ศศิกานต์จับมือสุปรีย์ วิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก แมกไม้หนาติดกันเป็นแพจนแสงแดดไม่สามารถส่องมาได้ อากาศเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งป่าแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ฉากนี้เป็นตอนแรกๆ ที่เริ่มถ่ายทำกัน ทั้งคู่วิ่งแบบนี้หลายรอบ เพราะต้องตัดต่ออีกหลายมุม ผู้กำกับต้องการรายละเอียดในละครของเขา ศศิกานต์รับบทเป็นตำรวจ ส่วนสุปรีย์รับบทเป็นเจ้าของโรงแรมที่ถูกตามล่าจากผู้ร้าย
ระหว่างที่มัวกังวลว่าหน้าตาของตัวเองแสดงสมบทบาทหรือไม่ สุปรีย์สะดุดท่อนไม้ล้ม ดูสมจริงจนผู้กำกับไม่สั่งคัท พวกเขาพยุงกันขึ้นมาแล้ววิ่งต่อ เมื่อได้ตามที่ตั้งใจแล้วผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมละครวิ่งกรูเข้าไปดูสุปรีย์ที่บัดนี้นั่งกุมข้อเท้า แต่ผู้กำกับห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เว้นแต่ศศิกานต์เพียงคนเดียว
คนร่างบางสะบัดผมยาวไปด้านหลังแล้วระบายยิ้มอ่อนๆ
พอใจที่คนตาคมใส่ใจ ศศิกานต์หน้าแดง สะบัดเสื้อเพื่อหลอกตัวเองว่าร้อน ทั้งที่ความจริงหน้าแดงเพราะเขิน
ถัดมาเป็นฉากที่ศศิกานต์สู้มือเปล่ากับผู้ร้าย เธอเตะสูงเข้าที่ก้านคอ ถอยหลังมาตั้งหลัก ผู้ร้ายชักมีดออกมา แทงเข้าที่ท้อง แต่เจ้าตัวผลักมีดออก หักมือจนมีดหลุดมือ แล้วถีบเข้าที่ยอดอกทำให้ชายฉกรรจ์ถอยร่นแล้วล้มลง ก่อนจะพานางเอกของเธอเดินกึ่งวิ่งเข้าป่าไป
รายการข่าวดาราที่ชื่อประกายดาวเตรียมเอาสกู๊ปหวานระหว่างนางเอกกับพระนางและฉากแอคชั่นถึงใจไปออกอากาศ ระหว่างนั้นก็เตรียมกล้องและไมค์เพื่อสัมภาษณ์
คนหน้าคมส่องกระจกตรวจความเรียบร้อยพร้อมกับไปยืนคู่สุปรีย์ ทั้งคู่ยิ้มให้กล้องอย่างเป็นธรรมชาติ เข้าคู่กันได้ดีเยี่ยม
"ก่อนหน้านี้เคยแสดงละครมาก่อนหรือเปล่า" นักข่าวสาวประเภทสองถามขึ้น
"ยังไม่เคยเลยค่ะ เรื่องนี้เรื่องแรก" สุปรีย์ตอบลื่นไหล "สำหรับปรีย์เอง เคยเป็นนางแบบมาก่อน"
"ส่วนศศิเคยเล่นโฆษณาค่ะ เล่นด้วยกันด้วย แล้วก็ แคสมารับบทนี้เลย"
"เริ่มสนิทกันบ้างหรือยัง" ข่าวข่าวมองเห็นทั้งคู่เอานิ้วก้อยเกี่ยวกัน แต่ไม่อยากทัก จึงนึกคำถามนี้ออกมา
สุปรีย์ยิ้มกับคำถามนั้น รู้ว่าแฟนๆ จับคู่ให้พวกเขา
"ก็สนิทกันบ้างแล้วค่ะ" ศศิกานต์นึกก่อนเอ่ยต่อ "เรามีซ้อมละครด้วยกัน ทำการบ้านด้วยกัน ก็เลยรู้จักกันมากขึ้น"
"เราต้องสนิทกันมากๆค่ะ เพราะมีผลต่อการแสดง ปรีย์เองก็คุยกับศศิบ่อยๆ ปรึกษาเรื่องการแสดง หรือให้ความเห็นกันและกันค่ะ"
"เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ทำการบ้านอย่างไรบ้าง เล่าให้แฟนๆ ฟังหน่อย"
"อย่างที่บอกคือซ้อมบทด้วยกัน ทางผู้จัดส่งเราไปเรียนการแสดงและเรียนต่อสู้ค่ะ ศศิได้ขึ้นไปร้องเพลงในร้านอาหารด้วยเพื่อให้กล้าแสดงออก ส่วนนอกจากนั้นก็อ่านบทแล้วก็ถามผู้กำกับว่าเราตีความถูกไหม" สุปรีย์ตอบ ดวงหน้าแสดงความมั่นใจอย่างเป็นธรรมชาติ
