คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
"มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียง
ดัง
"ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง"
"เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที"
"แต่หนูไม่เคยทำ"
"ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ"
ศศิกานต์ไม่โกรธ เธอรู้ดีว่า คนพูดตรงๆมีสองแบบ หนึ่งคือคนที่จริงใจกับเรา หรือสอง คนที่อยากให้เราเสียใจ และศศิคิดว่าป้าคนนี้เป็นแบบที่หนึ่ง
"เอ่อ...ค่ะ"
ศศิกานต์ช่วยอีกหลายอย่าง อากาศร้อนจนเหงื่อท่วมตัว หน้าตาบู้บี้นั้นมอมแมม ในไซต์ก่อสร้างนี้ มีคนงานทั้งคนไทยและต่างประเทศ เธอเดินมาสมัครงาน เพราะรายได้ดีและตัวเธอก็แรงเยอะอย่างคนร่างใหญ่ สมกับฉายากอริลลา
"ป้า ถ้ามีงานในกรุงเทพอีก เรียกหนูไปด้วยนะ หนูต้องใช้เงิน"
"ได้ เอ็งยังเด็กแต่ขยันมากนะ ที่บ้านไม่มีกินเหรอวะ มาทำอะไรที่เมืองกรุงแบบนี้"
เงียบไปนานก่อนตอบตามจริง
"หนูจะเอาเงินไปคว้าโอกาสป้า" เธอกำมือแน่น
หญิงชรามองเข้าไปในดวงตา เห็นประกายมุ่งมั่นประเภทไม่เปลี่ยนใจแม้ต้องแลกอะไรก็ตาม เธอถอนหายใจแล้วระบายยิ้มให้เด็กสาวตัวยักษ์
"ดีๆ ป้าขอให้สำเร็จนะ"
วันต่อมา ศศิกานต์เดินทางมาที่ไซต์ก่อสร้างซึ่งวุ่นวายเหมือนอย่างทุกวัน เธอเห็นป้าใจดียืนอยู่ แต่เธอดูแปลกไป เสื้อผ้าที่ใส่ดูมีราคา คนล้อมหน้าล้อมหลังราวกับกำลังคุยกับบุคคลสำคัญ หญิงสาวยืนเก้ๆ กังๆ อยู่นาน ไม่กล้าเข้าไปทักสักที เมื่อสบตากัน ป้าใจดีจึงเดินมาจูงมือเธอไปแนะนำให้เหล่าคนงานรู้จักอย่างเป็นทางการ
“ถ้ามีงานของเราหรือเครือข่ายในกรุงเทพอีก เรียกเด็กคนนี้มาทำนะ” หญิงชราพูดกับเหล่าคนของเธอ “เธอเป็นนักศึกษาแถวๆนี้แหละ และป้าขอแนะนำตัวเองนะ ป้าเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง เรียกป้าว่า ป้าณีก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ” ศศิกานต์เอ่ยเสียงสั่น ในใจตื้นตันจน
น้ำตาแทบใหล มีคนน้อยคนนักที่จะใจดีกับเธอ เพราะเธอหน้าตาไม่ดี และคนส่วนใหญ่มองคนที่ภายนอกเท่านั้น
ภายหลังเธอมารู้ว่า การรู้จักป้าณี เปรียบได้กับการถูกรางวัลที่หนึ่ง
“ป้าจะให้ศศิกู้เงิน” ป้าณีเอ่ยเสียงเรียบ
“อะไรนะคะ”
“ศศิอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ ไม่ใช่เหรอ ป้าจะให้กู้ กู้แบบไม่มีหลักคำประกัน”
“ทำไมถึงกล้าให้หนูกู้เงินละคะ” หญิงสาวบิดตัวอยู่นาน ก่อนตัดสินใจถาม
“ป้าเห็นว่าศศิเป็นคนซื่อ รับผิดชอบต่องานและการเรียน อายุไม่เท่าไหร่ก็มาสมัครทำงานที่ต้องใช้แรง มันยากนะที่เด็กคนหนึ่งจะพยายามได้ขนาดนี้ แรงบันดาลใจของศศิมันชัดเจนมาก จนป้าขอแทงข้างที่ว่า ศศิจะประสบความสำเร็จแล้วหาเงินมาคืนป้าได้ก็แล้วกัน ถึงไม่ได้ อย่างน้อยป้าก็ได้เห็นศศิคนที่พยายามอย่างที่สุดก็แล้วกัน”
ศศิกานต์น้ำตารื้น ซาบซึ้งใจที่เจอคนดีๆ ไม่จำเป็นว่าคนทุกคนจะร้ายกับเราเสมอไป ในวันหนึ่งจะมีคนดีๆ ผ่านเข้ามาบ้าง
.
