“ไม่ให้ไปก็ไม่ไป!”
ฟงลี่หลินตะคอกพี่ชายเสียงดังก่อนจะนั่งลงข้างๆ หลิงเวยและเอื้อมฝ่ามือมาจับมือของหลิงเวยเอาไว้
“อาซ้อไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเสียใจไป อย่าไปคุยกับคนไม่มีน้ำใจเลย” น้องเล็กว่าอย่างนั้นพร้อมตบหลังมือของหลิงเวยเบาๆ อย่างให้กำลังใจเป็นที่สุด
หลิงเวยได้แต่มองฟงลี่หลินสลับกับใบหน้าเย็นชาของฟงชินหยางอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร นางยังไม่คุ้นเคยกับใครเลยสักคนแม้แต่กับสามีของตน นางอยากร้องไห้อีกแล้ว
ฟงชินหยางยืนมองภรรยาของตนด้วยมาดเรียบนิ่งไม่คิดจะยินยอมให้นางออกจากเรือนไปที่ใดทั้งสิ้นต่อให้นางบีบน้ำตาออกมาจนหมดเบ้าตาก็ตาม
ชายหนุ่มคิดอย่างนั้นถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นภรรยาจะกำลังทำท่าทางน่าสงสารน้ำตาปริ่มๆ ขอบตาทั้งยังบอกกล่าวว่าเสื้อผ้าของนางใกล้ขาดแบบนั้น
เขาจะไม่มีวันเชื่อมารยาของนางที่มักจะสร้างอาการคันยุบยิบอยู่ภายในร่างกายของเขา
เขาจะไม่หลงกลนางเด็ดขาด!
ภายในตลาดหน้าด่านของเมืองซางอี้ที่มีร้านค้ามากมายสองข้างทางมีผู้คนเดินสัญจรไปมาไม่ขาดสาย
ฟงลี่หลินเดินจับจูงมือของหลิงเวยไปตามทางเข้าออกร้านนั้นร้านนี้อย่างรื่นเริง ทั้งสองส่งยิ้มหวานหยดให้กันตลอดทางอย่างมีความสุขเหลือเกิน บุรุษหลายคนที่บังเอิญเห็นสตรีทั้งสองกำลังเดินไปตามทางด้วยรอยยิ้มงดงามแบบนั้นจึงหยุดเดินเพื่อพิศมองทั้งสองนางด้วยสายตาชมชอบเปิดเผย ทำให้ใครบางคนต้องหางคิ้วกระตุกตลอดทาง
ฟงชินหยางยังคงมีสีหน้าเรียบตึงไม่สร่างซาที่จำต้องเดินตามแผ่นหลังของสตรีตัวเล็กๆ ออกร้านนั้นทีออกร้านนี้ทีจนเวียนหัวไปหมด
“น่าแปลกใจยิ่งนักที่ครานี้น้องเล็กเอาชนะพี่ใหญ่ได้”
ฟงจินหมิงที่ร่วมเดินทางมาตลาดด้วยเอ่ยขึ้นกับฟงชิน หยางที่เดินหน้านิ่งคล้ายรูปปั้นรูปสลักมาตลอดทาง
ฟงชินหยางไม่ต่อคำอันใดกับน้องชายของตน เขายังคงก้าวเท้าหนักๆ เดินเป็นรูปปั้นตัวใหญ่ต่อไปพลางไล่มองเหล่าผู้คนรอบด้านด้วยมาดเหี้ยมเกรียม พาเอาบุรุษหลายชีวิตที่มองสองสตรีเบื้องหน้าด้วยสายตากรุ้มกริ่มต้องรีบหลุบตาลงต่ำนับเม็ดดินกันอย่างสามัคคี
“อ่า...จริงสิพี่ใหญ่” น้องรองของตระกูลฟงคล้ายกับนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตนคาใจจึงเริ่มซักถามพี่ใหญ่ของตนตามตรง
“พี่เจอกับพี่สะใภ้ที่ใด แล้วรักกันได้อย่างไร ไยถึงรวดเร็วนัก หรือว่าเจอกันตอนไปทำศึกที่ชายแดนทางเหนือ แล้วไยไปเจอกันตอนทำศึก มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
และคำถามของน้องรองทำเอาพี่ใหญ่ถึงกับอึ้ง
ฟงชินหยางเลือกที่จะไม่ตอบคำใดเฉกเช่นเดิม เขายังมิได้ตระเตรียมคำตอบนี้กับภรรยาของเขาที่ได้มาอย่างคาดไม่ถึง
“ว่าอย่างไรพี่ใหญ่ ท่านเจอและรักกับพี่สะใภ้อย่างไร ใครรักใครก่อน และรักกันตรงไหน อะไรที่ทำให้รักกัน” ฟงจินหมิงยังคงถามย้ำ เขาใคร่รู้เสียจริง ให้ตาย!
