คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
"มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียง
ดัง
"ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง"
"เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที"
"แต่หนูไม่เคยทำ"
"ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ"
ศศิกานต์ไม่โกรธ เธอรู้ดีว่า คนพูดตรงๆมีสองแบบ หนึ่งคือคนที่จริงใจกับเรา หรือสอง คนที่อยากให้เราเสียใจ และศศิคิดว่าป้าคนนี้เป็นแบบที่หนึ่ง
"เอ่อ...ค่ะ"
ศศิกานต์ช่วยอีกหลายอย่าง อากาศร้อนจนเหงื่อท่วมตัว หน้าตาบู้บี้นั้นมอมแมม ในไซต์ก่อสร้างนี้ มีคนงานทั้งคนไทยและต่างประเทศ เธอเดินมาสมัครงาน เพราะรายได้ดีและตัวเธอก็แรงเยอะอย่างคนร่างใหญ่ สมกับฉายากอริลลา
"ป้า ถ้ามีงานในกรุงเทพอีก เรียกหนูไปด้วยนะ หนูต้องใช้เงิน"
"ได้ เอ็งยังเด็กแต่ขยันมากนะ ที่บ้านไม่มีกินเหรอวะ มาทำอะไรที่เมืองกรุงแบบนี้"
เงียบไปนานก่อนตอบตามจริง
"หนูจะเอาเงินไปคว้าโอกาสป้า" เธอกำมือแน่น
หญิงชรามองเข้าไปในดวงตา เห็นประกายมุ่งมั่นประเภทไม่เปลี่ยนใจแม้ต้องแลกอะไรก็ตาม เธอถอนหายใจแล้วระบายยิ้มให้เด็กสาวตัวยักษ์
"ดีๆ ป้าขอให้สำเร็จนะ"
วันต่อมา ศศิกานต์เดินทางมาที่ไซต์ก่อสร้างซึ่งวุ่นวายเหมือนอย่างทุกวัน เธอเห็นป้าใจดียืนอยู่ แต่เธอดูแปลกไป เสื้อผ้าที่ใส่ดูมีราคา คนล้อมหน้าล้อมหลังราวกับกำลังคุยกับบุคคลสำคัญ หญิงสาวยืนเก้ๆ กังๆ อยู่นาน ไม่กล้าเข้าไปทักสักที เมื่อสบตากัน ป้าใจดีจึงเดินมาจูงมือเธอไปแนะนำให้เหล่าคนงานรู้จักอย่างเป็นทางการ
“ถ้ามีงานของเราหรือเครือข่ายในกรุงเทพอีก เรียกเด็กคนนี้มาทำนะ” หญิงชราพูดกับเหล่าคนของเธอ “เธอเป็นนักศึกษาแถวๆนี้แหละ และป้าขอแนะนำตัวเองนะ ป้าเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง เรียกป้าว่า ป้าณีก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ” ศศิกานต์เอ่ยเสียงสั่น ในใจตื้นตันจน
น้ำตาแทบใหล มีคนน้อยคนนักที่จะใจดีกับเธอ เพราะเธอหน้าตาไม่ดี และคนส่วนใหญ่มองคนที่ภายนอกเท่านั้น
ภายหลังเธอมารู้ว่า การรู้จักป้าณี เปรียบได้กับการถูกรางวัลที่หนึ่ง
“ป้าจะให้ศศิกู้เงิน” ป้าณีเอ่ยเสียงเรียบ
“อะไรนะคะ”
“ศศิอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ ไม่ใช่เหรอ ป้าจะให้กู้ กู้แบบไม่มีหลักคำประกัน”
“ทำไมถึงกล้าให้หนูกู้เงินละคะ” หญิงสาวบิดตัวอยู่นาน ก่อนตัดสินใจถาม
“ป้าเห็นว่าศศิเป็นคนซื่อ รับผิดชอบต่องานและการเรียน อายุไม่เท่าไหร่ก็มาสมัครทำงานที่ต้องใช้แรง มันยากนะที่เด็กคนหนึ่งจะพยายามได้ขนาดนี้ แรงบันดาลใจของศศิมันชัดเจนมาก จนป้าขอแทงข้างที่ว่า ศศิจะประสบความสำเร็จแล้วหาเงินมาคืนป้าได้ก็แล้วกัน ถึงไม่ได้ อย่างน้อยป้าก็ได้เห็นศศิคนที่พยายามอย่างที่สุดก็แล้วกัน”
ศศิกานต์น้ำตารื้น ซาบซึ้งใจที่เจอคนดีๆ ไม่จำเป็นว่าคนทุกคนจะร้ายกับเราเสมอไป ในวันหนึ่งจะมีคนดีๆ ผ่านเข้ามาบ้าง
.