.
ผ่านไปอีกสองปี
ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับคนร่างบาง ศศิกานต์ก็มีชีวิตดีขึ้น เพราะมีเพื่อนหนึ่งคนที่เธอสามารถคุยด้วยได้ แม้จะเป็นแค่เรื่องเรียนก็ตาม
มีคนประปรายเพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ใบไม้ปลิวตกใส่ผมสุปรีย์ ศศิกานต์ไม่กล้าเอื้อมมือไปปัดออก เธอนั่งอย่างไม่สงบใจและบอกตัวเองให้โฟกัสไปที่เรื่องติว ไม่ใช่ที่ผมของเพื่อนนางแบบ สองสาวนั่งบนม้านั่งใต้อาคารเรียนตามลำพัง คนส่วนใหญ่กลับบ้านหรือไม่ก็หอพักไปหมดแล้ว เหลือเวลาอีกนานกว่าจะสอบ แต่พวกเธอต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ทันเวลา สายลมแห่งโชคชะตาพัดผ่านมาอีกครั้ง
“วันนี้เราจะติวเรื่องอัตราส่วนทางการเงิน” ศศิกานต์เอ่ยพลางหยิบสมุดโน้ตออกมา
“โอเค”
"เคล็ดลับของเราไม่มีนะ คือปรีย์ต้องท่องจำอัตราส่วนทางการเงินเอา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะเราไม่รู้ว่าอาจารย์จะออกแบบไหนตอนไฟนอล แต่ในชื่ออัตราส่วน ก็จะมีรายการในงบการเงิน ว่าต้องใช้รายการไหนมาเป็นเศษและส่วนนั่น..."
สุปรีย์รอโอกาสให้ศศิกานต์สอนเสร็จ จึงเอ่ยเรื่องสำคัญออกมา
"ศศิ ปรีย์มีเรื่องจะบอก" เธอเอ่ยเสียงสดใส
"อะไรเหรอ" ศศิกานต์มองกลับด้วยแววตาลึกซึ้ง เธอไม่รู้เลยว่า ใครๆ ก็ดูออกว่าแววตานั้นหมายความว่ายังไง
"ปรีย์จะไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาสองปี"
อีกฝ่ายอึ้ง โลกที่เปี่ยมสุขกำลังจะหายไป เธอเคยชินที่มีสุปรีย์มาตลอดสองปีในรั้วมหาวิทยาลัย
"ยินดีด้วยนะ" แม้ปากจะดีใจด้วยแต่ใจเห็นต่าง
ไม่ไปได้ไหม อย่าไปเลยนะ อยู่กับเราทีนี่เถอะ เสียงในใจอ้อนวอน แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
"ว้า...ต่อไปนี้ ใครจะติวให้เราอีก ไปอยู่ตั้งไกล"
"แล้วงานล่ะ ไม่เป็นไรเหรอ"
"โมเดลลิ่งเอเจนซี่จะหางานที่โน่นให้ แล้วจะได้เก่งภาษาด้วย ได้โกอินเตอร์แบบนี้ เป็นโอกาสที่ดีมากๆ เลย"
ดินอยากบอกดาวว่า อย่าไปเลยนะ ศศิอยากบอกให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยากบอกให้ปกป้องศศิจนกว่าจะเรียนจบ อยากบอกให้เป็นกำลังใจให้ศศิมาเรียนอย่างมีความสุขทุกๆ วัน
แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ศศิกานต์ได้คุยกับสุปรีย์เป็นการส่วนตัว จนกระทั่งเรียนจบ
.
