Share

Chapter5. เท่าที่เห็นก็นับว่าดี

“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว”  

“เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”

“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง

“รอบหน้า?”  

“พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”

“ฮืม”

หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย  อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว  ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง  ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง  หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก  เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว

“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”

“ขะ...ขอรับ”   ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป  

“มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”

“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”

“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แล้ว เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว”  หยางเหลาหู่วางมือบนศีรษะของอาลี่แล้วโยกไปมา ปากบอกว่า ‘ไม่ใช่เด็ก’ แต่ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กเขาหิ้วขึ้นมาจากข้างทาง   

คราวนั้นอาลี่อายุสิบสาม เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนและบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เรียกว่ารอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์   หยางเหลาหู่ในคราวนั้นเป็นชายหนุ่มที่เติบโตอย่างองอาจ เขาทำงานเดินทางคุ้มกันสินค้าด้วยตนเองแทนบิดามา  พบเห็นเรื่องมากมาย  แม้ไม่ใช่คนจิตใจมีเมตตา แต่เมื่อพบเจอเรื่องใดที่ตนเองพอช่วยเหลือได้ก็เต็มใจทำ 

เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่พบอาลี่ในสภาพปางตาย เขาหิ้วคอเสื้อของอาลี่เหวี่ยงใส่รถม้ากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ ให้บรรดาบ่าวหญิงชราช่วยดูแลรักษา  อาลี่ไม่พูดเรื่องของตัวเอง เขาไม่ถามหรือสืบสาวเอาเรื่องเอาราวใด  มีแค่หยางกั๋วชิ่งที่สอบถามประวัติที่มาที่ไป แต่เพราะอาลี่ตัวเล็กเหมือนเด็กหญิงและถูกคนอื่นหยอกล้ออยู่เสมอ เขาจึงหิ้วคอเสื้ออาลี่ให้มาเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัว   ใช้เวลานานนับปีกว่าบาดแผลจะหายดี เหลือแผลเป็นตามร่างกาย แต่กลายเป็นคนพูดจาติดขัด   เขาตรวจสอบดูแล้วอาลี่ไม่เป็นวรยุทธ แม้บังคับให้เขาฝึกฝนเพื่อป้องกันตัวเองก็ทำได้เพียงเล็กน้อย  เขาไม่ชอบฝืนใจใครจึงไม่ได้บังคับให้อาลี่ฝึกวรยุทธอีก

            อาลี่ช่วยหยางเหลาหู่แต่งกายและเกล้าผม เมื่อเสร็จแล้วจึงถอยห่างอย่างรู้หน้าที่   บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำจึงก้าวเดินตรงไปห้องโถงเพื่อกินมื้อเย็น  เพราะกฏที่ท่านแม่บัญญัติไว้คนในครอบครัวกินข้าวเย็น

พร้อมหน้าพร้อมตากัน  เว้นเสียว่าจะติดงานอื่นที่ไม่อาจมาได้

            หยางต๋าและฮูหยินหยุนผิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หยางกั๋วชิ่งที่เดินเข้ามาเกือบจะพร้อมกัน สองพี่น้องมองอาหารบนโต๊ะ ทั้งเนื้อผักปลาแม้หน้าตาดูเหมือนเดิมแต่กลิ่นหอมนั้น ทำให้พวกเขารีบนั่งลงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในตำแหน่งรองกันลงไป

            “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่เหลาหู่”  บิดาเอ่ยถามราวกับธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว

            “เรียบร้อยดี”  เขาตอบแล้วคีบอาหารเข้าปาก เดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย กินอาหารก็เพียงแค่ให้อิ่มมิได้รู้รสความเอร็ดอร่อยอะไรนัก  ทว่าพอคำแรกเข้าปาก เขาก็ขมวดคิ้ว เมื่อไม่มั่นใจจึงคีบอีกคำเข้าปากไปอีกคำ  หากลิ้นเขาไม่ผิดปกติก็ต้องเป็นอาหารในจาน  เขาเหลือบตามองน้องชายที่มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก

            “ป้าอิงอู่”   หยางเหลาสู่อดไม่ได้เรียกหาแม่ครัวประจำบ้านและยังควบตำแหน่งดูแลบ้านไปอีกด้วย รออยู่อึดใจเจ้าของชื่อก็เดินมา

            “คุณชายใหญ่มีอะไรรึเจ้าคะ”   ป้าอิงอู่พาร่างอวบอ้วนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

            “อาหารนี้?”

            “มีสิ่งใดผิดปกติรึ”

            หยางเหลาหู่หันไปทางหยางกั๋วชิ่ง   เขาไม่ถนัดเลือกใช้คำพูดเหมือนน้องชาย  เขาเป็นคนจำพวกพูดจาโผงผางขวานผ่าซากเกรงว่าพูดตรงเกินไปทำให้เข้าใจผิด  น้องชายเข้าใจสีหน้าย่ำแย่ของพี่ชายจึงเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนประหลาดใจเช่นกัน

            “อาหารมื้อนี้มีผู้ใดช่วยป้าอิงอู่ทำรึ”

            “อ้อ! เป็นเสี้ยวเวยที่เข้ามาช่วยงานในครัว”

            “เสี้ยวเวย?”

