นั่นสินะ ใครจะหาที่ดินมาขายให้เธอได้ปุบปับเช่นนี้ หญิงสาวนั่งนิ่งอย่างหมดหวัง เพราะหากอยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานที่เดิม หรือมาพักกับนภาธร มารดาของเธอก็ต้องตามตัวเจออีกแน่ ๆ เมื่อเพียงฤดีนั่งนิ่ง นภาธรจึงได้แต่ถอนใจเบา ๆ อย่างนึกสงสาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ
“ฉันรู้ว่าแกชอบดูคลิปทำเกษตร ชอบปลูกต้นหมากรากไม้ แต่การทำเกษตรมันไม่ง่ายอย่างที่แกเห็นในคลิปหรอกนะฤดี แกตัวเล็กแค่นี้จะไปทำงานหนัก ๆ ในไร่ในสวนได้ยังไง แถมอยู่ไกลญาติพี่น้องอีก เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาใครจะดูแล ขนาดฉันมีบ้านอยู่ต่างจังหวัดยังทำไร่ทำสวนไม่ไหวเลย”
นภาธรว่าพลางมองเพื่อนที่นั่งกอดหมอนอิงน้ำตาไหลนองอยู่บนโซฟาอย่างอดเวทนาไม่ได้ เพียงฤดีคงจะทนไม่ไหวอีกแล้วจริง ๆ เพราะเมื่อสองปีก่อนเธอเคยชวนให้เพื่อนออกจากบ้าน มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เพื่อหนีปัญหาที่ถูกครอบครัวคอยรีดไถเงินอยู่เรื่อย เธอก็ห่วงแม่ ห่วงพี่ ห่วงน้องไม่ยอมออกมา แต่คราวนี้ถึงกับอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล ไม่อยากให้ใครตามเจอ
“ฉันบอกว่าต้องการที่ดินแปลงเล็ก ๆ แค่สองสามไร่ หรือไร่ครึ่งไร่ก็พอ ไม่ได้ต้องการจะไปทำสวนทำไร่เป็นหลัก แค่ให้ฉันได้มีที่อยู่เป็นของตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่เช่าเขาอยู่เหมือนทุกวันนี้ก็พอ ฉันเขียนนิยายและทำคอนเทนต์หาเงินได้ แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยากลาออกจากงานมาเขียนนิยายอย่างเดียวมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจสักที ตอนนี้เริ่มมีคนอ่านนิยายฉันเยอะขึ้นแล้ว ถ้าฉันขยันเขียนงานต่อเนื่อง ฉันเชื่อว่าฉันมีช่องทางที่จะเลี้ยงตัวเองรอด
ส่วนที่ดินนั่นน่ะ ฉันก็แค่อยากเอาไว้ปลูกโน่นปลูกนี่กินไปตามเรื่องตามราว ยังไม่กล้าคิดเรื่องไปทำสวนทำไร่แบบเต็มตัวหรอก เพราะฉันรู้ว่ามันหนัก คนไม่มีประสบการณ์แบบฉันหวังพึ่งการทำเกษตรทันทีคงไม่ได้หรอก ฉันแค่อยากได้ที่ห่างไกลผู้คน สามารถมีที่เงียบ ๆ เขียนงาน และเป็นที่ของตัวเองไม่ต้องเช่าใครอีกก็พอ”
“เฮ้อ! โล่งอก” นภาธรถอนหายใจยาว
“ฉันนึกว่าแกจะไปทำสวนทำไร่ซะอีก งั้น เอางี้แล้วกัน ฉันมีที่ดินอยู่สองแปลง แปลงนึงสี่สิบไร่ อีกแปลงนึงสองไร่กว่า ๆ อยู่ติดกันนั่นแหละ ฉันแบ่งแปลงสองไร่กว่า ๆ นี้ให้แกก็แล้วกัน ราคาประเมินก็ตกราว ๆ ไร่ละแสน ฉันเห็นว่าแกเป็นเพื่อนและต้องการที่อยู่จริง ๆ เลยแบ่งขายให้ แต่ที่ดินอยู่ที่ชุมพร ห่างไกลมากนะ มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึง น้ำไฟพร้อม แต่เป็นที่ดินเปล่าไม่มีบ้านนะ แกจะไปอยู่ยังไง”
“ฉันเอา แกขายให้ฉันจริง ๆ นะ” เพียงฤดีรีบตอบรับพลางเขย่าแขนเพื่อนอย่างดีใจ