.
สองปีผ่านไป
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ศศิกานต์ทำงานพิเศษแบบนี้จนเรียนจบ พร้อมเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และคะแนนของเธอเป็นที่หนึ่งในรุ่น แต่ทุกครั้งเธอจะหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ทั้งไม่เคยมีเพื่อน ทั้งไม่เปิดใจคบใคร และมีแต่คนคิดจะแกล้ง ถึงกระนั้นช่วงเวลาแห่งความทรมานก็จบลง
ตอนนี้เธออยู่ในห้องปรึกษาแพทย์ มีโต๊ะตัวเขื่องและเก้าอี้นุ่ม ไฟปรับพอดีกับการถนอมสายตา กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดคลุ้งทำให้รู้สึกได้ถึงความอนามัยจัดของที่นี่ ศศิกานต์นั่งอยู่กับศัลยแพทย์และล่าม เธอสวมชุดคนไข้ไซส์ใหญ่สุด หน้าอกกระเพื่อมอย่างตื่นเต้น หญิงสาวพยักหน้ารับฟังคำแปลหมอศัลยกรรมชาวเกาหลี
"จมูก กราม ดวงตา และหน้าผาก จะถูกการแก้ไขในวันนี้นะคะ หมอคนนี้เก่งที่สุดแล้วค่ะ ดาราเกาหลีก็มาทำกันที่นี่เยอะแยะ คุณผู้หญิงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" เอเจนซี่ทำหน้าที่ล่าม พูดเมื่อเห็นเธอกำลังเครียด แผ่รังสีดำมืดออกมาจากดวงตาคู่นั้น
หมอใช้ปากกาวาดใบหน้าขึ้นใหม่ แล้วอธิบายว่าจะทำอะไรบ้าง
"คุณศศิกานต์มีอะไรจะถามหมอไหมคะ"
"คือ..." ศศิกานต์ทึบตัน ก่อนคำตอบจะออกมาอย่างจริงใจ "ให้หมอตัดสินใจดีกว่าค่ะ"
"ค่ะ" ไม่ตกใจที่คนไข้ไม่มีไอเดียอะไร แถมสามารถรับกับสถานการณ์ได้ดี เพราะเธอทำงานแบบนี้มาหลายปี "เอาแบบให้ดูธรรมชาติดีไหมคะ"
"ดีค่ะ" หญิงสาวรีบตอบ
หมอพยักหน้าให้ แล้วพาเธอขึ้นเตียง ไม่นานก็ให้เธอดมยาสลบแล้วหลับไป พร้อมกันนั้นเขาทำจมูกให้โค้งอย่างดูเป็นธรรมชาติ ตัดปีกจมูก ยกมุมปาก ทำกรามให้เรียวเล็กลง ทำตาให้โตและมีประกายสวยน่ามอง แต่ยังติดความคมคายแบบเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง จนเรียกได้ว่าหมอทำจนสุดความสามารถแล้ว สวยกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ในห้องพักฟื้นเป็นสีขาวปลอด เฟอร์นิเจอร์วางอยู่น้อยชิ้นทำให้ดูโล่งโปร่ง ศศิกานต์ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าใบหน้าของเธอบวมเป่ง เมื่อยาชาหมด เธอเจ็บไปทั่วใบหน้า หมอบอกว่าอีกหกดือนกว่าจะเข้าที่เต็มร้อย แต่ทุกครั้งที่ส่องกระจก หญิงสาวจะนึกถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเอง เธอจึงไม่ยอมส่องกระจก ไม่ว่าหน้าจะหายบวมแล้วก็ตาม