            “ผู้หญิงที่คุณชายใหญ่พามาด้วยเจ้าค่ะ”

            เพียงเอ่ยปากว่าเป็นผู้หญิงที่หยางเหลาหู่พามาทำให้ทุกคนที่กำลังรุมแย่งกินอาหารบนโต๊ะนิ่งไป ป้าอิงอู่ถอนหายใจเบาๆ ให้คนไปตามเสี้ยวเวยเข้ามา  ไม่นานนักร่างเล็กในชุดสาวใช้มีผ้ากันเปื้อนคาดทับรีบเร่งเดินเข้ามาราวกับจะวิ่งเลยทีเดียว

            แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่โครงหน้าอ่อนหวานและดวงตาเป็นประกายดุจหยด ทำให้ผู้ที่สบตาด้วยไม่อาจถอนสายตาไปจากนางได้

“เหลาหู่นี่เจ้าพาเมียมาให้พ่อแม่รู้จักแล้วเรอะ!”  หยางต๋าส่งเสียงดังด้วยความยินดี เห็นเพียงแวบแรกกลับพอใจที่จะได้ลูกสะใภ้หน้าตาน่ารักเช่นนี้

คำพูดของชายวันหกสิบเจ็ดทำเอาหลัวเสี้ยวเวยหน้าแดงขึ้นมา นางยกมือขึ้นโบกไปมาปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวเป็นสาวใช้”

“ตายจริง! เหลาหู่! เจ้าไปเอาน้องมาจากไหน ตัวเล็กแบบนี้จะ

ทำงานหนักได้อย่างไรกัน  นางเป็นผู้หญิงของเจ้าก็บอกมาเถอะ อายุขนาดนี้แล้วพ่อกับแม่รับได้”  

เพราะทั้งสองมีบุตรเมื่อตอนที่อายุมากแล้ว  และหยางต๋าไม่รับอนุ  มีเพียงฮูหยินผู้เดียวจึงมีบุตรชายที่เอาใจยากอยู่สองคนเพียงแค่นี้

หยางเหลาหู่ได้ยินบิดามารดาพูดเช่นนั้นถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ   

“นางเป็นสาวใช้จริงๆ” เขาทำหน้าเบื่อหน่าย พอเหลือบมองใบหน้าหญิงสาวตัวเล็กที่เขินอายจนใบหน้าแดงจัด  เขาอดยอมรับไม่ได้ว่า นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเป็นประกาย ปากนิด จมูกหน่อย มีอะไรให้ชวนมองไม่น้อยเหมือนกัน

“ชื่ออะไรล่ะยัยหนู”  หยางต๋าถามด้วยความเอ็นดู

“เสี้ยวเวยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยอย่างมีมารยาททำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกถูกชะตา  “นายท่านกับฮูหยิน ต้องการอะไรเรียกใช้ได้เลยเจ้าค่ะ เห็นตัวเล็กแบบนี้ข้ามีเรี่ยวแรงมิใช่น้อย”

“ไยเรียกห่างเหินเช่นนั้น เรียกพ่อกับแม่ก็ได้ลูก”  ฮูหยินหยุนผิงนึกเอ็นดูนัก  ใจจริงนางอยากมีลูกสาวน่ารักๆ อีกสักคน  แต่สุขภาพไม่เอื้ออำนวย  เบ่งลูกชายได้สองคนก็ต้องถอดใจ

“แค่กๆ”  คราวนี้หยางเหลาหู่ถึงสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่คิดว่ามารดาของเขาจะแสดงความชื่นชมออกหน้าออกตาแบบนี้  

“มิกล้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมาอยู่ในฐานะสาวใช้ไม่สมควรตีตนเสมอนาย” 

“พูดจาน่าฟังดีจริง  เอาเถอะๆ งานที่นี่ก็มีแค่ดูแลคนแก่อย่างเราสองคนกับลูกชายหัวรั้น แต่ถ้ามันกล้าหือละก็มาฟ้องพ่อกับแม่ได้ เอ่อ...แล้วนี่นอนที่ไหนล่ะ มานอนเรือนใหญ่กับพ่อแม่ก็ได้  ไอ้ลูกบ้านี่มันก็สร้างเรือนหลังใหญ่โตแต่ให้พ่อกับแม่อยู่กันแค่สองคน ไม่รู้จักรีบมีลูกมีหลานให้พ่อแม่ได้อุ้มเล่น”

“นางอยู่เรือนของข้า”  หยางเหลาหู่พูดตัดบท  “ข้าไม่ไว้ใจ เกิดนางมาลักขโมยข้าวของหรือทำร้ายพ่อกับแม่ขึ้นมาจะทำเช่นไร”

“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นนะ”   

นางหันไปเถียงเขา แต่ริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าไปทางอื่น    

“คำพูดไม่น่าเชื่อถือเท่าการกระทำ ข้าจะรอดูแล้วกันว่าเจ้าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดหรือเปล่า”  เขาโบกมือไล่คล้ายตัดบทไม่ต้องการพูดเรื่องพวกนี้อีก

            “อาหารมื้อนี้...”

            “ป้าอิงอู่เมตตาสอนให้ข้าทำอาหารเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ารสชาติถูกปากหรือไม่”

            ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ป้าอิงอู่มิใช่แค่แม่ครัวแต่เสมือนคนในครอบครัว ทุกคนที่นี่อยู่อย่างครอบครัวใหญ่  ฝืนทนอาหารรสชาติย่ำแย่ของป้าอิงอู่แต่ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งนี้ออกไป  ก่อนนั้นฝีมือป้าอิงอู่นับว่าเลิศรสนัก แต่ในระยะหลังการรสชาติเปลี่ยน  แม้หน้าตาอาหารจะเป็นเช่นเดิม คาดเดาว่าเพราะอายุที่มากขึ้น  ทำให้การรับรู้รสของป้าอิงอู่เปลี่ยนไป ภายนอกดูกระฉับกระเฉงแต่แท้ที่จริงนางเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status