Share

Chapter2. ผมดูเครียดมากเลยเหรอ

          “จะไปไหนเหรอเจ้ากั้ง”

          “เข้าบริษัทครับแม่”

            ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มเดินลงมาจากชั้นบนของคฤหาสน์หลังงาม มารดาของเขากำลังกินอาหารเช้า นางกวักมือเรียกลูกชายคนเดียวก่อนที่เขาจะเดินเลยออกไป

            “กินข้าวเช้ากับแม่ก่อนสิ” นางจันทนาถามแล้วพยักหน้าให้เด็กรับใช้วางแก้วน้ำส้มคั้น

            “ขอแค่กาแฟร้อนก็พอครับ” 

            ‘กั้ง’หรือ ‘กวิวัชร์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณจันทนาและ สามีคือคุณองอาจ แต่เพราะสามีมีบ้านเล็กบ้านน้อย นางจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดทั้งมวลที่ลูกชายคนเดียว แม้ว่าปีนี้เขาอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่สำหรับมารดาแล้วลูกยังเป็นเด็กเสมอ

            “วันเสาร์ก็ต้องไปทำงานเหรอ”  นางจันทนาถามพลางมองดูลูกที่นั่งลงเก้าอี้ว่างข้างกาย

            “บริษัทเราวันเสาร์ทำงานครึ่งวันนะครับแม่”  กวิวัชร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ปกติสีหน้าเขานิ่งขรึมอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับมารดา เขายิ้มแย้มและพยายามไม่ขัดใจเพราะรู้ว่ามารดามีปัญหาเรื่องสุขภาพร่วมทั้งจิตใจที่หดหู่เรื่องบิดาของเขาด้วย

            “เรื่องนั้นแม่รู้แต่ลูกเพิ่งกลับมาจากไต้หวันไม่ใช่เหรอ”

            “ผมกักตัวครบแล้วนะครับ”  กวิวัชร์รับกาแฟร้อนจากเด็กรับใช้มาดื่ม

            “แม่หมายถึง ลูกเป็นผู้บริหาร วันเสาร์ไม่ต้องเข้าบริษัทก็ได้นี่”  คนเป็นแม่ส่ายหน้าระอาใจ “เมื่อไหร่จะว่างไปหาหนูลิลลี่”

            “ผมไม่คิดอะไรกับน้อง” กวิวัชร์พูดตรงประเด็นเพราะเข้าใจความหมายของมารดาดี

            “แต่หนูลิลลี่คิด”

            “ก็ปล่อยให้คิดไปสิครับ”  เขายักไหล่ไม่ได้ใส่ใจ เขารู้ว่าแม่อยากให้เขาแต่งงานกับคนที่แม่เลือกให้ แต่เขาเจอหน้า ‘หนูลิลลี่’ ของคุณแม่หลายครั้งก็ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้คนนั้นเลย

            “แม่เลือกให้ก็ไม่เอาแล้วเมื่อไหร่ก็แต่งงานมีหลานให้แม่อุ้มเสียที”

            “ก็ผมไม่รีบนี่”

            “แต่แม่รีบ แม่อยากเลี้ยงหลาน แม่ก็แก่ลงไปทุกวัน อีกหน่อยก็ไม่มีแรงเลี้ยงหลานกันพอดี”

            “ผมรับไว้พิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนก็แล้วกันครับ”  กวิวัชร์หัวเราะในลำคอ “ผมออกไปก่อนนะครับแม่ แม่กินข้าวแล้วกินยาตามหมอสั่งด้วยนะครับ”

            “รู้แล้วๆ”

            เมื่อรู้ว่าห้ามลูกชายที่บ้างานไม่ได้ ก็ได้แต่ยิ้มส่งให้ลูกชายอย่างนี้  กวิวัชร์เข้ามารับตำแหน่งแทนบิดาได้ครึ่งปีแล้ว เขาอายุยังน้อย มีหลายคนไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยังดีที่สามีของนางแม้จะเจ้าชู้มีเมียเยอะ แต่เรื่องงานที่บริษัทไม่มีผิดพลาด แม้ตัวเองจะถอยออกมาแต่ก็ยังไม่วางมือไปทั้งหมด คอยดูแลและนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษา       หลังจากกาแฟร้อนหมดแก้ว กวิวัชร์ก็ไปทำงานด้วยรถยนตร์สีไวน์แดงคันโปรด เป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกบุคลิกของเขาได้ชัดเจนที่สุด  แม้ว่าพ่อยกบริษัทให้เขาบริหารต่อแต่ไม่ใช่ว่าจะทิ้งไปเสียทีเดียว ยังคงให้คุณอา“อวัช”มือขวาของพ่อไว้ช่วยสอนงาน   เพียงแค่พ่อไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เท่านั้น ซึ่งเขาก็เข้าใจพ่อและแม่ พ่อของเขาเจ้าชู้ยังไง แม่ก็ยังเป็นเมียหลวงยืนหนึ่งไม่มีวันหย่ากับแม่แน่นอน นั้นเป็นเรื่องที่พ่อยืนยัน

            กวิวัชร์มาถึงบริษัทเก้าโมงเศษ เพราะไปดูโรงงานที่ไต้หวันครึ่งเดือนและกลับมากักตัวเจ็ดวัน ก็เท่ากับเขาไม่ได้เข้าบริษัทมาเกือบเดือน พนักงานหลายคนทำหน้าตาตื่นที่เห็นเขาเข้ามา ปกติเขาหน้าดุอยู่แล้วทำให้พนักงานไม่กล้าสบตาตรงๆ เขาเดินไปที่ห้องทำงานของอวัชด้วยความเคยชิน