นั่งตามลำพังในห้องนอนตัวเอง เตียงนอนยับยู่ยี่ บนโต๊ะหนังสือเรียบร้อยเพราะไม่ได้ใช้ตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้เธอไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะงานใช้แรง หรืองานในออฟฟิซ เงินทองที่มีก็หมดไป หญิงสาวจึงแทบจะไม่มีเงินที่จะซื้อของกิน เธอกินแต่น้ำเปล่าประทังหิวไม่รู้จะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร จนในที่สุด ก็นึกถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเดียวที่เธอเป็นเจ้าของ ไม่อาจขายออกไปได้ แต่ต้องหาทางทำเงินจากมัน ศศิกานต์นั่งคิดว่าจะทำยังไงดี เธอจึงทำป้ายให้เช่าหน้าทาวน์เฮ้าส์ที่ยายยกให้เธอ เธอคำนวนในใจ
ทาวน์เฮ้าส์มีสี่ชั้น ถ้าแบ่งกันอยู่คนละชั้น รายได้ค่าเช่าอาจทำให้ศศิมีชีวิตต่อไปได้ สามคน เดือนละสามพันห้าร้อยบาทต่อคน ถ้ามีคนเช่าเต็ม ก็จะมีเงินพอใช้แบบถูไถก่อนหางานทำ
เช้าวันหนึ่ง ณ แถวทาวน์เฮ้าส์ของศศิกานต์ เป็นย่านร้านอาหารริมทางผุดเป็นดอกเห็ด และตึกใหญ่ถูกจับจองทำเป็นสำนักงานจนเต็ม ตอนนั้นเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ออกจากบ้าน อากาศเริ่มอุ่นตามแสงอาทิตย์สาดส่อง เธอสวมหน้ากากและหมวกสีดำ เพื่อออกไปซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ด้วยความที่เธอตัวสูงใหญ่ และหน้าอกเล็กลงจนเหมือนไม่มี การสวมเสื้อยืดสีดำและอุปกรณ์อื่นๆ ทำให้เธอดูน่าสงสัย พวกเขาเรียกรปภ.ให้มาดู แต่หญิงสาวก็รีบหยิบของกินแล้วเดินออกจากร้านไป
"เดี๋ยวครับคุณ" รปภ.เรียกเธอไว้
"เปล่าคะ ไม่ได้ขโมยของ" รีบตอบ
"ทำของตกครับ"
"ค่ะๆ" รีบเก็บของจากนั้นก็วิ่งไปอย่างเร็ว
ศศิกานต์รู้สึกสุขภาพดีขึ้น ร่างกายเบาขึ้น แต่ที่ไม่รู้คือ ชะตาชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เรื่องที่คาดไม่ถึงกำลังจะเกิดขึ้น จนเธออาจจะต้องร้องด้วยความตกใจ
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
ผ่านไปสองเดือน ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากออก ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม สกาว เ
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อายุมากกว่าศศิสอ
สกาวสวมเสื้อขาวแขนโป่งพอง ดูเหมือนฟักทองยักษ์สีขาวนั่งตามลำพังในห้องพัก เธอดูสมุดจดตารางงาน ก่อนโทรหาศศิกานต์อย่างลุ้นระทึก อีกปลายหนึ่งของสายดังเพียงไม่กี่ครั้ง คนปลายสายก็รับ "น้องศศิคะ พี่สกาวนะคะ" "ค่ะ" "บ่ายนี้มีแคสหน้ากล้อง เรื่องเกี่ยวกับเกิร์ลเลิฟ น้องศศิสนใจไหมคะ" "มันจะดีเหรอคะพี่ หนูปกตินะคะ" สกาวดูคนออก หล่อนไม่ถูกหลอกง่ายๆ "ไปเล่นๆ ก็ได้ ไปให้ผู้ใหญ่เห็นหน้า เผื่อเขาจะสนใจ" "เอ่อ..