แชร์

บทที่ 1 ทางที่ต้องเลือก 100%

นั่นสินะ ใครจะหาที่ดินมาขายให้เธอได้ปุบปับเช่นนี้ หญิงสาวนั่งนิ่งอย่างหมดหวัง เพราะหากอยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานที่เดิม หรือมาพักกับนภาธร มารดาของเธอก็ต้องตามตัวเจออีกแน่ ๆ เมื่อเพียงฤดีนั่งนิ่ง นภาธรจึงได้แต่ถอนใจเบา ๆ อย่างนึกสงสาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ

       “ฉันรู้ว่าแกชอบดูคลิปทำเกษตร ชอบปลูกต้นหมากรากไม้ แต่การทำเกษตรมันไม่ง่ายอย่างที่แกเห็นในคลิปหรอกนะฤดี แกตัวเล็กแค่นี้จะไปทำงานหนัก ๆ ในไร่ในสวนได้ยังไง แถมอยู่ไกลญาติพี่น้องอีก เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาใครจะดูแล ขนาดฉันมีบ้านอยู่ต่างจังหวัดยังทำไร่ทำสวนไม่ไหวเลย”

นภาธรว่าพลางมองเพื่อนที่นั่งกอดหมอนอิงน้ำตาไหลนองอยู่บนโซฟาอย่างอดเวทนาไม่ได้ เพียงฤดีคงจะทนไม่ไหวอีกแล้วจริง ๆ เพราะเมื่อสองปีก่อนเธอเคยชวนให้เพื่อนออกจากบ้าน มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เพื่อหนีปัญหาที่ถูกครอบครัวคอยรีดไถเงินอยู่เรื่อย เธอก็ห่วงแม่ ห่วงพี่ ห่วงน้องไม่ยอมออกมา แต่คราวนี้ถึงกับอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล ไม่อยากให้ใครตามเจอ

       “ฉันบอกว่าต้องการที่ดินแปลงเล็ก ๆ แค่สองสามไร่ หรือไร่ครึ่งไร่ก็พอ ไม่ได้ต้องการจะไปทำสวนทำไร่เป็นหลัก แค่ให้ฉันได้มีที่อยู่เป็นของตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่เช่าเขาอยู่เหมือนทุกวันนี้ก็พอ ฉันเขียนนิยายและทำคอนเทนต์หาเงินได้ แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยากลาออกจากงานมาเขียนนิยายอย่างเดียวมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจสักที ตอนนี้เริ่มมีคนอ่านนิยายฉันเยอะขึ้นแล้ว ถ้าฉันขยันเขียนงานต่อเนื่อง ฉันเชื่อว่าฉันมีช่องทางที่จะเลี้ยงตัวเองรอด

ส่วนที่ดินนั่นน่ะ ฉันก็แค่อยากเอาไว้ปลูกโน่นปลูกนี่กินไปตามเรื่องตามราว ยังไม่กล้าคิดเรื่องไปทำสวนทำไร่แบบเต็มตัวหรอก เพราะฉันรู้ว่ามันหนัก คนไม่มีประสบการณ์แบบฉันหวังพึ่งการทำเกษตรทันทีคงไม่ได้หรอก ฉันแค่อยากได้ที่ห่างไกลผู้คน สามารถมีที่เงียบ ๆ เขียนงาน และเป็นที่ของตัวเองไม่ต้องเช่าใครอีกก็พอ”

       “เฮ้อ! โล่งอก” นภาธรถอนหายใจยาว

       “ฉันนึกว่าแกจะไปทำสวนทำไร่ซะอีก งั้น เอางี้แล้วกัน ฉันมีที่ดินอยู่สองแปลง แปลงนึงสี่สิบไร่ อีกแปลงนึงสองไร่กว่า ๆ อยู่ติดกันนั่นแหละ ฉันแบ่งแปลงสองไร่กว่า ๆ นี้ให้แกก็แล้วกัน ราคาประเมินก็ตกราว ๆ ไร่ละแสน ฉันเห็นว่าแกเป็นเพื่อนและต้องการที่อยู่จริง ๆ เลยแบ่งขายให้ แต่ที่ดินอยู่ที่ชุมพร ห่างไกลมากนะ มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึง น้ำไฟพร้อม แต่เป็นที่ดินเปล่าไม่มีบ้านนะ แกจะไปอยู่ยังไง”

