ถ้าใครถามฉันอยากบอกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย ฉันตัวสูงกว่าเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในชั้นเรียน ฉันมีหน้าตาอัปลักษณ์ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แค่ฉันรู้สึกว่า
แม่ไม่รักฉัน
แม่ไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยบอกว่ารักฉัน ฉันรู้ดี เพราะฉันทำเงินให้แม่ไม่ได้เท่าพี่ๆ ของฉันทั้งสองคน
ในตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ แม่ก็บอกยายว่า
“หนูจะไปหาห้องเช่าใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ เด็กสองคนจะได้อยู่ใกล้ห้องถ่ายทำ”
ที่จริงสถานที่ถ่ายทำกระจายอยู่ทั่วไป แต่การย้ายออกจากบ้านซ่อมซ่อ มันทำให้เชิดหน้าชูตาพี่สาวทั้งสองคน
“แล้ว...หนูละคะ”
ฉันถามเสียงเบา
“หนูก็อยู่กับยายไปก่อน ถ้าเราสามคนไปได้ดี แม่จะมารับหนูไปอยู่ด้วย”
ฉันยังเด็ก และก็เชื่อแม่อย่างเปี่ยมล้น ว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมารับฉันไปอยู่ด้วย
แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก น้าติ๋มเพื่อนบ้านเคยบอกฉัน
“คนสวยเขามีชะตาชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป แม่เอ็งผลักดันให้พี่สาวทั้งสองคนอยู่ในวงการฯ ส่วนเอ็งนะเหรอ อย่างดีก็ทำได้แค่เป็นตัวประกอบ ตัวตลก หรือนางอิจฉาเท่านั้นแหละ อย่าหวังให้แม่กลับมารับเลย ตั้งใจเรียนแล้วหาเงินมาใช้ดีกว่า งานที่ใช้หัว ไม่ใช่ใช้หน้าตา เอ็งเชื่อน้าเถอะ”
ฉันรู้สึกได้ว่าแก้มเปียก น้ำตานั่นเอง มันไหลออกมาเพราะรับความจริงไม่ได้ ฉันคิดเสมอว่า ถ้าเราดีกับโลก โลกจะดีตอบกลับเรา แต่มันจะเป็นจริงหรือเปล่านะ ฉันจะใช้เวลาในชีวิตเพื่อพิสูจน์มัน
ยายกับฉันอยู่ทาวน์เฮ้าส์ในเมือง ทุกวันยายจะเข็นรถเข็นไปขายขนมหวาน ฉันชอบขนมหวานของยายมากที่สุด แต่หัวสมองไม่เคยจดจำสูตรได้เลย ฉันจึงจดสูตรไว้ในสมุด แต่ตอนน้ำท่วมใหญ่ในปีนั้น สมุดก็หายไปกับความโกลาหล
“ยายคะ หนูชอบตัวเลข หนูจะเรียนการเงิน แล้วก็หางานดีๆ ทำนะคะ หนูจะเลี้ยงยายเอง”
“ยายส่งเอ็งได้แค่มหาวิทยาลัยของรัฐนะ”
ยายเป็นคนพูดน้อย พูดสั้นๆ แค่นั้น แล้วก็หันไปง่วนกับการนึ่งขนมชั้น สีสันของมันดูดี เอาไว้เย็นลงหน่อย ฉันจะตรวจคุณภาพ อะแฮ่ม..น้ำหนักขึ้นทุกครั้งที่ปิดเทอม ก็ฉันมีเวลาอยู่กับขนมแสนอร่อยของยายทั้งวันนี่นา
“ขนมไหมคะ ขนมไทยอร่อยๆ จ้า”
ฉันตะโกนขายสินค้าอย่างไม่เขินอาย
ก็น้าติ๋มว่า ด้านได้อายอด
“เอ้า เมฆ”
ฉันทักเพื่อนเสียงเบา แต่เขาก็ได้ยิน เมฆถือลูกฟุตบอลในมือ หันมายิ้มแย้มให้ฉัน เขาตัดผมทรงสกินเฮด หน้าตาคล้ายน้าติ๋ม ตรงที่คิ้วเข้ม ริมฝีปากอิ่ม เพราะเป็นแม่ลูกกัน และเมฆคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเอง
“ศศิ ไปเล่นบอลกันไหม เรานัดเจอเพื่อนๆ ที่สวนสาธารณะ ขาดโกลอยู่พอดี”
เขาเห็นฉันตัวสูงใหญ่ แถมยังว่องไวผิดกับท่าทางอ้วนท้วนที่มี เมื่อผู้รักษาประตูขาด ก็แวะเวียนมาชวนกันเสมอ
“ไปสิ”
ยายหันมาบอกและยิ้มใจดีกับฉันเสมอ ฉันตอบรับด้วยอาการแสนรักใคร่
“จ้ะ ยาย”
เราขึ้นรถเมล์ราคาประหยัดไปอีกราวห้าป้าย ก็ถึงสวนสาธารณะที่ว่า มีเด็กผู้ชายหลายคนยิ้มทักพวกเรา แต่มีคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่ แซ็ค เพื่อนร่วมชั้นเราเอง”
เมฆแนะนำ แล้วยังแนะนำฉันด้วย
ในสนามฟุตบอลมีพื้นหญ้าสีเขียว เราเอาเศษไม้มาทำเป็นประตูหลอกๆ ขีดเส้นกั้นกึ่งกลางสนาม ในช่วงที่อากาศร้อน แบบนี้ ลมร้อนพัดหอบเอาดินประทะหน้า แต่พวกเราหลับตาก่อนที่มันจะเข้าไปทำอันตรายดวงตาได้
ฉันรักษาประตูฝั่งแซ็ค เขาเป็นคนเอาจริง จึงตะโกนใส่เพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา
“ขึ้นไปทางซ้าย นายรอรับลูกจากฉันนะ”
สถานการณ์ระอุขึ้นเมื่อ ฉันใจลอยถึงแม่และพี่สาว ทำให้ไม่เห็นว่าลูกฟุตบอลลอยมาทางฉัน
และ...
และ มันก็ลอยเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
แช็คเดินเข้ามาหาฉัน ใบหน้าแดงก่ำทั้งโกรธและหอบที่วิ่งจนเหนื่อย มันไม่ใช่ลูกเดียว แต่เป็นลูกที่ห้าแล้ว
“ไม่ได้เรื่องเลย เธอน่ะ ตั้งใจเล่นบ้างหรือเปล่า”
“...”
ฉันเงียบ ในสถานการณ์นี้ ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แถมฉันยังผิดเต็มๆ
เพื่อนคนอื่นๆ ได้แต่มองดูพวกเรา แต่ไม่มีใครมาช่วยเลย ฉันนึกถึงแม่ ทุกครั้งที่ทำผิด มักจะโดนแม่ต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง และด้วยความที่พี่สาวกลัวแม่จะไม่สนใจ จึงไม่เคยออกปากช่วยฉันเลย ส่วนยายก็ทำได้แต่ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนหลังการโดนต่อว่า ฉันจึงไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
แช็คโยนลูกบอลอัดใส่หน้าฉัน
“หน้าตาอัปลักษณ์อยู่แล้ว โดนแค่นี้ก็คงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอกนะ”
ผู้ชายฝั่งแซ็คเห็นด้วยว่าฉันสมควรโดนรังแก พวกเขาก่นด่าฉันที่นั้น และยังทำต่อไปที่โรงเรียน ราวกับว่าจะเป็นการกระทำที่เลียนแบบกัน
“ยัยอัปลักษณ์”
“ยัยห่วย”
“ไปให้พ้นเลย เดี๋ยวติดเชื้อโรค”
“ขนาดแม่ยังทิ้งมันเลย ใครจะอยากได้แกไปเป็นเพื่อน”
ฉันตวัดสายตาขึ้นมองเสียงนั้น คนเอ่ยคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเอง คำพูดแทงใจนั่นออกมาจากปากของเขาสินะ ฉันหมดแรงจะต่อสู้ ยิ่งพวกเขาหยิบยกความจริงเกี่ยวกับครอบครัวฉันมาพูด คำตอบโต้ก็เลือนหายไปจากลำคอ
เพื่อนผู้ชายรังแกฉัน ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่แทบไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่แล้วก็กลับนิ่งเฉย ไม่รับฉันเข้ากลุ่มทำงานส่งครู ทุกวันฉันพยายามหาข้อดีของการอยู่คนเดียว และพยายามเดินหนีจากการ บูลลี่จากพวกเด็กผู้ชาย
ฉันเสียใจและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ยายฟัง ยายพยักหน้า และได้แต่ลูบหัวฉัน ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ดี
ความเกลียด
เกลียดที่ยายปกป้องฉันไม่ได้เลย แถมฉันยังต้องสู้อยู่คนเดียว ฉันนึกถึงแม่ที่ไม่เคยรักฉันเพราะฉันอัปลักษณ์
ใช่แล้ว เพราะฉันไม่ดีพอที่จะทำให้ใครมารัก โดนแบบนี้ก็สมควรแล้วล่ะ ฉันก็แค่ก้มหน้ารับกรรมต่อไป สักวันพวกเขาคงจะเห็นความดีของฉันบ้าง และรักฉันอย่างที่ฉันเป็นสักที
ต้นไม้อายุร้อยปีถูกปลูกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพร้อมกับนักศึกษา มันตั้งตรงเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างแข็งแกร่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเสมือนหนึ่งเดียวกับประเพณีรับน้อง ที่ไม่ว่าจะต่อต้านเพียงไร ก็ยังจะดำเนินการต่อมาด้วยความแข็งแกร่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในอาคาร สลับกับลมร้อนที่ผ่านเข้ามา เสียงกลองดังเป็นจังหวะ นักศึกษาใหม่เต้นสุดแรง เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งรุ่นพี่ รุ่นน้องถูกทาแป้งจนขาววอก ผูกผมชี้โด่ชี้เด่ นั่งเป็นแถวอยู่ใต้อาคารเรียน ล้อมรอบไปด้วยรุ่นพี่ทุกชั้นปี ประธานรุ่นปีสองกวาดตามองเด็กใหม่ พวกเขาเรียนคณะบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง "พี่จะเลือกดาวประจำคณะเรา" เขาเกริ่น "สำหรับปีนี้ ดาวของเราคือใครดีครับ" มีคนยกมือแล้วเอ่ยออกมา "สุปรีย์ครับ" ใต้อาคารเรียนที่เดิม คนหน้าตาดียังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง เสียงปรบมือดังกึกก้องมาจากรุ่นน้อง ทุกคนเห็นด้วยว่าหน้าเก๋และหุ่นดีแบบนางแบบนั่นเหมาะสมที่สุด ชายหนุ่มผู้เป็นประธานรุ่นปีสองเลือกเดือนของคณะ อีกเช
คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น "มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียงดัง "ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง" "เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที" "แต่หนูไม่เคยทำ" "ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ"
ผ่านไปสองเดือน ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากออก ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อาย