ค่ะ ไปก็ไป" ศศิกานต์มองหาซี ที่บัดนี้กำลังเล่นมือถืออยู่บนโซฟา ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งของทาวน์เฮ้าส์ ห้องรวมที่ทุกคนสามารถมานั่งเล่นได้ เธอหน้าเกร็ง หายใจติดขัด พยายามใจดีสู้เสือ ใจคิดออกแต่เรื่องแง่ลบ กำมือแน่นเพื่อต่อสู้กับตัวเอง เธอจำเป็นต้องเข้าหาคนอื่น และไม่รู้ว่าเขาจะตอบรับว่ายังไง "พี่ซี แต่งหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ วันนี้หนูมีคัดตัวนักแสดง" ยกมือขึ้นพนมเป็นเชิงขอร้อง "พี่ขอน้ำโค้กขวดโตขวดหนึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยน กินแล้วสดชื่นดี" เรียกค่าตัวใน
สุปรีย์ใช้เวลาว่างอยู่กับศศิกานต์ ทั้งสองไปกิน จิ้มจุ่มซึ่งเป็นร้านอาหารริมทางที่มีนักท่องเที่ยวนั่งกันอยู่เต็ม เสียงพูดคุย รถรา เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังขรมจนต้องตะโกนแข่ง ทำให้ต่างคนต่างลดการ์ดลงและอยากเอ่ยความในใจมากยิ่งขึ้น ร่างบางสั่งผักและเนื้อไม่ติดมันมาเต็มโต๊ะ แลกเปลี่ยนเรื่องของอีกฝ่าย เมื่อไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันแล้ว สุปรีย์ก็หยิบมือถือมาเล่น ยิ้มหวาน อีกฝ่ายแอบอารมณ์เสียที่ต้องแบ่งรอยยิ้มนั้นให้คนอื่น จึงรวบรวมความกล้าแย่งมือถือมา "นี่" สุปรีย์ประท้วง "มีแต่ทอมและผู้ชายหล่อๆ ที่มีรูปโปรไฟล์อย่างเท่ทั้งนั้น ข้อความหวานที่หยอดกันไปมาอีก" คนตาคมเอ่ยอย่างน้อยใจ "รู้นะ คิดจะถามว่า ศศิแต่งหญิงแบบนี้ ใช่สไตล์ที่ปรีย์ชอบหรือเปล่า" ศศิกานต์เอ่ยไม่ออก แต่คำถามนั้นแทนใจเธอจริงๆ "ชอบสิ" คนตาคมทำแก้มป่อง หน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ น่ารักจนคนเจ้าชู้เห็นแล้วหัวใจแทบวาย ศศิกานต์เสยผมแล้วถามว่า "ต้องไปตัดผมไหมเนี่ย" สุปรีย์เอนตัวเขามาใกล้ๆ จิ้มไปที่อกข้างซ้าย "มันอยู่ที่
ข่าวในฟีดเฟซบุ๊คโชว์แต่รูปที่ศศิกานต์ คบซ้อนกับดาราสาวอยู่สองคน มีชาวเน็ตให้สัมภาษณ์ว่าอยู่แถวย่านนั้น และเห็นสุปรีย์กับศศิกานต์เดินด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยครั้ง แต่ล่าสุดก็เจอเกลด้วย เรียกว่าตอนนี้เสียงในเน็ตคิดว่าเขาที่เป็นคนเจ้าชู้ ต้นสังกัดปวดหัวกับข่าวนี้ และต้องเรียกพวกเขามาคุยในวันซ้อมการแสดง ผู้จัดละครยืนกอดอก ศศิกานต์ทำหน้าซีด "ห้ามไปกินข้าวกันสองต่อสอง ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น" ผู้จัดละครออกคำสั่ง "ค่ะ" ศศิกานต์ตอบ เหลือตัวเล็กนิดเดียว "มีอะไรที่พี่ไม่รู้อีกไหม" "ค่ะ ศศิไม่ได้คบกับทั้งสองคนค่ะ" "ไอ้นี่มันบริหารเสน่ห์ใช่ไหม" ผู้กำกับถาม ม้วนบทละครมาตีมือตัวเองอย่างเอาเรื่อง "เปล่าคะ คือเรายังไม่ได้รู้จักกันมากพอที่จะคบกันได้" "นั่นไง" "เรา..." สุปรีย์รีบจับมือกับศศิกานต์ เพื่อห้ามไม่ให้พูด เธอเดาได้เลยว่าเจ้าตัวจะพูดเรื่องที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน "ศศิยังใหม่ เดี๋ยวปรีย์สอนเขาเองค่ะ" "เราจะแก้ปัญหานี้อย
