ต้นไม้อายุร้อยปีถูกปลูกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพร้อมกับนักศึกษา มันตั้งตรงเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างแข็งแกร่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเสมือนหนึ่งเดียวกับประเพณีรับน้อง ที่ไม่ว่าจะต่อต้านเพียงไร ก็ยังจะดำเนินการต่อมาด้วยความแข็งแกร่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในอาคาร สลับกับลมร้อนที่ผ่านเข้ามา เสียงกลองดังเป็นจังหวะ นักศึกษาใหม่เต้นสุดแรง เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งรุ่นพี่ รุ่นน้องถูกทาแป้งจนขาววอก ผูกผมชี้โด่ชี้เด่ นั่งเป็นแถวอยู่ใต้อาคารเรียน ล้อมรอบไปด้วยรุ่นพี่ทุกชั้นปี
ประธานรุ่นปีสองกวาดตามองเด็กใหม่ พวกเขาเรียนคณะบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
"พี่จะเลือกดาวประจำคณะเรา" เขาเกริ่น "สำหรับปีนี้
ดาวของเราคือใครดีครับ"
มีคนยกมือแล้วเอ่ยออกมา
"สุปรีย์ครับ"
ใต้อาคารเรียนที่เดิม คนหน้าตาดียังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง เสียงปรบมือดังกึกก้องมาจากรุ่นน้อง ทุกคนเห็นด้วยว่าหน้าเก๋และหุ่นดีแบบนางแบบนั่นเหมาะสมที่สุด
ชายหนุ่มผู้เป็นประธานรุ่นปีสองเลือกเดือนของคณะ อีกเช่นกัน มีแต่เสียงเห็นด้วย มติเป็นเอกฉันท์
สำหรับการเลือกดิน ไม่มีใครอยากอาสา หรืออยากถูกเลือก เพราะถ้าหากดาวเดือนส่องประกายบนฟ้า ดินก็คือคนที่ถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า เป็นคนขี้เหร่ที่มักถูกหัวเราะเยาะเสมอ
"คราวนี้มาถึงการเลือกดินที่พวกเรารอคอย คอย คอย" ชายหนุ่มใส่เสียงเอคโค่เสร็จสรรพ "พี่อยากให้พวกเราเรียกชื่อคนที่เหมาะสมมา เราจะใช้มติรวมเช่นกัน"
เขาไม่อยากให้คนคิดว่าการตัดสินใจเกิดจากเขา เพราะชะตาของดินนั้นไม่สู้ดีนัก ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เป็นความผิดของตัวเอง
ศศิกานต์รู้ดีว่า ถ้าให้นับแล้ว ส่วนสูงเกินกว่าระดับนางแบบนั้นเรียกความสนใจมาจากทุกคนได้ แม้แต่สุปรีย์ที่เป็นนางแบบยังสูงสู้เธอไม่ได้ ว่าที่ดินคณะกุมมือตัวเองแน่น ภาวนาขออย่าให้โดนเรียกเลย เธอแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดสี่ปีนี้เท่านั้น หน้าตาเธอถมึงทึง แผ่รังสีความดำมืดออกมา
ขอให้ศศิพ้นคำสาปหน้าตาอัปลักษณ์เสียทีเถอะ
จากบรรยากาศสดชื่นเมื่อครู่ นักศึกษาปีหนึ่งเงียบกริบ หันไปมองหน้ากันและกัน ทุกคนสะอึกเมื่อเห็นศศิกานต์ ทั่วทั้งตัวอ้วนหนา ใบหน้าบูดบึ้ง จมูกลีบแบน ปากคว้ำ คิ้วไม่เคยได้รับการกัน และอีกหลายๆ อย่างที่ชี้ว่าเธอคือดิน หรือคนที่ควรโดนเหยียบใต้ฝ่าเท้า
"ศศิกานต์ค่ะ" เด็กใหม่ใจกล้ายกมือขึ้น
ศศิกานต์สะดุ้งสุดตัว และตะโกนก้องอยู่ในใจ
ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้
"มีใครจะค้านไหม"
ประธานรุ่นปีสองเลิกคิ้วถาม
ทุกคนเห็นด้วย จึงไม่มีใครเอ่ยอะไร และยิ่งหญิงสาวไม่แม้แต่จะเอ่ยปากปกป้องตนเอง มติจึงตกลงที่เธอ
แสงแฟลชจากมือถือหลายเครื่องสว่างเรืองรองออกมาจากมือถือตัดกับความมืดสลัวใต้อาคารเรียน รุ่นพี่หลายคนถ่ายรูปเธอ แล้วโพสต์ในไลน์กลุ่มของคณะ พร้อมแคปชั่นที่ว่าน้องกอริลลา หรือดินคณะ ดูเหมือนคนจะให้ความสนใจเธอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร เธอก็เป็นที่จับจ้องไปหมด และภาพของเธอจะถูกนำไปล้อเลียนในห้องนั้นเสมอ
ศศิกานต์เดินเข้าอาคารเรียนด้วยความเร่งรีบ อีกสองนาทีจะถึงเวลาเรียน เธอไม่อยากมาสาย วิชาบัญชีการเงินเบื้องต้นยากและท้าทาย บนสุดของขั้นบันไดมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เธอเห็นแล้วว่าดินคณะกำลังมา เมื่อศศิกานต์เดินเข้ามาใกล้ เธอก็พุ่งเข้าใส่
“ว้าย!”