“เจ้าจะรู้ไปทำไม” ฟงชินหยางถามกลับเสียงเย็น
“อ้าว! รู้มิได้รึ?”
“ไม่ได้!”
“ทำไม?”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัว”
ฟงจินหมิงเริ่มหรี่ตามอง “เราไม่เคยมีความลับต่อกันนะพี่ใหญ่” เขาเอ่ยเสียงต่ำ
ฟงชินหยางจึงหยุดเดินแล้วจ้องมองฟงจินหมิงด้วยสายตาคมเข้มดุดัน
จะให้เขาบอกว่าอย่างไร บอกว่าเขาถูกนางวางยาจนพลาดท่าเสียทีเสียเชิงชายได้เสียกันอย่างน่าอับอายน่ะหรือ
ไม่มีทาง!
“หรือว่าพี่ใหญ่วางยาพี่สะใภ้”
“...!”
ฟงจินหมิงถึงกับตบมือของตนเสียงดังฉาดใหญ่เมื่อมองเห็นพี่ใหญ่ของตนคล้ายกับนิ่งอึ้งไป“พี่ใหญ่รักพี่สะใภ้มากและรักนางข้างเดียวจนหน้ามืดตามัวขาดสติยั้งคิดแล้ววางยานาง ใช่หรือไม่? นิสัยบ้าบิ่นดุเดือดของพี่ใหญ่ทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย“พี่ใหญ่ช่างชั่วร้ายไร้ที่ติยิ่งนัก!”ฟงจินหมิงพูดเองสรุปเองเสร็จสรรพ ทั้งยังกล่าวโทษพี่ชายของตนเองแบบเต็มที่ พี่สะใภ้ของเขาช่างงดงามอ่อนหวานบาดตาบาดใจถึงเพียงนั้นเป็นใครก็คงอดใจเอาไว้ไม่ไหวพี่ชายของเขาช่างชั่วช้ายิ่งแล้ว...ฟงชินหยางถึงกับสะอึกก้อนขมลึกลับในลำคอจนไม่คิดจะเสวนากับน้องชายของตนอีกต่อไป เขาจึงพาใบหน้าหล่อเหลาแต่เหี้ยมเกรียมมืดครึ้มคล้ายปีศาจเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ก้าวเท้าเดินฉับๆ เข้าไปยังร้านผ้าตรงหน้าที่ภรรยาและน้องสาวของเขาเข้าไป “กลับบ้าน!” เขาเอ่ยเสียงเข้มดุดันเมื่อเข้ามายังร้านขายผ้าแล้วเจอกับตัวการที่ทำให้น้องชายคิดการกับเขาได้ผิดมหันต์ทำให้เขากลายเป็นบุรุษอันตรายน่ารังเกียจเดียดฉันท์ “ข้ากำลังจะได้ผ้าแล้ว” หลิงเวยเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ตรงหน้าที่คล้ายกับว่าเรือนกายของเขาจะสูงใหญ่กว่าที่เคย “เอาทั้งหมดนี่ จัดส่งที่จวนตระกูลฟง” คนตัวโตตรงหน้า หลิ
ภายในรถม้าประจำจวนของตระกูลฟงหลิงเวยยังคงนั่งเงียบงันมองบุรุษร่างกำยำที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกายกันภายในรถม้านางเห็นเขานั่งหน้านิ่งด้วยมาดเย็นชาสายตาคมกล้าถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังเปลือกตาภายใต้เรียวคิ้วเข้มหนาตลอดเวลาคล้ายครุ่นคิดหนักหน่วง นางจึงได้แต่นั่งมองเขาอย่างใคร่รู้แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอันใด นางจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองเขาอยู่อย่างนั้น“จะมองข้าอีกนานหรือไม่” เสียงทุ้มใหญ่กดต่ำดังออกมาพาเอาร่างบางพลันสะดุ้งตกใจถอยหลังจนศีรษะชนกับผนังรถม้าเสียงดังป๊อก“อ๊ะ!” หลิงเวยหลุดอุทานเจ็บแปลบตรงศีรษะตน“ซุ่มซ่าม” ฟงชินหยางบ่นออกมาขณะยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น หลิงเวยเริ่มหน้าง้ำแอบบ่นในใจ เพราะใครกัน?หญิงสาวทำได้แค่มองคนปากร้ายตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเสมองผ้าม่านรถม้าเงียบกริบเจ็บศีรษะตุบๆ ฟงชินหยางลืมตาคมกริบขึ้นมาเพื่อมองภรรยาของตนอย่างจริงจังแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรารักกันได้อย่างไร?”“หือ!?” คำถามของคนข้างกายทำเอาหลิงเวยต้องหันหน้ามามองเขาอีกคราอย่างตื่นตะลึง“หากคนที่บ้านของข้าถามเจ้า ว่าเรารักกันได้อย่างไร เจอกันที่ใด ทำไมถึงรักกัน เจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่า