ศศิกานต์จับมือสุปรีย์ วิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก แมกไม้หนาติดกันเป็นแพจนแสงแดดไม่สามารถส่องมาได้ อากาศเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งป่าแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ฉากนี้เป็นตอนแรกๆ ที่เริ่มถ่ายทำกัน ทั้งคู่วิ่งแบบนี้หลายรอบ เพราะต้องตัดต่ออีกหลายมุม ผู้กำกับต้องการรายละเอียดในละครของเขา ศศิกานต์รับบทเป็นตำรวจ ส่วนสุปรีย์รับบทเป็นเจ้าของโรงแรมที่ถูกตามล่าจากผู้ร้าย ระหว่างที่มัวกังวลว่าหน้าตาของตัวเองแสดงสมบทบาทหรือไม่ สุปรีย์สะดุดท่อนไม้ล้ม ดูสมจริงจนผู้กำกับไม่สั่งคัท พวกเขาพยุงกันขึ้นมาแล้ววิ่งต่อ เมื่อได้ตามที่ตั้งใจแล้วผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมละครวิ่งกรูเข้าไปดูสุปรีย์ที่บัดนี้นั่งกุมข้อเท้า แต่ผู้กำกับห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เว้นแต่ศศิกานต์เพียงคนเดียว คนร่างบางสะบัดผมยาวไปด้านหลังแล้วระบายยิ้มอ่อนๆพอใจที่คนตาคมใส่ใจ ศศิกานต์หน้าแดง สะบัดเสื้อเพื่อหลอกตัวเองว่าร้อน ทั้งที่ความจริงหน้าแดงเพราะเขิน ถัดมาเป็นฉากที่ศศิกานต์สู้มือเปล่ากับผู้ร้าย เธอเตะสูงเข้าที่ก้านคอ ถอยหลังมาตั้งหลัก ผู้ร้ายชักมีดออกมา แทงเข้าที่ท้อง แต่เจ้าตัวผลักมีดออก หักมือจ
ศศิกานต์ส่งสติ๊กเกอร์หาสุปรีย์ทุกวัน แต่ไม่ได้พิมพ์ข้อความอะไรเป็นพิเศษ และเธอก็ตอบข้อความหรือส่งสติ๊กเกอร์กลับมาทุกครั้ง ทำให้อีกคนใจชื้น ว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้เป็นคนที่พยายามอยู่คนเดียวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ คืนนี้ร่างบางถ่ายคลิปข้อเท้าที่พันผ้าไว้แล้วแกะผ้าออก แล้วส่งให้คนตาคมดูเพื่อแสดงว่าเธอหายแล้ว เธอส่งสติ๊กเกอร์ดีใจกลับมา สุปรีย์ส่งข้อความไป พิมพ์พลางส่งสติ๊กเกอร์หน้าเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย ส่วนในมือถือสุปรีย์ยังเต็มไปด้วยข้อความหวานกับคนหน้าตาดีเหมือนเดิม ศศิกานต์เตือนคนสนิท พวกเขาเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่คนตาคมจะนึกขยันอยากซ้อมละคร เพราะตอนนี้ชีวิตเธอขึ้นอยู่กับการแสดง ไป
