ภายในรถม้าประจำจวนของตระกูลฟง
หลิงเวยยังคงนั่งเงียบงันมองบุรุษร่างกำยำที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกายกันภายในรถม้า
นางเห็นเขานั่งหน้านิ่งด้วยมาดเย็นชาสายตาคมกล้าถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังเปลือกตาภายใต้เรียวคิ้วเข้มหนาตลอดเวลาคล้ายครุ่นคิดหนักหน่วง นางจึงได้แต่นั่งมองเขาอย่างใคร่รู้แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอันใด นางจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองเขาอยู่อย่างนั้น
“จะมองข้าอีกนานหรือไม่” เสียงทุ้มใหญ่กดต่ำดังออกมาพาเอาร่างบางพลันสะดุ้งตกใจถอยหลังจนศีรษะชนกับผนังรถม้าเสียงดังป๊อก
“อ๊ะ!” หลิงเวยหลุดอุทานเจ็บแปลบตรงศีรษะตน
“ซุ่มซ่าม” ฟงชินหยางบ่นออกมาขณะยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
หลิงเวยเริ่มหน้าง้ำแอบบ่นในใจ เพราะใครกัน?
หญิงสาวทำได้แค่มองคนปากร้ายตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเสมองผ้าม่านรถม้าเงียบกริบเจ็บศีรษะตุบๆ
ฟงชินหยางลืมตาคมกริบขึ้นมาเพื่อมองภรรยาของตนอย่างจริงจังแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรารักกันได้อย่างไร?”
“หือ!?” คำถามของคนข้างกายทำเอาหลิงเวยต้องหันหน้ามามองเขาอีกคราอย่างตื่นตะลึง
“หากคนที่บ้านของข้าถามเจ้า ว่าเรารักกันได้อย่างไร เจอกันที่ใด ทำไมถึงรักกัน เจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
หลิงเวยตาโตตกใจถึงขั้นคิดหนัก
“เรามิได้รักกัน” นางเอ่ยตามตรง “เรื่องของเรามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น บิดาของข้าหมายยกระดับตระกูลจึงทำผิดต่อท่าน ข้ามิได้รักท่าน”
“แน่นอน! เรื่องของเรามันผิดธรรมชาติเป็นข้าที่ตกหลุมพรางของตระกูลเจ้าและเรามิได้รักกัน” ฟงชินหยางหรี่ตาทวนคำเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ “แต่ข้าถามว่า หากมีคนถามเรื่องของเราแล้วเจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร” เขาเริ่มคำรามเสียงดังหงุดหงิดเสียจริง
ครานี้เป็นหลิงเวยบ้างที่เริ่มครุ่นคิดหนักหน่วงเรียวคิ้วโค้งสวยเริ่มขมวดเป็นปม
“ข้าไม่เคยรักใคร คนรักกันเขาต้องรักกันอย่างไร ข้าไม่รู้หรอก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบานึกอับอายเล็กน้อยที่ต้องคุยกับบุรุษตรงหน้าในเรื่องแบบนี้
ฟงชินหยางมองใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อสองข้างแก้มนวลของคนงามข้างกายจึงหรี่ตาลงยิ่งกว่าเดิมแล้วเอ่ย
“เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีคนรัก กระทั่งคนตามเกี้ยวก็ไม่มีหรือ” เขาถามเสียงเบามากกว่าเดิมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมา
หลิงเวยพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับเสียงเบา “บุรุษตามเกี้ยวย่อมมี”
อีกครั้งที่ใครบางคนเริ่มมีสีหน้ามืดครึ้มอารมณ์ขุ่นมัว
ไม่รู้ว่าทำไม!
“เจ้ามีดีอะไร” ฟงชินหยางเลือกที่จะเปลี่ยนคำถามเมื่อมีความรู้สึกบางอย่างกับคำถามก่อนหน้า “เผื่อข้าจะใช้อ้างได้บ้างว่าเรารักกันได้อย่างไร”
ถึงแม้คนถามคล้ายกับไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังกลับอึ้ง
นางมีดีอะไรเช่นนั้นหรือ?
