“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว”
“เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”
“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง
“รอบหน้า?”
“พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”
“ฮืม”
หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว
“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”
“ขะ...ขอรับ” ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป
“มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”
“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”
“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แล้ว เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว” หยางเหลาหู่วางมือบนศีรษะของอาลี่แล้วโยกไปมา ปากบอกว่า ‘ไม่ใช่เด็ก’ แต่ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กเขาหิ้วขึ้นมาจากข้างทาง
คราวนั้นอาลี่อายุสิบสาม เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนและบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เรียกว่ารอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ หยางเหลาหู่ในคราวนั้นเป็นชายหนุ่มที่เติบโตอย่างองอาจ เขาทำงานเดินทางคุ้มกันสินค้าด้วยตนเองแทนบิดามา พบเห็นเรื่องมากมาย แม้ไม่ใช่คนจิตใจมีเมตตา แต่เมื่อพบเจอเรื่องใดที่ตนเองพอช่วยเหลือได้ก็เต็มใจทำ
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่พบอาลี่ในสภาพปางตาย เขาหิ้วคอเสื้อของอาลี่เหวี่ยงใส่รถม้ากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ ให้บรรดาบ่าวหญิงชราช่วยดูแลรักษา อาลี่ไม่พูดเรื่องของตัวเอง เขาไม่ถามหรือสืบสาวเอาเรื่องเอาราวใด มีแค่หยางกั๋วชิ่งที่สอบถามประวัติที่มาที่ไป แต่เพราะอาลี่ตัวเล็กเหมือนเด็กหญิงและถูกคนอื่นหยอกล้ออยู่เสมอ เขาจึงหิ้วคอเสื้ออาลี่ให้มาเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัว ใช้เวลานานนับปีกว่าบาดแผลจะหายดี เหลือแผลเป็นตามร่างกาย แต่กลายเป็นคนพูดจาติดขัด เขาตรวจสอบดูแล้วอาลี่ไม่เป็นวรยุทธ แม้บังคับให้เขาฝึกฝนเพื่อป้องกันตัวเองก็ทำได้เพียงเล็กน้อย เขาไม่ชอบฝืนใจใครจึงไม่ได้บังคับให้อาลี่ฝึกวรยุทธอีก
อาลี่ช่วยหยางเหลาหู่แต่งกายและเกล้าผม เมื่อเสร็จแล้วจึงถอยห่างอย่างรู้หน้าที่ บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำจึงก้าวเดินตรงไปห้องโถงเพื่อกินมื้อเย็น เพราะกฏที่ท่านแม่บัญญัติไว้คนในครอบครัวกินข้าวเย็น
พร้อมหน้าพร้อมตากัน เว้นเสียว่าจะติดงานอื่นที่ไม่อาจมาได้
หยางต๋าและฮูหยินหยุนผิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หยางกั๋วชิ่งที่เดินเข้ามาเกือบจะพร้อมกัน สองพี่น้องมองอาหารบนโต๊ะ ทั้งเนื้อผักปลาแม้หน้าตาดูเหมือนเดิมแต่กลิ่นหอมนั้น ทำให้พวกเขารีบนั่งลงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในตำแหน่งรองกันลงไป
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่เหลาหู่” บิดาเอ่ยถามราวกับธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว
“เรียบร้อยดี” เขาตอบแล้วคีบอาหารเข้าปาก เดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย กินอาหารก็เพียงแค่ให้อิ่มมิได้รู้รสความเอร็ดอร่อยอะไรนัก ทว่าพอคำแรกเข้าปาก เขาก็ขมวดคิ้ว เมื่อไม่มั่นใจจึงคีบอีกคำเข้าปากไปอีกคำ หากลิ้นเขาไม่ผิดปกติก็ต้องเป็นอาหารในจาน เขาเหลือบตามองน้องชายที่มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก
“ป้าอิงอู่” หยางเหลาสู่อดไม่ได้เรียกหาแม่ครัวประจำบ้านและยังควบตำแหน่งดูแลบ้านไปอีกด้วย รออยู่อึดใจเจ้าของชื่อก็เดินมา
“คุณชายใหญ่มีอะไรรึเจ้าคะ” ป้าอิงอู่พาร่างอวบอ้วนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“อาหารนี้?”