.
ผ่านไปอีกสองปี
ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับคนร่างบาง ศศิกานต์ก็มีชีวิตดีขึ้น เพราะมีเพื่อนหนึ่งคนที่เธอสามารถคุยด้วยได้ แม้จะเป็นแค่เรื่องเรียนก็ตาม
มีคนประปรายเพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ใบไม้ปลิวตกใส่ผมสุปรีย์ ศศิกานต์ไม่กล้าเอื้อมมือไปปัดออก เธอนั่งอย่างไม่สงบใจและบอกตัวเองให้โฟกัสไปที่เรื่องติว ไม่ใช่ที่ผมของเพื่อนนางแบบ สองสาวนั่งบนม้านั่งใต้อาคารเรียนตามลำพัง คนส่วนใหญ่กลับบ้านหรือไม่ก็หอพักไปหมดแล้ว เหลือเวลาอีกนานกว่าจะสอบ แต่พวกเธอต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ทันเวลา สายลมแห่งโชคชะตาพัดผ่านมาอีกครั้ง
“วันนี้เราจะติวเรื่องอัตราส่วนทางการเงิน” ศศิกานต์เอ่ยพลางหยิบสมุดโน้ตออกมา
“โอเค”
"เคล็ดลับของเราไม่มีนะ คือปรีย์ต้องท่องจำอัตราส่วนทางการเงินเอา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะเราไม่รู้ว่าอาจารย์จะออกแบบไหนตอนไฟนอล แต่ในชื่ออัตราส่วน ก็จะมีรายการในงบการเงิน ว่าต้องใช้รายการไหนมาเป็นเศษและส่วนนั่น..."
สุปรีย์รอโอกาสให้ศศิกานต์สอนเสร็จ จึงเอ่ยเรื่องสำคัญออกมา
"ศศิ ปรีย์มีเรื่องจะบอก" เธอเอ่ยเสียงสดใส
"อะไรเหรอ" ศศิกานต์มองกลับด้วยแววตาลึกซึ้ง เธอไม่รู้เลยว่า ใครๆ ก็ดูออกว่าแววตานั้นหมายความว่ายังไง
"ปรีย์จะไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาสองปี"
อีกฝ่ายอึ้ง โลกที่เปี่ยมสุขกำลังจะหายไป เธอเคยชินที่มีสุปรีย์มาตลอดสองปีในรั้วมหาวิทยาลัย
"ยินดีด้วยนะ" แม้ปากจะดีใจด้วยแต่ใจเห็นต่าง
ไม่ไปได้ไหม อย่าไปเลยนะ อยู่กับเราทีนี่เถอะ เสียงในใจอ้อนวอน แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
"ว้า...ต่อไปนี้ ใครจะติวให้เราอีก ไปอยู่ตั้งไกล"
"แล้วงานล่ะ ไม่เป็นไรเหรอ"
"โมเดลลิ่งเอเจนซี่จะหางานที่โน่นให้ แล้วจะได้เก่งภาษาด้วย ได้โกอินเตอร์แบบนี้ เป็นโอกาสที่ดีมากๆ เลย"
ดินอยากบอกดาวว่า อย่าไปเลยนะ ศศิอยากบอกให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยากบอกให้ปกป้องศศิจนกว่าจะเรียนจบ อยากบอกให้เป็นกำลังใจให้ศศิมาเรียนอย่างมีความสุขทุกๆ วัน
แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ศศิกานต์ได้คุยกับสุปรีย์เป็นการส่วนตัว จนกระทั่งเรียนจบ
.
.