“เรื่องบ้านค่อยว่ากันทีหลัง ฉันว่าในตัวเมืองแถว ๆ นั้นอาจจะมีบ้านให้เช่า ฉันจะหาเช่าบ้านก่อนสักสองสามเดือน เก็บเงินอีกสักก้อนทำบ้านเล็ก ๆ ช่วงนี้ฉันจะปิดต้นฉบับนิยายเรื่องใหม่น่าจะได้เงินอีกสักก้อนเดือนหน้า แกจะพาฉันไปได้เมื่อไหร่” ตอบอย่างทันทีทันใด
“แกเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน พรุ่งนี้วันศุกร์พอดี ฉันเลิกงานแล้วจะพาไปดู วันจันทร์ลางานอีกวัน จะได้ไปโอนที่ให้ถ้าแกจะซื้อจริง ๆ ขายให้แกก็แล้วกัน เก็บไว้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับไปทำประโยชน์ได้ อาจจะโดนพ่อด่านิดหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยแกก็เป็นเพื่อนฉัน ตอนแก่จะได้ไปอยู่ใกล้ ๆ กัน ถ้าฉันไม่ช่วย แกก็คงหาที่อื่น ยิ่งทำให้ฉันเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก”
“ขอบใจนะนภา แต่ฉันเกรงใจพ่อ แกบอกเขาก่อนดีไหม”
“ถ้าบอกฉันก็ไม่ได้ขายสิ แกไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ตอนนี้ฉันอยากได้กระเป๋าชาเนลใบใหม่อยู่พอดีด้วย ราคาสองแสนนิด ๆ พอ ๆ กับราคาที่ดินที่แกจะซื้อเลย ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องพ่อฉันจัดการได้ เอาตังค์ไปซื้อกระเป๋าก่อน” นภาธรคลี่ยิ้มให้เพื่อน
“เฮ้ย แกจะขายที่ดินเพื่อเอาเงินไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบละสองแสนเนี่ยนะ” ผู้เป็นเพื่อนอุทานเสียงสูง
“เถอะน่า อย่าคิดมาก แกเอาที่ดินไป ฉันเอาเงินมา แกได้ความมั่นคง ฉันได้เงินลงทุน แกรู้ไหมกระเป๋าแบรนด์เนมก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง ไว้วันหลังฉันจะสอนการลงทุนด้วยกระเป๋าแบรนด์เนมให้แก ตอนนี้แกก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านไปเอาของ นี่ใส่เสื้อผ้าฉันไปก่อน” นภาธรเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้ายื่นให้เพื่อน
เพียงฤดีออกจากคอนโดฯ ของเพื่อนในตอนเช้า เธอเดินทางเข้าไปที่บริษัทพร้อมกับเขียนใบลาออกทันที ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ เพราะเป็นการออกโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าตามกฎของบริษัท เธอทนรออีกหนึ่งเดือนไม่ไหวแล้ว เพราะพี่ชายพาเพื่อนมาแทบทุกวัน อีกไม่ช้าไม่นานก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนนี้อีก ซึ่งตอนนั้นเธออาจจะไม่โชคดีเช่นตอนนี้ที่รอดพ้นเงื้อมมือมันมาได้ เพราะหลายครั้งแล้วที่เคยเปรย ๆ กับมารดาเรื่องปัญหาที่พี่ชายพาเพื่อนมากินเหล้าเสียงดังเอะอะในบ้าน
แต่มารดาก็บอกว่าพี่ชายของเธอทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็อยากผ่อนคลายบ้างตามประสาผู้ชาย ให้มากินที่บ้านดีกว่าไปกินเที่ยวนอกบ้าน ดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะต้องคุยเรื่องนี้กันอีก สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเองตอนที่ยังมีหนทางจะดีกว่า