"ข่าวที่คบกันก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องจริงหรือโปรโมต" นักข่าวอ่านคำถามในมือ ซึ่งเป็นคำถามที่แฟนๆในโซเชียล อยากรู้
"ก็คงเป็นแฟนๆ ที่เห็นเคมีเราเข้ากันได้ เลยอยากให้คนอื่นรู้ด้วย"
"กับคุณเกลเอง ก็มาทำความสนิทกับศศิเหมือนกัน เพราะเราต้องเข้าฉากด้วยกันบ่อยๆ" ศศิกานต์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง แม้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้
"มีอะไรอยากบอกแฟนๆบ้าง" นักข่าวปิดสคริปต์ รู้ว่าข่าวเต็มๆ จะถูกโพสต์ลงอินเตอร์เน็ต แต่บทสัมภาษณ์สั้นๆ จะออนแอร์ทางทีวี กระแสข่าวจะทำให้ยอดชมสูงเป็นเงาตามตัว เธอปล่อยให้คนทางบ้านคิดเองต่อ ว่าสองคนนี้จะไปต่อกันยังไง
"ก็ขอให้ติดตามงานของพวกเราไปนานๆ นะคะ ตอนนี้เพิ่งเปิดกล้อง กระแสก็ดีมากแล้ว ยังไงฝากติดตามด้วยค่ะ" คนตาคมระบายยิ้มให้ตากล้อง เธอสบายใจที่ได้ยืนข้างคนร่าง
บางของเธอ
"ปรีย์ก็ขอให้ลุ้นไปกับพวกเรานะคะ ว่าความรักของผู้กองฉัตรชยาและคุณรดาจะลงเอยอย่างไรค่ะ"
"สุดท้ายแล้ว ช่วยหอมแก้มให้ดูหน่อย" นักข่าวสาวสองแอบยิงปืนนัดสุดท้าย คาดว่าแฟนๆ จะตายอย่างสงบเมื่อเห็นฉากนี้นอกละคร
หันมามองหน้ากันแล้วเขิน ศศิกานต์เม้มปากแล้วหอมแก้มสุปรีย์ไปหนึ่งทีเบาๆ เสียงกรี๊ดจากกองละครดังขึ้น จบสกู๊ปข่าวเพียงเท่านี้
.
.
หลายวันผ่านไป อภิชญาซื้อสร้อยข้อมือและเสื้อยืดสีดำลายเป็ดให้ลูกสาว เธอนำไปให้ที่กองละครตอนพักจากเข้าฉาก จากนั้นถ่ายรูปตอนที่หญิงสาวสวมสองอย่างนี้ลงอินสตาแกรม เธอทำตามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงในนั้น ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของพิเศษอะไร แฟนคลับของเธอเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาค่ำคืนที่ข่าวออกอากาศ ต่างเข้ามาคอมเมนต์
<สวยดีนะคะ>
<อยากได้จัง>
<ทำไมต้องเป็นเป็ดอ่า พี่น่ารักเหมือนหงส์ ไม่ใช่เป็ดนะ>
<เอ๋ คุ้นๆนะคะ> มีคนมาตอบกลับว่า
<ใช่ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน>
ไม่นานจากนั้น ก็มีคนตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดชื่อดัง เอาภาพสร้อยข้อมือของศศิกานต์และเกลมาเปรียบเทียบกัน ภาพถ่ายจากมุมไกล เลยเห็นไม่ถนัด ส่วนเสื้อนั้นเกลใส่แจ็คเก็ตทับอีกที แต่ยังพอเห็นว่าเป็นลายเป็ดและสีดำ
<ว่าแล้ว สองคนนี้ไม่ได้กินข้าวกันเฉยๆ>
<แอบใส่เสื้อกับสร้อยข้อมือคู่แบบนี้ หมายความว่าไง>
<หน้าแบบพี่เขาเลือกได้ป่ะ ไม่เห็นแปลก> มีคนกดสติ๊กเกอร์โมโหในความสปอยนี้
<สงสารปรีย์อ่า> มีคนเห็นด้วยหลายคน
<หรือว่าที่กินข้าวกับปรีย์เพราะโปรโมตละคร แต่กับเกลนี่คือตัวจริง>
<ผิดหวังอ่า> มีคนกดไลค์ข้อความนี้หลายสิบคน