เพราะศศิกานต์เป็นคนเคยอ้วนจึงต้องออกกำลังกายทุกวันเพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ เธอสวมรองเท้าปอนๆ พร้อมกับเสื้อกล้ามครอป ทับด้วยเสื้อวอร์มและกางเกงขาสั้น วิ่งไปตามถนนแถวบ้านเธอ ในเวลารุ่งเช้ายังแทบไม่มีคนเดินออกมาริมถนน เกลทราบดีกว่าศศิกานต์จะมาในเวลาไหน จึงตั้งใจใส่เสื้อกล้าม ครอปสีฉูดฉาดเช่นกัน กางเกงสั้นโชว์ขาอ่อน วิ่งตามแรร์ไอเท็มแห่งวงการ LGBTQ ศศิกานต์โชว์หน้าสวยและหุ่นแซ่บ แถมดวงตาคู่นั้นยังสะกดคนไว้อยู่หมัด แค่มองก็คิดต่อไม่ออกแล้วว่าจะต้องพูดอะไร เกลจำวิธีที่เธอเห็นในบทละครของเพื่อนนักแสดงได้ แค่แต่งตัวยั่วยวน ก็ทำให้คนที่สนใจมองเห็นเธอในสายตา เธอสะบัดผมสั้นเบาๆ เผยให้เห็นเหงื่อเม็ดโต เพื่อเรียกความเซ็กซี่ได้อยู่หมัด "อากาศร้อนนะคะ ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันไหม" เกลทำท่ายั่วยวน และอีกฝ่ายก็เข้าใจท่าทีแบบนั้น แต่เธอแค่ยิ้มตามมารยาท "คุณเกลกลับก่อนได้เลยนะคะ ศศิจะคูลดาวน์ก่อน"นักแสดงลูกครึ่งไม่พูดตอบ แต่ดันหน้าอกหน้าใจให้เห็นชัดขึ้น คนตาคมมองแวบเดียวเพื่อเช็ค แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง ศศิกานต์ปลอบตัว
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว
เวลาเย็น ภายในอพาร์ทเม้นท์ของอภิชญา สะอาดเนี๊ยบตั้งแต่ทางเข้าจนถึงข้างใน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในเวลาว่างขัดถูพื้นและเครื่องเรือน สำหรับเธอการทำความสะอาดช่วยลดความเครียดได้ดี กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดลอยเตะจมูก จนผู้มาเยือนต้องทำจมูกย่น นอกจากนี้หากมองไปรอบๆ อย่างสังเกต เฟอร์นิเจอร์เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารบ้านตัวอย่าง ราคาค่อนข้างสูงทุกชิ้น อภิชญาเรียกลูกสาวคนสุดท้องมาซ้อมบทร้องไห้ ด้วยละครเรื่องใหม่มีบทร้องไห้ค่อนข้างเยอะ และเธออยากสร้างกระแสให้ศศิกานต์เป็นนักแสดงที่เทคน้อยที่สุดสำหรับบทร้องไห้ คนตัวโตรู้สึกประหม่าที่จะได้เห็นห้องของแม่ เธอยืนนิ่งหน้าประตู "ทำอะไร เข้ามาสิ" อภิชญากวักมือเรียก "แม่เป็นอยู่อย่างดี ในขณะที่หนูกับยายลำบากนะคะ" เจ้าตัวตัดพ้อ ทำเสียงสั่นใกล้จะร้องไห้ "แฟนพี่ลูกเขาซื้อให้ เพิ่งไม่กี่เดือนมานี่เอง" เธอแก้ตัว ยากจะสืบได้ว่าจริงหรือไม่ "เรื่องที่ลูกศัลยกรรม ได้คะแนนสงสารเยอะเชียว ต้องชมสินะ ว่าลูกเป็นอัจฉริยะด้านมวลชน" "หนูแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง แล้วหนูก