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตาปริบๆ นึกเข่นเขี้ยวกับอาการดื้อดึงนั่นของนาง นางช่างกล้า!ถึงแม้ฟงชินหยางจะคิดอย่างนั้นแต่มิได้ต่อคำอันใดพลันสายตาก็สบกับเรือนผมของนางที่เขาเป็นคนขมวดม้วนให้เมื่อยามเช้ามวยผมของนางนั้นเมื่อมองเปรียบเทียบกับมวยผมของสตรีออกเรือนในตลาดวันนี้นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นจึงทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อเช้าคนในบ้านถึงมองนางตรงศีรษะแล้วหลุดหัวเราะขำขันออกมา เดิมทีเรื่องเรือนผมของสตรีนี้มิใช่เรื่องที่เขาใคร่สนใจไม่ว่าจะเป็นของมารดาหรือของน้องสาว แต่ว่ากับทรงผมของคนตรงหน้าคล้ายกับว่าเป็นความรับผิดชอบของเขามันเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียวชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอีกคราแต่ทว่าเรื่องที่คิดพลันเปลี่ยนไปเขามีนิสัยเถรตรงมีความรับผิดชอบสูงส่งในทุกๆ เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรเรื่องของคนตรงหน้าก็เช่นเดียวกันเขาคิดอย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาของเขาขึ้นจับมวยผมของภรรยาแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาจนเส้นผมดำขลับของนางหลุดลุ่ยสยายปรกแผ่นหลังก่อนจะเริ่มต้นมวยผมให้นางใหม่หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจจนจมูกน้อยๆ ของตนชนกับผนังรถม้าเมื่อจู่ๆ มวยผมของนางถูกจับดึงออกอย่างนั้
สองพี่น้องต่างมองหน้ากันช่วยกันคิดหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเพียงครู่รถม้าจึงหยุดเคลื่อนตัวลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางมาถึงจวนของตนแล้ว ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินจึงพากันลงจากรถม้าและเมื่อสองพี่น้องพากันเดินเข้าจวนผ่านรถม้าคันแรกที่พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งมา พวกเขาพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าหากรถม้าเข้ามาเทียบหน้าจวนแล้วและคนในรถม้าลงมาแล้วรถม้าย่อมต้องเคลื่อนตัวออกไปเพื่อที่บ่าวไพร่จะได้นำรถม้าไปเก็บที่โรงเรือนหลังจวน แต่ทว่ารถม้าคันแรกกลับนิ่ง!นั่นหมายความว่าคนข้างในยังไม่ลงมา…สองพี่น้องตระกูลฟงจึงหันหน้าเข้าหากันมองตากันอยู่อึดใจก่อนเคลื่อนกายไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดๆและแล้วเสียงจากภายในรถม้าพลันดัง“อ๊ะ! ข้าเจ็บ” เสียงแว่วหวานของฝ่ายสตรีดังออกมา“ทนหน่อย...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดังตามด้วยรถม้าโยกโยนเล็กน้อย“...!?”สองพี่น้องนอกรถม้าถึงกับยืนตัวเกร็งอ้าปากแข็งค้างมองหน้ากันนิ่งงันทั้งรูปประโยคต่อคำและรถม้าโยกแบบนั้นคืออันใด!?ไม่เพียงฟงจินหมิงและฟงลี่หลินเท่านั้นที่มีอาการคิดลึกนิ่งไป สองบุรุษและสามสตรีในอาภรณ์ทหารที่แอบตามพวกเขามาก็มีอาก
