สองพี่น้องต่างมองหน้ากันช่วยกันคิดหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
เพียงครู่รถม้าจึงหยุดเคลื่อนตัวลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางมาถึงจวนของตนแล้ว ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินจึงพากันลงจากรถม้า
และเมื่อสองพี่น้องพากันเดินเข้าจวนผ่านรถม้าคันแรกที่พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งมา พวกเขาพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าหากรถม้าเข้ามาเทียบหน้าจวนแล้วและคนในรถม้าลงมาแล้วรถม้าย่อมต้องเคลื่อนตัวออกไปเพื่อที่บ่าวไพร่จะได้นำรถม้าไปเก็บที่โรงเรือนหลังจวน แต่ทว่ารถม้าคันแรกกลับนิ่ง!
นั่นหมายความว่าคนข้างในยังไม่ลงมา…
สองพี่น้องตระกูลฟงจึงหันหน้าเข้าหากันมองตากันอยู่อึดใจก่อนเคลื่อนกายไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดๆ
และแล้วเสียงจากภายในรถม้าพลันดัง
“อ๊ะ! ข้าเจ็บ” เสียงแว่วหวานของฝ่ายสตรีดังออกมา
“ทนหน่อย...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดัง
ตามด้วยรถม้าโยกโยนเล็กน้อย
“...!?”
สองพี่น้องนอกรถม้าถึงกับยืนตัวเกร็งอ้าปากแข็งค้างมองหน้ากันนิ่งงัน
ทั้งรูปประโยคต่อคำและรถม้าโยกแบบนั้นคืออันใด!?
ไม่เพียงฟงจินหมิงและฟงลี่หลินเท่านั้นที่มีอาการคิดลึกนิ่งไป สองบุรุษและสามสตรีในอาภรณ์ทหารที่แอบตามพวกเขามาก็มีอาการไม่ต่างกัน
โดยเฉพาะสตรีนามว่าอวี้ถิงที่บัดนี้วิญญาณได้ล่องลอยออกนอกร่างไปเสียแล้ว
ห้านายทหารชายหญิงแอบเดินทางตามขบวนรถม้าของพี่น้องตระกูลฟงมาและได้แอบมายืนรอท่านแม่ทัพของพวกเขาอยู่หลังเพิงใกล้ๆ กับรถม้าที่มาจอดเทียบอยู่หน้าประตูจวน
พวกเขาได้ยินเสียงแปลกประหลาดนั่นไม่แตกต่างพาเอาเข้าใจได้ตรงกันไม่ยากเย็น
เพียงครู่เสียงของสตรีพลันดังอีกระลอกจากภายในรถม้า
“อา...ท่านทิ่มแรงเกินไป”
“...!?”
ทุกคนนอกรถม้ายิ่งอ้าปากกว้างเมื่อได้ยิน
“เจ้าหยุดดิ้นได้หรือไม่ ข้าทิ่มไม่ถนัด” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังออกมา ตามด้วยรถม้าโยกโยนอีกเล็กน้อยคล้ายกับบุคคลด้านในนั้นกำลังพากัน จัดเปลี่ยนท่า
“...!?”
ครานี้บางคนถึงกับเกิดอาการตัวสั่นขนลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอวี้ถิง นางถึงกับคิ้วกระตุกจนเป็นตะคริว
เพียงครู่ต่อมาสองสามีภรรยาก็ออกมาจากรถม้าในสภาพที่ไม่แตกต่างจากที่ทุกคนนอกรถม้าได้เข้าใจ
ฟงชินหยางออกมาจากรถม้าก่อนหลิงเวยด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจคล้ายอิ่มเอมกับอะไรบางอย่าง
เขาม้วนผมให้นางได้สำเร็จทั้งยังยกได้สูงอีกด้วย คนอย่างเขาหากลองพยายามแล้วความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกล
หลิงเวยตามหลังฟงชินหยางออกมาจากรถม้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำลามไปถึงลำคอ
นางถูกบุรุษตัวโตฝ่ามือใหญ่หนาดึงผมของนางจนระบมไปหมดทั้งศีรษะตามด้วยปักปิ่นให้นางพลาดจนทิ่มเข้ามาเต็มแรง
สองสามีภรรยาออกจากรถม้ามาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้สร้างความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ให้กับบรรดาบ่าวไพร่และผู้คนนอกรถม้าจนคิดกันไปถึงไหนต่อไหน ทั้งสองพากันเดินเข้าจวนไปโดยไม่รู้เรื่องอันใดเลย
ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินรีบเดินตามพี่ชายและพี่สะใภ้ไปด้วยใจที่เพิ่มระดับความสงสัยในสัมพันธ์ที่รักกันรวดเร็วแต่รักกันเหลือเกินแบบนั้น
ส่วนนายทหารที่แอบตามมาด้วยใจคิดถึงอาหารต้อนรับที่เลิศรสและสุราเลิศล้ำกำลังแอบอยู่หน้าประตูจวนเพื่อรอเวลาอันเหมาะสมช่วงเย็นย่ำให้กลับค่ายไม่ทันตามแผนการหวังผลอาหารและสุรา
พวกเขากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมดุร้ายบ้าพลังตลอดเวลานั้น ยามที่เขาแสดงความรักกับภรรยา เขาจะทำท่าทางอย่างไร อยากเห็นยิ่งนัก!