ดินคณะลื่นและล้มลงจากบันได ข้อเท้าแพลง ความสูงระดับนั้นเจ็บแค่นี้ ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“โทษทีนะ กอริลลา”
หญิงสาวหัวเราะที่ได้แกล้งเธอ จากนั้นก็เดินไปเข้าเรียน
ศศิกานต์ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงโดนแกล้ง เธอยังไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลยสักครั้ง หรือหน้าตาแบบนี้ ทำให้คนอยากแกล้งขนาดนั้น
วันหนึ่งศศิกานต์เดินเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าตกใจ แต่หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นักศึกษาชายคนหนึ่งโยนลูกโป่งน้ำใส่เธอ เธออุทานอย่างเสียใจ
“ทะ...ทำไมทำแบบนี้”
“วู้ว ฮ่าฮ่า”
เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ทำให้ศศิกานต์เปียก ศศิกานต์ต้องกลับบ้าน เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นไข้หวัด
สุปรีย์เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด เธอไม่สามารถตามไปช่วยศศิกานต์ได้ทุกครั้ง จึงเตรียมการสอนดินคณะของเธอ เธอเรียกอีกฝ่ายออกมาคุยตามลำพังใต้ตึกเรียน เวลาเย็นนั้นนักศึกษากลับบ้านกันไปหมดแล้ว
"สวัสดี เราชื่อปรีย์" สุปรีย์แนะนำตัวเอง แม้จะรู้ว่าใครๆ ก็รู้จักตัวเอง แต่เธอไม่อยากเสียมารยาท
"เราศศิ" เธอก้มหน้างุด "มีอะไรเหรอ"
"เห็นอย่างนี้แล้วหงุดหงิดจริงๆ ทำไมไม่ตอบกลับไปบ้าง ยอมให้เขาแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวทำไม"
ศศิกานต์ตาโต ที่จู่ๆ ก็ถูกขึ้นเสียงใส่
"เนี่ย ถ้าเขาตะคอกใส่แบบนี้ ก็ตอบกลับมาบ้างสิ ตะโกนกลับมา"
ศศิกานต์น้ำตาคลอ ทั้งเคยโดนบูลลี่มาตั้งแต่เด็กๆ แถมคนที่แกล้งเธอนั้นไม่ใช่แค่คนหรือสองคน แต่เป็นคนทั้งคณะ เธอจะเอาอะไรไปตอบโต้
"เราหวังดีหรอกนะ เธอจะได้ไม่โดนแกล้งตลอดไป ยิ่งเธอออกอาการว่าแพ้ ก็ยิ่งสนุกสำหรับคนพวกนั้น"
"เธอจะไปเข้าใจอะไร ไม่ต้องมาแกล้งหวังดีหรอกนะ"
ศศิกานต์ตะโกนออกมาอย่างหมดแรง "เราสู้ไม่ไหว"
"ไหนลองด่าเราสิ ศศิลองด่าเราดู ซ้อมก่อนจะไปเจอคนพวกนั้น"
ศศิกานต์กำมือแน่น รู้ว่าเธอสู้ไม่ได้ แต่อาจจะลดการกระทำพวกนั้นลงได้
เอาวะ
คำสั้นๆ ที่สู้คนดังอยู่ในใจ
"จอมปลอม ทำเป็นหวังดี ที่แท้ก็เห็นเราเป็นตัวตลก ใช่น่ะสิ ใครจะไปมีแต่คนรักเหมือนปรีย์ล่ะ"
ทั้งสองคนไม่รู้เลย ว่าชะตาได้ขีดเอาไว้แล้ว พวกเธอถูกถ่ายคลิปไว้ และคลิปถ่ายเอาตอนหลังของการสนทนา ตอนที่ศศิกานต์ด่าสุปรีย์ ในกลุ่มไลน์มีคลิปนี้ถูกปล่อยไป มีแต่คนกดแชร์ไปทั่ว ชื่อคลิปว่าดินด่าดาว
ยอดดูนับพัน เพิ่มขึ้นจากวันแรกจนน่าตกใจ มีทั้งคนแชร์ คนคอมเม้นท์ และคนกดไลค์
ตอนบ่ายวันนั้น เธอหยิบสมุดโน้ตอยู่ตรงทางเดิน
ชั้นหนึ่ง เพื่อเอามาอ่านก่อนเข้าเรียน จู่ๆ ก็มีคนเทขยะใส่หัวเธอ
"ว้าย ขอโทษนะกอริลลา คิดว่าเป็นที่ทิ้งขยะเสียอีก"
ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงสูง ศศิกานต์ปากสั่น ร้องอย่างหวั่นกลัวในใจ
ไม่เอาแบบนี้ ไม่ไหวแล้ว จะรังแกกันไปถึงไหน
"หยุดเลยนะ ขอโทษศศิเดี๋ยวนี้เลย"
