ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว
หยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว”
หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่งออกแบบประดิษฐ์เก้าอี้มีล้อไว้อำนวยความสะดวกให้บิดา หลายปีผ่านมาทั้งบิดาและมารดาดูปลงใจกับอาการเจ็บป่วยนี้แล้ว ใช้ชีวิตเรียบง่ายราวกับสิ้นชื่อหยางต๋าแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬ
“ยัยหนูทักทาย เจ้าควรมีมารยาททักตอบหน่อยซิ” ฮูหยินหยุนผิงบ่นลูกชายคนโตที่หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง
“ต้องพูดอะไร ย่อมเห็นอยู่แล้วว่ายืนอยู่ตรงนี้ นั่นแสดงว่าข้ากลับมาแล้วซิ คนถามนั้นแหละถามอะไรไม่รู้จักคิด”
“ไม่ได้ถาม นี่เรียกคำทักทาย” คราวนี้บิดาพูดขึ้นพลางส่ายหน้าไปมาระอาใจกับนิสัยลูกชายคนนี้ และแสดงอาการเข้าข้างเด็กสาวออกนอกหน้านอกตา
“ท่านพ่อท่านแม่ .... นั่นสาวใช้นะ แล้วนี่ข้าเป็นลูก พวกท่านสับสนอะไรหรือเปล่า” เขาทำหน้าไม่พอใจ คล้ายเด็กถูกแย่งความรักอย่างไรไม่รู้
“น้ำชาเจ้าค่ะ”
หลัวเสี้ยวเวยรีบรินน้ำชายกให้ทันทีที่รู้สึกว่าเริ่มมีลมพายุเกิดขึ้นแล้ว เขารับมาแล้วดื่มรวดเดียวเหมือนโมโหนาง โกรธอะไรนักล่ะ นางตั้งใจทำงานดีแล้วนี่นะ วันนี้นางสนุกกับการเข้าครัวมาก ป้าอิงอู่ชอบทำอาหาร แต่เพราะไม่มีใครทนความปากร้ายของป้าอิงอู่ได้นานนัก ไม่ค่อยมีใครอยากอยู่ใกล้ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น สำหรับหลัวเสี้ยวเวยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวจากคุณหนูสกุลหลัวมาเป็นสาวใช้ในบ้านลุงจางฉวน นางพบเห็นชีวิตที่แท้จริง ดิ้นรนเพื่อปากท้อง ละทิ้งยศศักดิ์เหลือเพียงความเป็นหญิงชาวบ้าน แม้บางคืนนางฝันร้าย แต่ชีวิตก็มิได้โหดร้ายนัก ขนาดจะถูกจับขายเป็นอนุนางยังหาทางหลบหนีมาจนได้ นางอยู่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬที่ใครต่อใครพูดกันว่าเข้มงวด ทว่าเบื้องหลังกำแพงสูงนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ชวนให้สร้างรอยยิ้ม
นางถูกสั่งย้ายมานอนที่เรือนไผ่หยกของหยางเหลาหู่แล้ว ตั้งแต่นางเป็นหญิงรับใช้ครึ่งเดือนแล้ว นางกลับพบหน้าคุณชายใหญ่น้อยครั้งมาก เหตุเพราะเขาต้องออกไปคุมการขุดลอกทางส่งน้ำ และอีกหลายอย่างที่นางจำได้ไม่หมด นับว่าเป็นเรื่องดีของนางที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขา ชายผู้นี้ประหลาดนัก ปากพร่ำบอกว่าไม่ไว้ใจนาง แต่ยังให้นางอยู่ใกล้และทำงานในบ้าน หรือเพราะเขาไว้ใจคนที่เสี่ยวหงส่งมาทำงาน
