“ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง
“มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่ รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย”
ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี
“นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน” หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน
หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้ ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า
หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน จากเดิมที่เป็นคุณหนูหลัวทำสิ่งใดเพียงเพื่อความสนุกผิวเผิน อาหารการกินช่วยแม่ครัวทำเล่นเป็นเรื่องสนุก นางชอบอ่านเขียน แต่งโคลงกลอนกับบิดา ฝึกเย็บปักถักร้อยกับมารดา ทว่าเมื่ออยู่ในบ้านลุงจางฉวนนางกลับต้องทำหน้าที่หญิงรับใช้เต็มตัว อยู่ไปอยู่มาบ่าวไพร่เริ่มลดลง งานของนางมากขึ้น แต่ลุงกับป้าสะใภ้กลับมีเหตุผลสารพัดที่ให้นางทำงานเหล่านั้นจนมือเรียวที่เคยนุ่มนิ่มหยาบกระด้าง อะไรที่ทำไม่เป็นก็ทำเป็นในคราวนั้น
เอาเถิด ความลำบากที่ได้รับทำให้นางยังคงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้
“เสร็จงานในครัวแล้วเจ้ามาพบข้าด้วย”
หยางกั๋วชิ่งสั่งไว้ก่อนที่ตนเองจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ นางนึกขึ้นได้รีบถามออกไป
“ไปพบคุณชายรองที่ใดเจ้าคะ” คำถามของนางทำให้หยางกั๋วชิ่งชะงักไป “ข้าเพิ่งมาใหม่ยังไม่รู้”
“ประเดี๋ยวให้คนพาไปก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
นางเพียงก้มหน้ารับคำสั่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นสัมผัสได้ว่ามีสายตาดุดันจ้องมองอยู่ หญิงสาวไม่รู้ว่าควรยิ้มหรือไม่ แต่ในฐานะที่คนผู้นี้เป็นคุณชายใหญ่ นางจึงก้มหน้าสำรวมกิริยาเดินกลับมาที่ครัวเพื่อจัดการงานที่เหลือ
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณชายรองใจดี”
“อืม” หลัวเสี้ยวเวยได้รับกำลังใจจากผู้อื่นรู้สึกใจชื้นขึ้น เมื่อช่วยคนอื่นจัดการงานในครัวแล้ว และแอบกินมื้อเย็นของตนไปด้วย นางรีบ
ล้างมือเร่งเท้าเดินไปพบคุณชายรอง ตามคำแนะนำของเหล่าบ่าวสูงวัยเหล่านั้น
หญิงสาวอดสังเกตรอบข้างไม่ได้ ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแลดูน่าเกรงขามจริง สมแล้วที่เป็นนสำนักคุ้มภัย ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่เรียกว่าอัตคัด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดมีบ่าวหญิงมีแต่วัยเลยห้าสิบแล้วทั้งนั้น น่าแปลกที่ไม่มีบ่าวหญิงอายุน้อยทำงานบ้านเลย
ร่างเล็กเดินมาจนใกล้ถึงเรือนของคุณชายรอง เป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มร่างบางคนหนึ่ง ประคองถาดน้ำชาเข้ามาเกือบจะพร้อมกับนาง ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นจ้องนางเขม็ง ดวงตาเศร้าคู่นั้นมีแววตกใจอยู่ไม่น้อย
“ข้าชื่อเสี้ยวเวยเป็นหญิงรับใช้คนใหม่ คุณชายรองเรียกให้มาพบ”
อาลี่สูดลมหายใจลึกตามด้วยการพยักหน้ารับ ส่งเสียงแหบแห้งรายงานก่อนผลักบานประตูเข้าไป ชายหนุ่มกำลังอ่านเอกสารตรงหน้า มีลูกคิดวางอยู่ใกล้มือ
“คุณชายรอง” หลัวเสี้ยวเวยเอ่ยอย่างเจียมตัว ชายผู้นี้ดูสุขุมและเปี่ยมความรู้เป็นคุณชายฝ่ายบุ๋นมากกว่าคุณชายใหญ่ที่นางพบ
“เจ้าชื่ออะไร” เขาเอ่ยถามไม่มองหน้า อาลี่วางถาดน้ำชาแล้วรินน้ำชาให้หยางกั๋วชิ่ง จึงเดินมาฝนหมึกให้โดยไม่ต้องรออีกฝ่ายสั่ง
“เสี้ยวเวยเจ้าค่ะ”
“แซ่?”