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟงฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้วเสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วใ
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยรีบรับคำในทันที การเล่นพิณเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก“เช่นนั้นลองแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ดูชมดีหรือไม่” ซินหรูยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นจับประคองลูกสะใภ้ให้เข้าไปนั่งยังตำแหน่งหลังเครื่องสายหลิงเวยนั่งลงตามคำของแม่สามีก่อนจะเริ่มวาดนิ้วไปบนพิณตรงหน้า นางลองดีดเส้นสายของมันเพื่อประเมินเสียงแต่ละเส้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่ตนเคยแต่งเอาไว้ใช้บรรเลงภาพของสตรีงดงามท่วงท่านุ่มนวลอ่อนช้อยหวานล้ำกำลังนั่งอยู่หลังพิณแกะสลักแสนวิจิตรตามด้วยเส้นเสียงของเครื่องสายที่สั่นเบาๆ ตามจังหวะเรียวนิ้วของหญิงสาวสร้างบรรยากาศคล้ายสรวงสวรรค์ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นภายในศาลาเพลงที่หลิงเวยใช้บรรเลงนั้นเป็นเพลงที่นางเขียนขึ้นด้วยตนเอง นางบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกเดียวดายคล้ายนกน้อยในกรงเล็กที่ต้องการอิสระได้โผบินไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจนางจินตนาการว่าได้บินไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกเย็นสบายยามเมื่อสายลมโบกโบยผ่านปีกเล็กๆ ของนางภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างมีนกหลายตัวที่โผบินไปกับนาง กางปีกเคียงข้างกันถลาไปด้วยกันอย่างจริงใจ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วนางหาได้มีอย่างนั้นไม่ บ
หลังจากเงียบงันไปอึดใจฟงชินหยางพลันได้สติก่อนหลิงเวยจึงเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มตรงมุมปากพาเอาใบหน้าคมเข้มสว่างไสว“เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนดีหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าวกับภรรยาคนงามข้างกายอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกิน เขาต้องพานางออกไปจากอันตรายตรงหน้าภรรยาของเขาช่างโง่งม“เอ่อ...” หลิงเวยเริ่มอึกอัก นางไม่อยากเข้าเรือนไปกับสามีผู้ดุร้าย นางอยากอยู่ตรงนี้กับทุกคนในครอบครัว แต่ว่านางกำลังทำพลาดไป อยากร้องไห้เสียจริงหญิงสาวเริ่มสบสนกับตนเอง นางมิรู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่พลางเม้มริมฝีปากแน่นๆ กะพริบตาปริบๆ คล้ายกับนักโทษต้องอาญาถูกนายเหนือหัวตัดสินโทษทัณฑ์แล้วต้องถูกเพชฌฆาตตรงหน้านำตัวไปประหารฟงชินหยางก้มมองนางตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย นางกำลังทำหน้าตาอย่างนี้ นางกำลังทำมารยาร้ายกาจใส่เขาอีกแล้วชายหนุ่มคิดในใจได้อย่างนั้นจึงไม่ต้องการมองใบหน้าของนางในยามนี้อีกต่อไป เขาจึงดึงเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เขาสวมใส่เอาไว้ด้านนอกให้ปกคลุมนางตั้งแต่ศีรษะลงไปแล้วดึงนางเข้ามาให้ใบหน้าฝังในแผงอกของเขาและใช้ฝ่ามือใหญ่หนาอีกข้างจับกดศีรษะนางเอาไว้จนจมมิดกับ