เมื่อยื่นใบลาออกกับฝ่ายบุคคลเสร็จ เธอก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้าน โดยบอกให้แท็กซี่รออยู่หน้าบ้าน แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
เมื่อเข้าไปในบ้านเห็นว่าข้าวของในบ้านยังกระจัดกระจาย แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว เธอรีบขึ้นไปบนห้อง เก็บของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเพียงไม่กี่ชุด ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบแฟ้มเอกสารส่วนตัวทั้งหมดพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่กระเป๋าแล้วหิ้วออกมาจากห้อง
“แกจะไปไหน” เสียงมารดาถามมา เพียงฤดีสูดหายใจเข้าลึก สะกดจิตตัวเองเอาไว้ว่าเธอจะไม่ยอมแพ้อีก
“เมื่อคืนก็ไม่กลับบ้านสินะ ออกไปไหนมา ข้าวของบนโต๊ะเยอะแยะก็ไม่เก็บไม่กวาด ต้องให้ฉันมาเก็บกวาดให้หรือยังไง แล้วนี่จะไปไหนอีก” เพียงฤดีผ่อนลมหายใจออกก่อนจะว่า
“นั่นพี่ท็อปทำไว้ ก็ให้เขาเก็บสิคะ” หญิงสาวหันไปมองกองขวดเบียร์ที่วางอยู่
“แล้วเมื่อวานพี่ท็อปพาเพื่อนมาบ้าน เพื่อนพี่ท็อปจะข่มขืนฤดี ถ้าไม่หนีออกไปฤดีอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ฤดีอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วนะคะแม่ ฤดีจะไปอยู่ที่อื่น” เธอตอบเสร็จก็ก้าวพรวด ๆ ออกไป
“ยายฤดี แกกลับมานะ แกจะเห็นแก่ตัว ทิ้งแม่ ทิ้งพี่ ทิ้งน้อง ไปแบบนี้ไม่ได้นะ กลับมาพูดให้รู้เรื่องก่อน แกจะหนีตามผู้ชายไปใช่ไหมถึงไม่เห็นหัวแม่”
เสียงมารดาตะโกนไล่หลังมา คำพูดนั้นทำให้เธอต้องข่มความปวดร้าวในใจเอาไว้ เธอกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่หนีเอาตัวรอดไปกับผู้ชายในสายตามารดาไปแล้วหรือ
เธอเคยประพฤติตัวไม่รู้ดีรู้ชั่วแบบนั้นหรือ ท่านเลี้ยงเธอมาจะไม่รู้เลยหรือว่านิสัยของเธอเป็นอย่างไร เธอรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากแค่ไหน ถึงได้เอ่ยคำนี้ออกมา หญิงสาวหันไปหามารดา ขณะที่จะเปิดประตูรั้ว
“เงินหนึ่งหมื่นบาทฤดียังโอนให้แม่เหมือนเดิม แม่ไม่ต้องกลัวว่านะคะว่าฤดีจะไม่ให้เงินใช้ ตั้งตัวได้เมื่อไหร่ ฤดีค่อยมารับแม่ไปอยู่ด้วย”
เธอบอกแล้วก็รีบออกไปเปิดประตูรถแท็กซี่ที่ให้รออยู่ แล้วบอกให้แท็กซี่ออกรถทันที ทิ้งมารดาให้ยืนมองตามอยู่หน้าบ้าน เธอจำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ยอมอยู่อย่างไร้อนาคตอีกต่อไป