เพราะหยางเหลาหู่มิค่อยได้อยู่ในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ ป้าอิงอู่พานางไปคอยรับใช้นายท่านใหญ่และหยางฮูหยิน ทั้งสองเอ็นดูนางมาก ยิ่งลูกชายทั้งสองเอาแต่วุ่นวายกับงานการ นางจึงถูกเรียกมานั่งฟังผู้ใหญ่นินทาลูกชายทั้งสองคนตนเสียมากกว่า นอกจากงานในครัวแล้ว นางถูกเรียกตัวมาชงชา เตรียมขนมของว่าง อ่านหนังสือให้นายท่านทั้งสอง เย็บปักเป็นเพื่อนหยางฮูหยิน แต่เดิมหยางฮูหยินชอบงานปักผ้ามาก แต่เพราะต้องดูแลสามีอย่างใกล้ชิดประจวบกับอายุมากแล้วสายตาไม่สู้ดีนัก เมื่อเห็นว่านางมีฝีมือด้านนี้จึงได้หยิบอุปกรณ์ปักผ้าออกมาอีกคราว
หลัวเสี้ยวเวยซาบซึ้งในน้ำใจอันหาที่เปรียบมิได้นี้ นางตั้งใจเย็บรองเท้าให้นายท่านใหญ่ แม้ท่านจะไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก แต่ควรมีรองเท้านุ่มๆ ใส่สบายให้เท้าอุ่น หยางฮูหยินเองก็มิได้ว่าอะไร ยินดีให้นางได้ทำตามความต้องการ ซ้ำยังคอยแนะนำการปักผ้า เลือกวางสีด้ายให้นางด้วย
จะว่าไป ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ นางเบิกบานสำราญใจกว่าอยู่ในบ้านลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้เสียอีก ในความหวาดหวั่นว่าจะถูกจับได้เมื่อไหร่ นางจึงพยายามเป็นสาวใช้ที่ดี ทำงานไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เผื่อว่า...ถึงเวลานั้น...นางอาจขอต่อรองให้นายท่านทั้งสองรับนางไว้เป็นสาวใช้จริงๆ
“เจ้ามาพอดี พ่อเพิ่งสั่งให้เสี้ยวเวยเตรียมจัดโต๊ะอาหารมื้อเย็น เจ้าก็มากินพร้อมกัน”
หยางต๋าเรียกลูกชาย แม้มีกันอยู่แค่นี้ แต่ลูกชายก็โตเกินกว่ามาออดอ้อน หรือจะพูดให้ถูก หยางเหลาหู่โตเกินวัยนัก ในวัยเด็ก เขาเรี่ยวแรงพละกำลังมีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ยามเมื่อเขาผู้เป็นบิดาฝึกสอนวรยุทธก็ร่ำเรียนได้รวดเร็ว ผิดกับหยางกั๋วชิ่งที่เกิดตามหลังพี่ชายเพียงสองปี แต่รูปร่างผอมบางกว่า พละกำลังและการฝึกวรยุทธด้อยกว่า ทว่าเรื่องการอ่านเขียนและคิดคำนวณล้วนรวดเร็ว ลูกชายทั้งสองเรียนรู้งานมาตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเขาเจ็บป่วยก็ช่วยทำงานอย่างแข็งขัน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักสร้างชื่อเสียงให้ป้อมพยัคฆ์ทมิฬจนเจริญเติบโตก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้
ชายหนุ่มมองมาทางสาวใช้คนใหม่เหมือนจับผิดแล้วพยักหน้ารับ
“ดี ข้าหิวแล้ว”
“เจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยรับคำแล้วหมุนตัวจะเดินสำรับอาหาร
หยางเหลาหู่พูดแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ แต่นั่งก้นไม่ทันติดเก้าอี้ ถูกมารดาตีแขนเข้าให้จนสะดุ้ง
“ท่านแม่ตีข้าทำไม!”
“จะกินข้าวก็ไปช่วยน้องยกสำรับอาหารออกมาซิ มานั่งรอเป็นคุณชายได้ยังไงกัน”
“น้อง?” หยางเหลาหู่ขมวดคิ้วแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของมารดาก็ทำหน้ายุ่ง
“ข้าซื้อมานางมาเป็นสาวใช้ นางงดูแลข้าก็ถูกแล้วนี่” เขาเถียงมารดาเหมือนเด็ก ที่สำคัญเขาเป็นคุณชายใหญ่ นั่งรอให้คนมาปรนนิบัตินี่มันผิดตรงไหน ฮึ!