“คนอย่างข้าไม่มีดีอะไรเลย” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองคนถามตรงๆ
“ไม่มีดีอะไรเลย” หลิงเวยเริ่มประชดประชันอยากร้องไห้เสียจริง
“อืม...” ฟงชินหยางพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงยอมรับแลเห็นด้วยตามนั้นไม่คิดโต้เถียงอันใด และนั่นยิ่งเพิ่มระดับความรู้สึกย่ำแย่ให้ใครบางคนได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นแล้ว เรารักกันได้อย่างไร จะบอกกับคนในครอบครัวข้าว่าอย่างไรดี” อีกคราที่ฟงชินหยางต้องครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงสีหน้าเคร่งเครียด
หลิงเวยได้แต่มองบุรุษข้างกายด้วยความรู้สึกเกินบรรยาย อยากร้องไห้ขึ้นมาจับใจ แต่นางทำได้แค่เพียงเม้มริมฝีปากจนแก้มป่องพองเรียวคิ้วขมวดกันแน่นแล้วหันหน้าพรืดไปทางอื่นที่มองไม่เห็นเขา นางขยับกายเล็กน้อยเพื่อหันหลังให้เขาเสียเลย เขาช่างโหดร้ายยิ่งนัก...
ฟงชินหยางมองตามพฤติกรรมแปลกประหลาดของนางผู้เป็นภรรยาอย่างไม่เข้าใจอันใด ไยทำท่าทางน่าขันเยี่ยงนั้น?
“เป็นอะไร?” เขาถามเสียงเย็น
“เปล่า” นางตอบเสียงเบาหน้าชนผนังรถม้า
“มิได้เป็นอะไรก็นั่งดีๆ”
“ข้านั่งดีแล้ว”
“นั่งให้ดีกว่านั้น”
“ข้าจะนั่งอย่างนี้”
“...”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตาปริบๆ นึกเข่นเขี้ยวกับอาการดื้อดึงนั่นของนาง นางช่างกล้า!ถึงแม้ฟงชินหยางจะคิดอย่างนั้นแต่มิได้ต่อคำอันใดพลันสายตาก็สบกับเรือนผมของนางที่เขาเป็นคนขมวดม้วนให้เมื่อยามเช้ามวยผมของนางนั้นเมื่อมองเปรียบเทียบกับมวยผมของสตรีออกเรือนในตลาดวันนี้นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นจึงทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อเช้าคนในบ้านถึงมองนางตรงศีรษะแล้วหลุดหัวเราะขำขันออกมา เดิมทีเรื่องเรือนผมของสตรีนี้มิใช่เรื่องที่เขาใคร่สนใจไม่ว่าจะเป็นของมารดาหรือของน้องสาว แต่ว่ากับทรงผมของคนตรงหน้าคล้ายกับว่าเป็นความรับผิดชอบของเขามันเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียวชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอีกคราแต่ทว่าเรื่องที่คิดพลันเปลี่ยนไปเขามีนิสัยเถรตรงมีความรับผิดชอบสูงส่งในทุกๆ เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรเรื่องของคนตรงหน้าก็เช่นเดียวกันเขาคิดอย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาของเขาขึ้นจับมวยผมของภรรยาแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาจนเส้นผมดำขลับของนางหลุดลุ่ยสยายปรกแผ่นหลังก่อนจะเริ่มต้นมวยผมให้นางใหม่หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจจนจมูกน้อยๆ ของตนชนกับผนังรถม้าเมื่อจู่ๆ มวยผมของนางถูกจับดึงออกอย่างนั้
สองพี่น้องต่างมองหน้ากันช่วยกันคิดหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเพียงครู่รถม้าจึงหยุดเคลื่อนตัวลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางมาถึงจวนของตนแล้ว ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินจึงพากันลงจากรถม้าและเมื่อสองพี่น้องพากันเดินเข้าจวนผ่านรถม้าคันแรกที่พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งมา พวกเขาพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าหากรถม้าเข้ามาเทียบหน้าจวนแล้วและคนในรถม้าลงมาแล้วรถม้าย่อมต้องเคลื่อนตัวออกไปเพื่อที่บ่าวไพร่จะได้นำรถม้าไปเก็บที่โรงเรือนหลังจวน แต่ทว่ารถม้าคันแรกกลับนิ่ง!