อภิชญายิ้มมุมปาก คนดังนั้นไม่จำเป็นต้องดังแต่เรื่องดีๆ ขอแค่ให้มีพื้นที่ในข่าว ก็จะเป็นที่พูดถึง มีงานให้ทำ และมีบทสัมภาษณ์ให้ถามอยู่เสมอ หมากตานี้เธอชนะและลูกสาวเธอก็ดังขึ้นด้วย
ข่าวนี้ทำความปั่นปวนให้กองละครอีกครั้ง ทีมงานต้องปัดกวาดกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างแต่งตัวกันอยู่นั้น ผู้กำกับจัดฉากให้คู่พระนางไลฟ์ด้วยกัน แทนการแถลงข่าวที่เป็นทางการเกินไป ตั้งกล้องมือถือแล้วเริ่มไลฟ์ทันที กล้องหมุนไปทางสองนักแสดงนำ ฉากหลังเป็นช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นๆที่เดินขวักไขว่ แทบไม่มีใครสังเกตพวกเธอสองคน เพราะต่างก็ยุ่งกับงานตัวเอง
"คนดูสามร้อยแล้ว เริ่มได้" สุปรีย์เป็นผู้เชี่ยวชาญการออกสื่อให้สัญญาณนักแสดงนำของเธอ
"สวัสดีค่ะ ปรีย์ค่ะ"
"ศศิค่ะ"
ทั้งสองคนแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย ท่าทางไม่ตื่นกล้อง
"สวัสดีคุณสายลมค่ะ สวัสดีคุณมนสิชาค่ะ อากาศที่ภาคเหนือเป็นยังไงบ้างคะ คุณสาวชาวเหนือ" สุปรีย์ทักแฟนๆ
"โอเคๆ ข้อความเลื่อนเร็วมากจนอ่านไม่ทันแล้ว ทักทายทุกคนนะคะ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่กองถ่ายสะดุดรักยัยแสนดีนะคะ" คนตาคมทักบ้าง
"ปรีย์จะพาไปดูทีมงานนะคะ พี่ๆ น่ารักทุกคนเลยค่ะ ทุกคนทักแฟนๆ หน่อยค่ะ สวัสดีค่ะๆ" ทีมงานทักทายอย่างยินดี ยอดดูเพิ่มอีก คนเริ่มแชร์ไลฟ์เพิ่มขึ้น
ศศิกานต์เดินมาโอบไหล่สุปรีย์ "เดี๋ยวก่อนเราจะเข้าฉาก ศศิจะเล่าให้ฟังก่อน ว่าพวกเราเป็นอะไรยังไงกัน"
"ใช่ เรายังโสดทั้งคู่นะคะ เพศเดียวกันก็ไม่ติดนะคะ" แอบบอกเพื่อให้แฟนๆ ลุ้นว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป
"แล้วระหว่างเราสองคนก็สนิทเพิ่มขึ้นทุกวัน"
มีเสียงเชียร์ดังมาจากทีมงาน ที่เอ็นดูและซัพพอร์ตพวกเธอสองคน
"สำหรับศศิแล้ว ปรีย์เป็นคนพิเศษที่อยากอยู่ด้วยกันไปจนจบเรื่องนะคะ ถ้ามีงานอื่นอีกก็ยินดีนะคะ" หันไปสบตาคู่สวยนั้น ผู้จัดละครเคยบอกเธอให้โอบเอวปรีย์ระหว่างไลฟ์ ซึ่งทั้งคู่ก็ยินดีตัวติดกัน เพื่อให้สมจริงที่สุด แม้ความเป็นจริงคนร่างสูงจะยังไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น
"เราอยากให้แฟนๆ ของปรีย์ โฟกัสไปที่งานละครของเรา ตอนนี้ก็อดใจรอกันไปก่อนนะคะ" คนร่างบางพูดอย่างมืออาชีพ ไม่บอกปัดว่าคบกัน และยังให้โอกาสว่ามีอะไรให้ตามต่อไปในอนาคตอีกด้วย เธอเอียงหน้าไปทางศศิกานต์เพื่อให้ดูสนิทกันมากขึ้นอีก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสุปรีย์ลอยไปถึงจมูกคนตาคม เธอหน้าแดง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
"รักทุกคนค่ะ"
"บายค่ะ"
เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนอยากรู้เรื่องพวกเขามากขึ้น และลุ้นด้วยว่าจะคบกันเมื่อไหร่หรืออย่างไร