“แต่ก่อนเจ้าก็ยังช่วยป้าอิงอู่ยกสำรับอาหารมาให้พ่อกับแม่ แล้วไยคราวนี้ถึงกลับทำตัวเป็นคุณชายขึ้นมา” คราวนี้มารดาดุกลับไม่ยอมกัน
“เป็นหน้าที่ข้าเอง ทุกคนนั่งรอดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ๆ วันนี้มียัยหนูทำของโปรดพ่อกับแม่หลายอย่าง เหลาหู่ไปช่วยน้องเดี๋ยวนี้”
คำสั่งเฉียบขาดของบิดาทำให้หยางเหลาหู่จำใจลุกขึ้นเดินหน้าตึงเข้ามาในครัว สำหรับอาหารถูกเตรียมไว้รอแล้ว
เขาถอนหายใจหนักๆ นี่เขาหาสาวใช้มาช่วยงานบ้านหรือมาให้เพิ่มงานให้ตัวเองกันแน่
เมื่อเห็นร่างสูงเดินจ้ำพรวดตามเข้ามาถึงในครัว หญิงสาวที่วิ่งตามมาดักหน้าไว้รีบยกมือดันแผงอกของเขาไว้ก่อน
“คุณชายใหญ่รอข้างนอกเถิดเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้ายกสำรับอาหารไปเอง”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านพ่อของข้าสั่งหรือไง”
น้ำเสียงดุดันพูดขึ้นทำเอามือเล็กที่ทาบอยู่ที่หน้าอกรีบหดกลับไปทันที หยางเหลาหู่สูดลมหายใจลึก สายตาของบ่าวไพร่ผู้อื่นหันมามองแล้วส่งยิ้มน้อยๆ แต่ละคนล้วนเป็นบ่าวสูงอายุกันหมดแล้ว เพราะคนหนุ่มๆ ไปช่วยงานส่วนอื่น
แม้หลัวเสี้ยวเวยจะเป็นหญิงรับใช้ในบ้านลุงจางฉวนมาหลายปี แต่นางไม่เคยเจอ ‘นายท่าน’ คนใดเข้าครัวมาเตรียมสำรับอาหารเองเช่นนี้ นางหันไปหาบ่าวสูงอายุผู้อื่น เผื่อว่าพวกเขาจะห้ามปรามผู้เป็นนาย แต่กลับเป็นว่าต่างช่วยหยิบจับจานชามใส่ถาดให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถือเสียนี่
“คุณชายใหญ่”
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว สายตาเหลือบเห็นสาบเสื้อของเขาไม่เรียบร้อยจึงยื่นมือไปขยับจับให้เข้าที มือเรียวลูบเนื้อผ้าให้เรียบตึง แต่ลืมไปว่ามือของตนนั้นทาบอยู่กับแผงอกของเขา พลันนางรู้สึกถึงร่างที่เกร็งขึ้น มือเล็กรีบชักกลับอย่างเพิ่งนึกได้ เงยหน้าของมองเห็นดวงตาคมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางรีบก้มหน้างุดแล้วหมุนตัวออกไปทันที รีบเดินเสียจนเกือบสะดุดธรณีประตู“ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านใหญ่กับฮูหยิน”“เผื่อข้าด้วย ข้าจะไปกินพร้อมท่านพ่อกับท่านแม่”“เจ้าค่ะ”หลัวเสี้ยวเวยรีบเดินกลับมาที่ครัว เห็นบ่าวคนอื่นเตรียมยกสำรับอาหารไปให้นายท่านใหญ่กับฮูหยินพอดี จึงจัดแจงเพิ่มของคุณชายใหญ่ไปอีกชุด แล้วรีบเดินไปที่เรือนของผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นใบหน้ามีเมตตาของทั้งสองแล้วนางก็สงบใจลงได้ ทำใจให้สงบลงและดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะหยางต๋าเดินไม่ค่อยสะดวก นางจึงรีบเข้าไปหวังจะช่วยประคอง แต่กลับถูกร่างของหยางเหลาหู่เข้ามาเบียดจนนางแทบกระเด็นไปด้านข้าง หลัวเสี้ยวเวยขวับมามองอย่างไม่พอใจนัก “คุณชายใหญ่!”“ทำไมต้องทำเป็นตกใจ” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้มลงกระซิ