สิ้นเสียง สุปรีย์เฉิดฉายออกมาจากโถงทางเดิน หุ่นเพรียวระหง ใบหน้าเล็กเรียว ข้างหลังเธอมีเพื่อนชายหญิงอีกสี่คนคอยเป็นบอดี้การ์ดให้ เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบ นักศึกษาสาวต้นเหตุหลบตาต่ำลงเล็กน้อยที่สู้ดาวมหาวิทยาลัยไม่ได้ ทั้งหน้าตาและกำลังคน แต่ยังไม่ยอมรามือ
"เรื่องของชั้นนะ"
"ได้ ถ้าเธอไม่ขอโทษ ปรีย์จะแจ้งอาจารย์ว่าเธอแกล้งศศิ แล้วเธออาจจะโดนพักการเรียนหรือแย่กว่านั้น" พูดเสร็จเตรียมเดินจากไป แต่ศศิกานต์วิ่งออกไปเสียก่อนที่จะได้รับคำขอโทษเธอประทับใจความกล้าหาญและหน้าสวยนั่น จากนั้นเดินเลี่ยงไปหลังอาคารเรียน เธอร้องไห้ ปลอบใจตัวเองว่า
ฉันชื่อศศิกานต์ แปลว่าผู้เป็นที่รักของดวงจันทร์ ตอนนี้ดวงจันทร์และแม้แต่เพื่อนๆ ยังไม่รักฉัน แต่สักวันทุกคนจะเห็นฉันในสายตาบ้าง
เด็กสาวขี้เหร่ปาดน้ำตาแล้วไปเข้าเรียน บอกตัวเองว่าการศึกษาจะยื่นโอกาสให้คนเรามีที่ยืนในสังคม เธอจึงโฟกัสกับการเรียนแน่วแน่
เวลาผ่านไปจนถึงเวลาสอบกลางภาค ศศิกานต์เดินมาดู
คะแนนที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ซึ่งอยู่ใต้อาคารเรียน ซึ่งเป็นจุดที่นักศึกษาทุกคนเดินผ่าน สายตาเธอจดจ้องไปที่บอร์ด กระดาษเรียงตัวกันแน่นิ่งเหมือนจิตใจของเธอที่ไม่อาจหวั่นไหวเพราะรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่วันสอบแล้ว เธอเอื้อมมือไปเปิดดูชื่อของตัวเอง เธอได้คะแนนท็อปทุกวิชา บางวิชาก็ได้คะแนนเต็ม ทุกสายตามองเธอเปลี่ยนไป เธอมีฉายาใหม่คือ กอริลลาตัวท็อป
ศศิกานต์ใจชื้นขึ้น ถึงกับร้องในใจว่า
เยส!!
ในตอนนั้นเองศศิกานต์สนใจจะเดินเข้าไปหาหนังสืออ่านในห้องสมุดประจำคณะบริหารธุรกิจ เธอหันซ้ายหันขวาก่อนนั่งริมหน้าตา แสงแดดทำให้อากาศหนาวในห้องสมุดอุ่นขึ้น ก่อน
หันมาสนใจหนังสือที่เลือกมา
"สวัสดี ศศิ" สุปรีย์เอ่ยเสียงสดใจ ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามมีคนประปราย ศศิกานต์ชอบที่นี่ เพราะกลิ่นหนังสือทำให้ใจเธอสงบอย่างประหลาด และช่วงนี้คนไม่ค่อยเข้าห้องสมุด จึงไม่ต้องแย่งกันหาที่นั่ง ไม่เหมือนตอนช่วงใกล้สอบ
"สะ...สวัสดี ปรีย์" อีกฝ่ายไม่มั่นใจในตัวเอง กดดันจนเหงื่อออกตามฝ่ามือ เธออยากพูดอะไรเพื่อให้สุปรีย์ประทับใจในตัวเธอ แต่จะพูดอะไรดี ในหัวฉันมีแต่บทเรียนทั้งนั้น
"เราเห็นแล้วนะ ว่าศศิได้คะแนนท็อปทุกวิชาเลย" สุปรีย์พูดต่ออย่างยิ้มแย้ม ในใจคิดแอบเข้าข้างตัวเองว่า
หวังว่าจะได้ผลนะ
"เราว่าจะขอให้เธอช่วยติวให้เราหน่อยได้ไหม เราไม่ค่อยมีเวลาเข้าเรียน"
"คือ...เรากลัวจะมีปัญหากับแฟนคลับของสุปรีย์ วันก่อน
เพิ่งโดนเทขยะใส่หัวมา" ศศิกานต์บอกตามตรง
"ถ้าเราสนิทกัน คนอื่นจะได้เลิกเข้าใจผิดเรื่องศศิด้วยไง"
"ก็ได้ แต่เราสอนไม่ค่อยเก่งนะ"
"เย้ ขอบคุณครับ" สุปรีย์ยิ้มร่า แทบจะเต้นตรงนั้นเลย "เริ่มเลยไหม"
"ได้สิ เอาเรื่องไหนก่อน"
พวกเธอสองคนนั่งในห้องสมุดจนห้องสมุดปิด ก่อนไปสุปรีย์เกิดคำถามใจใน และถามเธอเป็นคำถามสุดท้าย
“ทำยังไงถึงจะได้คะแนนสูงขนาดนี้ ถึงอ่านหนังสือเท่ากัน ก็ไม่ได้แปลว่าจะได้คะแนนเท่ากันสักหน่อย”
“อันดับแรก เป้าหมายในใจต้องชัดก่อน ว่าเราอยากได้