“ข้าไม่มีแซ่” นางตอบได้แต่พร่ำขอโทษบรรพชนที่ไม่อาจเอ่ยแซ่ของตัวเองออกไป เพื่อความปลอดภัยและลมหายใจของนางเอง “ข้าเป็นเด็กกำพร้า”
อาลี่ชะงักมือไปเล็กน้อย ลอบเงยหน้ามองหญิงสาว เพียงแวบเดียวที่สายตาประสานกัน เขากลับหลุบตาลงตั้งใจฝนหมึกให้คุณชายรอง
“ใครแนะนำเจ้า” แม้หยางกั๋วชิ่งไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า ทว่าสามารถจับความเคลื่อนไหวของอาลี่ได้ชัดเจน
“เสี่ยวหงเจ้าค่ะ” นางจำจากที่หยางเหลาหู่เอ่ยกับนางวันที่พบกันครั้งแรก และอีกครั้งที่ต้องกล่าวคำขอโทษเสี่ยวหงที่นางสวมรอยมาเป็นสาวใช้
คราวนี้หยางกั๋วชิ่งเงยหน้าขึ้นมองเต็มตา ดวงตาคู่นั้นแทบกรีดผิวนางให้เปิดเปลือยตัวตนที่แท้จริง แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งสำรวมและสวมรอยเป็นคนของเสี่ยวหง หยางกั๋วชิ่งไม่สามารถเชื่อใจนางได้ในทันทีแต่เห็นว่ายังมีเวลาสำหรับการจับตามองหญิงสาวคนนี้
“เอาล่ะ เจ้าคอยเรียนรู้งานกับป้าอิงอู่ นางสั่งอะไรก็ทำตามนั้น”
“เจ้าค่ะ” นางมิกล้ายอกย้อนถามว่ารวมทั้งเรื่องรสชาติอาหารด้วยหรือไม่
“ที่นี่มีบ่าวหญิงชราอายุมากอยู่หลายคน เจ้าช่วยดูแลพวกนางหน่อย คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เราอยู่กันอย่างครอบครัว
เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าทราบแล้ว”
“ดี ไปพักเถอะ อะไรที่ควรรู้ป้าอิงอู่จะบอกเอง”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวย่อตัวลงคารวะแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ อาลี่เงยหน้าขึ้นหลังสิ้นเสียงปิดประตู และเหมือนอีกฝ่ายรู้ถึงสายตาของบ่าวหนุ่มผู้นี้ มือแข็งแกร่งกระชากข้อมือข้างหนึ่ง ออกแรงกระตุกเพียงพริบตาอาลี่ก็มานั่งบนตักของเขาแล้ว
“คุ...คุณชาย... รอง”
“พี่ใหญ่ประกาศให้นางอยู่เรือนของเขาแล้ว เจ้าย้ายมาดูแลข้าเต็มตัวเสียทีเถอะ”
“ตะ..แต่..” อาลี่อึกอักใบหน้าขาวซีดเริ่มฝาดสีแดงระเรื่อ
“ข้าอุตส่าห์วางแผนให้พี่ใหญ่หาหญิงรับใช้มาแทนเจ้า เจ้ายังอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อีกเรอะ”
หยางกั๋วชิ่งเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้น ยื่นหน้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมของชาเก็กฮวยจากริมฝีปากของอีกฝ่าย
“บอกแล้วว่าข้าต้องการเพียงเจ้า” หยางกั๋วชิ่งกัดริมฝีปากที่สั่นระริกเบาๆ สอดมือไปในสาบเสื้อของอีกฝ่าย
“ได้หรือไม่”
อาลี่ได้แต่หลับตาพยักหน้าตอบรับด้วยความเต็มใจ แต่ไม่อาจ
ละภาพหญิงสาวผู้นั้นได้ สี่ปีผ่านมา นางเติบโตขึ้นจากเด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว แม้รูปร่างเปลี่ยนไปแต่แววตาของนางยังไม่เคยเปลี่ยน
“อาลี่”
เสียงแหบพร่ากระซิบเรียก ฝ่ามือร้อนปรนเปรอจนบ่าวหนุ่มไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นได้อีก นอกจากความเร่าร้อนและรัญจวนใจที่ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
โดยปกติหยางเหลาหู่เป็นคนกินอิ่มนอนหลับไม่กระสับกระส่าย ทว่าคืนที่ผ่านมาเขาพลิกตัวอยู่บ่อยครั้ง กว่าจะหลับได้เกือบสว่าง เพราะคิดถึงสาวใช้ตัวจิ๋วที่เพิ่งรับเข้ามา ดูท่าทางไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไป แต่เดิมคิดว่านางทำงานอยู่ในครัวคงไม่เป็นอะไร ทว่าบิดามารดาของเขาเอ็นดูนางมาก ทำให้อดระแวงไม่ได้ เขารู้ว่ามารดาอยากมีลูกสาวอีกสักคนแต่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ตั้งครรภ์แรกก็อายุมากแล้ว และบิดาไม่รับอนุเข้าเรือนทำให้มีแค่เขาและน้องชายเพียงสองคนเท่านั้น
เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าเสี่ยวหงส่งผู้หญิงแบบไหนมาให้ จริตมารยาหญิงอาจมีเล่ห์กลอื่นที่เขาไม่อาจล่วงรู้ จิตใจคนเรามีความทะยานอยาก อยากได้อยากมี หวังก้าวหน้าเดินทางลัดก็มาก ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น เห็นตัวเล็กๆ ดูใสซื่อไม่รู้ว่าซ่อนเขี้ยวเล็บไว้หรือไม่
เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขายังต้องการรู้สาเหตุอาการหวาดผวาของนาง
เพราะหน้าที่คือผู้คุ้มภัย เขาจึงระแวงและระวังตลอดเวลา ระหว่างการเดินทางกลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ เขาลอบสังเกตท่าทางของหญิงผู้นั้น มองผิวเผินนางไม่มีอะไรผิดปกติ รูปร่างแบบบางแต่การเดินทางที่ไม่ได้สะดวกสบายนี้ ไม่ได้ทำให้นางโอดครวญแต่อย่างใด พิจารณาแล้วว่านางไม่เป็นวรยุทธ ท่าทางเรียบร้อยไม่เรื่องมากยังเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี นางเป็นผู้หญิงคนเดียวในการเดินทางครั้งนี้ เขาจึงยอมให้นางนอนในรถม้าตามลำพัง
ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย “นี่”เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!” เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาล
“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่“แค่นั้น?”“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...” ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง “เสร็จแล้วก็ออกไปได้” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไป
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว สายตาเหลือบเห็นสาบเสื้อของเขาไม่เรียบร้อยจึงยื่นมือไปขยับจับให้เข้าที มือเรียวลูบเนื้อผ้าให้เรียบตึง แต่ลืมไปว่ามือของตนนั้นทาบอยู่กับแผงอกของเขา พลันนางรู้สึกถึงร่างที่เกร็งขึ้น มือเล็กรีบชักกลับอย่างเพิ่งนึกได้ เงยหน้าของมองเห็นดวงตาคมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางรีบก้มหน้างุดแล้วหมุนตัวออกไปทันที รีบเดินเสียจนเกือบสะดุดธรณีประตู“ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านใหญ่กับฮูหยิน”“เผื่อข้าด้วย ข้าจะไปกินพร้อมท่านพ่อกับท่านแม่”“เจ้าค่ะ”หลัวเสี้ยวเวยรีบเดินกลับมาที่ครัว เห็นบ่าวคนอื่นเตรียมยกสำรับอาหารไปให้นายท่านใหญ่กับฮูหยินพอดี จึงจัดแจงเพิ่มของคุณชายใหญ่ไปอีกชุด แล้วรีบเดินไปที่เรือนของผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นใบหน้ามีเมตตาของทั้งสองแล้วนางก็สงบใจลงได้ ทำใจให้สงบลงและดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะหยางต๋าเดินไม่ค่อยสะดวก นางจึงรีบเข้าไปหวังจะช่วยประคอง แต่กลับถูกร่างของหยางเหลาหู่เข้ามาเบียดจนนางแทบกระเด็นไปด้านข้าง หลัวเสี้ยวเวยขวับมามองอย่างไม่พอใจนัก “คุณชายใหญ่!”“ทำไมต้องทำเป็นตกใจ” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้มลงกระซิ
เพียงแค่เขาขยับปลายนิ้วกลับล่วงรู้ว่าต้องหยิบยื่นสิ่งใดให้ ที่สำคัญอาลี่อ่านหนังสือออกเขียนได้ แต่เก็บกดความสามารถของตนเองไว้ ด้วยความสงสัยและต้องการจับผิดนั้นทำให้เขากลายเป็นฝ่ายที่ผู้อื่นมองว่า หาเรื่อง‘กลั่นแกล้ง’อาลี่อยู่เสมอ ทำให้พี่ใหญ่หิ้วอาลี่เป็นเด็กรับใช้ข้างตัว เพื่อมิให้คนอื่นกล้ารังแก หยางกั๋วชิงรู้ว่าหยางเหลาหู่มิได้คิดอะไรกับอาลี่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พี่ใหญ่หิ้วกลับมาระหว่างทาง บางคนไร้บ้าน บางคนถูกปล้นชิง บางคนไม่มีที่ไป แม้แต่หมาแมวก็ยังเคยหิ้วกลับมา ทว่าคนที่ดูแลคนเหล่านั้นและสัตว์ตัวเล็กที่พี่ใหญ่หิ้วมาคือเขา เพียงเพราะอยากจับผิด เพียงเพื่ออยากพิสูจน์สิ่งที่ตนคิด กลายเป็นกักขังอีกฝ่ายด้วยไฟปรารถนา ในท่าทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ถูกเขาปลุกเร้าจนเร่าร้อนปลดเปลื้องความต้องการที่อัดแน่น คล้ายเป็นห้วงเวลาที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เมื่อคลื่นพายุอารมณ์พัดผ่านจึงกลับมาเป็นอาลี่ที่นิ่งงัน ความรู้สึกอยากเอาชนะกลายเป็นต้องการปกป้องดูแล เขารู้ว่าอาลี่ไม่คิดร้ายกับเขาหรือผู้อื่น เพียงแค่มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อ