ภายหลังการไลฟ์ ผู้กำกับและผู้จัดละครเดินเข้ามาตบบ่าทั้งคู่ ที่ทำหน้าที่ได้ดีและเป็นธรรมชาติ ในวงการนี้ พวกเขาคือทีมงานที่พยายามทำให้คนเชื่อมากที่สุด เพราะว่าความจริงกับความฝันมีเส้นบางๆ กั้นเท่านั้น
แม้ตอนนี้ทีมงานจะไม่รู้เลยว่า ใจของทั้งสองคนตรงกันขนาดไหน แต่ต่อหน้ากล้อง พวกเขาต้องเป็นคู่ที่รักและสนิทกันให้ได้
ศศิกานต์หายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า สุปรีย์จับมือเธอแน่น เพื่อให้กำลังใจ พวกเธอลุ้นว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ที่แน่ๆ เธอทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
ศศิกานต์ส่งสติ๊กเกอร์หาสุปรีย์ทุกวัน แต่ไม่ได้พิมพ์ข้อความอะไรเป็นพิเศษ และเธอก็ตอบข้อความหรือส่งสติ๊กเกอร์กลับมาทุกครั้ง ทำให้อีกคนใจชื้น ว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้เป็นคนที่พยายามอยู่คนเดียวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ คืนนี้ร่างบางถ่ายคลิปข้อเท้าที่พันผ้าไว้แล้วแกะผ้าออก แล้วส่งให้คนตาคมดูเพื่อแสดงว่าเธอหายแล้ว เธอส่งสติ๊กเกอร์ดีใจกลับมา สุปรีย์ส่งข้อความไป พิมพ์พลางส่งสติ๊กเกอร์หน้าเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย ส่วนในมือถือสุปรีย์ยังเต็มไปด้วยข้อความหวานกับคนหน้าตาดีเหมือนเดิม ศศิกานต์เตือนคนสนิท พวกเขาเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่คนตาคมจะนึกขยันอยากซ้อมละคร เพราะตอนนี้ชีวิตเธอขึ้นอยู่กับการแสดง ไป
เพราะศศิกานต์เป็นคนเคยอ้วนจึงต้องออกกำลังกายทุกวันเพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ เธอสวมรองเท้าปอนๆ พร้อมกับเสื้อกล้ามครอป ทับด้วยเสื้อวอร์มและกางเกงขาสั้น วิ่งไปตามถนนแถวบ้านเธอ ในเวลารุ่งเช้ายังแทบไม่มีคนเดินออกมาริมถนน เกลทราบดีกว่าศศิกานต์จะมาในเวลาไหน จึงตั้งใจใส่เสื้อกล้าม ครอปสีฉูดฉาดเช่นกัน กางเกงสั้นโชว์ขาอ่อน วิ่งตามแรร์ไอเท็มแห่งวงการ LGBTQ ศศิกานต์โชว์หน้าสวยและหุ่นแซ่บ แถมดวงตาคู่นั้นยังสะกดคนไว้อยู่หมัด แค่มองก็คิดต่อไม่ออกแล้วว่าจะต้องพูดอะไร เกลจำวิธีที่เธอเห็นในบทละครของเพื่อนนักแสดงได้ แค่แต่งตัวยั่วยวน ก็ทำให้คนที่สนใจมองเห็นเธอในสายตา เธอสะบัดผมสั้นเบาๆ เผยให้เห็นเหงื่อเม็ดโต เพื่อเรียกความเซ็กซี่ได้อยู่หมัด "อากาศร้อนนะคะ ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันไหม" เกลทำท่ายั่วยวน และอีกฝ่ายก็เข้าใจท่าทีแบบนั้น แต่เธอแค่ยิ้มตามมารยาท "คุณเกลกลับก่อนได้เลยนะคะ ศศิจะคูลดาวน์ก่อน"นักแสดงลูกครึ่งไม่พูดตอบ แต่ดันหน้าอกหน้าใจให้เห็นชัดขึ้น คนตาคมมองแวบเดียวเพื่อเช็ค แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง ศศิกานต์ปลอบตัว