นั่นหมายความว่าคนข้างในยังไม่ลงมา…สองพี่น้องตระกูลฟงจึงหันหน้าเข้าหากันมองตากันอยู่อึดใจก่อนเคลื่อนกายไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดๆและแล้วเสียงจากภายในรถม้าพลันดัง“อ๊ะ! ข้าเจ็บ” เสียงแว่วหวานของฝ่ายสตรีดังออกมา“ทนหน่อย...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดังตามด้วยรถม้าโยกโยนเล็กน้อย“...!?”สองพี่น้องนอกรถม้าถึงกับยืนตัวเกร็งอ้าปากแข็งค้างมองหน้ากันนิ่งงันทั้งรูปประโยคต่อคำและรถม้าโยกแบบนั้นคืออันใด!?ไม่เพียงฟงจินหมิงและฟงลี่หลินเท่านั้นที่มีอาการคิดลึกนิ่งไป สองบุรุษและสามสตรีในอาภรณ์ทหารที่แอบตามพวกเขามาก็มีอาก
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟงฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้วเสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วใ
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยรีบรับคำในทันที การเล่นพิณเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก“เช่นนั้นลองแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ดูชมดีหรือไม่” ซินหรูยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นจับประคองลูกสะใภ้ให้เข้าไปนั่งยังตำแหน่งหลังเครื่องสายหลิงเวยนั่งลงตามคำของแม่สามีก่อนจะเริ่มวาดนิ้วไปบนพิณตรงหน้า นางลองดีดเส้นสายของมันเพื่อประเมินเสียงแต่ละเส้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่ตนเคยแต่งเอาไว้ใช้บรรเลงภาพของสตรีงดงามท่วงท่านุ่มนวลอ่อนช้อยหวานล้ำกำลังนั่งอยู่หลังพิณแกะสลักแสนวิจิตรตามด้วยเส้นเสียงของเครื่องสายที่สั่นเบาๆ ตามจังหวะเรียวนิ้วของหญิงสาวสร้างบรรยากาศคล้ายสรวงสวรรค์ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นภายในศาลาเพลงที่หลิงเวยใช้บรรเลงนั้นเป็นเพลงที่นางเขียนขึ้นด้วยตนเอง นางบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกเดียวดายคล้ายนกน้อยในกรงเล็กที่ต้องการอิสระได้โผบินไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจนางจินตนาการว่าได้บินไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกเย็นสบายยามเมื่อสายลมโบกโบยผ่านปีกเล็กๆ ของนางภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างมีนกหลายตัวที่โผบินไปกับนาง กางปีกเคียงข้างกันถลาไปด้วยกันอย่างจริงใจ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วนางหาได้มีอย่างนั้นไม่ บ
หลังจากเงียบงันไปอึดใจฟงชินหยางพลันได้สติก่อนหลิงเวยจึงเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มตรงมุมปากพาเอาใบหน้าคมเข้มสว่างไสว“เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนดีหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าวกับภรรยาคนงามข้างกายอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกิน เขาต้องพานางออกไปจากอันตรายตรงหน้าภรรยาของเขาช่างโง่งม“เอ่อ...” หลิงเวยเริ่มอึกอัก นางไม่อยากเข้าเรือนไปกับสามีผู้ดุร้าย นางอยากอยู่ตรงนี้กับทุกคนในครอบครัว แต่ว่านางกำลังทำพลาดไป อยากร้องไห้เสียจริงหญิงสาวเริ่มสบสนกับตนเอง นางมิรู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่พลางเม้มริมฝีปากแน่นๆ กะพริบตาปริบๆ คล้ายกับนักโทษต้องอาญาถูกนายเหนือหัวตัดสินโทษทัณฑ์แล้วต้องถูกเพชฌฆาตตรงหน้านำตัวไปประหารฟงชินหยางก้มมองนางตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย นางกำลังทำหน้าตาอย่างนี้ นางกำลังทำมารยาร้ายกาจใส่เขาอีกแล้วชายหนุ่มคิดในใจได้อย่างนั้นจึงไม่ต้องการมองใบหน้าของนางในยามนี้อีกต่อไป เขาจึงดึงเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เขาสวมใส่เอาไว้ด้านนอกให้ปกคลุมนางตั้งแต่ศีรษะลงไปแล้วดึงนางเข้ามาให้ใบหน้าฝังในแผงอกของเขาและใช้ฝ่ามือใหญ่หนาอีกข้างจับกดศีรษะนางเอาไว้จนจมมิดกับ