“มีสิ่งใดผิดปกติรึ”
หยางเหลาหู่หันไปทางหยางกั๋วชิ่ง เขาไม่ถนัดเลือกใช้คำพูดเหมือนน้องชาย เขาเป็นคนจำพวกพูดจาโผงผางขวานผ่าซากเกรงว่าพูดตรงเกินไปทำให้เข้าใจผิด น้องชายเข้าใจสีหน้าย่ำแย่ของพี่ชายจึงเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนประหลาดใจเช่นกัน
“อาหารมื้อนี้มีผู้ใดช่วยป้าอิงอู่ทำรึ”
“อ้อ! เป็นเสี้ยวเวยที่เข้ามาช่วยงานในครัว”
“เสี้ยวเวย?”
“ผู้หญิงที่คุณชายใหญ่พามาด้วยเจ้าค่ะ”
เพียงเอ่ยปากว่าเป็นผู้หญิงที่หยางเหลาหู่พามาทำให้ทุกคนที่กำลังรุมแย่งกินอาหารบนโต๊ะนิ่งไป ป้าอิงอู่ถอนหายใจเบาๆ ให้คนไปตามเสี้ยวเวยเข้ามา ไม่นานนักร่างเล็กในชุดสาวใช้มีผ้ากันเปื้อนคาดทับรีบเร่งเดินเข้ามาราวกับจะวิ่งเลยทีเดียว
แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่โครงหน้าอ่อนหวานและดวงตาเป็นประกายดุจหยด ทำให้ผู้ที่สบตาด้วยไม่อาจถอนสายตาไปจากนางได้
“เหลาหู่นี่เจ้าพาเมียมาให้พ่อแม่รู้จักแล้วเรอะ!” หยางต๋าส่งเสียงดังด้วยความยินดี เห็นเพียงแวบแรกกลับพอใจที่จะได้ลูกสะใภ้หน้าตาน่ารักเช่นนี้
คำพูดของชายวันหกสิบเจ็ดทำเอาหลัวเสี้ยวเวยหน้าแดงขึ้นมา นางยกมือขึ้นโบกไปมาปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวเป็นสาวใช้”
“ตายจริง! เหลาหู่! เจ้าไปเอาน้องมาจากไหน ตัวเล็กแบบนี้จะ
ทำงานหนักได้อย่างไรกัน นางเป็นผู้หญิงของเจ้าก็บอกมาเถอะ อายุขนาดนี้แล้วพ่อกับแม่รับได้”
เพราะทั้งสองมีบุตรเมื่อตอนที่อายุมากแล้ว และหยางต๋าไม่รับอนุ มีเพียงฮูหยินผู้เดียวจึงมีบุตรชายที่เอาใจยากอยู่สองคนเพียงแค่นี้
หยางเหลาหู่ได้ยินบิดามารดาพูดเช่นนั้นถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ
“นางเป็นสาวใช้จริงๆ” เขาทำหน้าเบื่อหน่าย พอเหลือบมองใบหน้าหญิงสาวตัวเล็กที่เขินอายจนใบหน้าแดงจัด เขาอดยอมรับไม่ได้ว่า นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเป็นประกาย ปากนิด จมูกหน่อย มีอะไรให้ชวนมองไม่น้อยเหมือนกัน
“ชื่ออะไรล่ะยัยหนู” หยางต๋าถามด้วยความเอ็นดู
“เสี้ยวเวยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยอย่างมีมารยาททำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกถูกชะตา “นายท่านกับฮูหยิน ต้องการอะไรเรียกใช้ได้เลยเจ้าค่ะ เห็นตัวเล็กแบบนี้ข้ามีเรี่ยวแรงมิใช่น้อย”
“ไยเรียกห่างเหินเช่นนั้น เรียกพ่อกับแม่ก็ได้ลูก” ฮูหยินหยุนผิงนึกเอ็นดูนัก ใจจริงนางอยากมีลูกสาวน่ารักๆ อีกสักคน แต่สุขภาพไม่เอื้ออำนวย เบ่งลูกชายได้สองคนก็ต้องถอดใจ
“แค่กๆ” คราวนี้หยางเหลาหู่ถึงสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่คิดว่ามารดาของเขาจะแสดงความชื่นชมออกหน้าออกตาแบบนี้
“มิกล้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมาอยู่ในฐานะสาวใช้ไม่สมควรตีตนเสมอนาย”
“พูดจาน่าฟังดีจริง เอาเถอะๆ งานที่นี่ก็มีแค่ดูแลคนแก่อย่างเราสองคนกับลูกชายหัวรั้น แต่ถ้ามันกล้าหือละก็มาฟ้องพ่อกับแม่ได้ เอ่อ...แล้วนี่นอนที่ไหนล่ะ มานอนเรือนใหญ่กับพ่อแม่ก็ได้ ไอ้ลูกบ้านี่มันก็สร้างเรือนหลังใหญ่โตแต่ให้พ่อกับแม่อยู่กันแค่สองคน ไม่รู้จักรีบมีลูกมีหลานให้พ่อแม่ได้อุ้มเล่น”
“นางอยู่เรือนของข้า” หยางเหลาหู่พูดตัดบท “ข้าไม่ไว้ใจ เกิดนางมาลักขโมยข้าวของหรือทำร้ายพ่อกับแม่ขึ้นมาจะทำเช่นไร”
“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นนะ”
นางหันไปเถียงเขา แต่ริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าไปทางอื่น
“คำพูดไม่น่าเชื่อถือเท่าการกระทำ ข้าจะรอดูแล้วกันว่าเจ้าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดหรือเปล่า” เขาโบกมือไล่คล้ายตัดบทไม่ต้องการพูดเรื่องพวกนี้อีก
“อาหารมื้อนี้...”
“ป้าอิงอู่เมตตาสอนให้ข้าทำอาหารเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ารสชาติถูกปากหรือไม่”
ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ป้าอิงอู่มิใช่แค่แม่ครัวแต่เสมือนคนในครอบครัว ทุกคนที่นี่อยู่อย่างครอบครัวใหญ่ ฝืนทนอาหารรสชาติย่ำแย่ของป้าอิงอู่แต่ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งนี้ออกไป ก่อนนั้นฝีมือป้าอิงอู่นับว่าเลิศรสนัก แต่ในระยะหลังการรสชาติเปลี่ยน แม้หน้าตาอาหารจะเป็นเช่นเดิม คาดเดาว่าเพราะอายุที่มากขึ้น ทำให้การรับรู้รสของป้าอิงอู่เปลี่ยนไป ภายนอกดูกระฉับกระเฉงแต่แท้ที่จริงนางเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน
“ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน” “เจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง “มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่ รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย” ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี “นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน” หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้ ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน จากเด
ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย “นี่”เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!” เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาล
“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่“แค่นั้น?”“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...” ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง “เสร็จแล้วก็ออกไปได้” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไป
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว สายตาเหลือบเห็นสาบเสื้อของเขาไม่เรียบร้อยจึงยื่นมือไปขยับจับให้เข้าที มือเรียวลูบเนื้อผ้าให้เรียบตึง แต่ลืมไปว่ามือของตนนั้นทาบอยู่กับแผงอกของเขา พลันนางรู้สึกถึงร่างที่เกร็งขึ้น มือเล็กรีบชักกลับอย่างเพิ่งนึกได้ เงยหน้าของมองเห็นดวงตาคมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางรีบก้มหน้างุดแล้วหมุนตัวออกไปทันที รีบเดินเสียจนเกือบสะดุดธรณีประตู“ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านใหญ่กับฮูหยิน”“เผื่อข้าด้วย ข้าจะไปกินพร้อมท่านพ่อกับท่านแม่”“เจ้าค่ะ”หลัวเสี้ยวเวยรีบเดินกลับมาที่ครัว เห็นบ่าวคนอื่นเตรียมยกสำรับอาหารไปให้นายท่านใหญ่กับฮูหยินพอดี จึงจัดแจงเพิ่มของคุณชายใหญ่ไปอีกชุด แล้วรีบเดินไปที่เรือนของผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นใบหน้ามีเมตตาของทั้งสองแล้วนางก็สงบใจลงได้ ทำใจให้สงบลงและดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะหยางต๋าเดินไม่ค่อยสะดวก นางจึงรีบเข้าไปหวังจะช่วยประคอง แต่กลับถูกร่างของหยางเหลาหู่เข้ามาเบียดจนนางแทบกระเด็นไปด้านข้าง หลัวเสี้ยวเวยขวับมามองอย่างไม่พอใจนัก “คุณชายใหญ่!”“ทำไมต้องทำเป็นตกใจ” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้มลงกระซิ