ภายหลังไลฟ์ กระแสของคนในโลกโซเชียลมีทั้งฝ่ายที่ต่อต้านการศัลยกรรม และฝ่ายที่เห็นใจเธอ มีผู้ไม่หวังดีโพสต์ภาพก่อนศัลยกรรมของศศิกานต์ แฟนๆ ส่วนใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอต้องลดน้ำหนักและทำศัลยกรรมเพื่อให้เธอสมหวังกับหงส์ สุปรีย์มองภาพถ่ายแล้วจำเธอได้ในทันที ขณะเดียวกัน ศศิกานต์กลับมาผิดหวังในตัวสุปรีย์ต่อ เธอเห็นทั้งแอนนาและสุปรีย์กอดกัน แล้วใช้มือจับแยกออกมาด้วยตัวเอง ภาพทุกอย่างการันตีว่าเธอมีใครที่สำคัญ คนตาคมนิ่งเงียบ ไม่พูดคุยหัวเราะกับใคร ไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ ปลีกตัวออกมาจากบ้านพัก แต่เจ้าตัวไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก จึงไปนั่งเล่นคนเดียวริมแม่น้ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น และมาเช่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองนัก อภิชญาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกสาวไปไหน แต่เธอไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะลูกสาวยังไปทำงานตามปกติ วันรุ่งขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายวัน หญิงสาวมาซ้อมการแสดงกับนางเอกคนใหม่ ในห้องซ้อมการแสดงที่นี่มีคนเพียงเล็กน้อย ไม่มีกล้องถ่ายวิดีโอ ไม่มีกระจก เครื่องปรับอากาศเปิดจนหนาวสะท้าน นักแสดงจึงต้องสวมเสื้อให้อบอุ่นก่อนมา นางเอกคนใหม่ของคนต
แอนนาเป็นหญิงค่อนข้างห้าว ผมดำขลับแต่ยาวแค่ประบ่า ผิวขาวละเอียด สีเสื้อขับผิวให้ยิ่งขาวยิ่งขึ้น เธอโทรหาสุปรีย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยม เสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งร่างบางก็รับสาย ทั้งสองคนคุยอย่างสนิทสนม แต่ที่หญิงสาวไม่ค่อยติดต่อเพื่อนคนนี้ เพราะแอนนาจะนึกติดต่อคนอื่นเมื่อมีปัญหาจำเป็นเท่านั้น ทั้งสองคนนัดเจอที่ร้านกาแฟใกล้ย่านที่สุปรีย์อยู่ ในร้านมีคนอยู่ไม่กี่คน ร้านตกแต่งด้วยไม้เลื้อยและเปิดน้ำให้ไหลไปตามกระจกร้าน เสียงน้ำไหลทำให้เหมือนนั่งอยู่ใกล้น้ำตก และดับร้อนได้ดี ดาราสาวสวมแว่นตาสีดำเพื่ออำพราง แต่คนรอบๆ ก็สังเกตเห็นเธออยู่ดี ทั้งคู่คุยถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่แอนนาจะเข้าประเด็น "ปรีย์รู้ไหม แอนนาเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ เราเจอกันที่ทำงานของแอนนา เขาคอยสอนงานให้ ชวนไปร่วมก๊วนกินข้าวตอนเที่ยง แล้วก็ไลน์หาทุกวัน" สุปรีย์นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย"แล้วไงอีก" "แต่เขาก็คุยกับผู้หญิงอีกคน ทำท่าเหมือนเป็นแฟนกัน ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคุยกัน แต่คือ...แอนนาอยากรู้ว่าเขาชอบเราไหม" ร่างบ