๒สู่ดินแดนใหม่เพียงฤดีมายืนอยู่บนที่ดินแปลงที่เพื่อนบอกว่าจะขายให้ เธอกวาดตามองโดยรอบอย่างไม่อยากเชื่อว่าที่ดินตรงนี้กำลังจะเป็นของเธอ เพราะบรรยากาศรอบด้านช่างสวยงาม แวดล้อมไปด้วยภูเขา เธอมาถึงที่นี่ในตอนเช้าตรู่ เพราะนภาธรไม่จอดรถที่ไหนเลย จึงได้เห็นบรรยากาศแสนสดชื่นและเย็นสบายในยามเช้า“สวยจังเลยนภา แกโชคดีจังเลยที่มีที่ดินสวย ๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นภาคใต้ มีภูเขา มีหมอกสวยมาก อย่างกับภาคเหนือแน่ะ” เพียงฤดีลืมความหม่นหมองเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นสภาพอากาศโดยรอบ นี่แหละความฝันของเธอ ที่จะมีบ้านอยู่ท่ามกลางภูเขาและเมฆหมอก บรรยากาศในฝันที่เหมาะสำหรับการเขียนนิยายอย่างที่สุด“ที่นี่ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร แกเห็นแล้วใช่ไหมว่ามันห่างไกลมาก ถนนหนทางคดเคี้ยว โชคดีที่ตอนนี้เขาทำถนนใหม่ลาดยางสวยงาม ตอนที่ฉันยังเด็กลำบากกว่านี้เยอะมาก ปู่กับย่าดั้นด้นกันมาจับจองที่ดินที่นี่ส่วนแปลงสองไร่กว่านั่นน่ะ เพื่อนของปู่มาขออยู่ด้วย ปู่เลยยกที่ดินให้สร้างบ้าน ออกโฉนดให้เรียบร้อย คิดว่าจะได้มาอยู่ด้วยกัน แต่อยู่ได้ไม่นานเขาก็อยากขายที่ดินตรงนี้เพื่อเอาเงินไปซื้อแปลงอื่นที่ได้พื้นที่เยอะกว่า ก็เลยเ
“สวยแหละ เป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้เลย แต่ตอนนี้เป็นบ้านที่เก่าและทรุดโทรมที่สุดในละแวกนี้เช่นกัน” นภาธรกล่าวอย่างขำขัน ทว่าคนเป็นเพื่อนไม่ได้เห็นเป็นเรื่องน่าขำเลยแม้แต่น้อย คนไม่เคยมีบ้านเช่นเธอ เห็นมันมีค่าอย่างมหาศาลเลยทีเดียวนภาธรเดินไปยกกระถางต้นไม้ที่มีหญ้าคลุมทับจนแทบไม่เห็นกระถางขึ้นมา แล้วหยิบกุญแจออกมาจากใต้กระถาง ก่อนจะนำไปไขประตู เมื่อเปิดประตูหนูก็วิ่งพรวดออกมา นภาธรวิ่งกระเจิงออกไปทันที เพียงฤดีก็เช่นกัน“เห็นมั้ย ฉันบอกแล้วว่าอยู่ไม่ได้ บ้านปิดทิ้งไว้เกือบสิบปี แกคิดดูสิ จะอยู่ยังไง” นภาธรว่า ใบหน้าซีดเผือดเนื่องจากกลัวหนูยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด“เดี๋ยวฉันขอเข้าไปดูก่อน” เพียงฤดีว่าแล้วก็ค่อย ๆ เปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิม แล้วเดินเข้าไปในบ้าน เธอยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางพึมพำไปตามประสา ภายในเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ บนพื้นมีปลวกขนดินขึ้นมาสร้างรังกองใหญ่อยู่หลายกอง เธอเปิดหน้าต่าง แค่ผลักออกไปเบา ๆ มันก็หลุดออกไปทั้งแผ่น หญิงสาวตกใจรีบหดมือ แล้วไปเปิดประตูห้องฝั่งขวามือที่อยู่ใกล้ทางเข้าบ้าน เป็นห้องขนาดกะทัดรัด ภายในไม่มีเครื่องเรือนใด ๆ เป็นเพียงห้องโล่ง มีหยากไย่จำ
เมื่อฝากเพื่อนไว้กับเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้วนภาธรก็พาเพื่อนเข้าไปที่บ้าน เมื่อเข้าไปถึง เพียงฤดีก็รีบเข้าไปปัดกวาดพื้นตรงส่วนของห้องนอนที่เธอตั้งใจว่าจะนอนที่ห้องนั้น ก่อนจะหยิบจอบ เสียม พลั่วและอุปกรณ์สำหรับทำการเกษตรสี่ห้าชิ้นลงมาจากรถ เอาพลั่วไปแซะรังปลวกกองโตสี่ห้ากองออกไปจากห้องโถงของบ้าน ปัดกวาดเรียบร้อยก็เอาไม้ถูพื้นมาถู