ลุงจางฉวนและป้าสะใภ้หลินถิง ภายนอกดูเป็นคนดีโอบอ้อมอารี เห็นนางมาในสภาพน่าเวทนาก็โอบกอดและดูแลอย่างดี ท่านลุงกับท่านป้าให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทางการประกาศแล้วว่าครอบครัวของนางตายหมดรวมทั้งตัวนางเอง ทั้งสองจึงให้นางอยู่ในบ้านสกุลจางในฐานะหญิงรับใช้เพื่อปกปิดร่องรอยของนางเอง ทว่านางกลับได้ทำงานทุกอย่างในบ้านลุงจางฉวนเช่นเดียวกับหญิงรับใช้จริงๆ
ลุงจางเป็นญาติทางมารดา แม้ลำดับญาติจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่มีบ้านอยู่ใกล้กันเพียงคนละหมู่บ้าน ลุงจางเป็นเพียงเศรษฐีจางที่กินเงินเก่า ภายนอกเป็นเศรษฐีมั่งคั่งภายในกลวงว่างเปล่า ลูกสาวแต่งเข้าสกุลอื่นไปแล้ว ลูกชายเสเพลผลาญเงินเล่นไปวันๆ แม้เคยเกาะแกะนางอยู่บ้างแต่ไม่เคยล่วงเกิน อาจเพราะว่าอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่บ้าง ทำให้นางอยู่รอดปลอดภัย นางไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนางนั้นเป็นมาอย่างไร ไม่อาจสืบเสาะค้นหาความจริงในข้อนั้นได้ ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้เกลี้ยกล่อมให้นางไม่คิดสืบหาถึงเหตุร้ายในคืนนั้น แม้แต่ป้ายวิญญาณของบิดามารดาหรือเรื่องศพก็ไม่ได้ไปจัดการ เพราะนางคือคนที่ตายไปแล้ว ผ่านมาสี่ปีที่นางอยู่ในฐานะสาวใช้ นางควรลืมไปแล้วว่านางเคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย ใช่...นางควรลืมมันไป ถ้า...ถ้านางเลิกฝันร้ายเสียที นางมักจะฝันถึงช่วงเวลาที่ตนเองถูกจับกดน้ำ ความหวาดกลัว ความเยียบเย็นของกระแสน้ำ หัวใจที่กำลังจะหยุดเต้นและสติที่กำลังจะหลุดลอย ก่อนที่นางจะผวาเฮือกขึ้นมาสูดอากาศอีกครั้ง หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง หลายคืนที่นอนในรถม้า นางไม่รู้ว่าตัวเองฝันถึงคืนนั้นหรือไม่ แม้มีคนเดินทางร่วมกันหลายสิบชีวิต แต่นางได้ยึดครองนอนในรถม้าเพียงผู้เดียว นางกลัวว่าตนเองเผลอร้องละเมอในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป สี่ปีมันเหมือนยาวนานและแสนสั้นในคราวเดียว สี่ปีที่ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้ใช้มันเป็นข้ออ้าง ขายนางเป็นอนุให้เพื่อนเศรษฐีของลุงจาง ทั้งคำอ่อนหวานหว่านล้อมจนกลายเป็นขู่บังคับให้นางเป็นอนุ หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งยืนกรานที่จะไม่ยอมใช้หนี้บุญคุณด้วยการเป็นอนุอย่างเด็ดขาด “เจ้าอายุขนาดนี้แล้ว ตบแต่งไปเป็นอนุก็ดีมากเพียงใดแล้ว” “ให้ข้าทำอย่างอื่นมิได้หรือ? ไยต้องขายข้าเป็นอนุ” “เจ้ามันคนอกตัญญู!” หลังจากถูกด่าประนามอยู่ครึ่งเดือน ป้าสะใภ้ใช้ไม้อ่อนกับนางบอกเล่าถึงสถานะการเงินที่ย่ำแย่ของครอบครัว “เจ้ามีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย เพื่อนป้าเปิดร้านเสื้อผ้าในเมืองหลวงเวลานี้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเจ้ากับป้าไปพบนางเสียหน่อย เจ้าเอาตัวอย่างงานของตนไปด้วย เผื่อรับงานเล็กน้อยๆ พอเป็นรายได้” ครานั้นนางไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ของป้าสะใภ้ คิดไปเองว่าคงถอดใจเรื่องขายนางเป็นอนุไปแล้ว นางจึงเก็บตัวอย่างผ้าปักของนางใส่ห่อผ้า ติดตามป้าสะใภ้ไปที่โรงเตี้ยม แม้นึกประหลาดใจที่ไม่ได้ไปบ้านเพื่อนของป้าสะใภ้ แต่ก็ยอมนั่งรอจนกระทั้งเศรษฐีหยงเต๋อพาร่างอ้วนกลมเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว ไปเถิดเสี้ยวเวย กลับบ้านกับข้า” “ท่าน!