       “ฉันเอา แกขายให้ฉันจริง ๆ นะ” เพียงฤดีรีบตอบรับพลางเขย่าแขนเพื่อนอย่างดีใจ

“เรื่องบ้านค่อยว่ากันทีหลัง ฉันว่าในตัวเมืองแถว ๆ นั้นอาจจะมีบ้านให้เช่า ฉันจะหาเช่าบ้านก่อนสักสองสามเดือน เก็บเงินอีกสักก้อนทำบ้านเล็ก ๆ ช่วงนี้ฉันจะปิดต้นฉบับนิยายเรื่องใหม่น่าจะได้เงินอีกสักก้อนเดือนหน้า แกจะพาฉันไปได้เมื่อไหร่” ตอบอย่างทันทีทันใด

       “แกเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน พรุ่งนี้วันศุกร์พอดี ฉันเลิกงานแล้วจะพาไปดู วันจันทร์ลางานอีกวัน จะได้ไปโอนที่ให้ถ้าแกจะซื้อจริง ๆ ขายให้แกก็แล้วกัน เก็บไว้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับไปทำประโยชน์ได้ อาจจะโดนพ่อด่านิดหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยแกก็เป็นเพื่อนฉัน ตอนแก่จะได้ไปอยู่ใกล้ ๆ กัน ถ้าฉันไม่ช่วย แกก็คงหาที่อื่น ยิ่งทำให้ฉันเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก”

       “ขอบใจนะนภา แต่ฉันเกรงใจพ่อ แกบอกเขาก่อนดีไหม”

       “ถ้าบอกฉันก็ไม่ได้ขายสิ แกไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ตอนนี้ฉันอยากได้กระเป๋าชาเนลใบใหม่อยู่พอดีด้วย ราคาสองแสนนิด ๆ พอ ๆ กับราคาที่ดินที่แกจะซื้อเลย ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องพ่อฉันจัดการได้ เอาตังค์ไปซื้อกระเป๋าก่อน” นภาธรคลี่ยิ้มให้เพื่อน

       “เฮ้ย แกจะขายที่ดินเพื่อเอาเงินไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบละสองแสนเนี่ยนะ” ผู้เป็นเพื่อนอุทานเสียงสูง

       “เถอะน่า อย่าคิดมาก แกเอาที่ดินไป ฉันเอาเงินมา แกได้ความมั่นคง ฉันได้เงินลงทุน แกรู้ไหมกระเป๋าแบรนด์เนมก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง ไว้วันหลังฉันจะสอนการลงทุนด้วยกระเป๋าแบรนด์เนมให้แก ตอนนี้แกก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านไปเอาของ นี่ใส่เสื้อผ้าฉันไปก่อน” นภาธรเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้ายื่นให้เพื่อน 

      เพียงฤดีออกจากคอนโดฯ ของเพื่อนในตอนเช้า เธอเดินทางเข้าไปที่บริษัทพร้อมกับเขียนใบลาออกทันที ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ เพราะเป็นการออกโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าตามกฎของบริษัท เธอทนรออีกหนึ่งเดือนไม่ไหวแล้ว เพราะพี่ชายพาเพื่อนมาแทบทุกวัน อีกไม่ช้าไม่นานก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนนี้อีก ซึ่งตอนนั้นเธออาจจะไม่โชคดีเช่นตอนนี้ที่รอดพ้นเงื้อมมือมันมาได้ เพราะหลายครั้งแล้วที่เคยเปรย ๆ กับมารดาเรื่องปัญหาที่พี่ชายพาเพื่อนมากินเหล้าเสียงดังเอะอะในบ้าน