สองปีผ่านไป
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ศศิกานต์ทำงานพิเศษแบบนี้จนเรียนจบ พร้อมเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และคะแนนของเธอเป็นที่หนึ่งในรุ่น แต่ทุกครั้งเธอจะหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ทั้งไม่เคยมีเพื่อน ทั้งไม่เปิดใจคบใคร และมีแต่คนคิดจะแกล้ง ถึงกระนั้นช่วงเวลาแห่งความทรมานก็จบลง
ตอนนี้เธออยู่ในห้องปรึกษาแพทย์ มีโต๊ะตัวเขื่องและเก้าอี้นุ่ม ไฟปรับพอดีกับการถนอมสายตา กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดคลุ้งทำให้รู้สึกได้ถึงความอนามัยจัดของที่นี่ ศศิกานต์นั่งอยู่กับศัลยแพทย์และล่าม เธอสวมชุดคนไข้ไซส์ใหญ่สุด หน้าอกกระเพื่อมอย่างตื่นเต้น หญิงสาวพยักหน้ารับฟังคำแปลหมอศัลยกรรมชาวเกาหลี
"จมูก กราม ดวงตา และหน้าผาก จะถูกการแก้ไขในวันนี้นะคะ หมอคนนี้เก่งที่สุดแล้วค่ะ ดาราเกาหลีก็มาทำกันที่นี่เยอะแยะ คุณผู้หญิงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" เอเจนซี่ทำหน้าที่ล่าม พูดเมื่อเห็นเธอกำลังเครียด แผ่รังสีดำมืดออกมาจากดวงตาคู่นั้น
หมอใช้ปากกาวาดใบหน้าขึ้นใหม่ แล้วอธิบายว่าจะทำอะไรบ้าง
"คุณศศิกานต์มีอะไรจะถามหมอไหมคะ"
"คือ..." ศศิกานต์ทึบตัน ก่อนคำตอบจะออกมาอย่างจริงใจ "ให้หมอตัดสินใจดีกว่าค่ะ"
"ค่ะ" ไม่ตกใจที่คนไข้ไม่มีไอเดียอะไร แถมสามารถรับกับสถานการณ์ได้ดี เพราะเธอทำงานแบบนี้มาหลายปี "เอาแบบให้ดูธรรมชาติดีไหมคะ"
"ดีค่ะ" หญิงสาวรีบตอบ
หมอพยักหน้าให้ แล้วพาเธอขึ้นเตียง ไม่นานก็ให้เธอดมยาสลบแล้วหลับไป พร้อมกันนั้นเขาทำจมูกให้โค้งอย่างดูเป็นธรรมชาติ ตัดปีกจมูก ยกมุมปาก ทำกรามให้เรียวเล็กลง ทำตาให้โตและมีประกายสวยน่ามอง แต่ยังติดความคมคายแบบเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง จนเรียกได้ว่าหมอทำจนสุดความสามารถแล้ว สวยกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ในห้องพักฟื้นเป็นสีขาวปลอด เฟอร์นิเจอร์วางอยู่น้อยชิ้นทำให้ดูโล่งโปร่ง ศศิกานต์ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าใบหน้าของเธอบวมเป่ง เมื่อยาชาหมด เธอเจ็บไปทั่วใบหน้า หมอบอกว่าอีกหกดือนกว่าจะเข้าที่เต็มร้อย แต่ทุกครั้งที่ส่องกระจก หญิงสาวจะนึกถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเอง เธอจึงไม่ยอมส่องกระจก ไม่ว่าหน้าจะหายบวมแล้วก็ตาม
นั่งตามลำพังในห้องนอนตัวเอง เตียงนอนยับยู่ยี่ บนโต๊ะหนังสือเรียบร้อยเพราะไม่ได้ใช้ตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้เธอไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะงานใช้แรง หรืองานในออฟฟิซ เงินทองที่มีก็หมดไป หญิงสาวจึงแทบจะไม่มีเงินที่จะซื้อของกิน เธอกินแต่น้ำเปล่าประทังหิวไม่รู้จะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร จนในที่สุด ก็นึกถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเดียวที่เธอเป็นเจ้าของ ไม่อาจขายออกไปได้ แต่ต้องหาทางทำเงินจากมัน ศศิกานต์นั่งคิดว่าจะทำยังไงดี เธอจึงทำป้ายให้เช่าหน้าทาวน์เฮ้าส์ที่ยายยกให้เธอ เธอคำนวนในใจ
ทาวน์เฮ้าส์มีสี่ชั้น ถ้าแบ่งกันอยู่คนละชั้น รายได้ค่าเช่าอาจทำให้ศศิมีชีวิตต่อไปได้ สามคน เดือนละสามพันห้าร้อยบาทต่อคน ถ้ามีคนเช่าเต็ม ก็จะมีเงินพอใช้แบบถูไถก่อนหางานทำ