เพียงแค่เขาขยับปลายนิ้วกลับล่วงรู้ว่าต้องหยิบยื่นสิ่งใดให้ ที่สำคัญอาลี่อ่านหนังสือออกเขียนได้ แต่เก็บกดความสามารถของตนเองไว้ ด้วยความสงสัยและต้องการจับผิดนั้นทำให้เขากลายเป็นฝ่ายที่ผู้อื่นมองว่า หาเรื่อง‘กลั่นแกล้ง’อาลี่อยู่เสมอ ทำให้พี่ใหญ่หิ้วอาลี่เป็นเด็กรับใช้ข้างตัว เพื่อมิให้คนอื่นกล้ารังแก หยางกั๋วชิงรู้ว่าหยางเหลาหู่มิได้คิดอะไรกับอาลี่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พี่ใหญ่หิ้วกลับมาระหว่างทาง บางคนไร้บ้าน บางคนถูกปล้นชิง บางคนไม่มีที่ไป แม้แต่หมาแมวก็ยังเคยหิ้วกลับมา ทว่าคนที่ดูแลคนเหล่านั้นและสัตว์ตัวเล็กที่พี่ใหญ่หิ้วมาคือเขา เพียงเพราะอยากจับผิด เพียงเพื่ออยากพิสูจน์สิ่งที่ตนคิด กลายเป็นกักขังอีกฝ่ายด้วยไฟปรารถนา ในท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ถูกเขาปลุกเร้าจนเร่าร้อนปลดเปลื้องความต้องการที่อัดแน่น คล้ายเป็นห้วงเวลาที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เมื่อคลื่นพายุอารมณ์พัดผ่านจึงกลับมาเป็นอาลี่ที่นิ่งงัน ความรู้สึกอยากเอาชนะกลายเป็นต้องการปกป้องดูแล เขารู้ว่าอาลี่ไม่คิดร้ายกับเขาหรือผู้อื่น เพียงแค่มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อ
ทว่ากลับได้ยินเสียงหวีดร้อง เท้าของเขาหนักอึ้ง ดวงตาพร่าด้วยเลือดสีสดที่ไหลเข้าตา ทั้งปวดแสบปวดร้อนใบหน้าและเนื้อตัว ร่างล้มกลิ้งไปกับโคลนตมด้านข้างถนน เขาอยู่ตรงนั้นขยับตัวไม่ไหว แม้ดวงตาจะปิดแต่หูกลับได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงเพลิงไหม้ด้านหลัง ที่ผ่านมาไม่เคยมีความสูญเสียเช่นนี้ เขาได้แต่ภาวนาให้ตัวเองได้ตายอย่างสงบ เพื่อได้ติดตามทุกคนไปชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ทว่าเช้าวันต่อมา เขากลับยังมีชีวิตอยู่ และถูกมือใหญ่ของหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นจากข้างถนน “ยังไม่ตายนี่” ‘ไยเขายังไม่ตายอีก’ คราวนั้นเขาจำได้เพียงหยางเหลาหู่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นแล้วส่งตัวไปหลังรถม้า สติของเขาก็ดับวูบไปอีกครั้ง ต่อมาจึงรู้ว่าหยางเหลาหู่มีธุระต้องติดต่อกับคนสกุลหลัว แต่กลับมาช้าไปเพียงวันเดียว พลันเกิดเรื่องเสียก่อน หยางเหลาหู่ให้หมอมาดูแลรักษาของเขาอยู่สองหรือสามวันก่อนจะพากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแห่งนี้ กว่าบาดแผลไฟไหม้จะหายดี เขารักษาตัวนานอยู่เกือบปี กว่าร่างกายจะขยับตัวลุกเดินเหินได้ปกติก็ข้ามไปอีกปี แผลไฟไหม้ยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้เขาใต้เสื้อผ้
