หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
เสียงคมกระบี่ปะทะกันผสานกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เด็กหญิงวัยสิบสามถูกมือของมารดากำแน่นฉุดกระชากให้รีบวิ่งไปนอกคฤหาสน์ เด็กหญิงเหลียวมองไปด้านหลังในยามมืดมิดเช่นนี้กลับมีเปลวไฟโหมไหม้ “ไฟไหม้! ท่านแม่! ไฟไหม้บ้านของเรา!” เด็กหญิงยื้อแขนตัวเองหวังจะกลับไปช่วยผู้อื่นดับไฟที่โหมลุกไหม้ “ไม่ได้! เจ้ากลับไปไม่ได้!” “แล้วท่านพ่อล่ะ ทำไมท่านพ่อไม่มากับเรา” เด็กหญิงจำอะไรได้ไม่มากนัก นางสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงดังคล้ายฟ้าผ่า นางสะดุ้งผวาลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลันประตูห้องเปิดออกอย่างรวดเร็ว ท่านพ่อกับท่านแม่วิ่งเข้ามาคว้าข้อมือเล็กให้วิ่งตามออกมาทั้งที่นางยังสวมแค่ชุดนอน กระทั้งรองเท้าก็ไม่ได้สวมให้เรียบร้อย นางจึงกอดรองเท้าไว้แนบอกในขณะที่มืออีกข้างถูกลากจูงออกมาด้านนอกอย่างทุลักทุเล ร่างเล็กงุนงงและสับสน มารดาชะงักไปเมื่อมีคนมาขวางทาง เสียงระเบิดดังจากด้านหลังทำให้เด็กหญิงหวีดร้อง นางหันไปกลับไปมองเห็นเปลวเพลิงเหนือหลังคฤหสาน์ บัดนี้ท้องฟ้าถูกย้อมสีแดงฉานน่ากลัวยิ่งนัก “ท่านพ่อ” เด็กหญิงร้อ
“ควรมีสาวใช้มาคอยดูแลงานในบ้าน” “บ่าวผู้ชายมันทำงานไม่ได้หรือไง” “บางอย่างมันก็ต้องใช้ผู้หญิงทำ” หยางกั๋วชิ่งส่ายหน้าไปมา “เดินทางคราวนี้ก็หาซื้อสาวใช้มาสักคน”“แถวบ้านเราไม่มีรึ” ซื้อของมาค้าขายวุ่นวายมากพอแล้ว ไยต้องหาซื้อสาวใช้มาอีก คนมิใช่สิ่งของ ถึงมีแข้งมีขาแต่ก็ลำบากที่ต้องคอยดูแลระหว่างเดินทาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่นิยมรับงานคุ้มครอง ‘คน’ นัก“ชื่อเสียงท่านไม่มีผู้ใดกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงแล้ว”“ข้า?”“นายท่านโหดเหี้ยมทำสาวใช้ร้องไห้กระเจิดกระเจิง มีใครกล้ามาเป็นสาวใช้ที่นี่”“แค่ร้องไห้! ข้ามิได้หักแขนขานางเสียหน่อย นางบังอาจยั่วยวนแม้กระทั้งท่านพ่อ ข้าไม่สั่งโบยนางก็ดีเพียงใดแล้ว”“เอาเถอะๆ อย่างไรก็หาสาวใช้มาช่วยแบ่งเบาภาระป้าอิงอู่กับบรรดาสาวใช้รุ่นป้า”หยางเหลาหู่และหยางกั๋วชิ่งเป็นถึงคุณชายของตระกูลหยาง ทว่าบิดามารดาทั้งสองอบรมเลี้ยงดูพวกเขามิให้ถือตนว่าเหนือผู้อื่น หญิงรับใช้อายุมากเหล่านี้ บางคนทำงานมาตั้งแต่บิดาของพวกเขายังไม่แต่งเป็นภรรยาด้วยซ้ำ จึงอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว คนที่เหลืออยู่นี้ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เขาจึงเลี้ยงดูให้อยู่ต
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยทำหน้าไม่ถูก จึงพูดแก้เก้อออกไป “รถม้าของนายท่านสูงไปนะ”“รถม้าของข้าผิดซินะ”“ขออภัยที่ตัวข้าเล็กไปหน่อย”“ทั้งตัวเล็กและขาสั้นด้วย”“ปาก...” ปากคอร้ายกาจเหลือเกิน นางยั้งปากได้ทัน ทำให้ได้แต่ค้อนขวับเข้าให้ “เจ้าพูดอะไร”“เปล่าเจ้าค่ะ” “งั้นเราไปเถอะ”“อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างลืมตัว ไมได้สนใจสายตาดุดันของ หยางเหลาหู่ เขาอ้าปากจะพูดตำหนินาง แต่หญิงสาวกลับมุดเข้าไปด้านในหาที่ให้ตัวเองได้นั่งรวมอยู่กับข้าวของหลายอย่างที่เขาซื้อกลับไปตามรายการของหยางกั๋วชิ่งเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ หลัวเสี้ยวเวยได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ต่อไปนี้ขอลิขิตชีวิตตัวเองเถอะนะ!อาจเป็นเพราะความกังวลและเคร่งเครียดสะสมมานาน ทำให้หญิงสาวเผลอหลับไปในรถม้า รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนรถม้าโคลงไปโคลงมา อาจเพราะถนนขรุขระ นางสะลึมสะลือตื่นไม่เต็มตา แต่รู้สึกว่ามีมือใหญ่ประคองศีรษะไม่ให้ไปกระแทกกับผนังของรถม้า มือหยาบกระด้างนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทว่านางไม่อาจฝืนตื่นได้ จึงปล่อยให้ตัวเองหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรถม้าผ่านทางขรุขระ มือนั้นจึงถอยห่าง นา
ลุงจางฉวนและป้าสะใภ้หลินถิง ภายนอกดูเป็นคนดีโอบอ้อมอารี เห็นนางมาในสภาพน่าเวทนาก็โอบกอดและดูแลอย่างดี ท่านลุงกับท่านป้าให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทางการประกาศแล้วว่าครอบครัวของนางตายหมดรวมทั้งตัวนางเอง ทั้งสองจึงให้นางอยู่ในบ้านสกุลจางในฐานะหญิงรับใช้เพื่อปกปิดร่องรอยของนางเอง ทว่านางกลับได้ทำงานทุกอย่างในบ้านลุงจางฉวนเช่นเดียวกับหญิงรับใช้จริงๆ ลุงจางเป็นญาติทางมารดา แม้ลำดับญาติจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่มีบ้านอยู่ใกล้กันเพียงคนละหมู่บ้าน ลุงจางเป็นเพียงเศรษฐีจางที่กินเงินเก่า ภายนอกเป็นเศรษฐีมั่งคั่งภายในกลวงว่างเปล่า ลูกสาวแต่งเข้าสกุลอื่นไปแล้ว ลูกชายเสเพลผลาญเงินเล่นไปวันๆ แม้เคยเกาะแกะนางอยู่บ้างแต่ไม่เคยล่วงเกิน อาจเพราะว่าอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่บ้าง ทำให้นางอยู่รอดปลอดภัย นางไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนางนั้นเป็นมาอย่างไร ไม่อาจสืบเสาะค้นหาความจริงในข้อนั้นได้ ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้เกลี้ยกล่อมให้นางไม่คิดสืบหาถึงเหตุร้ายในคืนนั้น แม้แต่ป้ายวิญญาณของบิดามารดาหรือเรื่องศพก็ไม่ได้ไปจัดการ เพราะนางคือ
“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว” “เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง“รอบหน้า?” “พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”“ฮืม”หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”“ขะ...ขอรับ” ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป “มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แ
“ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน” “เจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง “มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่ รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย” ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี “นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน” หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้ ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน จากเด
ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย “นี่”เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!” เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาล