ผ่านไปสองเดือน
ณ ห้องนอนของศศิกานต์ หญิงสาววางเครื่องชั่งน้ำหนักไว้ใกล้กับกระจก เธอตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะขึ้นชั่งน้ำหนักดีหรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองผอมลง เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่ง น้ำหนักของ เธอหายไปกว่าสี่สิบกิโลกรัมด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้าย จากร่างยักษ์ กลายเป็นเอวบางเฉียบ เธอเปิดเสื้อยืดขึ้นแล้วส่องกระจก ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่อ้วนฉุเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใส่หน้ากากสีดำ ไม่กล้ามองหน้าตัวเองในกระจก
คนร่างสูงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าย่านวัยรุ่น ผู้คนเดินเบียดเสียดริมถนน เมฆครึ้มและฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ เสื้อผ้าและหน้ากากสีดำเปียกปอน หายใจไม่ออก ได้แต่ทำเสียงฟืดฟาดจนคนมอง จึงต้องตัดสินใจ
ถอดหน้ากากออก
ท่ามกลางบรรยากาศอลหม่านเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ผู้คนหาร้านอาหารนั่งแก้ความหิว นักช้อปหันมามองศศิกานต์เหลียวหลัง เธอก้มหน้าหงุดเพราะคิดว่าหน้ายังบ่วมเป่ง บางคนถ่ายรูปเธอ หญิงสาวยิ่งอยากแอบให้พ้นสายตา เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่า ไม่บูลลี่ศศิได้ไหม
สกาว เป็นผู้จัดการนักแสดงและนางแบบมานานหลายปี คนที่เธอชักชวนเข้าวงการนั้นดังแทบทุกคน เธอเคยเห็นความสวยของคนจนเคยชิน แต่กระนั้นก็ยังอ้าปากค้างเมื่อเห็น ศศิกานต์ หญิงสาวผมยาวถึงกลางหลัง เธอไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย แต่แม้ว่าจะไม่แสดงความเป็นมิตรออกมา แววตานั่นก็ชวนหลงใหล เสื้อผ้าของเธอหลวมโคร่งและดูเก่าคร่ำคร่า สกาวลืมวิจารณ์ว่าหญิงสาวไม่มีแม้แต่เซนส์แฟชั่น กระนั้นด้วยดวงหน้าระดับนี้ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็ต้องการใกล้ชิดเธอ สกาวต้องหุบปากแล้ววิ่งตามตามไป
"น้องคะๆ"
ศศิกานต์หันมามองหญิงวัยสี่สิบปี สวมแว่วตากลมสีดำ ตัดผมสั้นทรงกะลาครอบ เธอทำหน้าสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มีธุระอะไรกับเธอ
"คะ..ขอโทษค่ะ บังป้ายเหรอคะ" ศศิกานต์หมายถึงป้ายบอกทางไปห้องน้ำ
"หา" สกาวแปลกใจ
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"คือพี่.. แป๊บหนึ่งนะคะ" เรียกสติให้ตัวเอง แสงไฟทำหน้าสวยนั่นยิ่งงดงาม จนทำให้เธอรีบเอ่ยตามจริง "อยากได้น้อง"
"หา" ตกใจยิ่งกว่ากับคำพูดนั้น
"มาอยู่ในสังกัดพี่ คือพี่อยากได้น้องมาถ่ายโฆษณา เล่นละคร"
ศศิกานต์ไม่เคยเข้าข้างตัวเอง เธอคิดว่าเป็นโฆษณา ธีมตลก เหมือนโฆษณาที่โด่งดังของเมืองไทยหลายชิ้น ไม่จำเป็นต้องใช้คนหน้าตาดี และเธอก็ไม่เข้าพวกคนหน้าตาดี แถมยังอยากได้เงินมาคืนหนี้กว่าล้านบาทในเร็ววัน
"ตกลงค่ะ"
ตอนเช้าอีกวัน โชคดีที่ทาวน์เฮ้าส์เธออยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ก่อนขึ้นรถไฟฟ้าที่คนแน่นขนัด ศศิกานต์อาบน้ำแต่งตัวโดยไม่ดูกระจกอีกเช่นเคย เธอรวบผมหางม้าแล้วใส่หน้ากากสีดำ แทรกตัวเข้าไปในกล่องขนส่งขนาดยักษ์ คนตาคมเกร็งเมื่ออยู่กับคนมากๆ แผ่รังสีมืดออกมา จนคนรอบตัวต้องเขยิบตัวออกห่างจากเธอ มีเก้าอี้ว่างตรงหน้า ศศิกานต์ผายมือให้หญิงชรานั่ง แต่เธอยังรีรอเพราะหญิงสาวดูน่ากลัว ชายวัยรุ่นคนหนึ่งจึงนั่งลงแทน
"อ้าว...น้อง" ศศิกานต์ตะกุกตะกัก
"ทำไม"
"ให้ป้าเขานั่งสิ น้องเป็นผู้ชาย...นะ"
ไขว่ห้าง จีบนิ้วขึ้นมา
"ใครบอกว่าผู้ชายฮะ"
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ เงาดำพาดผ่านตัวชายวัยรุ่น เขารู้สึกเกรงร่างใหญ่โตนั่น จึงทำเสียงไม่พอใจแล้วลุกให้หญิงชราคนนั้นนั่ง แต่เขาแกล้งปัดหน้ากากของหญิงสาวออก คนในรถไฟฟ้านิ่งไปชั่วครู่ เพราะอึ้งใบหน้าสวย บางคนอ้าปากค้าง บางคนลืมหายใจ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเมื่อเธอสวมหน้ากากเข้าไปใหม่
ลงจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วเดินอีกกว่าสิบห้านาทีจึงถึงอาคารสำนักงานย่านใจกลางเมือง แอร์เย็นฉ่ำทำให้เหงื่อแทบจะแห้งในทันที ภายในห้องโถงส่องประกายระยิบระยับจนแสบตา ศศิกานต์ขึ้นลิฟท์ไปอีกหน่อยจึงถึงสตูดิโอถ่ายโฆษณาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ในห้องมีกล้องถ่ายหนังตัวใหญ่ เจ้าหน้าที่ทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น เธอถูกจับแปลงโฉมตั้งแต่เสื้อผ้ายันหน้าผม ห่างกับเธอเพียงห้านาที ร่างบางก็เดินทางมาถึง หน้าสวยนั้นยังไม่ได้แต่งแต้มใดๆ เพียงแค่เห็น ศศิกานต์ก็จำได้
สุปรีย์!!
เธออ้าปากค้าง หน้าร้อนผ่าว ตะโกนก้องในใจ
คุณพระช่วย อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ให้ตายเถอะศศิ!!
ดึงสติพร้อมกับเก็บอาการ แล้วยิ้มให้นางแบบที่ปลื้ม สุปรีย์ยิ้มตอบ
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ชื่อ..."
"คุณสุปรีย์ใช่ไหมคะ"
สุปรีย์แปลกใจ เพราะเธอเป็นนางแบบเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมีคนรู้จัก เสียงในหัวกระซิบให้เธอทำความรู้จักให้มากขึ้น นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนสวยขนาดนี้
"ค่ะ คุณ..."
"ศศิกานต์ค่ะ เรียกศศิก็ได้" อดีตกอริลลาแนะนำตัว แต่ดูเหมือนเธอจะจำไม่ได้
"ยินดีค่ะ ว้าว...สูงเหมือนกันนะคะ" แม้รู้สึกคุ้นกับชื่อและเสียง แต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย จึงไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน
คนตาคมถูมือแก้เก้อไปมา แล้วก็ถูกเรียกไปบรีฟเรื่องถ่ายแบบพร้อมกัน ได้แต่รอคอยว่าโฆษณาชิ้นนี้จะตลกตรงไหน แต่ไม่ว่าจะเริ่มจนจบก็ยังไม่มีฉากตลกตรงไหน ทีมงานทำผมให้สองนางแบบดูมีวอลุ่ม พวกเธอต้องสะบัดผมเข้าหากัน ยิ้มให้กัน แล้วก็เอ่ยสโลแกนยาสระผมอีกหลายรอบ
ศศิกานต์ไม่คุ้นกับการมีคนมอง ดวงตาโตแผ่รังสีดำมืดออกมาอีกแล้ว รอยยิ้มเป็นได้แค่ยิ้มแสยะ ผู้กำกับและทีมงานรู้สึกหวั่นเกรง เครียด และจนแต้ม ไม่ว่าจะพูดให้กำลังใจอย่างไร เธอก็ยังไม่สามารถยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้
สุปรีย์เดินเข้ามาในฉาก เธอรู้ว่าต้องทำอย่างไร แค่จับแก้มเธอเบาๆ ยิ้มให้พร้อมกับความรู้สึกแสนดี อีกฝ่ายผ่อนคลายลง ดวงตาหยุดแผ่รังสีอำมหิต เปลี่ยนเป็นความสดใสและรอยยิ้มที่สวยที่สุด
"สะบัดผมเข้าหากัน แบบนั้นแหละ ยิ้มครับยิ้ม กอดอกแล้วชนหลังกัน ครับดีครับ"
ผู้กำกับรีบเก็บภาพ ก่อนปิดกองในเวลาเย็น ศศิกานต์ยังไม่ได้กินข้าว จึงรู้สึกหมดแรง เธอดื่มน้ำแก้คอแห้ง ก่อนเจอสุปรีย์นั่งมองเธออยู่
"คะ"
"ขอเซลฟี่ด้วยได้ไหม จะโพสต์ลงไอจีค่ะ"
"คะ ค่ะ ได้ค่ะ"
"บอกเผื่อไว้ก่อน ว่าจะโพสต์ได้ก็ต่อเมื่อโฆษณาออนแอร์นะคะ" ทีมงานกระซิบบอก เมื่อได้ยินสองคนคุยกัน
สุปรีย์รอคนตาคมอยู่นาน ไม่เห็นเธอขยับ จึงเดินเข้าไปเขย่งแล้วถ่ายรูปกันสองคน "ขอไอดีไลน์ศศิได้ไหม จะส่งรูปให้ค่ะ แล้วก็ เผื่อว่ามีงานแคสโฆษณาอีก จะได้มาเจอกันอีก"
ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ศศิกานต์เห็นว่าแววตานั่นระยิบระยับเหมือนเสือจ้องจับเหยื่อ แต่กระพริบตาถี่ๆ คิดว่า
ตาฝาดไปมั้ง
สุปรีย์ส่งรูปให้ในทันที และเซฟชื่อศศิกานต์ว่า คนตาคม เสียงไลน์ดังเตือน ทำให้ศศิกานต์งงงวยไปชั่วเวลาหนึ่ง ข้างสาวสวยที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด มีเธออยู่เคียงข้าง
แต่เอ๊ะ ข้างๆ นั้นเป็นสาวสวยอีกคน ศศิกานต์จับหน้าตัวเอง หน้าเธอเริ่มเข้าที่แล้ว
ศศิสวยแล้ว!!!
คนตัวโตแทบจะร้องไห้เมื่อเห็นภาพนั้น สุปรีย์มองอาการแปลกๆ นั้นอย่างไม่เข้าใจ
ศศิกานต์กลับบ้านแทบจะตัวไม่ติดพื้น เธอส่องกระจกตั้งแต่เย็นวันนั้นจนถึงเที่ยงคืน และส่องต่อจนลืมวันลืมคืน ตอนเช้าเธอวิ่งไปโบกมือไปให้คนที่นั่งรถเมล์ผ่านหน้าทาวน์เฮาส์จนหลายคนทั้งอึ้งระคนแปลกใจ ว่าหญิงหน้าตาดีคนนี้สติดีหรือไม่
ในที่สุดเธอก็สามารถคว้าโอกาสที่ต้องการในไม่กี่อึดใจแล้ว เธอร้องคำว่า "พร้อม!!!" ต่อตัวเองอีกหลายครั้ง จนน้ำตาแห่งความยินดีซึมออกมา การคว้าหงส์มาเป็นของตนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ราวกับดวงจันทร์มายืนเคียงข้างเธอ เป็นกำลังใจให้เธอแล้ว!!
บ้านศศิกานต์เป็นทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สไตล์คลาสสิคทำให้บ้านไม่ดูล้าสมัยแม้ว่าจะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลับลา ส่งให้ดวงจันทร์ส่องประกายแข่งกับแสงไฟข้างถนน สายลมเย็นพัดเข้ามาในบ้านเอื่อยเฉื่อย เวลานี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง คืนนี้ ศศิกานต์ต้องสัมภาษณ์คนมาอยู่บ้านร่วมกันหลังจากเปิดรับสมัครมาสองเดือน เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งบนโซฟา ตรงชั้นหนึ่งมีห้องรับแขกที่เป็นที่ส่วนกลาง ห้องนอนของเธอ และห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านบนเป็นห้องนอนอีกสามชั้น และชั้นดาดฟ้า อย่างไรก็ตามผู้เช่าอีกคนหนึ่งยังไม่มา คนแรกเป็นผู้ชายค่อนข้างเท่ ผิวสีแทน ตาตี่ มีแววตารับฟังอย่างลึกซึ้งเวลาคุยกับคนอื่น เขามองลึกเข้าไปภายใต้หน้าตาดีของศศิกานต์ เห็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความมุ่งมั่น และความเศร้าสร้อย แต่เขาก็รอให้เธอเอ่ยก่อน "แนะนำตัวด้วยค่ะ" ศศิกานต์ถอดหน้ากากออก จับแก้มตัวเองเบาๆ ยังดีใจไม่หายที่หน้าเข้าที่แล้ว "เราชื่อธนู อายุยี่สิบสี่ปี เป็นผู้ช่วยเซฟครับ เท่านั้น" เขาตอบสั้นๆ “อาย
ถ้าใครถามฉันอยากบอกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย ฉันตัวสูงกว่าเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในชั้นเรียน ฉันมีหน้าตาอัปลักษณ์ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แค่ฉันรู้สึกว่า แม่ไม่รักฉัน แม่ไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยบอกว่ารักฉัน ฉันรู้ดี เพราะฉันทำเงินให้แม่ไม่ได้เท่าพี่ๆ ของฉันทั้งสองคน ในตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ แม่ก็บอกยายว่า “หนูจะไปหาห้องเช่าใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ เด็กสองคนจะได้อยู่ใกล้ห้องถ่ายทำ” ที่จริงสถานที่ถ่ายทำกระจายอยู่ทั่วไป แต่การย้ายออกจากบ้านซ่อมซ่อ มันทำให้เชิดหน้าชูตาพี่สาวทั้งสองคน “แล้ว...