“หยางเอ๋อร์ปล่อยเวยเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่” ซินหรูรีบเตือนสติบุตรชายเมื่อเห็นว่าหลิงเวยคล้ายจมเข้าไปในแผงอกจนจะสิงเข้าไปในร่างกันอย่างนั้นฟงชินหยางจึงหรี่ตามองนางในอ้อมแขนพร้อมกระซิบกระซาบเสียงลอดไรฟัน “กลับไปรอข้าที่เรือน” “ไม่เอา” หลิงเวยยังคงมีจุดยืน นางเข้มแข็งมากในเรื่องนี้ชายหนุ่มยิ่งนึกเข่นเขี้ยว เขาพอจะดูออกว่านางต้องการทำมารยาใส่คนในครอบครัวของเขา ฮึ! ไม่มีทาง“ไม่กลับใช่หรือไม่”หลิงเวยพยักหน้าน้อยๆ พยายามมองสู้สายตามืดดำของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เช่นนั้นก็อยู่กับข้า ห้ามห่าง นี่คือคำสั่ง!”“...”จบคำจึงยอมปล่อยหลิงเวยออกจากอ้อมแขนแต่ยังคงปรายสายตาคมดุเข้าฟาดฟันตรึงนางเอาไว้แน่น“นี่ก็ใกล้มื้อเย็นแล้ว แม่ขอตัวไปดูในโรงครัวเสียหน่อย” ซินหรูเอ่ยขึ้นพลางหมุนตัวเดินไปกับฟงซือหลางสามีของตนหลิงเวยเห็นอย่างนั้นจึงทำท่าจะผละไปเพื่อเดินตามหลังแม่สามีแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่หนาโอบจับกระชับเอวเอาไว้แน่นฟงลี่หลินได้แต่มองพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตาปริบๆ ในขณะที่ฟงจินหมิงนึกอิจฉาขึ้นทุกที“พวกเจ้าอยู่ทานมื้อเย็นก่อนกลับแล้วกัน” ฟงซือหลางเอ่ยมาทางเหล่าลูกน้องทหารนอกศาลาก่อนเดินจากไปกับฮูหยิน ของต
“อาซ้อ!”เสียงเรียกจากฟงลี่หลินทำหลิงเวยที่กำลังเดินคอตกครุ่นคิดหนักหน่วงพลันหลุดออกจากภวังค์“อาซ้ออยู่กับข้าก่อน ไม่ต้องกลับเรือน” ฟงลี่หลินที่ยังคงยืนอยู่ในศาลากับฟงจินหมิงมองเห็นทั้งหมด นางจึงเดินออกมาจากในศาลาตรงเข้าจับข้อมือของหลิงเวยเอาไว้พลางชำเลืองสายตามองไปทางสตรีนางหนึ่งที่พี่ใหญ่จ้องมองเมื่อครู่“สตรีนางนั้นเป็นใครไยมองพี่ใหญ่อย่างนั้น อาซ้อรู้จักหรือไม่” นางถามพี่สะใภ้เสียงแข็งกระด้างรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาหลิงเวยได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ปฏิเสธตามตรง นางไม่รู้จักใครทั้งนั้น กับสามียังแค่รู้จักกันก่อนแต่งงานเพียงสามวัน หญิงสาวถึงกับถอนหายใจลากยาวใบหน้าหมองเศร้าจิตตกเหลือเกิน“หรือจะเป็นคนรักของพี่ใหญ่” ฟงจินหมิงที่ยืนอยู่กับฟงลี่หลินเริ่มวิเคราะห์ เขาช่างสงสัยในทุกๆ เรื่องแห่งชีวิตฟงลี่หลินได้ยินพลันผงะ “ได้อย่างไร พี่ใหญ่แต่งงานแล้ว หากเป็นคนรักของพี่ใหญ่จริง ไยพี่ใหญ่ถึงต้องแต่งกับอาซ้อ ไยไม่แต่งกับสตรีนางนั้น” นางช่วยพี่รองวิเคราะห์อย่างเข้มแข็งพาเอาคนฟังใจเต้นแรง “ถ้าหาก...” หลิงเวยเริ่มกล่าวเสียงเบา“ถ้าหากสตรีผู้นั้นเป็นคนรักของชินหยาง...” นางจะทำอย่างไร นางยังไม่ทันได้เต
“ในเมื่อเจ้ามีญาติอยู่ในเมืองหลวง” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยคำอีกคราด้วยน้ำเสียงเย็นชามากกว่าเดิม “ข้าจะทำเรื่องย้ายเจ้าเข้าไปประจำการที่เมืองหลวง รับจดหมายนี่ไป” กล่าวจบก็ยื่นจดหมายส่งตัววางเอาไว้บนโต๊ะทำงานให้สตรีตรงหน้าได้หยิบไปด้วยตนเองอวี้ถิงถึงกับตาโตตะลึงงันจ้องมองจดหมายตรงหน้าอย่างงุนงง อะ...อะไรกัน!???