คะแนนเป็นที่หนึ่ง สองเรามีตารางวางแผนการเรียน สามไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน เราต้องแบ่งเวลามาอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัด สี่ ตั้งใจฟังในห้องเรียนแล้วจดสรุปด้วยตัวเอง ห้า ทบทวนบทเรียนเป็นประจำ มหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีการบ้าน ก็เลยมีอิสระในการเรียน ถ้าทำตามนี้ได้ คะแนนต้องเพิ่มอย่างแน่นอน เราเคยเห็นเพื่อนคนหนึ่ง อ่านหนังสือเตรียมสอบเอาวันสุดท้าย แต่คะแนนเขาสูงมาก เพราะเขามีต้นทุนทางสมองที่ดี สำหรับศศิเอง ไม่ได้มีต้นทุนขนาดนั้น เลยต้องพยายามให้เยอะๆ ค่ะ”สุปรีย์พยักหน้าและจดเคล็ดลับลงสมุดโน้ตเล่มโปรด
ในห้องสมุดที่บรรยากาศพอเหมาะกับการอ่านหนังสือ สองสาวนั่งติวด้วยกันบ่อยครั้ง จนข่าวลือที่ว่าศศิกานต์แกล้งสุปรีย์ก็จางหายไป
ตอนนี้คนแบ่งออกเป็นสองพวก พวกแรกไม่ได้คิดจะแกล้งดินคณะ แต่อีกพวกชอบที่จะเห็นเธอนี้ได้รับความลำบาก คนพวกหลังชอบนั่งใต้อาคารเรียน เพื่อรอให้ศศิกานต์เดินผ่าน
"มาแล้วๆ" พวกเธอเอ่ยเบาๆ ก่อนตะโกนเสียงดัง "อุๆ กอริลลามาแล้ว"
ศศิกานต์หลบหน้า รีบเดินผ่านให้ไวขึ้น เธอไม่ได้โกรธ ไม่รู้สึกว่ามีสิทธิโกรธ ตัวตนเธอเล็กและด้อยค่ากว่านั้น แค่อยากให้คนอื่นเห็นใจเธอบ้างก็พอ มีนักศึกษาใจกล้ายื่นเท้าออกไป เธอไม่ทันเห็นจึงเหยียบเข้าอย่างจัง แถมน้ำหนักตัวหลักร้อยกิโลกรัมนั่นทำให้ขาเล็กที่ยื่นออกมาแทบจะหัก
"โอ๊ย ยัยบ้านี่"
"ขอโทษ ศศิไม่ได้ตั้งใจ" พูดเบาๆในลำคอ จนไม่มีใครจับใจความได้ว่าเธอพูดอะไร ตอนนี้คนหยุดดูดินคณะที่ยืนเหงื่อตกใต้อาคารเรียน ทำให้คนแกล้งใจชื้นว่ากำลังทำให้มวลชนสนุกเหมือนดูละครที่ตัวร้ายหน้าตาอัปลักษณ์โดนสังคมเอาคืน แต่ผิดกันที่ว่าศศิกานต์ในชีวิตจริงไม่เคยเป็นตัวร้ายเลยสักครั้ง
"ไม่คิดจะขอโทษอีก"
ตวาดไม่พอ ยกมือจะตบ
"เขาขอโทษแล้วนี่" เสียงหนึ่งแทรกขึ้น "ไม่เป็นไรนะคะ ศศิ"
สุปรีย์พร้อมเพื่อนๆ เดินผ่านมา ศศิกานต์ร้องไห้ออกมาเมื่อมีคนให้กำลังใจ น้ำตาไหลแต่ไม่มีการสะอื้น และเพียงชั่วครู่เธอก็ปาดมันทิ้ง
"เราไปทำอะไรให้ ทำไมต้องเกลียดเราขนาดนี้"
"เพราะเธอมันประหลาด ไม่เหมือนใคร เห็นหน้าแล้วอยากอ้วก" นักศึกษาคู่กรณีเอ่ยเหยียดหยัน คนถูกเอ่ยถึงเตรียมวิ่งหนีไป แต่สุปรีย์จับมือเธอเอาไว้
"ไม่เป็นไรนะ" ร่างบางถาม จิตใจแห้งฝาดของอีกฝ่ายได้รับความชุ่มชื่นขึ้น เธอรับรู้ตั้งแต่นั้น ว่าหัวใจเธอเต้นผิดจังหวะเมื่อนึกถึงสุปรีย์
ศศิกานต์นั่งบนรถสองแถวเพื่อไปเรียนยังอาคารเรียนประจำคณะของเธอ หญิงสาวหยิบมือถือออกมา เธอแอบเข้าไปดูในห้องกลุ่มของคณะ คลิปถูกทิ้งขยะใส่หัวยังมียอดคนดูเป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ก็พบว่าคลิปดินด่าดาวแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
สุปรีย์ออกมาโพสต์รณรงค์ให้เลิกแกล้งศศิกานต์ คนร่างสูงกดเข้าไปดูโปรไฟล์ ใจอยากจะกดขอเป็นเพื่อน แต่ห้ามมือเอาไว้ เพราะกลัวสุดใจว่าเธอจะไม่รับเป็นเพื่อน กระแสความคิดจุดประกายขึ้นอีกครั้ง บางทีเธอน่าจะลองเข้าอินสตาแกรมด้วย จากนั้นกดไม่กี่ครั้งก็เจอ รูปภาพส่วนใหญ่ของสุปรีย์เป็นรูปของกิน เธอสองคนก็ชอบอะไรเหมือนกัน