ผู้กำกับเห็นภาพศศิกานต์และสุปรีย์ดึงมือไปคุยบนรถติดฟิล์มของกองถ่าย จากนั้นใบหน้าทั้งสองผ่อนคลาย มีรอยยิ้มน้อยๆ ระบายอยู่บนใบหน้าทั้งสองนักแสดงนำ แถมยังดูสนิทกันกว่าเดิม บรรยากาศในกองดูจะได้รับอิทธิพลแง่บวกจากเหตุการณ์นี้ เขาจึงเรียกผู้ช่วยผู้กำกับมาคุย "วันนี้พี่คิดว่ากองจะล่มละ" "ผมเห็นด้วย รักกันเกิ๊น เล่นบทงอนไม่ได้เลย" "แต่คู่นี้ ทำไมเล่นดีขึ้นนะ สงสัยจะอินกับชีวิตจริง" พวกเขายกมือขึ้นไฮฟ์ไฟว์กัน เตรียมบทต่อไป "สำหรับฉากนี้ พี่ขออธิบายก่อน" ผู้กำกับตะโกน "หลังจากสองคนนี้ออกจากป่า เราจะให้นางเอกไปนอนบ้าน พระนางเพื่อความปลอดภัย เราจะเล่นตามบทนะครับ เริ่มได้" ณ คอนโดกลางใจเมืองกรุงเทพฯ ดูคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมถูกซ้อนกันจนเป็นตึกสูง กระจกสะท้อนแสงแดดแวววาว มองจากภายนอกดูทันสมัยและราคาแพง ผู้กองฉัตรชยาเองเป็นเจ้าของหนึ่งยูนิตนั้น ข้างในตกแต่งตามการออกแบบของโครงการ จึงแสดงออกถึงรสนิยมที่ดีของนักออกแบบ ทุกจุดถูกวางแผนไว้อย่างดี ใช้สอยพื้นที่ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ในห้องมีก
คนตัวโตร่างกายหนักอึ้ง สมองเบลอ ตาลอย ซีถอนหายใจเมื่อเห็นว่าขอบตาดำคล้ำ แต่ไม่มีหน้าไหนที่เธอแต่งแต้มไม่ได้ หลังจากนั้นหญิงสาวดูเหมือนนอนหลับเต็มอิ่มมาทั้งคืน มีคนสังเกตเห็นแค่ไม่กี่รายว่าศศิกานต์นอนไม่พอ ที่จริงอยากบอกแม่ แต่เธอเกรงใจ เสียงในใจเอาแต่บอกว่า เราเพิ่งดีกับแม่ได้ไม่นาน อยากให้แม่รักศศิมากกว่าใคร เพื่อทดแทนช่วงเวลาที่ห่างหายกันไป "ซีนวันนี้ พี่บอกเลยว่าหินมาก แล้วเรายังไม่ได้ซ้อมการแสดงด้วย" ศศิกานต์สติกลับมาอยู่กับตัว สองนักแสดงสาวตั้งใจฟังผู้กำกับบรีฟอยู่ข้างหน้าเขา "พวกเอ็งต้องร้องไห้ ฮ่าๆๆ" หัวเราะเหมือนสะใจที่นักแสดงกำลังตกที่นั่งลำบาก อภิชญาเดินมาบรีฟลูกสาวอีกที เธอเดินจูงมือลูกสาวไปใต้ต้นไม้ แสงแดดลอดผ่านกิ่งไม้เป็นเหมือนสปอร์ตไลท์ขนาดเล็กที่ส่องอยู่ตามหัวสองแม่ลูก ผู้คนเดินขวักไขว่แต่คนในกองไม่มีใครสนใจเพราะต่างก็ทำหน้าที่ตนเองอยู่ "ศศิ ลูกต้องนึกถึงเรื่องแย่ๆ แล้วก็ร้องไห้ออกมา คิดว่าหมาที่รักกำลังจะตาย หรือไม่ได้เจอแม่อีก อะไรทำนองนี้นะลูก พี่ๆ ลูก เขาแสดงบทน้
พวกเธอนัดเจอกันบนดาดฟ้า เวลาสองทุ่มกว่าๆ เสียงรถยนต์ยังวิ่งตามหน้าที่ของตนเอง และแม้แต่แสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ส่องสว่างจ้าแทนแสงดาวในเขตเมืองใหญ่ พวกเธอสบายใจที่ได้เป็นตัวเอง ณ ตอนนี้สุปรีย์กำลังมาสก์หน้า ส่วนศศิกานต์สวมแว่นตากรอบดำหลบสีหน้าอ่อนล้า ทั้งคู่เหมือนหนูที่วิ่งจักรตลอดทั้งวัน เพิ่งมีเวลาพักของตัวเอง แต่การเจออีกฝ่ายก็เหมือนการเติมพลังใจให้ตัวเอง แม้จะล้าเพียงไร แต่สีหน้าก็ผ่อนคลายในที "เรียกศศิมามีอะไรเหรอ" "อยากถามว่าการแสดงของปรีย์เป็นยังไงบ้าง" "ก็...