“ออกไปได้แล้ว” ฟงชินหยางเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกับทหารทุกนายหลังจากเสร็จสิ้นธุระอันสลักสำคัญทุกประการเขาควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม ต่อให้ต้องฆ่าคนเขาก็จะทำชายหนุ่มคิดอย่างนั้นพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินบรรยาย…เวลาอาหารค่ำมาถึงทุกชีวิตจึงรวมตัวกันภายในห้องอาหารบนโต๊ะอาหารอันใหญ่โตของจวนตระกูลฟงประกอบไปด้วยอาหารหลากหลายหน้าตาน่าทาน พาเอาอาซิ่นและอาตู้จิตใจเบิกบานทานอาหารอย่างรื่นเริง พวกเขาทั้งสองช่างเห็นแก่กินยิ่งนัก การทานอาหารร่วมกันจึงดำเนินไปภายในบรรยากาศเป็นกันเองเวลาผ่านไป...บรรยากาศหลังมื้ออาหารเย็นดำเนินไปด้วยสุรารสดีหลายไหถูกลำเลียงออกมาอย่างไม่มีหวงแหนเนื่องจากจวนตระกูลฟงนิยมหมักเหล้าเองและชอบแจกจ่ายเป็นทุนเดิม ในยามนี้อาซิ่นกับอาตู้ดื่มเหล้าอย่างมีค
กับบุตรชายทั้งสองเขาเองก็แทบจะไม่ผูกพันเนื่องจากเขาต้องเดินทางเคลื่อนพลไปในขณะที่บุตรชายคนโตอายุเพียงสี่เดือนและบุตรชายคนเล็กยังอยู่ในครรภ์ของนางนี่มิใช่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราช่างเปราะบางหรอกหรือก่อนเจอกันและแต่งงานกันยังไม่เคยทำความรู้จักสร้างความผูกพันกันด้วยซ้ำ จนเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังใช้เวลาแค่เพียงไม่นานอยู่ร่วมเรือนชาน ทั้งยังต้องอยู่ห่างไกลกันนานถึงห้าปีสายสัมพันธ์บางเบามิจืดจางลงแล้วหรือไร…มิใช่ว่าเขามีสตรีข้างกายที่สานสัมพันธ์กันอย่างยาวนานอยู่เคียงข้างหรอกหรือนั่น!กับตัวของฟงชินหยางอาจจะหนักแน่นไม่สนใจใคร หากแต่มีสตรีมากมายที่สนใจเขาการศึกอันดุเดือดยาวนานหากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วคนที่ทำแผลให้เขาเป็นสตรีนางหนึ่งที่ปักใจกับเขาและถ้าหากว่ามีสตรีงดงามคิดวางยาเขาจนเขาจักต้องรับผิดชอบและสร้างสายสัมพันธ์เส้นใหม่กับเขาอยู่ทางนั้นเล่า อา...หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งดำดิ่งลึกล้ำเกิดหลุมทมิฬขนาดใหญ่ภายในจิตใจยากเกินบรรยายจู่ๆ หญิงสาวพลันนึกถึงพระชายาฮุ่ยจินขึ้นมา พระชายาฮุ่ยจินนั้นเป็นสตรีผู้ครองวังหลังทั้งยังครองใจของอ๋องเฉินเพียงหนึ่งเดียว หากแต่อ๋องเฉินมีนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญปานใด
ครานี้ไม่เหมือนคราแรก ฮูหยินท่านนี้มีบุตรแล้วและสามีเดินทางไกลนานหลายเดือนเสียงของฮูหยินอีกท่านหนึ่งพลันเอ่ยต่อไม่ยินยอมให้เกิดความเงียบนาน “ส่วนข้านะ สามีเป็นทหารไปประจำการยังชายแดนนานร่วมปี”และแล้วเสียงอื้ออึงของเหล่าฮูหยินพลันดังขึ้นมาอีกครั้งทว่าครานี้มีเสียงของหลิงเวยรวมอยู่ด้วย นางร้องครางเลยทีเดียวการเจอะเจอกันของเหล่าฮูหยินทั้งหลายเป็นการปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจอย่างแท้จริง สตรีหัวอกเดียวกันทั้งนั้นฮูหยินผู้เป็นภรรยาของนายทหารเริ่มเอ่ยต่อ “สามีของข้านั้นเขาเป็นทหารประจำชายแดนที่ห่างเหินอิสตรีนานเป็นปีๆ เมื่อกลับบ้านมาก็มักจะรักข้าหนักหนาไม่หลับไม่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง เขาไปประจำการยังชายแดนห่างไกลนานสามปี ข้าจึงให้ญาติของข้าทางนั้นแอบสืบข่าวของเขา และแล้วข้าจึงได้รับรู้ว่าเขาอดใจไม่ได้จนต้องไปเที่ยวหอนางโลม” ฮูหยินท่านหนึ่งพลันเอ่ยแทรก “นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินหาน...”ฮูหยินหานเจ้าของเรื่องราวรอบนี้ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อทันที “มันเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ สามีของข้าก็เช่นเดียวกัน หากแต่กับสตรีในหอโคมเขียวนางนั้นกลับไม่ธรรมดา”“อา...นึ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน