ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ถ้าใครถามฉันอยากบอกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย ฉันตัวสูงกว่าเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในชั้นเรียน ฉันมีหน้าตาอัปลักษณ์ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แค่ฉันรู้สึกว่า แม่ไม่รักฉัน แม่ไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยบอกว่ารักฉัน ฉันรู้ดี เพราะฉันทำเงินให้แม่ไม่ได้เท่าพี่ๆ ของฉันทั้งสองคน ในตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ แม่ก็บอกยายว่า “หนูจะไปหาห้องเช่าใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ เด็กสองคนจะได้อยู่ใกล้ห้องถ่ายทำ” ที่จริงสถานที่ถ่ายทำกระจายอยู่ทั่วไป แต่การย้ายออกจากบ้านซ่อมซ่อ มันทำให้เชิดหน้าชูตาพี่สาวทั้งสองคน “แล้ว...หนูละคะ” ฉันถามเสียงเบา “หนูก็อยู่กับยายไปก่อน ถ้าเราสามคนไปได้ดี แม่จะมารับหนูไปอยู่ด้วย” ฉันยังเด็ก และก็เชื่อแม่อย่างเปี่ยมล้น ว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมารับฉันไปอยู่ด้วย แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก น้าติ๋มเพื่อนบ้านเคยบอกฉัน “คนสวยเขามีชะตาชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป แม่เอ็งผลักดันให้พี่สาวทั้งสองคนอยู่ในวงการฯ ส่วน
ต้นไม้อายุร้อยปีถูกปลูกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพร้อมกับนักศึกษา มันตั้งตรงเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างแข็งแกร่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเสมือนหนึ่งเดียวกับประเพณีรับน้อง ที่ไม่ว่าจะต่อต้านเพียงไร ก็ยังจะดำเนินการต่อมาด้วยความแข็งแกร่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในอาคาร สลับกับลมร้อนที่ผ่านเข้ามา เสียงกลองดังเป็นจังหวะ นักศึกษาใหม่เต้นสุดแรง เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งรุ่นพี่ รุ่นน้องถูกทาแป้งจนขาววอก ผูกผมชี้โด่ชี้เด่ นั่งเป็นแถวอยู่ใต้อาคารเรียน ล้อมรอบไปด้วยรุ่นพี่ทุกชั้นปี ประธานรุ่นปีสองกวาดตามองเด็กใหม่ พวกเขาเรียนคณะบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง "พี่จะเลือกดาวประจำคณะเรา" เขาเกริ่น "สำหรับปีนี้ ดาวของเราคือใครดีครับ" มีคนยกมือแล้วเอ่ยออกมา "สุปรีย์ครับ" ใต้อาคารเรียนที่เดิม คนหน้าตาดียังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง เสียงปรบมือดังกึกก้องมาจากรุ่นน้อง ทุกคนเห็นด้วยว่าหน้าเก๋และหุ่นดีแบบนางแบบนั่นเหมาะสมที่สุด ชายหนุ่มผู้เป็นประธานรุ่นปีสองเลือกเดือนของคณะ อีกเช่นกัน มีแต่เ
คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น "มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียงดัง "ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง" "เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที" "แต่หนูไม่เคยทำ" "ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ" ศศิกานต์ไม
ผ่านไปสองเดือน ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากออก ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม สกาว เ
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อายุมากกว่าศศิสอ
สกาวสวมเสื้อขาวแขนโป่งพอง ดูเหมือนฟักทองยักษ์สีขาวนั่งตามลำพังในห้องพัก เธอดูสมุดจดตารางงาน ก่อนโทรหาศศิกานต์อย่างลุ้นระทึก อีกปลายหนึ่งของสายดังเพียงไม่กี่ครั้ง คนปลายสายก็รับ "น้องศศิคะ พี่สกาวนะคะ" "ค่ะ" "บ่ายนี้มีแคสหน้ากล้อง เรื่องเกี่ยวกับเกิร์ลเลิฟ น้องศศิสนใจไหมคะ" "มันจะดีเหรอคะพี่ หนูปกตินะคะ" สกาวดูคนออก หล่อนไม่ถูกหลอกง่ายๆ "ไปเล่นๆ ก็ได้ ไปให้ผู้ใหญ่เห็นหน้า เผื่อเขาจะสนใจ" "เอ่อ..ค่ะ ไปก็ไป" ศศิกานต์มองหาซี ที่บัดนี้กำลังเล่นมือถืออยู่บนโซฟา ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งของทาวน์เฮ้าส์ ห้องรวมที่ทุกคนสามารถมานั่งเล่นได้ เธอหน้าเกร็ง หายใจติดขัด พยายามใจดีสู้เสือ ใจคิดออกแต่เรื่องแง่ลบ กำมือแน่นเพื่อต่อสู้กับตัวเอง เธอจำเป็นต้องเข้าหาคนอื่น และไม่รู้ว่าเขาจะตอบรับว่ายังไง "พี่ซี แต่งหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ วันนี้หนูมีคัดตัวนักแสดง" ยกมือขึ้นพนมเป็นเชิงขอร้อง "พี่ขอน้ำโค้กขวดโตขวดหนึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยน กินแล้วสดชื่นดี" เรียกค่าตัวใน