อย่างกับเนื้อคู่
หญิงสาวอมยิ้ม แต่ห้ามมุมปากไม่ให้ยกสูง เพราะรอยยิ้มนั่นดูน่ากลัวสำหรับคนอื่น
ศศิกานต์มาถึงก่อนเวลา จึงเดินมารอหน้าห้องเรียน
“สวัสดี กอริลลา”
เสียงทักอย่างเป็นมิตร แต่จะดีกว่านั้นถ้าไม่มีคำว่ากอริลลา
ศศิกานต์หยิบหูฟังมาเสียบหู ไม่อยากได้ยินคำเรียกชวนหดหู่นั่นอีก แต่คนใจกล้าดึงหูฟังออก แล้วผลักเธอ หญิงสาวแทบเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้อยใจว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้ว แต่ก็บอกตัวเองว่า ถ้าไม่นั่งแถวหน้า ก็จะมองกระดานไม่เห็น และไม่สามารถจดจ่อกับบทเรียนได้เท่าที่ต้องการ
บังเอิญที่ดินคณะกับดาวคณะเรียนห้องเดียวกัน เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มองหน้าเธอ ทั้งที่ดาวมหาวิทยาลัยคนนี้จะส่องประกายด้วยรอยยิ้ม และห้อมล้อมไปด้วยผู้คน แม้ว่าจะนอกเวลาที่ต้องติวหนังสือกัน เธอก็ยังมองหา จนเพื่อนๆ ต้องสะกิด เมื่อเห็นว่ามีคนแอบตามเธออยู่
"ขอ...ขอโทษ" หลบตาต่ำ ก่อนจะเลี่ยงไปอีกทาง เสียงในหัวบอก
ฉันควรเจียมตัวมากกว่านี้ แค่ได้คุยกันบ้างก็มากพอแล้ว ยังหวังอะไรไปมากกว่านี้อีกนะ
"ยังถูกแกล้งอีกไหม"
"เปล่า" ศศิกานต์ปด เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง
"ขนาดผู้ชายหล่อๆ ยังพิชิตใจยัยปรีย์ไม่ได้เลย กอริ... หมายถึง ศศิก็อย่าหวังเลยดีกว่า" เพื่อนคนหนึ่งของร่างบางเอ่ย ออกจะเห็นใจที่เธอโดนแกล้งและไม่อยากซ้ำเติมอีก
"ขอ...เป็นแฟนคลับได้ไหม เห็นว่าเป็นนางแบบด้วย" ศศิกานต์รวบรวมความกล้าถาม รอคำตอบอย่างกระสับกระส่าย
"อย่าเลยแก ไปกันเหอะ อันตรายนะเว้ย" เพื่อนอีกคนพูด
"ได้ค่ะ แต่ห้ามแอบถ่าย ห้ามจับเนื้อต้องตัว และห้ามคุกคาม เราคุยกันเฉพาะเรื่องติวนะคะ"
ศศิกานต์พยักหน้าและยิ้ม เป็นยิ้มที่สดใสที่สุดตั้งแต่สุปรีย์ได้เจอเธอดินคณะตัดสินใจบางอย่างอยู่นาน เธออยากให้ตัวเอง
คู่ควรกับสุปรีย์ อย่างน้อยต้องมีเงิน แต่งานไหนจะทำเงินให้เธอได้ ในเมื่อวุฒิการศึกษาเธอนั้นยังแค่อยู่ในระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น คำตอบผุดขึ้นในใจ ถ้าไม่ได้ด้วยสมอง งั้นก็ต้องใช้แรง และการใช้แรงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น "มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียงดัง "ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง" "เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที" "แต่หนูไม่เคยทำ" "ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ" ศศิกานต์ไม
ผ่านไปสองเดือน ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากออก ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม สกาว เ
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อายุมากกว่าศศิสอ