หนูละคะ” ฉันถามเสียงเบา “หนูก็อยู่กับยายไปก่อน ถ้าเราสามคนไปได้ดี แม่จะมารับหนูไปอยู่ด้วย” ฉันยังเด็ก และก็เชื่อแม่อย่างเปี่ยมล้น ว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมารับฉันไปอยู่ด้วย แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก น้าติ๋มเพื่อนบ้านเคยบอกฉัน “คนสวยเขามีชะตาชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป แม่เอ็งผลักดันให้พี่สาวทั้งสองคนอยู่ในว
ต้นไม้อายุร้อยปีถูกปลูกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพร้อมกับนักศึกษา มันตั้งตรงเป็นร่มเงาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างแข็งแกร่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเสมือนหนึ่งเดียวกับประเพณีรับน้อง ที่ไม่ว่าจะต่อต้านเพียงไร ก็ยังจะดำเนินการต่อมาด้วยความแข็งแกร่ง แสงแดดสาดส่องเข้ามาในอาคาร สลับกับลมร้อนที่ผ่านเข้ามา เสียงกลองดังเป็นจังหวะ นักศึกษาใหม่เต้นสุดแรง เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งรุ่นพี่ รุ่นน้องถูกทาแป้งจนขาววอก ผูกผมชี้โด่ชี้เด่ นั่งเป็นแถวอยู่ใต้อาคารเรียน ล้อมรอบไปด้วยรุ่นพี่ทุกชั้นปี ประธานรุ่นปีสองกวาดตามองเด็กใหม่ พวกเขาเรียนคณะบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง "พี่จะเลือกดาวประจำคณะเรา" เขาเกริ่น "สำหรับปีนี้ ดาวของเราคือใครดีครับ" มีคนยกมือแล้วเอ่ยออกมา "สุปรีย์ครับ" ใต้อาคารเรียนที่เดิม คนหน้าตาดียังเป็นที่นิยมไม่เปลี่ยนแปลง เสียงปรบมือดังกึกก้องมาจากรุ่นน้อง ทุกคนเห็นด้วยว่าหน้าเก๋และหุ่นดีแบบนางแบบนั่นเหมาะสมที่สุด ชายหนุ่มผู้เป็นประธานรุ่นปีสองเลือกเดือนของคณะ อีกเช
คนร่างสูงเปลี่ยนมาสวมเสื้อลายสก็อตสีเทา กางเกงยีนส์ตัวปอนและหมวกฟางอีกใบ เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนว่าเธอมีชั้นไขมันพอกหนาทุกส่วนและเอวปลิ้น ผิดกับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หุ่นบางเพราะอยู่ในวัยที่ระบบเผาผลาญดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ศศิกานต์เดินไปที่ไซต์ก่อสร้างไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ตัวอาคารเพิ่งก่อสร้างไปได้เล็กน้อย ข้างหน้าอาคารมีคนงานกำลังง่วนอยู่กับกองปูน หิน และทราย กลิ่นส่วนผสมเหล่านั้นลอยมาในอากาศ ศศิกานต์หายใจเข้าลึกๆ พยายามยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับเป็นได้แค่รอยแสยะยิ้ม เธอตะโกนทักทายคนงาน แต่เสียงเครื่องจักรดังกระฮึ่มจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หญิงสาวจึงเลือกเดินไปหาป้าใจดีคนหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกปิดหน้ามิดชิด แต่งตัวปอนๆ เห็นแต่แววตาอาทรเพื่อนมนุษย์เท่านั้น "มาสมัครงานหรือไอ้หนู" ป้าใจดีทักตะโกนแข่งกับเสียงดัง "ค่ะป้า มีอะไรให้ช่วยทำบ้าง" "เอ้า ผู้หญิงเรอะ ตัวสูงใหญ่ดีนะ ท่าทางจะแรงเยอะ เอ็งมาช่วยผูกเหล็กที" "แต่หนูไม่เคยทำ" "ไม่เคยทำก็หัดเข้าสิวะ ถ้าสำอางก็อย่ามาทำงานก่อสร้างสิ"