เอ่อ....ดีนะ" ร่างบางไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพูดติดอ่าง หรือมีเรื่องที่เจ้าตัวพูดไม่ได้ "แล้วปรีย์ดูไร้พิษสงเหมือนบทหรือยัง" เธอถาม เดินเข้าไปใกล้ๆ หน้าที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกรอบสีเทา "ก็ดี" "ก็ดีอีกแล้ว แต่ปรีย์ว่าไม่โอเคนะ ตัวจริงทะโมนเหมือนลิง ดุอย่างกับสิงห์ แถมแพรวพราวเหมืนหมาจิ้งจอก" "ศศิก็ว่าอย่างนั้น" หัวเราะกับคำเปรียบเทียบ "เอ้า แล้วทำไมไม่ตอบแบบนี้ตั้งแต่แรก" "ศศิ...ศศิ...
เกลนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวกลับไปกลับมาหลายตลบ จนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเล่น แสงไฟแยงตาจนเธอรู้สึกตื่นเต็มที่ มีเรื่องหนึ่งที่หญิงสาวอยากรู้ ก็คือ อดีตของสุปรีย์ เพราะอดีตของศศิกานต์ไม่มีอะไรในอินเตอร์เน็ต ไม่มีเพื่อนหรือใครอ้างว่ารู้จักเธอ เหมือนเธอโผล่ออกมาจากอุโมงค์ลึกลับอย่างไรอย่างนั้น ในเกมหมากรุกนั้น ยิ่งเรารู้จักและจดจำตำแหน่งหมากทุกตัวของคู่ต่อสู้ได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งเพิ่มโอกาสเล่นงานจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้มากเท่านั้น เช่นเดียวกัน เธออยากรู้จักสุปรีย์ให้มากกว่านี้ สุปรีย์เป็นดาวมหาวิทยาลัย กรรมการนักศึกษา พริตตี้ และนางแบบ งานของเธอมีเรื่อยๆ แต่เธอเคยคบกับชายคนหนึ่ง เป็นเวลากว่าสองปีตอนที่เธอไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา หลังจากนั้นเขาเดบิวต์เป็นนักร้องที่เมืองไทย ตอนนั้นสุปรีย์ย้ายกลับมาไทยพร้อมกัน ไม่นานเขาก็นอกใจเธอ นักร้องคนนั้นเป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เป็นแบดบอยที่สักเต็มตัวและไว้ผมยาว ไม่นานทั้งคู่ก็ตัดสินใจแยกทางกัน เขาชื่อลีออง และเกลคิดว่า ด้วยเสน่ห์ระดับนั้น การที่สุปรีย์ยอมเลิกด้วย แสดงว่านางแบบสาวรักตัวเองเป็น
ตอนแรกที่ละครออนแอร์ กระแสตอบรับดีมาก ทีมงานทุกคนนั่งดูละครตอนแรกที่กองถ่าย ทุกคนลุ้นจนเสียงเงียบสนิท นักแสดงเห็นผลงานของตัวเองว่าแสดงได้ดีเพียงไรในวันนี้ ศศิกานต์กัดเล็บตัวเอง รู้สึกว่าตอนนี้พัฒนามาไกลกว่าเดิมมาก เธอหวังว่าแฟนๆ จะติดตามงานของเธอจนเห็นพัฒนาการนั้น วันนี้เป็นการแสดงฉากสุดท้ายในละคร ผู้กองฉัตรชยาตกลงคบกับรดา ซีอีโอโรงแรมชื่อดัง มีข่าวพวกเขาในแวดวงไฮโซ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนตามติด และวิจารณ์พวกเขาอย่างเสียๆ หายๆ รดาร้องไห้เมื่อข่าวจิกกัดเธอ เธออายมาก จนผู้กองสาวต้องดึงเธอมาซบไหล่ แล้วยิ้มดุๆ ให้นักข่าวที่ตามพวกเธอมา รดาซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์ของผู้กองฉัตรชยาออกนอกเมืองไปยังชายทะเล เสียงรถดังกลบเสียงสะอื้นของรดา เธอกระชับอ้อมกอดแน่น ไม่อยากเสียมันไป แต่ก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจให้แก่คนใจแคบอีกต่อไป "พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้คบซ้อน ไม่นอกใจ รักกันอย่างจริงใจ แล้วแค่เรารักเพศเดียวกันเท่านั้น" ผู้กองสาวให้กำลังใจคนรัก จอดรถริมชายหาดในเวลากลางคืน หน้าจอมอนิเตอร์มีเพียงพวกเขาสองคนใต้แสงจันทร์