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟงฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้วเสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วใ
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยรีบรับคำในทันที การเล่นพิณเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก“เช่นนั้นลองแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ดูชมดีหรือไม่” ซินหรูยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นจับประคองลูกสะใภ้ให้เข้าไปนั่งยังตำแหน่งหลังเครื่องสายหลิงเวยนั่งลงตามคำของแม่สามีก่อนจะเริ่มวาดนิ้วไปบนพิณตรงหน้า นางลองดีดเส้นสายของมันเพื่อประเมินเสียงแต่ละเส้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่ตนเคยแต่งเอาไว้ใช้บรรเลงภาพของสตรีงดงามท่วงท่านุ่มนวลอ่อนช้อยหวานล้ำกำลังนั่งอยู่หลังพิณแกะสลักแสนวิจิตรตามด้วยเส้นเสียงของเครื่องสายที่สั่นเบาๆ ตามจังหวะเรียวนิ้วของหญิงสาวสร้างบรรยากาศคล้ายสรวงสวรรค์ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นภายในศาลาเพลงที่หลิงเวยใช้บรรเลงนั้นเป็นเพลงที่นางเขียนขึ้นด้วยตนเอง นางบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกเดียวดายคล้ายนกน้อยในกรงเล็กที่ต้องการอิสระได้โผบินไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจนางจินตนาการว่าได้บินไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกเย็นสบายยามเมื่อสายลมโบกโบยผ่านปีกเล็กๆ ของนางภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างมีนกหลายตัวที่โผบินไปกับนาง กางปีกเคียงข้างกันถลาไปด้วยกันอย่างจริงใจ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วนางหาได้มีอย่างนั้นไม่ บ
หลังจากเงียบงันไปอึดใจฟงชินหยางพลันได้สติก่อนหลิงเวยจึงเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มตรงมุมปากพาเอาใบหน้าคมเข้มสว่างไสว“เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนดีหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าวกับภรรยาคนงามข้างกายอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกิน เขาต้องพานางออกไปจากอันตรายตรงหน้าภรรยาของเขาช่างโง่งม“เอ่อ...” หลิงเวยเริ่มอึกอัก นางไม่อยากเข้าเรือนไปกับสามีผู้ดุร้าย นางอยากอยู่ตรงนี้กับทุกคนในครอบครัว แต่ว่านางกำลังทำพลาดไป อยากร้องไห้เสียจริงหญิงสาวเริ่มสบสนกับตนเอง นางมิรู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่พลางเม้มริมฝีปากแน่นๆ กะพริบตาปริบๆ คล้ายกับนักโทษต้องอาญาถูกนายเหนือหัวตัดสินโทษทัณฑ์แล้วต้องถูกเพชฌฆาตตรงหน้านำตัวไปประหารฟงชินหยางก้มมองนางตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย นางกำลังทำหน้าตาอย่างนี้ นางกำลังทำมารยาร้ายกาจใส่เขาอีกแล้วชายหนุ่มคิดในใจได้อย่างนั้นจึงไม่ต้องการมองใบหน้าของนางในยามนี้อีกต่อไป เขาจึงดึงเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เขาสวมใส่เอาไว้ด้านนอกให้ปกคลุมนางตั้งแต่ศีรษะลงไปแล้วดึงนางเข้ามาให้ใบหน้าฝังในแผงอกของเขาและใช้ฝ่ามือใหญ่หนาอีกข้างจับกดศีรษะนางเอาไว้จนจมมิดกับ