สกาวสวมเสื้อขาวแขนโป่งพอง ดูเหมือนฟักทองยักษ์สีขาวนั่งตามลำพังในห้องพัก เธอดูสมุดจดตารางงาน ก่อนโทรหาศศิกานต์อย่างลุ้นระทึก อีกปลายหนึ่งของสายดังเพียงไม่กี่ครั้ง คนปลายสายก็รับ "น้องศศิคะ พี่สกาวนะคะ" "ค่ะ" "บ่ายนี้มีแคสหน้ากล้อง เรื่องเกี่ยวกับเกิร์ลเลิฟ น้องศศิสนใจไหมคะ" "มันจะดีเหรอคะพี่ หนูปกตินะคะ" สกาวดูคนออก หล่อนไม่ถูกหลอกง่ายๆ "ไปเล่นๆ ก็ได้ ไปให้ผู้ใหญ่เห็นหน้า เผื่อเขาจะสนใจ" "เอ่อ..ค่ะ ไปก็ไป" ศศิกานต์มองหาซี ที่บัดนี้กำลังเล่นมือถืออยู่บนโซฟา ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งของทาวน์เฮ้าส์ ห้องรวมที่ทุกคนสามารถมานั่งเล่นได้ เธอหน้าเกร็ง หายใจติดขัด พยายามใจดีสู้เสือ ใจคิดออกแต่เรื่องแง่ลบ กำมือแน่นเพื่อต่อสู้กับตัวเอง เธอจำเป็นต้องเข้าหาคนอื่น และไม่รู้ว่าเขาจะตอบรับว่ายังไง "พี่ซี แต่งหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ วันนี้หนูมีคัดตัวนักแสดง" ยกมือขึ้นพนมเป็นเชิงขอร้อง "พี่ขอน้ำโค้กขวดโตขวดหนึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยน กินแล้วสดชื่นดี" เรียกค่าตัวใน
สุปรีย์ใช้เวลาว่างอยู่กับศศิกานต์ ทั้งสองไปกิน จิ้มจุ่มซึ่งเป็นร้านอาหารริมทางที่มีนักท่องเที่ยวนั่งกันอยู่เต็ม เสียงพูดคุย รถรา เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังขรมจนต้องตะโกนแข่ง ทำให้ต่างคนต่างลดการ์ดลงและอยากเอ่ยความในใจมากยิ่งขึ้น ร่างบางสั่งผักและเนื้อไม่ติดมันมาเต็มโต๊ะ แลกเปลี่ยนเรื่องของอีกฝ่าย เมื่อไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันแล้ว สุปรีย์ก็หยิบมือถือมาเล่น ยิ้มหวาน อีกฝ่ายแอบอารมณ์เสียที่ต้องแบ่งรอยยิ้มนั้นให้คนอื่น จึงรวบรวมความกล้าแย่งมือถือมา "นี่" สุปรีย์ประท้วง "มีแต่ทอมและผู้ชายหล่อๆ ที่มีรูปโปรไฟล์อย่างเท่ทั้งนั้น ข้อความหวานที่หยอดกันไปมาอีก" คนตาคมเอ่ยอย่างน้อยใจ "รู้นะ คิดจะถามว่า ศศิแต่งหญิงแบบนี้ ใช่สไตล์ที่ปรีย์ชอบหรือเปล่า" ศศิกานต์เอ่ยไม่ออก แต่คำถามนั้นแทนใจเธอจริงๆ "ชอบสิ" คนตาคมทำแก้มป่อง หน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ น่ารักจนคนเจ้าชู้เห็นแล้วหัวใจแทบวาย ศศิกานต์เสยผมแล้วถามว่า "ต้องไปตัดผมไหมเนี่ย" สุปรีย์เอนตัวเขามาใกล้ๆ จิ้มไปที่อกข้างซ้าย "มันอยู่ที่
ข่าวในฟีดเฟซบุ๊คโชว์แต่รูปที่ศศิกานต์ คบซ้อนกับดาราสาวอยู่สองคน มีชาวเน็ตให้สัมภาษณ์ว่าอยู่แถวย่านนั้น และเห็นสุปรีย์กับศศิกานต์เดินด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยครั้ง แต่ล่าสุดก็เจอเกลด้วย เรียกว่าตอนนี้เสียงในเน็ตคิดว่าเขาที่เป็นคนเจ้าชู้ ต้นสังกัดปวดหัวกับข่าวนี้ และต้องเรียกพวกเขามาคุยในวันซ้อมการแสดง ผู้จัดละครยืนกอดอก ศศิกานต์ทำหน้าซีด "ห้ามไปกินข้าวกันสองต่อสอง ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น" ผู้จัดละครออกคำสั่ง "ค่ะ" ศศิกานต์ตอบ เหลือตัวเล็กนิดเดียว "มีอะไรที่พี่ไม่รู้อีกไหม" "ค่ะ ศศิไม่ได้คบกับทั้งสองคนค่ะ" "ไอ้นี่มันบริหารเสน่ห์ใช่ไหม" ผู้กำกับถาม ม้วนบทละครมาตีมือตัวเองอย่างเอาเรื่อง "เปล่าคะ คือเรายังไม่ได้รู้จักกันมากพอที่จะคบกันได้" "นั่นไง" "เรา..." สุปรีย์รีบจับมือกับศศิกานต์ เพื่อห้ามไม่ให้พูด เธอเดาได้เลยว่าเจ้าตัวจะพูดเรื่องที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน "ศศิยังใหม่ เดี๋ยวปรีย์สอนเขาเองค่ะ" "เราจะแก้ปัญหานี้อย
