แน่นอน แต่อย่างไรท่านเป็นพี่ใหญ่ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”
“ถ้าเจ้าคิดว่าวันๆ ข้าอยู่สบายเกินไปจึงหาเรื่องหางานให้ข้าทำเพิ่มขนาดนี้ก็ตามใจเจ้า”
หยางเหลาหู่แสร้งบ่นไปอย่างนั้น แต่ไม่คิดค้านสิ่งที่น้องชายเสนอ สองพี่น้องทำร่วมแรงร่วมใจพาให้สกุลหยางหลุดพ้นความอดอยากทุกข์ยากมาได้ ช่วงที่บิดาล้มป่วย ความเป็นอยู่ของคนในป้อมพยัคฆ์ทมิฬมีความลำบากอยู่ไม่น้อย แม้ไม่ถึงกับอดยากแต่ก็มิสบายนัก เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลับไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นอีก
หยางเหลาหู่เดินนำหน้าจึงไม่รู้ว่าหยางกั๋วชิ่งแอบดึงมืออาลี่ เด็กหนุ่มผอมบางดวงตากระตุกวูบไหว อาลี่พยายามชักมือกลับแต่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แท้จริงหยางกั๋วชิ่งมิได้สนใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรกับเขา หากแต่อาลี่ร้องเป็นฝ่ายร้องขอมิให้แพร่งพรายเรื่องราวเหล่านี้ เขาจึงยอมตามใจ เขาเผด็จการเอาแต่ใจแต่กับอาลี่ เขารู้ว่าการบังคับไม่ใช่หนทางได้หัวใจของอีกฝ่ายมาครอบครอง
“ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปหาท่านพ่อ เจ้าไปก่อนก็แล้วกัน”
“ฮืม” หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ ยอมให้อาลี่ชักมือกลับแล้วติดตามพี่ชายของเขากลับไป
หยางเหลาหู่แม้จะระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่กับน้องชายตัวเองเขากลับละเลยและละเว้นไว้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาเพียงแค่กังวลว่านิสัยไร้ปากเสียงและยอมผู้อื่นเสมอของอาลี่จะทำให้ถูกรังแก โดยเฉพาะ
กับหยางกั๋วชิ่งที่มักหาเรื่องมายืมตัวอาลี่ไปใช้งานบ่อยๆ
‘ข้าไม่ชอบคนพูดมาก’
นั้นเป็นเหตุผลของหยางกั๋วชิ่ง แต่ก็จริง น้อยครั้งหรือแทบจำไม่ได้ว่าอาลี่เคยโต้เถียงใคร ลักษณะนิสัยของอาลี่เองทำอะไรเชื่องช้านิ่มนวล เพราะนิสัยเช่นนี้ที่ทำให้เขาต้องดึงอาลี่มาเป็นบ่าวติดตามตัวจะได้ไม่มีผู้อื่นมากลั่นแกล้งอาลี่ได้
แต่บัดนี้เขามีสาวใช้ที่ยังไม่อาจวางใจในได้ นางเป็นปัญหาชิ้นใหม่ ทำให้เขาต้องรั้งเสี้ยวเวยอยู่ข้างตัวและส่งอาลี่ไปช่วยงานหยางกั๋วชิ่ง อย่างน้อยอาลี่อ่านออกเขียนได้ ช่วยงานน้องชายเขาได้มากกว่าอยู่ข้างตัวเขา
หยางเหลาหู่ขมวดคิ้ว ปลายจมูกได้กลิ่นหอมละมุนอยู่ในห้องตัวเอง เขาก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สายตาปะทะกับร่างเล็กกำลังก้มๆ เงยๆอยู่บนที่นอนของเขา
“เจ้าทำอะไร”
“คุณชายใหญ่”
หลัวเสี้ยวเวยสะดุ้งสุดตัว นางไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามา แม้ว่าอีกฝ่ายรูปร่างใหญ่โต แต่เดินได้เงียบเฉียบดุจแมวย่องก็ว่าได้
“ข้าถามว่าเจ้าทำอะไร” ดวงตาคมหรี่มองอย่างไม่ไว้ใจ อีกฝ่ายกลับถอนหายใจก่อนส่งยิ้มน้อยๆ ออกมา
“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเจ้าค่ะ ป้าอิงอู่สั่ง” นางเอ่ยตอบไปจริง เกรง
ว่า เขาคงคิดว่านางเข้ามาหาหวังให้ท่า ขึ้นเตียงของคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬ
“ทุกครั้งอาลี่เป็นคนทำมิใช่รึ” หยางเหลาหู่ยกมือขึ้นกอดอก ยังไม่ลดความระแวงใจลง
“ป้าอิงอู่บอกว่า งานพวกนี้ให้ข้าซึ่งเป็นสาวใช้เป็นคนทำ”
นางเอ่ยเหมือนท่องจำ ซึ่งก็ใช่ เมื่ออยู่กับบรรดาบ่าวชรา นางถูกสั่งสอนกฏเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เมื่อครั้งอยู่บ้านลุงจางฉวนยังวุ่นวายมากกว่านี้
“เสี่ยวหงบอกอะไรเจ้าบ้าง” เขาเริ่มซักถามพลางถอดเสื้อตัวนอกที่ชุ่มเหงื่อออกแล้วส่งให้นาง หญิงสาวยื่นมือไปรับก้มหน้างุดไม่กล้ามองแผงอกกำยำของอีกฝ่าย
“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่“แค่นั้น?”“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...” ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง “เสร็จแล้วก็ออกไปได้” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไป
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว สายตาเหลือบเห็นสาบเสื้อของเขาไม่เรียบร้อยจึงยื่นมือไปขยับจับให้เข้าที มือเรียวลูบเนื้อผ้าให้เรียบตึง แต่ลืมไปว่ามือของตนนั้นทาบอยู่กับแผงอกของเขา พลันนางรู้สึกถึงร่างที่เกร็งขึ้น มือเล็กรีบชักกลับอย่างเพิ่งนึกได้ เงยหน้าของมองเห็นดวงตาคมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางรีบก้มหน้างุดแล้วหมุนตัวออกไปทันที รีบเดินเสียจนเกือบสะดุดธรณีประตู“ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านใหญ่กับฮูหยิน”“เผื่อข้าด้วย ข้าจะไปกินพร้อมท่านพ่อกับท่านแม่”“เจ้าค่ะ”หลัวเสี้ยวเวยรีบเดินกลับมาที่ครัว เห็นบ่าวคนอื่นเตรียมยกสำรับอาหารไปให้นายท่านใหญ่กับฮูหยินพอดี จึงจัดแจงเพิ่มของคุณชายใหญ่ไปอีกชุด แล้วรีบเดินไปที่เรือนของผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นใบหน้ามีเมตตาของทั้งสองแล้วนางก็สงบใจลงได้ ทำใจให้สงบลงและดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะหยางต๋าเดินไม่ค่อยสะดวก นางจึงรีบเข้าไปหวังจะช่วยประคอง แต่กลับถูกร่างของหยางเหลาหู่เข้ามาเบียดจนนางแทบกระเด็นไปด้านข้าง หลัวเสี้ยวเวยขวับมามองอย่างไม่พอใจนัก “คุณชายใหญ่!”“ทำไมต้องทำเป็นตกใจ” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้มลงกระซิ
เพียงแค่เขาขยับปลายนิ้วกลับล่วงรู้ว่าต้องหยิบยื่นสิ่งใดให้ ที่สำคัญอาลี่อ่านหนังสือออกเขียนได้ แต่เก็บกดความสามารถของตนเองไว้ ด้วยความสงสัยและต้องการจับผิดนั้นทำให้เขากลายเป็นฝ่ายที่ผู้อื่นมองว่า หาเรื่อง‘กลั่นแกล้ง’อาลี่อยู่เสมอ ทำให้พี่ใหญ่หิ้วอาลี่เป็นเด็กรับใช้ข้างตัว เพื่อมิให้คนอื่นกล้ารังแก หยางกั๋วชิงรู้ว่าหยางเหลาหู่มิได้คิดอะไรกับอาลี่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พี่ใหญ่หิ้วกลับมาระหว่างทาง บางคนไร้บ้าน บางคนถูกปล้นชิง บางคนไม่มีที่ไป แม้แต่หมาแมวก็ยังเคยหิ้วกลับมา ทว่าคนที่ดูแลคนเหล่านั้นและสัตว์ตัวเล็กที่พี่ใหญ่หิ้วมาคือเขา เพียงเพราะอยากจับผิด เพียงเพื่ออยากพิสูจน์สิ่งที่ตนคิด กลายเป็นกักขังอีกฝ่ายด้วยไฟปรารถนา ในท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ถูกเขาปลุกเร้าจนเร่าร้อนปลดเปลื้องความต้องการที่อัดแน่น คล้ายเป็นห้วงเวลาที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เมื่อคลื่นพายุอารมณ์พัดผ่านจึงกลับมาเป็นอาลี่ที่นิ่งงัน ความรู้สึกอยากเอาชนะกลายเป็นต้องการปกป้องดูแล เขารู้ว่าอาลี่ไม่คิดร้ายกับเขาหรือผู้อื่น เพียงแค่มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อ
ทว่ากลับได้ยินเสียงหวีดร้อง เท้าของเขาหนักอึ้ง ดวงตาพร่าด้วยเลือดสีสดที่ไหลเข้าตา ทั้งปวดแสบปวดร้อนใบหน้าและเนื้อตัว ร่างล้มกลิ้งไปกับโคลนตมด้านข้างถนน เขาอยู่ตรงนั้นขยับตัวไม่ไหว แม้ดวงตาจะปิดแต่หูกลับได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงเพลิงไหม้ด้านหลัง ที่ผ่านมาไม่เคยมีความสูญเสียเช่นนี้ เขาได้แต่ภาวนาให้ตัวเองได้ตายอย่างสงบ เพื่อได้ติดตามทุกคนไปชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ทว่าเช้าวันต่อมา เขากลับยังมีชีวิตอยู่ และถูกมือใหญ่ของหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นจากข้างถนน “ยังไม่ตายนี่” ‘ไยเขายังไม่ตายอีก’ คราวนั้นเขาจำได้เพียงหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นแล้วส่งตัวไปหลังรถม้า สติของเขาก็ดับวูบไปอีกครั้ง ต่อมาจึงรู้ว่าหยางเหลาหู่มีธุระต้องติดต่อกับคนสกุลหลัว แต่กลับมาช้าไปเพียงวันเดียว พลันเกิดเรื่องเสียก่อน หยางเหลาหู่ให้หมอมาดูแลรักษาของเขาอยู่สองหรือสามวันก่อนจะพากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแห่งนี้ กว่าบาดแผลไฟไหม้จะหายดี เขารักษาตัวนานอยู่เกือบปี กว่าร่างกายจะขยับตัวลุกเดินเหินได้ปกติก็ข้ามไปอีกปี แผลไฟไหม้ยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้เขาใต้เสื้อผ้