หยางเหลาหู่แม้เก่งกาจในเกือบทุกด้าน แต่เรื่องสตรีนั้น ประสบการณ์การทำความเข้าใจจิตใจของผู้หญิงยังอ่อนด้อยนัก เขาใช้เวลาทุ่มเทให้กับป้อมพยัคฆ์ทมิฬจนละเลยเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว และผู้หญิงที่เขายุ่งด้วยก็มีแต่นางคณิกา ซึ่งพวกนางล้วนแต่เอาอกเอาใจเขาทั้งสิ้น ชายหนุ่มนึกถึงภาพนางผวาขึ้นกลางดึก ท่าทางเหมือนคนหายใจไม่ออกคล้ายจมน้ำ ทำให้เขาพลอยกังวลไปด้วย แม้นางไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกคืน แต่...เขาอดเป็นห่วงอย่างไรเหตุผลไม่ได้ มือเรียวกำลังจะดึงประตูปิดลง แต่มือใหญ่กลับยื่นมาขวางไว้ก่อน ดวงตาที่กลั้นน้ำตาเต็มที่จ้องมองเจ้าของมือที่ยื่นมา ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาดุดันจ้องมองนางอยู่ นางยังไม่ตื่นจากความทุกข์ระทม เผลอถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หลงลืมไปว่าตอนนี้นางเป็นสาวใช้ มิใช่คนหนูหลัว โดยไม่รู้ตัว หยางเหลาหู่ยื่นมือไปใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มของหญิงสาว “เหตุใดดวงตาเจ้าจึงมีน้ำตาเช่นนี้” “อ๊ะ!” นางสะดุ้ง ยกมือขึ้นแตะแก้มของตัวเอง นางร้องไห้เมื่อใดกัน นางผงะถอยหลังแต่ร่างกายซวนเซ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มาพาร่างนา
อ้าปากขึ้นยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงเอะอะด้านนอกทำให้อาลี่รีบขยับตัวลุกจากตักอุ่นโดยเร็ว หยางกั๋วชิ่งทำเสียงไม่พอใจในลำคอแต่ไม่เหนี่ยวรั้งไว้ เขาเพียงหรี่ตามองอย่างจับผิดแต่ไม่เอ่ยอะไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้า เขาจึงลุกขึ้นเดินผ่านร่างของอาลี่ไปราวกับไม่เห็นอีกกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่รับรู้ว่าอาลี่หมุนตัวเดินตามหลังเขาออกมาจากถึงต้นเสียง “พี่ใหญ่” หยางกั๋วชิ่งส่ายหน้าไปมา เห็นลูกน้องสามสี่คนช่วยกันประคอง หยางเหลาหู่เข้ามา แต่เสียงหัวเราะเคล้าเสียงร้องเพลงไม่เป็นทำนองรวมทั้งกลิ่นสุรารสแรง ทำให้บุรุษผู้รักความสะอาดผงะไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นปัดปลายจมูกตนเอง เหมือนไล่กลิ่นดินโคลนที่ลอยอบอวลในเวลานี้ เห็นภาพเบื้องหน้าแล้วคงไม่ต้องถามอะไรอีก “ไยเจ้ายังไม่นอนอีก” หยางเหลาหู่หรี่ตามองน้องชายพลางส่ายหน้าไปมา ยื่นมือหมายจะลูบศีรษะหยอกล้อ แต่หยางกั๋วชิ่งกลับถอยหลังหลบ ขยับเท้าเพียงเล็กน้อยก็หลบฝ่ามือเปื้อนโคลนได้ทันเรียกเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของชายหนุ่มได้ยิ่งนัก “ขะ...ข้าน้อย จะ...จะดูแลคุณชายใหญ่เองขะ..ขอรับ” อาลี่กลั้นยิ้มแล้วทำท่าจะเข้าไปประคองชายร่า