ศศิกานต์จับมือสุปรีย์ วิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก แมกไม้หนาติดกันเป็นแพจนแสงแดดไม่สามารถส่องมาได้ อากาศเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งป่าแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ฉากนี้เป็นตอนแรกๆ ที่เริ่มถ่ายทำกัน ทั้งคู่วิ่งแบบนี้หลายรอบ เพราะต้องตัดต่ออีกหลายมุม ผู้กำกับต้องการรายละเอียดในละครของเขา ศศิกานต์รับบทเป็นตำรวจ ส่วนสุปรีย์รับบทเป็นเจ้าของโรงแรมที่ถูกตามล่าจากผู้ร้าย ระหว่างที่มัวกังวลว่าหน้าตาของตัวเองแสดงสมบทบาทหรือไม่ สุปรีย์สะดุดท่อนไม้ล้ม ดูสมจริงจนผู้กำกับไม่สั่งคัท พวกเขาพยุงกันขึ้นมาแล้ววิ่งต่อ เมื่อได้ตามที่ตั้งใจแล้วผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมละครวิ่งกรูเข้าไปดูสุปรีย์ที่บัดนี้นั่งกุมข้อเท้า แต่ผู้กำกับห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เว้นแต่ศศิกานต์เพียงคนเดียว คนร่างบางสะบัดผมยาวไปด้านหลังแล้วระบายยิ้มอ่อนๆพอใจที่คนตาคมใส่ใจ ศศิกานต์หน้าแดง สะบัดเสื้อเพื่อหลอกตัวเองว่าร้อน ทั้งที่ความจริงหน้าแดงเพราะเขิน ถัดมาเป็นฉากที่ศศิกานต์สู้มือเปล่ากับผู้ร้าย เธอเตะสูงเข้าที่ก้านคอ ถอยหลังมาตั้งหลัก ผู้ร้ายชักมีดออกมา แทงเข้าที่ท้อง แต่เจ้าตัวผลักมีดออก หักมือจ
ศศิกานต์ส่งสติ๊กเกอร์หาสุปรีย์ทุกวัน แต่ไม่ได้พิมพ์ข้อความอะไรเป็นพิเศษ และเธอก็ตอบข้อความหรือส่งสติ๊กเกอร์กลับมาทุกครั้ง ทำให้อีกคนใจชื้น ว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้เป็นคนที่พยายามอยู่คนเดียวในความสัมพันธ์ครั้งนี้ คืนนี้ร่างบางถ่ายคลิปข้อเท้าที่พันผ้าไว้แล้วแกะผ้าออก แล้วส่งให้คนตาคมดูเพื่อแสดงว่าเธอหายแล้ว เธอส่งสติ๊กเกอร์ดีใจกลับมา สุปรีย์ส่งข้อความไป พิมพ์พลางส่งสติ๊กเกอร์หน้าเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่าย ส่วนในมือถือสุปรีย์ยังเต็มไปด้วยข้อความหวานกับคนหน้าตาดีเหมือนเดิม ศศิกานต์เตือนคนสนิท พวกเขาเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่คนตาคมจะนึกขยันอยากซ้อมละคร เพราะตอนนี้ชีวิตเธอขึ้นอยู่กับการแสดง ไป
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว
เวลาเย็น ภายในอพาร์ทเม้นท์ของอภิชญา สะอาดเนี๊ยบตั้งแต่ทางเข้าจนถึงข้างใน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในเวลาว่างขัดถูพื้นและเครื่องเรือน สำหรับเธอการทำความสะอาดช่วยลดความเครียดได้ดี กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดลอยเตะจมูก จนผู้มาเยือนต้องทำจมูกย่น นอกจากนี้หากมองไปรอบๆ อย่างสังเกต เฟอร์นิเจอร์เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารบ้านตัวอย่าง ราคาค่อนข้างสูงทุกชิ้น อภิชญาเรียกลูกสาวคนสุดท้องมาซ้อมบทร้องไห้ ด้วยละครเรื่องใหม่มีบทร้องไห้ค่อนข้างเยอะ และเธออยากสร้างกระแสให้ศศิกานต์เป็นนักแสดงที่เทคน้อยที่สุดสำหรับบทร้องไห้ คนตัวโตรู้สึกประหม่าที่จะได้เห็นห้องของแม่ เธอยืนนิ่งหน้าประตู "ทำอะไร เข้ามาสิ" อภิชญากวักมือเรียก "แม่เป็นอยู่อย่างดี ในขณะที่หนูกับยายลำบากนะคะ" เจ้าตัวตัดพ้อ ทำเสียงสั่นใกล้จะร้องไห้ "แฟนพี่ลูกเขาซื้อให้ เพิ่งไม่กี่เดือนมานี่เอง" เธอแก้ตัว ยากจะสืบได้ว่าจริงหรือไม่ "เรื่องที่ลูกศัลยกรรม ได้คะแนนสงสารเยอะเชียว ต้องชมสินะ ว่าลูกเป็นอัจฉริยะด้านมวลชน" "หนูแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง แล้วหนูก
ภายหลังไลฟ์ กระแสของคนในโลกโซเชียลมีทั้งฝ่ายที่ต่อต้านการศัลยกรรม และฝ่ายที่เห็นใจเธอ มีผู้ไม่หวังดีโพสต์ภาพก่อนศัลยกรรมของศศิกานต์ แฟนๆ ส่วนใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอต้องลดน้ำหนักและทำศัลยกรรมเพื่อให้เธอสมหวังกับหงส์ สุปรีย์มองภาพถ่ายแล้วจำเธอได้ในทันที ขณะเดียวกัน ศศิกานต์กลับมาผิดหวังในตัวสุปรีย์ต่อ เธอเห็นทั้งแอนนาและสุปรีย์กอดกัน แล้วใช้มือจับแยกออกมาด้วยตัวเอง ภาพทุกอย่างการันตีว่าเธอมีใครที่สำคัญ คนตาคมนิ่งเงียบ ไม่พูดคุยหัวเราะกับใคร ไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ ปลีกตัวออกมาจากบ้านพัก แต่เจ้าตัวไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก จึงไปนั่งเล่นคนเดียวริมแม่น้ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น และมาเช่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองนัก อภิชญาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกสาวไปไหน แต่เธอไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะลูกสาวยังไปทำงานตามปกติ วันรุ่งขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายวัน หญิงสาวมาซ้อมการแสดงกับนางเอกคนใหม่ ในห้องซ้อมการแสดงที่นี่มีคนเพียงเล็กน้อย ไม่มีกล้องถ่ายวิดีโอ ไม่มีกระจก เครื่องปรับอากาศเปิดจนหนาวสะท้าน นักแสดงจึงต้องสวมเสื้อให้อบอุ่นก่อนมา นางเอกคนใหม่ของคนต
แอนนาเป็นหญิงค่อนข้างห้าว ผมดำขลับแต่ยาวแค่ประบ่า ผิวขาวละเอียด สีเสื้อขับผิวให้ยิ่งขาวยิ่งขึ้น เธอโทรหาสุปรีย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยม เสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งร่างบางก็รับสาย ทั้งสองคนคุยอย่างสนิทสนม แต่ที่หญิงสาวไม่ค่อยติดต่อเพื่อนคนนี้ เพราะแอนนาจะนึกติดต่อคนอื่นเมื่อมีปัญหาจำเป็นเท่านั้น ทั้งสองคนนัดเจอที่ร้านกาแฟใกล้ย่านที่สุปรีย์อยู่ ในร้านมีคนอยู่ไม่กี่คน ร้านตกแต่งด้วยไม้เลื้อยและเปิดน้ำให้ไหลไปตามกระจกร้าน เสียงน้ำไหลทำให้เหมือนนั่งอยู่ใกล้น้ำตก และดับร้อนได้ดี ดาราสาวสวมแว่นตาสีดำเพื่ออำพราง แต่คนรอบๆ ก็สังเกตเห็นเธออยู่ดี ทั้งคู่คุยถามสารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่แอนนาจะเข้าประเด็น "ปรีย์รู้ไหม แอนนาเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ เราเจอกันที่ทำงานของแอนนา เขาคอยสอนงานให้ ชวนไปร่วมก๊วนกินข้าวตอนเที่ยง แล้วก็ไลน์หาทุกวัน" สุปรีย์นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย"แล้วไงอีก" "แต่เขาก็คุยกับผู้หญิงอีกคน ทำท่าเหมือนเป็นแฟนกัน ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคุยกัน แต่คือ...แอนนาอยากรู้ว่าเขาชอบเราไหม" ร่างบ