“หยางเอ๋อร์ปล่อยเวยเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่” ซินหรูรีบเตือนสติบุตรชายเมื่อเห็นว่าหลิงเวยคล้ายจมเข้าไปในแผงอกจนจะสิงเข้าไปในร่างกันอย่างนั้นฟงชินหยางจึงหรี่ตามองนางในอ้อมแขนพร้อมกระซิบกระซาบเสียงลอดไรฟัน “กลับไปรอข้าที่เรือน” “ไม่เอา” หลิงเวยยังคงมีจุดยืน นางเข้มแข็งมากในเรื่องนี้ชายหนุ่มยิ่งนึกเข่นเขี้ยว เขาพอจะดูออกว่านางต้องการทำมารยาใส่คนในครอบครัวของเขา ฮึ! ไม่มีทาง“ไม่กลับใช่หรือไม่”หลิงเวยพยักหน้าน้อยๆ พยายามมองสู้สายตามืดดำของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เช่นนั้นก็อยู่กับข้า ห้ามห่าง นี่คือคำสั่ง!”“...”จบคำจึงยอมปล่อยหลิงเวยออกจากอ้อมแขนแต่ยังคงปรายสายตาคมดุเข้าฟาดฟันตรึงนางเอาไว้แน่น“นี่ก็ใกล้มื้อเย็นแล้ว แม่ขอตัวไปดูในโรงครัวเสียหน่อย” ซินหรูเอ่ยขึ้นพลางหมุนตัวเดินไปกับฟงซือหลางสามีของตนหลิงเวยเห็นอย่างนั้นจึงทำท่าจะผละไปเพื่อเดินตามหลังแม่สามีแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่หนาโอบจับกระชับเอวเอาไว้แน่นฟงลี่หลินได้แต่มองพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตาปริบๆ ในขณะที่ฟงจินหมิงนึกอิจฉาขึ้นทุกที“พวกเจ้าอยู่ทานมื้อเย็นก่อนกลับแล้วกัน” ฟงซือหลางเอ่ยมาทางเหล่าลูกน้องทหารนอกศาลาก่อนเดินจากไปกับฮูหยิน ของต
“อาซ้อ!”เสียงเรียกจากฟงลี่หลินทำหลิงเวยที่กำลังเดินคอตกครุ่นคิดหนักหน่วงพลันหลุดออกจากภวังค์“อาซ้ออยู่กับข้าก่อน ไม่ต้องกลับเรือน” ฟงลี่หลินที่ยังคงยืนอยู่ในศาลากับฟงจินหมิงมองเห็นทั้งหมด นางจึงเดินออกมาจากในศาลาตรงเข้าจับข้อมือของหลิงเวยเอาไว้พลางชำเลืองสายตามองไปทางสตรีนางหนึ่งที่พี่ใหญ่จ้องมองเมื่อครู่“สตรีนางนั้นเป็นใครไยมองพี่ใหญ่อย่างนั้น อาซ้อรู้จักหรือไม่” นางถามพี่สะใภ้เสียงแข็งกระด้างรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาหลิงเวยได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ปฏิเสธตามตรง นางไม่รู้จักใครทั้งนั้น กับสามียังแค่รู้จักกันก่อนแต่งงานเพียงสามวัน หญิงสาวถึงกับถอนหายใจลากยาวใบหน้าหมองเศร้าจิตตกเหลือเกิน“หรือจะเป็นคนรักของพี่ใหญ่” ฟงจินหมิงที่ยืนอยู่กับฟงลี่หลินเริ่มวิเคราะห์ เขาช่างสงสัยในทุกๆ เรื่องแห่งชีวิตฟงลี่หลินได้ยินพลันผงะ “ได้อย่างไร พี่ใหญ่แต่งงานแล้ว หากเป็นคนรักของพี่ใหญ่จริง ไยพี่ใหญ่ถึงต้องแต่งกับอาซ้อ ไยไม่แต่งกับสตรีนางนั้น” นางช่วยพี่รองวิเคราะห์อย่างเข้มแข็งพาเอาคนฟังใจเต้นแรง “ถ้าหาก...” หลิงเวยเริ่มกล่าวเสียงเบา“ถ้าหากสตรีผู้นั้นเป็นคนรักของชินหยาง...” นางจะทำอย่างไร นางยังไม่ทันได้เต
“ในเมื่อเจ้ามีญาติอยู่ในเมืองหลวง” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยคำอีกคราด้วยน้ำเสียงเย็นชามากกว่าเดิม “ข้าจะทำเรื่องย้ายเจ้าเข้าไปประจำการที่เมืองหลวง รับจดหมายนี่ไป” กล่าวจบก็ยื่นจดหมายส่งตัววางเอาไว้บนโต๊ะทำงานให้สตรีตรงหน้าได้หยิบไปด้วยตนเองอวี้ถิงถึงกับตาโตตะลึงงันจ้องมองจดหมายตรงหน้าอย่างงุนงง อะ...อะไรกัน!???“ออกไปได้แล้ว” ฟงชินหยางเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกับทหารทุกนายหลังจากเสร็จสิ้นธุระอันสลักสำคัญทุกประการเขาควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม ต่อให้ต้องฆ่าคนเขาก็จะทำชายหนุ่มคิดอย่างนั้นพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินบรรยาย…เวลาอาหารค่ำมาถึงทุกชีวิตจึงรวมตัวกันภายในห้องอาหารบนโต๊ะอาหารอันใหญ่โตของจวนตระกูลฟงประกอบไปด้วยอาหารหลากหลายหน้าตาน่าทาน พาเอาอาซิ่นและอาตู้จิตใจเบิกบานทานอาหารอย่างรื่นเริง พวกเขาทั้งสองช่างเห็นแก่กินยิ่งนัก การทานอาหารร่วมกันจึงดำเนินไปภายในบรรยากาศเป็นกันเองเวลาผ่านไป...บรรยากาศหลังมื้ออาหารเย็นดำเนินไปด้วยสุรารสดีหลายไหถูกลำเลียงออกมาอย่างไม่มีหวงแหนเนื่องจากจวนตระกูลฟงนิยมหมักเหล้าเองและชอบแจกจ่ายเป็นทุนเดิม ในยามนี้อาซิ่นกับอาตู้ดื่มเหล้าอย่างมีค
เวลาดึกดื่นยามจื่อ(23.00-24.59)หลังจากที่ฟงชินหยางสั่งการบ่าวไพร่ให้พาแขกที่เป็นลูกน้องทหารทั้งห้าเข้าพักที่เรือนรับรองเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงพาเรือนร่างสูงใหญ่พร้อมอารมณ์โกรธกรุ่นใบหน้าคมคร้ามฉายแววอำมหิตเดินทางมายังเรือนนอนของน้องเล็กในทันที“พี่ใหญ่!” ฟงลี่หลินถึงกับตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ใหญ่ของนางที่คล้ายกับท่านจอมมารมาดทะมึนเดินมาเคาะประตูห้องกลางดึกอย่างนี้“เมียพี่อยู่ไหน?” ฟงชินหยางถามเสียงเย็น เขายังมิได้เข้าหอกับนางเลยจะแยกกันนอนได้อย่างไร คืนนี้เขาต้องจัดการนางให้หลายท่า“หลับไปแล้ว พี่ใหญ่กลับไปเลย” ฟงลี่หลินเบ้ปากบอกอย่างแง่งอนประหนึ่งว่าเป็นเมียพี่ชายเสียเองฟงชินหยางมีหรือจะฟังเขาพาร่างสูงกำยำของตนเดินอาดๆ เข้ามายังห้องด้านในสุดจนมาเจอเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ภรรยาตัวดีของเขากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่เมื่อเขาเจอตัวการที่ทำให้อาหารมื้อค่ำหมดรสชาติเนื่องจากถูกฟาดด้วยสายตาคาดโทษ เขาจึงรีบโน้มตัวลงอุ้มร่างบางเจ้าปัญหาของเขาขึ้นแนบอกในทันที“พี่ใหญ่จะทำอะไร หยุดนะ! ไม่นะ!” ฟงลี่หลินถามขึ้นอย่างตกอกตกใจเมื่อพี่สะใภ้ของนางกำลังจะถูกมารลักพาตัว ฟงชินหยางเริ่มหรี่ตามองน้องเล็กของตนอย่างเข่น
นางปรือตามองเขาพลางเรียกขาน“ชินหยาง...” เสียวแว่วหวานเอ่ยเรียกเขาพร้อมดวงตาหยาดเยิ้มใบหน้าแดงก่ำมีน้ำตาหยดลงมาใส่ใบหน้าของเขานางกำลังร่ำไห้เหมือนที่นางชอบทำไม่เคยเปลี่ยน“เจ้าคนใจร้าย”“...”แต่ที่เปลี่ยนไปคือนางด่าเขานางช่างกล้า! เมาแล้วด่าเป็นแน่นอนว่าเขาย่อมเป็นเช่นนั้น เขาเป็นมากกว่าใจร้ายเพราะว่าเขาทั้งโหดเหี้ยมโหดร้ายฆ่าคนได้ง่ายดายไม่มีละเว้นนี่ถือว่านางชมเขามันเป็นคำชม!“ข้ามีดีอะไรอย่างนั้นหรือ” นางเริ่มเอ่ยวาจาพึมพำบ่นคำออกมาแผ่วเบาด้วยใบหน้าง้อง้ำปลายจมูกเชิดรั้นสีแดงๆ“ข้าน่ะไม่ควรมีดีอันใด เพลงที่แต่งเอาไว้ไม่ควรบรรเลง ภาพที่วาดเอาไว้ยังต้องเก็บซ่อน กาพย์กลอนที่ร่ายเอาไว้ยังต้องฉีกทิ้ง ใบหน้าก็ไม่ควรแต่งแต้มเติมสีชาด ความงามของข้าไม่เคยจำเป็น ท่านรู้หรือไม่ ความสามารถของข้ามันคือปัญหา มันทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุข บุรุษทั้งหลายไม่ควรเจอข้า แต่ท่าน...ท่าน...เจ้าคนใจร้าย” “...”นางชมเขาอีกแล้ว!นี่นางเป็นอันใดมากหรือไม่ ไยร้ายกาจยิ่งนัก นางช่างร้ายกาจกับเขาเสียจริง ไม่เคยมีใครชมเขาถึงเพียงนี้!และก็นางบ่นพึมพำอีกสองสามประโยคด้วยใบหน้าเช่นเดิม ริมฝีปากอิ่มน่ากดจ
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ
ยามรุ่งสางแสงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าภายในกระโจมหลังหนึ่งร่างสองร่างที่กำลังนอนปีนเกลียวพัลวันจนร่างสองร่างคล้ายกับงูสองตัวพันกันกลับผงกหัวลุกขึ้นมาก่อนจะหยัดกายแกร่งเพียงครึ่งลำตัวคงเหลือไว้เพียงครึ่งลำตัวที่ยังคงกดตรึงอีกร่างเอาไว้อย่างแนบแน่นจนจมที่นอนอึดใจเสียงแผ่วหวานเริ่มเอ่ย “พอก่อน...”“ไม่นาน...” เสียงแหบต่ำเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจกรุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าของอีกคนที่อยู่ใต้ร่าง“เช้าแล้ว ไม่เอา” หลิงเวยยังคงปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกระโจมแล้วเกิดได้ยินเสียงต่างๆ ระหว่างนางกับเขา“อีกครู่เดียว” ฟงชินหยางยังคงเอาแต่ใจ เขาหยัดกายเพียงนิดก่อนแทรกกายแกร่งแล้วกระชับเริ่มควบขยับกลางลำตัวให้เกิดจังหวะเนิบนาบสร้างความเสียวซ่านได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามนี้ สตรีใต้ร่างเริ่มระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของฟงชินหยางโดยกลางลำตัวถูกเขาครอบครองจนจมมิด นางทำได้เพียงแอ่นอกยกกายขยับสะโพกตามจังหวะรัญจวนที่เขามอบให้โดยกลั้นหายใจกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง “เบาๆ ประเดี๋ยวใครได้ยิน” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแต่ลมหายใจสั่นไหวรุนแรงตามจังหวะโย