รายการทีวีสนใจกระแสของเกิร์ลเลิฟ จึงเชิญนักแสดงนำจากเรื่องสะดุดรักยัยแสนดีมาออกรายการ ในห้องส่งนั้นมีแฟนๆ ของทั้งคู่มานั่งรออย่างคับคั่ง ป้ายไฟและข้อความแสดงความรักเต็มไปหมด เสียงกรี๊ดดังลั่นเมื่อพิธีกรเปิดรายการ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินทับด้วยสูทสีชมพู ยืนอยู่หน้ากล้องตัวหลัก "ครับ ขอบคุณครับทุกคน" เขารออยู่เกือบนาทีเพื่อให้เสียงเงียบลง "เราไม่ค่อยได้รับเกียรติจากนักแสดงที่มีฐานแฟนคลับเยอะขนาดนี้มาก่อนนะครับ แล้ววันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องที่คุณสงสัยมาตลอด และเราจะตามไปคุยกับทั้งคู่เลยครับ ขอต้อนรับคุณศศิกานต์และคุณสุปรีย์ นักแสดงนำของสะดุดรักยัยแสนดีคร้าบ" เสียงกรี๊ดดังอีกครั้ง เมื่อสองสาวเดินออกมา คนตาคมสวมเสื้อเชิ้ตสีดำตัวใหญ่ แต่งตาให้คมพร้อมกับทาลิปสติกสีแดง ส่วนคนร่างบางสวมเสื้อสีแดงกระโปรงสีขาว ผูกผมเพื่อโชว์คอเรียวระหงส์ สตูดิโอแทบจะแตก เมื่อพวกเขาจับมือกันเดินออกมา "ครับ ผมชื่นใจแทนทีมงานและนักแสดงจริงๆนะครับ ตอนนี้เพิ่งจะออนฯไปแค่สองตอนเท่านั้นเอง" พิธีกรเกริ่น "ค่ะ สำหรับตอนแรก เราได้ดูกันที่
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว
เวลาเย็น ภายในอพาร์ทเม้นท์ของอภิชญา สะอาดเนี๊ยบตั้งแต่ทางเข้าจนถึงข้างใน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในเวลาว่างขัดถูพื้นและเครื่องเรือน สำหรับเธอการทำความสะอาดช่วยลดความเครียดได้ดี กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดลอยเตะจมูก จนผู้มาเยือนต้องทำจมูกย่น นอกจากนี้หากมองไปรอบๆ อย่างสังเกต เฟอร์นิเจอร์เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารบ้านตัวอย่าง ราคาค่อนข้างสูงทุกชิ้น อภิชญาเรียกลูกสาวคนสุดท้องมาซ้อมบทร้องไห้ ด้วยละครเรื่องใหม่มีบทร้องไห้ค่อนข้างเยอะ และเธออยากสร้างกระแสให้ศศิกานต์เป็นนักแสดงที่เทคน้อยที่สุดสำหรับบทร้องไห้ คนตัวโตรู้สึกประหม่าที่จะได้เห็นห้องของแม่ เธอยืนนิ่งหน้าประตู "ทำอะไร เข้ามาสิ" อภิชญากวักมือเรียก "แม่เป็นอยู่อย่างดี ในขณะที่หนูกับยายลำบากนะคะ" เจ้าตัวตัดพ้อ ทำเสียงสั่นใกล้จะร้องไห้ "แฟนพี่ลูกเขาซื้อให้ เพิ่งไม่กี่เดือนมานี่เอง" เธอแก้ตัว ยากจะสืบได้ว่าจริงหรือไม่ "เรื่องที่ลูกศัลยกรรม ได้คะแนนสงสารเยอะเชียว ต้องชมสินะ ว่าลูกเป็นอัจฉริยะด้านมวลชน" "หนูแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง แล้วหนูก