โดยมีนภาธรคอยช่วย “ทำแค่นี้ก่อนเถอะ ไว้เข้ามาอยู่แล้วค่อยไปทำความสะอาดห้องอื่น ๆ แค่นี้ก็น่าจะอยู่ได้แล้ว” เพียงฤดีว่า เพราะเห็นว่าเพื่อนรักคงจะเหนื่อยไม่น้อยแล้ว “อือ พรุ่งนี้ฉันค่อยพาแกไปซื้อที่นอนหมอนมุ้งก็แล้วกัน เรากลับรีสอร์ตกันเถอะ ฉันอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว อ้อ ฉันลืมไป ห้องน้ำอยู่ด้านหลังติดกับครัวน่ะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปเปิดดูแล้ว สภาพเละเทะ แต่น้ำยังไหล ไฟยังสว่าง โถนั่งยอง ๆ แบบสมัยก่อนนะ แกก็ทนใช้ไปก่อนก็แล้วกัน” ผู้เป็นเพื่อนว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไว้พรุ่งนี้ฉันค่อยมาทำความสะอาดห้องน้ำกับห้องครัว มีพื้นที่ให้ใช้งานได้ก่อนแค่นี้ก็ดีมากแล้ว ฉันถือว่าโชคดีแล้วละที่ไม่ต้องไปเช่าบ้านอยู่ไกล ๆ” ว่าพลางเดินออกจากบ้านเพราะใกล้มืดเต็มที “แล
๓ห่างกันสักพัก คีรินขับรถผ่านเส้นทางคดโค้งอย่างระมัดระวัง เส้นทางที่นำเขากลับมาสู่บ้านที่จากมาหลายปี เขาออกจากที่นี่เพื่อไปแสวงหาความก้าวหน้าในเมืองใหญ่ ดวงตาของเขาแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่ผันแปรอย่างกะทันหัน ‘นิรา คุณเอาเงินของเราไปไว้ที่ไหนหมด’ เขาจำได้ว่ามือและเท้าของเขาชาวูบไปหมด หลังจากเอาสมุดบัญชีไปอัปเดตยอดเงิน แล้วเห็นยอดเงินที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาทติดไว้ในบัญชี ‘นิก็เอาไปลงทุนไงคะคี’ ‘ลงทุน ลงทุนอะไร นี่มันเงินที่ผมเตรียมไว้จัดงานแต่งงานของเรา คุณเอาไปได้ยังไงโดยที่ไม่บอกผมเลยสักคำ’ ‘ก็เทรดคริปโตไงคะ คุณก็เทรดไม่ใช่หรือคะ’ ‘เทรดคริปโต ใช่ผมก็เทรดแต่ไม่ได้เอาเงินก
‘แจ้งความ! คุณบ้าหรือเปล่าคะ ให้ฉันไปแจ้งความคุณกอล์ฟเหรอ เขาก็เสียหายเยอะเหมือนกัน แถมฉันยังดีลงานถ่ายโฆษณาชิ้นใหม่กับเขาอยู่ ถ้าฉันแจ้งความ งานฉันก็หายจ้อยไปด้วยสิคะ ถ้าได้งานนี้ฉันก็จะได้งานต่อจากเขาอีกยาว ๆ ยอม ๆ ไปเถอะ เงินแค่ห้าล้านเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค้างไว้ฉันจัดการได้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันพอจะมีเงินในบัญชีบริษัทเหลืออยู่บ้าง’‘โอเค งั้นเราเริ่มต้นใหม่ก็แล้วกันนะ พ่อบอกว่าให้เรากลับไปจัดงานแต่งงานกันได้แล้ว ตอนนี้เงินหมดแล้ว เราก็จัดแบบเล็ก ๆ ไปก่อนดีไหม ผมรู้ว่าตอนนี้เงินในบริษัทก็เหลือไม่มาก เรากลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อนไหม ผมจะรับงานฟรีแลนซ์สร้างเนื้อสร้างตัวกันใหม่’‘จัดแบบเล็ก ๆ งั้นเหรอ ไม่ค่ะ ถ้าไม่ได้สินสอดห้าล้าน และจัดงานแต่งงานในโรงแรมใหญ่ ๆ นิก็ไม่แต่งหรอกนะคะ อายเพื่อนเปล่า ๆ แล้วเรื่องกลับไปอยู่ที่บ้านคุณน่ะ นิไม่ไปหรอกนะคะ มีแต่ป่าจะทำอะไรได้ กลับไปให้ดูเหมือนชีวิตตกอับ นิจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บอกตรง ๆ นิอายเพื่อนที่ต้องไปใช้ชีวิตตกต่ำแบบนั้น’‘อายเพื่อน! คำก็อายเพื่อน สองคำก็อา