            “อ้าว วันนี้เข้าบริษัทด้วยเหรอ” อวัชถามพลางกินแซนวิชในมือ “กินด้วยกันไหม”

            “ผมยังไม่หิว”  เขานั่งลงที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามกับผู้เป็นอา “ทำไมพนักงานมองผมแปลกๆ”

            อวัชโบกมือไปมา เมื่อกลืนแซนวิชแล้วก็พูดขึ้น “แค่ไม่ค่อยเห็นหน้าประธานเลยตกใจ”

            “คิดว่าผมดูแลบริษัทไม่รอดเหรอ”  กวิวัชร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากจบปริญญาโท เขาก็ไปทำงานในตำแหน่งอื่น ไม่ใช่ว่าจะใช้ความเป็นลูกเจ้าของบริษัทขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้บริหารทันที

            “คิดมากน่า” อวัชยัดแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปาก “มาแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ยังไงให้เลขาสั่งมื้อเช้าให้ดีกว่า”

            “ครับ”

            “วันนี้ไม่มีอะไรมากหรอก ไปอ่านเอกสารสรุปการประชุมที่กองอยู่บนโต๊ะเถอะ”

            “อาไล่ผม?”

            “เปล่า”  อวัชหัวเราะ “ไปๆ รำคาญตา อาก็มีงานที่ต้องสะสางเหมือนกัน”

            “โอเค.ครับ”

            ประธานหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานของอาอวัชกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง เขากินข้าวเช้าเอาตอนสาย ถ้าเป็นเลขาคนเก่าจะเตรียมสั่งอาหารเช้าไว้เขาโดยไม่ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เขามีเลขาคนใหม่ที่ท่าทางเปรี้ยวเข็ดฟัน  ถ้าไม่ใช่เพราะประวัติการเรียนของเธอน่าสนใจ รวมทั้งทำกิจกรรมระหว่างเรียน เขาคงไม่เลือกมาเป็นเลขาแน่ๆ เขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ ฟาดพนักงานเป็นว่าเล่นนะสิ

            ชายหนุ่มแปลกใจที่โต๊ะทำงานหน้าห้องไม่มีร่างของเลขาสาว หรือจะยังมาไม่ถึงที่ทำงาน กวิวัชร์โคลงศีรษะแล้วผลักประตูเข้าห้องทำงานของตัวเอง สายตาของเขาปะทะกับร่างอรชรในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา

            “คุณพราวมุก?”

            “คะ!” หญิงสาวสะดุ้งเงยตัวขึ้นทันที เธอจ้องเขาตาโต “ท่านประธาน!”

            ‘ท่านประธาน?’ กวิวัชร์เลิกคิ้ว ถึงเขาจะหยุดงานไปนานและเลขาคนนี้เพิ่งมาใหม่ แต่จำได้ว่า เธอมักเรียกเขาว่า ‘บอส’

            “ทำไมต้องตกใจ”

            “เอ่อ...ไม่นึกว่าท่านประธานจะเข้าบริษัท” หญิงสาวตอบไปตามตรง เผลอยกมือขึ้นหมายจะดันแว่นตาแต่ลืมไปว่าตอนนี้เธอไม่ได้ใส่แว่น

            “แปลกจริง วันนี้มีแต่คนทัก”  เขายักไหล่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หางตาเห็นกระถางต้นไม้เล็กๆ บนโต๊ะทำงาน

            ‘แปลกจริงๆ นั้นแหละ ก็ยัยมุกบอกว่าท่านประธานจะไม่เข้าบริษัทนี่’

            “นั้นอะไร”

            “ต้นไม้ค่ะ”

            “ผมเห็นแล้วว่าต้นไม้ แต่ต้นอะไร”

            “เศรษฐีเรือนในค่ะ”

            “ขอผมดูหน่อย” 

            พลอยดาวที่มาสวมหน้าที่เป็นพราวมุก เธอยืนมองมือที่ยื่นออกมา หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากอย่างลืมตัวแล้วยื่นกระถางต้นไม้เล็กๆ ส่งให้เขาดู

            “นี่ผมต้องพึ่งต้นไม้มงคลเสริมฮวงจุ้ยเลยเหรอ”

            “เศรษฐีเรือนในเป็นไม้มงคลเสริมโชคเสริมลาภก็จริง แต่ก็ที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ ตั้งไว้บนโต๊ะทำงานแบบนี้ก็ช่วยลดความตึงเครียดได้ด้วยค่ะ”

            “ผมดูเครียดมากเหรอ”  เขาถามพลางกวาดตามองเลขาคนใหม่ ก็เหมือนไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม แต่ทำไมเขารู้สึกว่าวันนี้ต่างไปจากเดิม หรือเพราะผมยาวที่เกล้าขึ้นเป็นมวย หรือเธอแต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติ

            ถูกจ้องจนรู้สึกประหม่า พลอยดาวเคยมาทำงานแทนพราวมุก แต่ก็ไม่ได้พบหน้าประธานบริษัทระยะใกล้ขนาดนี้ เธอฝั่งใจกับใบหน้าเย็นชาและสายตาดุดันจนไม่อยากอยู่ใกล้  แล้วที่สำคัญจากข้อมูลที่พราวมุกบอก เขาควรจะมาทำงานวันจันทร์นี่นะ

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status