ภายหลังไลฟ์ กระแสของคนในโลกโซเชียลมีทั้งฝ่ายที่ต่อต้านการศัลยกรรม และฝ่ายที่เห็นใจเธอ มีผู้ไม่หวังดีโพสต์ภาพก่อนศัลยกรรมของศศิกานต์ แฟนๆ ส่วนใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอต้องลดน้ำหนักและทำศัลยกรรมเพื่อให้เธอสมหวังกับหงส์ สุปรีย์มองภาพถ่ายแล้วจำเธอได้ในทันที ขณะเดียวกัน ศศิกานต์กลับมาผิดหวังในตัวสุปรีย์ต่อ เธอเห็นทั้งแอนนาและสุปรีย์กอดกัน แล้วใช้มือจับแยกออกมาด้วยตัวเอง ภาพทุกอย่างการันตีว่าเธอมีใครที่สำคัญ คนตาคมนิ่งเงียบ ไม่พูดคุยหัวเราะกับใคร ไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ ปลีกตัวออกมาจากบ้านพัก แต่เจ้าตัวไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก จึงไปนั่งเล่นคนเดียวริมแม่น้ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น และมาเช่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองนัก อภิชญาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกสาวไปไหน แต่เธอไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะลูกสาวยังไปทำงานตามปกติ วันรุ่งขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายวัน หญิงสาวมาซ้อมการแสดงกับนางเอกคนใหม่ ในห้องซ้อมการแสดงที่นี่มีคนเพียงเล็กน้อย ไม่มีกล้องถ่ายวิดีโอ ไม่มีกระจก เครื่องปรับอากาศเปิดจนหนาวสะท้าน นักแสดงจึงต้องสวมเสื้อให้อบอุ่นก่อนมา นางเอกคนใหม่ของคนต
แอนนาเป็นหญิงค่อนข้างห้าว ผมดำขลับแต่ยาวแค่ประบ่า ผิวขาวละเอียด สีเสื้อขับผิวให้ยิ่งขาวยิ่งขึ้น เธอโทรหาสุปรีย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยม เสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งร่างบางก็รับสาย ทั้งสองคนคุยอย่างสนิทสนม แต่ที่หญิงสาวไม่ค่อยติดต่อเพื่อนคนนี้ เพราะแอนนาจะนึกติดต่อคนอื่นเมื่อมีปัญหาจำเป็นเท่านั้น ทั้งสองคนนัดเจอที่ร้านกาแฟใกล้ย่านที่สุปรีย์อยู่ ในร้านมีคนอยู่ไม่กี่คน ร้านตกแต่งด้วยไม้เลื้อยและเปิดน้ำให้ไหลไปตามกระจกร้าน เสียงน้ำไหลทำให้เหมือนนั่งอยู่ใกล้น้ำตก และดับร้อนได้ดี ดาราสาวสวมแว่นตาสีดำเพื่ออำพราง แต่คนรอบๆ ก็สังเกตเห็นเธออยู่ดี ทั้งคู่คุยถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่แอนนาจะเข้าประเด็น "ปรีย์รู้ไหม แอนนาเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ เราเจอกันที่ทำงานของแอนนา เขาคอยสอนงานให้ ชวนไปร่วมก๊วนกินข้าวตอนเที่ยง แล้วก็ไลน์หาทุกวัน" สุปรีย์นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย"แล้วไงอีก" "แต่เขาก็คุยกับผู้หญิงอีกคน ทำท่าเหมือนเป็นแฟนกัน ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคุยกัน แต่คือ...แอนนาอยากรู้ว่าเขาชอบเราไหม" ร่างบ