๑ทางที่ต้องเลือก เพียงฤดีหญิงสาวร่างบอบบาง นั่งร้องไห้ร่างกายสั่นเทาอยู่ต่อหน้านภาธรเพื่อนสาวคนสนิท เธอลูบแขนเขียวช้ำที่เพิ่งผ่านเรื่องร้าย ๆ มา ภาพในหัววนเวียนอยู่กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมามารดาโทร. เรียกให้เธอรีบกลับบ้าน บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ทั้ง ๆ ที่เธอจะตั้งใจจะทำโอที หลังจากกลับไปบ้าน ท่านก็บ่นเรื่องเธอกลับช้า ก่อนจะขอเงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งเธอต้องให้ท่านทุกเดือนอยู่แล้ว แต่ขอเพิ่มอีกห้าพันบาทช่วยจ่ายค่าผ่อนรถให้กับเอกกมลผู้เป็นพี่ชายคนโต ‘แม่คะ แล้วเงินเดือนพี่ท็อปไปไหนหมดล่ะคะ ถ้าเอาไปหมื่นห้าแล้วฤดีจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายจนกว่าจะสิ้นเดือนล่ะคะ เงินเดือนฤดีแค่สองหมื่นห้าเอง ไหนยังจะต้องให้เงินแม็กซ์ไปมหา’ลัยอีก’ หญิงสาวท้วงเพราะเธอต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายภายในบ้านให้มารดาหนึ่งหมื่นบาททุกเดือน จะเหลือหนึ่งหมื่นห้าพันบาทไว้ใช้จ่ายส่วนตัวและเป็นเงินที่ต้องจ่ายให้กับนภดลหรือแม็กซ์ผู้เป็นน้องชายที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละหนึ่งพันบาท ก่อนจะเจียดเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้เป็นเงินเก็บส่วนหนึ่ง ซึ่งเธอเองแทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว
“ไม่ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ถ้าฉันยังอยู่พวกเขาก็ต้องตามเจอ ฉันอายุตั้งยี่สิบหกแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แกยังซื้อคอนโดฯ ซื้อรถได้แล้ว แต่ฉันยังไม่มีอะไรสักอย่าง ฉันอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยากไปที่ไกล ๆ ที่ใครก็ตามหาฉันไม่เจอ” “อ้าว แล้วแกจะทำอะไรกิน จะไปหางานทำต่างจังหวัดเนี่ยนะ” “เปล่า ฉันมีงานของฉันอยู่แล้วแกไม่ต้องห่วงหรอก ขอแค่มีไฟฟ้า มีอินเทอร์เน็ตฉันก็ทำงานได้” “เอาจริงดิ แล้วแกทำงานอะไร งานที่บริษัทแกเขาให้ทำออนไลน์ได้เหรอ” นภาธรเอ่ยถึงตำแหน่งงานพนักงานบัญชีของเพื่อน ซึ่งบริษัทอยู่ไม่ไกลกับคอนโดฯ ของเธอมากนัก “เปล่า ฉันจะลาออก” “ลาออก!!” นภาธรทำตาโตเป็นไข่ห่าน ไม่คิดว่าเพื่อนจะตัดสินใจเช่นนี้ “ใช่ ถ้าฉันไม่ลาออก ฉันก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้วละ เพียงแต่ยังห่วงแม่ห่วงน้องและหาที่ที่จะไปไม่ได้เท่านั้นเอง” เพียงฤดีตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่ก็ปนความแน่วแน่ในความคิดนั้น “แกมั่นใจเหรอ แกพูดเพราะกำลังตกใจหรือเปล่า บอกฉันได้ไหมแกคิดอะไรอยู่”“ฉันจะเล่าให้แกฟังก็แล้วกัน ว่าฉันต้องการอะไร แกจะหัวเราะฉันเหมื