“หยางเอ๋อร์ปล่อยเวยเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่” ซินหรูรีบเตือนสติบุตรชายเมื่อเห็นว่าหลิงเวยคล้ายจมเข้าไปในแผงอกจนจะสิงเข้าไปในร่างกันอย่างนั้นฟงชินหยางจึงหรี่ตามองนางในอ้อมแขนพร้อมกระซิบกระซาบเสียงลอดไรฟัน “กลับไปรอข้าที่เรือน” “ไม่เอา” หลิงเวยยังคงมีจุดยืน นางเข้มแข็งมากในเรื่องนี้ชายหนุ่มยิ่งนึกเข่นเขี้ยว เขาพอจะดูออกว่านางต้องการทำมารยาใส่คนในครอบครัวของเขา ฮึ! ไม่มีทาง“ไม่กลับใช่หรือไม่”หลิงเวยพยักหน้าน้อยๆ พยายามมองสู้สายตามืดดำของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เช่นนั้นก็อยู่กับข้า ห้ามห่าง นี่คือคำสั่ง!”“...”จบคำจึงยอมปล่อยหลิงเวยออกจากอ้อมแขนแต่ยังคงปรายสายตาคมดุเข้าฟาดฟันตรึงนางเอาไว้แน่น“นี่ก็ใกล้มื้อเย็นแล้ว แม่ขอตัวไปดูในโรงครัวเสียหน่อย” ซินหรูเอ่ยขึ้นพลางหมุนตัวเดินไปกับฟงซือหลางสามีของตนหลิงเวยเห็นอย่างนั้นจึงทำท่าจะผละไปเพื่อเดินตามหลังแม่สามีแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่หนาโอบจับกระชับเอวเอาไว้แน่นฟงลี่หลินได้แต่มองพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตาปริบๆ ในขณะที่ฟงจินหมิงนึกอิจฉาขึ้นทุกที“พวกเจ้าอยู่ทานมื้อเย็นก่อนกลับแล้วกัน” ฟงซือหลางเอ่ยมาทางเหล่าลูกน้องทหารนอกศาลาก่อนเดินจากไปกับฮูหยิน ของต
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ
ยามรุ่งสางแสงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าภายในกระโจมหลังหนึ่งร่างสองร่างที่กำลังนอนปีนเกลียวพัลวันจนร่างสองร่างคล้ายกับงูสองตัวพันกันกลับผงกหัวลุกขึ้นมาก่อนจะหยัดกายแกร่งเพียงครึ่งลำตัวคงเหลือไว้เพียงครึ่งลำตัวที่ยังคงกดตรึงอีกร่างเอาไว้อย่างแนบแน่นจนจมที่นอนอึดใจเสียงแผ่วหวานเริ่มเอ่ย “พอก่อน...”“ไม่นาน...” เสียงแหบต่ำเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจกรุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าของอีกคนที่อยู่ใต้ร่าง“เช้าแล้ว ไม่เอา” หลิงเวยยังคงปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกระโจมแล้วเกิดได้ยินเสียงต่างๆ ระหว่างนางกับเขา“อีกครู่เดียว” ฟงชินหยางยังคงเอาแต่ใจ เขาหยัดกายเพียงนิดก่อนแทรกกายแกร่งแล้วกระชับเริ่มควบขยับกลางลำตัวให้เกิดจังหวะเนิบนาบสร้างความเสียวซ่านได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามนี้ สตรีใต้ร่างเริ่มระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของฟงชินหยางโดยกลางลำตัวถูกเขาครอบครองจนจมมิด นางทำได้เพียงแอ่นอกยกกายขยับสะโพกตามจังหวะรัญจวนที่เขามอบให้โดยกลั้นหายใจกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง “เบาๆ ประเดี๋ยวใครได้ยิน” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแต่ลมหายใจสั่นไหวรุนแรงตามจังหวะโย