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว
เวลาเย็น ภายในอพาร์ทเม้นท์ของอภิชญา สะอาดเนี๊ยบตั้งแต่ทางเข้าจนถึงข้างใน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในเวลาว่างขัดถูพื้นและเครื่องเรือน สำหรับเธอการทำความสะอาดช่วยลดความเครียดได้ดี กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดลอยเตะจมูก จนผู้มาเยือนต้องทำจมูกย่น นอกจากนี้หากมองไปรอบๆ อย่างสังเกต เฟอร์นิเจอร์เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารบ้านตัวอย่าง ราคาค่อนข้างสูงทุกชิ้น อภิชญาเรียกลูกสาวคนสุดท้องมาซ้อมบทร้องไห้ ด้วยละครเรื่องใหม่มีบทร้องไห้ค่อนข้างเยอะ และเธออยากสร้างกระแสให้ศศิกานต์เป็นนักแสดงที่เทคน้อยที่สุดสำหรับบทร้องไห้ คนตัวโตรู้สึกประหม่าที่จะได้เห็นห้องของแม่ เธอยืนนิ่งหน้าประตู "ทำอะไร เข้ามาสิ" อภิชญากวักมือเรียก "แม่เป็นอยู่อย่างดี ในขณะที่หนูกับยายลำบากนะคะ" เจ้าตัวตัดพ้อ ทำเสียงสั่นใกล้จะร้องไห้ "แฟนพี่ลูกเขาซื้อให้ เพิ่งไม่กี่เดือนมานี่เอง" เธอแก้ตัว ยากจะสืบได้ว่าจริงหรือไม่ "เรื่องที่ลูกศัลยกรรม ได้คะแนนสงสารเยอะเชียว ต้องชมสินะ ว่าลูกเป็นอัจฉริยะด้านมวลชน" "หนูแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง แล้วหนูก
ภายหลังไลฟ์ กระแสของคนในโลกโซเชียลมีทั้งฝ่ายที่ต่อต้านการศัลยกรรม และฝ่ายที่เห็นใจเธอ มีผู้ไม่หวังดีโพสต์ภาพก่อนศัลยกรรมของศศิกานต์ แฟนๆ ส่วนใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอต้องลดน้ำหนักและทำศัลยกรรมเพื่อให้เธอสมหวังกับหงส์ สุปรีย์มองภาพถ่ายแล้วจำเธอได้ในทันที ขณะเดียวกัน ศศิกานต์กลับมาผิดหวังในตัวสุปรีย์ต่อ เธอเห็นทั้งแอนนาและสุปรีย์กอดกัน แล้วใช้มือจับแยกออกมาด้วยตัวเอง ภาพทุกอย่างการันตีว่าเธอมีใครที่สำคัญ คนตาคมนิ่งเงียบ ไม่พูดคุยหัวเราะกับใคร ไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ ปลีกตัวออกมาจากบ้านพัก แต่เจ้าตัวไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก จึงไปนั่งเล่นคนเดียวริมแม่น้ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น และมาเช่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองนัก อภิชญาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกสาวไปไหน แต่เธอไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะลูกสาวยังไปทำงานตามปกติ วันรุ่งขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายวัน หญิงสาวมาซ้อมการแสดงกับนางเอกคนใหม่ ในห้องซ้อมการแสดงที่นี่มีคนเพียงเล็กน้อย ไม่มีกล้องถ่ายวิดีโอ ไม่มีกระจก เครื่องปรับอากาศเปิดจนหนาวสะท้าน นักแสดงจึงต้องสวมเสื้อให้อบอุ่นก่อนมา นางเอกคนใหม่ของคนต
แอนนาเป็นหญิงค่อนข้างห้าว ผมดำขลับแต่ยาวแค่ประบ่า ผิวขาวละเอียด สีเสื้อขับผิวให้ยิ่งขาวยิ่งขึ้น เธอโทรหาสุปรีย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยม เสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งร่างบางก็รับสาย ทั้งสองคนคุยอย่างสนิทสนม แต่ที่หญิงสาวไม่ค่อยติดต่อเพื่อนคนนี้ เพราะแอนนาจะนึกติดต่อคนอื่นเมื่อมีปัญหาจำเป็นเท่านั้น ทั้งสองคนนัดเจอที่ร้านกาแฟใกล้ย่านที่สุปรีย์อยู่ ในร้านมีคนอยู่ไม่กี่คน ร้านตกแต่งด้วยไม้เลื้อยและเปิดน้ำให้ไหลไปตามกระจกร้าน เสียงน้ำไหลทำให้เหมือนนั่งอยู่ใกล้น้ำตก และดับร้อนได้ดี ดาราสาวสวมแว่นตาสีดำเพื่ออำพราง แต่คนรอบๆ ก็สังเกตเห็นเธออยู่ดี ทั้งคู่คุยถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่แอนนาจะเข้าประเด็น "ปรีย์รู้ไหม แอนนาเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ เราเจอกันที่ทำงานของแอนนา เขาคอยสอนงานให้ ชวนไปร่วมก๊วนกินข้าวตอนเที่ยง แล้วก็ไลน์หาทุกวัน" สุปรีย์นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย"แล้วไงอีก" "แต่เขาก็คุยกับผู้หญิงอีกคน ทำท่าเหมือนเป็นแฟนกัน ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคุยกัน แต่คือ...แอนนาอยากรู้ว่าเขาชอบเราไหม" ร่างบ