เช้าวันหนึ่ง ณ แถวทาวน์เฮ้าส์ของศศิกานต์ เป็นย่านร้านอาหารริมทางผุดเป็นดอกเห็ด และตึกใหญ่ถูกจับจองทำเป็นสำนักงานจนเต็ม ตอนนั้นเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ออกจากบ้าน อากาศเริ่มอุ่นตามแสงอาทิตย์สาดส่อง เธอสวมหน้ากากและหมวกสีดำ เพื่อออกไปซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ด้วยความที่เธอตัวสูงใหญ่ และหน้าอกเล็กลงจนเหมือนไม่มี การสวมเสื้อยืดสีดำและอุปกรณ์อื่นๆ ทำให้เธอดูน่าสงสัย พวกเขาเรียกรปภ.ให้มาดู แต่หญิงสาวก็รีบหยิบของกินแล้วเดินออกจากร้านไป
"เดี๋ยวครับคุณ" รปภ.เรียกเธอไว้
"เปล่าคะ ไม่ได้ขโมยของ" รีบตอบ
"ทำของตกครับ"
"ค่ะๆ" รีบเก็บของจากนั้นก็วิ่งไปอย่างเร็ว
ศศิกานต์รู้สึกสุขภาพดีขึ้น ร่างกายเบาขึ้น แต่ที่ไม่รู้คือ ชะตาชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เรื่องที่คาดไม่ถึงกำลังจะเกิดขึ้น จนเธออาจจะต้องร้องด้วยความตกใจ
ผ่านไปสองเดือน ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากออก ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อาย
ถ้าใครถามฉันอยากบอกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย ฉันตัวสูงกว่าเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในชั้นเรียน ฉันมีหน้าตาอัปลักษณ์ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แค่ฉันรู้สึกว่า แม่ไม่รักฉัน แม่ไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยบอกว่ารักฉัน ฉันรู้ดี เพราะฉันทำเงินให้แม่ไม่ได้เท่าพี่ๆ ของฉันทั้งสองคน ในตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ แม่ก็บอกยายว่า “หนูจะไปหาห้องเช่าใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ เด็กสองคนจะได้อยู่ใกล้ห้องถ่ายทำ” ที่จริงสถานที่ถ่ายทำกระจายอยู่ทั่วไป แต่การย้ายออกจากบ้านซ่อมซ่อ มันทำให้เชิดหน้าชูตาพี่สาวทั้งสองคน “แล้ว...หนูละคะ” ฉันถามเสียงเบา “หนูก็อยู่กับยายไปก่อน ถ้าเราสามคนไปได้ดี แม่จะมารับหนูไปอยู่ด้วย” ฉันยังเด็ก และก็เชื่อแม่อย่างเปี่ยมล้น ว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมารับฉันไปอยู่ด้วย แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก น้าติ๋มเพื่อนบ้านเคยบอกฉัน “คนสวยเขามีชะตาชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป แม่เอ็งผลักดันให้พี่สาวทั้งสองคนอยู่ในว
ต้นไม้อายุร้อยปีถูกปลูกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพร้อมกับนักศึกษา มันตั้งตรงเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างแข็งแกร่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเสมือนหนึ่งเดียวกับประเพณีรับน้อง ที่ไม่ว่าจะต่อต้านเพียงไร ก็ยังจะดำเนินการต่อมาด้วยความแข็งแกร่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในอาคาร สลับกับลมร้อนที่ผ่านเข้ามา เสียงกลองดังเป็นจังหวะ นักศึกษาใหม่เต้นสุดแรง เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งรุ่นพี่ รุ่นน้องถูกทาแป้งจนขาววอก ผูกผมชี้โด่ชี้เด่ นั่งเป็นแถวอยู่ใต้อาคารเรียน ล้อมรอบไปด้วยรุ่นพี่ทุกชั้นปี ประธานรุ่นปีสองกวาดตามองเด็กใหม่ พวกเขาเรียนคณะบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง "พี่จะเลือกดาวประจำคณะเรา" เขาเกริ่น "สำหรับปีนี้ ดาวของเราคือใครดีครับ" มีคนยกมือแล้วเอ่ยออกมา "สุปรีย์ครับ" ใต้อาคารเรียนที่เดิม คนหน้าตาดียังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง เสียงปรบมือดังกึกก้องมาจากรุ่นน้อง ทุกคนเห็นด้วยว่าหน้าเก๋และหุ่นดีแบบนางแบบนั่นเหมาะสมที่สุด ชายหนุ่มผู้เป็นประธานรุ่นปีสองเลือกเดือนของคณะ อีกเช