ท่านพูดเรื่องอันใดกัน!” “ลุงกับป้าสะใภ้ของเจ้าทำสัญญาขายตัวเจ้าให้ข้าแล้ว” เศรษฐีหยงเต๋อโบกกระดาษสัญญาในมือไปมา นางนิ่งงันไป ถูกหลอกแล้ว? จะทำอย่างไรดี เห็นเศรษฐีหยงเต๋อเข้ามาหมายจะโอบกอด นางหมุนตัวหลบแล้วส่งยิ้มหวาน “ท่านเศรษฐีอย่าใจร้อน โปรดรอข้าสักประเดี๋ยวเถิด ข้าตื่นเต้นดีใจจนอยากไปห้องน้ำสักครู่” “เช่นนั้นรีบไปรีบมา ข้าจะรอตรงนี้” “อืม” นางพยักหน้ารับด้วยท่าทีเอียงอายอ่อนหวาน กอดห่อผ้าตัวเองแน่น เดินออกมาได้พ้นสายตาคนพวกนั้น นางรีบวิ่งทันที แต่เพราะนางวิ่งได้ไม่เร็วอย่างที่คิดและคนของเศรษฐีหยงเต๋อเฝ้าจับตามองนางอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่านางกำลังหลบหนีก็เร่งรีบวิ่งตามนางมาทันที นางเห็นประตูห้องหนึ่งแง้มอยู่จึงรีบเข้ามาหลบซ่อน รอจังหวะหาทางออกจากที่นี่ ทว่ากลับพบบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดันแถมปากคอร้ายกาจอีกต่างหาก “เสี่ยวหงส่งเจ้ามาใช่ไหม” เขาถามและไม่รอคำตอบ “มาทำงานเป็นสาวใช้?” เพราะรู้ว่าด้านนอกกำลังตามหานางอยู่ ในเวลาขับขันนางไม่อาจคิดหาทางออกอื่น ได้แต่พร่ำขอโทษที่สวมรอยเป็นผู้อื่น พยักหน้ารับสมอ้างเป็นหญิงรับใช้ที่เขาต้องการ ยิ่งเห็นว่าเขาเร่งรีบเดินทาง นางยิ่งรีบติดตามเขาโดยไม่ถามอะไรสักคำ ขอให้ไปพ้นสถานที่แห่งนั้นได้ นางยอมไปตายเอาดาบหน้า เวลานี้นางก็มาอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแล้ว หญิงสาวกินโจ๊กจนหมดชาม นางต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ คุณหนูหลัวเสี้ยวเวยตายไปตั้งแต่สี่ปีก่อน ไม่มีลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้จอมหลอกลวง ตอนนี้นางเป็นเพียง ‘เสี้ยวเวย’ สาวใช้ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ แต่ก่อนอื่น เห็นทีงานแรกของนางคือปรับปรุงรสอาหารให้ดีกว่าน้ำล้างชามเสียแล้ว หยางกั๋วชิ่งเดินเข้ามาในห้องของพี่ชาย โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาเอนหลังพิงอ่างอาบน้ำอยู่ อาลี่-บ่าวรับใช้ยืนหน้านิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขารับรู้การเข้ามาของคุณชายรองสกุลหยางพร้อมกระดาษรายการในมือ อาลี่ค้อมศีรษะลงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ “สินค้าที่เจ้าสั่งซื้อ ข้าซื้อร้านเดิม” หยางเหลาหู่เอ่ยก่อนที่น้องชายจะขยับปากส่งเสียงถาม “ข้าตรวจสอบแล้ว สินค้าที่ให้พี่ใหญ่ซื้อมาครบทุกรายการขาด ไปหนึ่งรายการ” “หือ?” คราวนี้หยางเหลาหู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน “ขาดสิ่งใด” “หญิงรับใช้” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่ “ข้ายังไม่เห็นเลย ตกลงพี่ใหญ่ได้ซื้อมาหรือไม่” “ข้าซื้อมาแล้ว หิ้วขึ้นรถมาเองกับมือ จะหายไปได้อย่างไร” ชายหนุ่มลืมตาแล้วพลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับน้องชายที่อายุน้อยกว่าเพียงแค่สองปี “เจ้ายังไม่เห็นนางรึ” “ข้ายังไม่เห็นถึงได้มาสอบถาม” เขาตรวจรายการสินค้าอีกครั้งก่อนพับกระดาษแผ่นนั้น “แน่ใจว่าพี่ใหญ่มิได้ทำตกหล่นระหว่างทาง” “เมื่อเช้ามาถึง ข้าเห็นนางลงจากรถม้าอยู่เลย” เขานึกถึงหญิงสาวร่างเล็กที่หิ้วขึ้นรถม้ามาด้วย ตัวนางทั้งผอมทั้งบางไม่รู้จะทำงานไหวหรือไม่ แต่เอาเถิดให้นางมาอยู่กับบรรดาบ่าวชราเหล่านั้นคงไม่ถึงกับกลั้นใจตายไปเสียก่อน “นางยังไม่ได้มารายงานตัวกับข้า” หยางกั๋วชิ่งพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก นอกจากจะเป็นคุณชายรองแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬแล้วเขายังรับตำแหน่งสมุหบัญชีอีกด้วย รวมทั้งจัดเก็บประวัติคนที่เข้ามาทำงานที่นี่ ใครเข้าใครออกป้อมพยัคฆ์ทมิฬต้องทำประวัติเก็บไว้เสมอ “ลองถามคนอื่นที่กลับมาพร้อมข้าก็แล้วกัน” หยางเหล่าหู่ไม่ค่อยสนใจนัก เขาถือว่าตนเองทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยอย่างดียิ่งแล้ว “แล้วพี่ใหญ่ไปได้นางมาจากไหน” ป้อมพยัคฆ์ทมิฬมีกิจการหลายอย่าง ขึ้นชื่อที่สุดคือสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์ทมิฬที่ซื่อสัตย์ เที่ยงตรง คุณธรรม แม้คนที่พี่ใหญ่รับมาทำงานด้วยนั้นจะดูที่ฝีมือและความซื่อสัตย์เป็นหลัก แต่เขาเป็นคนตรวจสอบประวัติเพื่อป้องกันความผิดพลาด อาจมีคนนอกประสงค์ร้ายกับสกุลหยางได้ “ให้เสี่ยวหงหามาให้” “หา!” “เจ้าหาสิ่งใด” หยางเหลาหู่ส่ายหน้าไปมากับท่าทางตกใจของน้องชาย “ให้เสี่ยวหงหามาให้ เช่นนั้นพี่ใหญ่ได้หญิงบำเรอมารึ” “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ข้ามิพาผู้หญิงเช่นนั้นเข้าบ้านหรอก” ความหมายของเขาคือไม่ชอบให้มีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีก เขาย่อมพอใจกับการไปหอนางโลมอย่างเปิดเผยและเป็นครั้งคราวมากกว่าพาหญิงใดมาเลี้ยงดูในฐานะหญิงบำเรอ “พี่ใหญ่ตรวจสอบสินค้าแล้ว?” หยางกั๋วชิ่งก็ยังมิอาจวางใจนัก “แรกทีเดียวเสี่ยวหงก็หาหญิงบำเรอมา แต่โดนข้าขู่ตะคอกกลับไปก็กลัวจนตัวสั่นส่งหญิงรับใช้จริงๆมาให้ เขาหิ้วนางขึ้นรถมาทันทีเพราะเกรงว่าออกจากเมืองช้า จะทำให้เสียเวลาเดินทางมากขึ้น แล้วสินค้าอื่นที่เจ้าสั่งซื้อได้รับล่าช้าหรือเสียหายไปด้วย”“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว” “เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง“รอบหน้า?” “พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”“ฮืม”หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”“ขะ...ขอรับ” ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป “มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แ
“ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน” “เจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง “มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่ รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย” ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี “นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน” หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้ ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน จากเด
ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย “นี่”เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!” เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาล
“ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” จะให้บอกอะไรได้ นางไม่เคยเจอคนที่ชื่อเสี่ยวหงสักครั้งเดียว แค่นี้นางก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว นางมาสวมรอยเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าป่านนี้สาวใช้ตัวจริงเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่ถึงกับสาปแช่งที่นางมาแย่งงานทำเช่นนี้“พูดมา!” เขาถามย้ำอีกครั้ง“บอกว่านายท่านต้องการสาวใช้”หลัวเสี้ยวเวยกลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาไม่เหมาะที่จะสารภาพความจริงในตอนนี้แน่“แค่นั้น?”“เจ้าค่ะ” นางยืนยันแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “นายท่านคงมิได้หมายความว่าต้องการ...” ต้องการอะไร? หยางเหลาหู่กำลังจะอ้าปากถาม แต่เห็นสาวใช้ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดกลัวทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว “ข้าต้องการแค่สาวใช้ เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ไยเขากลับไม่ค่อยพอใจ ที่เห็นท่าทางหวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนาง “เสร็จแล้วก็ออกไปได้” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวแอบถอนหายใจ ‘ท่าทางเอาใจยากจริงๆ’ นางเก็บผ้าปูที่นอนผืนเดิมพร้อมเสื้อชุ่มเหงื่อของเจ้านายแล้วรีบก้าวออกมา เพียงการเดินผ่านทำให้จมูกที่รับสัมผัสได้ไวถึงกลับขยับฟุดฟิดตามร่างเล็กที่กำลังเดินไป
ไม่รู้ว่า ‘สาวใช้’ คนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง บิดากับมารดาของเขาใจดีเกินไป มักสงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเกรงว่าจะตกหลุมพรางเข้าให้ หน้าตาใสซื่อไม่แน่ว่าอาจมาหลอกให้ใครต่อใครตายใจ แม้ไม่ไว้ใจผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวานผู้นั้นมากแค่ไหน หากนางไม่ใช่คนดีอย่างที่พูด เขาหมายใจจะเอาคืนอย่างสาสมที่สุด ลงทัณฑ์แบบที่นางต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวหยางเหลาหู่พาร่างอันเหนื่อยล้าเดินไปเรือนของตน ระหว่างเดินผ่านสวนหย่อมบริเวณที่บิดาและมารดามักชอบออกมาเดินเล่นพักผ่อน เสียงหัวเราะของท่านทั้งสองทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเช่นนี้ เจ้าของร่างสูงชะงักเท้าแล้วเปลี่ยนทิศทางการเดินมายังต้นเสียงที่ได้ยิน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” หยางเหลาหู่ทำหน้ายุ่ง ไม่ค่อยชินกับการทักทายเมื่อกลับบ้านนัก แล้วมองหน้าบิดากับมารดาสลับกันไปมาหาสิ่งผิดปกติอยู่ หลายปีก่อนบิดาของเขาประสบเหตุล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นร่างกายแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เขาสรรหาลากคอหมอชื่อดังเก่งกาจทั่วสารทิศ ทั้งฝังเข็มและยาดีสารพัด แต่อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หยางกั๋วชิ่
“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก“นี่อะไร” เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้ “ไปได้แล้วข้าหิว”“เจ้าค่ะ”สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขันภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่ส
“เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่หวังว่ามันจะดีมาจากใจจริง”“คุณชายใหญ่นี่ไม่ไว้ใจข้าแต่กลับยอมให้ทำงานด้วย ประหลาดจริงๆเชียว” หลัวเสี้ยวเวยมองหน้าเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่ชอบหาเรื่องนาง นางจึงหลงลืมรักษามารยาทที่ควรทำ“นี่เรียกกลยุทธ์ไม่รู้รึ เคยได้ยินหรือไม่ จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”“ถ้าเป็นข้าน้อย...คงเลือกที่หนีให้ห่างมากที่สุด อย่าได้จองเวรกันและกันเลย” นางพูดแล้วเหลือบตามองเขา ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนได้กลิ่นกายบุรุษเพศปนกลิ่นเหนื่อยจางๆ จากเรือนกายกำยำของเขา“เสี้ยวเวย” เขาจ้องหน้านาง “ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วพูดความจริงกับข้า หากข้ารู้จากปากคนอื่นว่าเจ้าโกหกอะไรไว้ รับรองได้เลยว่าเจ้าได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากข้า!” หลัวเสี้ยวเวยแทบลืมหายใจไปกับคำพูดดุดันและสายตาดุจเสือร้ายของเขา ร่างสูงหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงร่างที่ยืนนิ่งตะลึงงันกับการถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มาอยู่แค่ครึ่งเดือนแต่นางก็ประทับใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ยิ่งทั้งสองท่านให้ความเมตตาเอ็นดู นางยิ่งอยากพูดความจริง ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมื่อความจริงปรากฏ นางจะยังได้อยู่ในป้อมพยัค
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่ได้รับมาจากป้าอิงอู่ เพราะนางมาแบบไม่ได้เตรียมตัวจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน นางจำใจต้องโกหกว่าตนเองนั้นยากจน ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีเพียงเนื้อตัวเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดติดตัวมา ป้าอิงอู่ส่ายหน้าระอาใจ แต่กระนั้นก็ค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ยื่นให้นางใช้ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างทำให้นางต้องแก้ไขเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ใส่พอดีตัว นางมาอยู่ที่นี่โดยการสวมรอยเป็นสาวใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา นางเองมิรู้ว่าสาวใช้ที่ถูกส่งมานั้นมีสัญญาซื้อขายอย่างไร นางไม่กล้าเอ่ยปากถามหยางเหลาหู่ กระนั้นการใช้ชีวิตที่นี่มีที่ซุกหัวนอนและกินอิ่มครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหนักใจมากนัก ตั้งใจว่าอดใจรออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันน่าถึงวันจ่ายเบี้ยให้บรรดาบ่าวไพร่ เผื่อนางจะได้รับบ้าง งานของนางเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เมื่อครั้งที่เคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย นางได้รับการบ่มเพาะนิสับให้ตื่นเช้าดูแลปรนนิบัติบิดามารดา นางชอบเตรียมทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เตรียมอาหารแต่ละมื้อ นางยังลงมือเย็บรองเท้าให้คนทั้งสอง ฝีมือของนางนับว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ไม่เ