แต่มารดาก็บอกว่าพี่ชายของเธอทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็อยากผ่อนคลายบ้างตามประสาผู้ชาย ให้มากินที่บ้านดีกว่าไปกินเที่ยวนอกบ้าน ดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะต้องคุยเรื่องนี้กันอีก สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเองตอนที่ยังมีหนทางจะดีกว่า

เมื่อยื่นใบลาออกกับฝ่ายบุคคลเสร็จ เธอก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้าน โดยบอกให้แท็กซี่รออยู่หน้าบ้าน แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  

เมื่อเข้าไปในบ้านเห็นว่าข้าวของในบ้านยังกระจัดกระจาย แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว เธอรีบขึ้นไปบนห้อง เก็บของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเพียงไม่กี่ชุด ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบแฟ้มเอกสารส่วนตัวทั้งหมดพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่กระเป๋าแล้วหิ้วออกมาจากห้อง

       “แกจะไปไหน” เสียงมารดาถามมา เพียงฤดีสูดหายใจเข้าลึก สะกดจิตตัวเองเอาไว้ว่าเธอจะไม่ยอมแพ้อีก

       “เมื่อคืนก็ไม่กลับบ้านสินะ ออกไปไหนมา ข้าวของบนโต๊ะเยอะแยะก็ไม่เก็บไม่กวาด ต้องให้ฉันมาเก็บกวาดให้หรือยังไง แล้วนี่จะไปไหนอีก” เพียงฤดีผ่อนลมหายใจออกก่อนจะว่า

       “นั่นพี่ท็อปทำไว้ ก็ให้เขาเก็บสิคะ” หญิงสาวหันไปมองกองขวดเบียร์ที่วางอยู่

“แล้วเมื่อวานพี่ท็อปพาเพื่อนมาบ้าน เพื่อนพี่ท็อปจะข่มขืนฤดี ถ้าไม่หนีออกไปฤดีอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ฤดีอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วนะคะแม่ ฤดีจะไปอยู่ที่อื่น” เธอตอบเสร็จก็ก้าวพรวด ๆ ออกไป

       “ยายฤดี แกกลับมานะ แกจะเห็นแก่ตัว ทิ้งแม่ ทิ้งพี่ ทิ้งน้อง ไปแบบนี้ไม่ได้นะ กลับมาพูดให้รู้เรื่องก่อน แกจะหนีตามผู้ชายไปใช่ไหมถึงไม่เห็นหัวแม่”

เสียงมารดาตะโกนไล่หลังมา คำพูดนั้นทำให้เธอต้องข่มความปวดร้าวในใจเอาไว้ เธอกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่หนีเอาตัวรอดไปกับผู้ชายในสายตามารดาไปแล้วหรือ

เธอเคยประพฤติตัวไม่รู้ดีรู้ชั่วแบบนั้นหรือ ท่านเลี้ยงเธอมาจะไม่รู้เลยหรือว่านิสัยของเธอเป็นอย่างไร เธอรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากแค่ไหน ถึงได้เอ่ยคำนี้ออกมา หญิงสาวหันไปหามารดา ขณะที่จะเปิดประตูรั้ว

“เงินหนึ่งหมื่นบาทฤดียังโอนให้แม่เหมือนเดิม แม่ไม่ต้องกลัวว่านะคะว่าฤดีจะไม่ให้เงินใช้ ตั้งตัวได้เมื่อไหร่ ฤดีค่อยมารับแม่ไปอยู่ด้วย”

เธอบอกแล้วก็รีบออกไปเปิดประตูรถแท็กซี่ที่ให้รออยู่ แล้วบอกให้แท็กซี่ออกรถทันที ทิ้งมารดาให้ยืนมองตามอยู่หน้าบ้าน เธอจำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ยอมอยู่อย่างไร้อนาคตอีกต่อไป

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status