ตัณหาราคะร้อนแรง
โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ภายนอกเป็นอาคารสูงใหญ่ทันสมัย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างรีบเร่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นตัว ผู้คนเดินเข้าออกกันขวักไขว่
ภายในของโรงพยาบาลตกแต่งอย่างหรูหรา สะอาดตา พนักงานทุกคนแต่งกายสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส
บริเวณโถงกลางมีผู้ป่วยและญาติรอคิวเข้ารับการตรวจ สามารถนั่งผ่อนคลายบนโซฟานุ่มๆ มีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ
ตึกผู้ป่วยหนักที่ชั้น 5 เป็นโซนที่คุณเกศ หรือคุณกชมน ภรรยาของเอกวัฒน์รักษาตัวอยู่
ห้องที่คุณเกศพักเป็นห้องผู้ป่วยส่วนตัว มีขนาดกว้างขวาง สว่างไสว มีหน้าต่างขนาดใหญ่ มองเห็นวิวเมืองได้ไกล
บนเตียงผู้ป่วย คุณเกศนอนหลับตาอย่างสงบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาว เครื่องช่วยหายใจส่งเสียงออกมาเป็นระยะ สายยางน้ำเกลือ และจอแสดงผลสัญญาณชีพ เอกวัฒน์นั่งอยู่ข้างเตียง จับมือของเธอไว้ด้วยความเป็นห่วง
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด ชัญญากำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่มุมห้อง แอบมองทั้งคู่ด้วยความริษยา
“นายขา ไปนอนพักผ่อนตรงโซฟาหน่อยมั้ยคะ” ชัญญาแตะแขนของเอกวัฒน์เบา
“อืม..ก็ดีเหมือนกัน” เอกวัฒน์มีสีหน้าไม่สดชื่น
“นายคะ ญ่าว่านายไปล้างหน้าซักหน่อยดีกว่าค่ะ จะได้สดชื่น เดี๋ยวญ่าช่วยนะคะ” ชัญญาประคองเอกวัฒน์ไปที่ห้องน้ำ โดยที่เขาไม่ได้ขัดขืนใดๆ
“น่าสงสารคุณเกศนะคะ” ชัญญาเอ่ยเบาๆ ขณะเอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าให้เอกวัฒน์
“......”
เอกวัฒน์นิ่งเงียบ ไม่พูดจาใดๆ ภายในใจเขาไม่ได้รู้สึกเศร้า หรือเสียใจที่ภรรยาของเขาป่วยอาการหนัก
ภายในใจและร่างกายของเขาตอนนี้กลับรุ่มร้อนไปด้วยไฟปรารถนา
เขาอยากสัมผัสหญิงสาวตรงหน้า อยากเล่นรักกับเธอ
เขาพยายามข่มอารมณ์และความรู้สึก เพราะมันไม่ควรเกิดขึ้นที่นี่ ตอนนี้
แต่ดูเหมือนว่า ความพยายามของเขาจะไร้ผล เพราะมือแสนสวยของชัญญากำลังสัมผัสไปตามร่างกายของเขา
“อ๊ะ”
ชัญญาอุทานเบาๆ เมื่อเอกวัฒน์ดึงตัวเธอเข้าไปจูบอย่างดุดัน เร่าร้อน ชัญญาไม่ได้ต่อต้าน เธอตอบรับจูบของเขาอย่างดื่มด่ำ มือของพวกเขาโอบกอดกันแน่น
เอกวัฒน์ดันตัวชัญญาไปติดกับผนังห้องน้ำ ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกัน เสียงจูบดังไปทั่วห้องน้ำ
เอกวัฒน์ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเธอออก เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่ม เขาก้มลงจูบหน้าอกของเธอ มือของเขาลูบไล้ร่างกายของเธอ เขาปลุกเร้าเธอจนเธอรู้สึกตื่นเต้น
“อ๊า..นายขา” ชัญญาครางออกมาด้วยความสุข
“เบาๆ สิ” เอกวัฒน์ขบติ่งหูของเธอเบาๆ
“อื๊อ..ไม่..ไหว.ค่ะ.” ชัญญากระซิบตอบด้วยเสียงกระเส่า
“หึ” เอกวัฒน์คลี่ยิ้มอย่างพอใจ
เอกวัฒน์อุ้มชัญญาขึ้นไปวางบนอ่างล้างหน้า เขาดันตัวเองเข้าไปที่ร่างกายเธอ โดยที่กระโปรงสั้นของชัญญาไม่ได้หลุดออกจากตัวด้วยซ้ำ
ชัญญารู้สึกตื่นเต้นถึงขั้นสุด การแอบมีอะไรกับเอกวัฒน์ในห้องน้ำที่ภรรยาของเขานอนป่วยอยู่ ทำให้ชัญญาตื่นเต้นเป็นทวีคูณ เธอกำลังจะปลดปล่อยความสุขออกมา
“ยัง..ยังก่อน..” เสียงของเอกวัฒน์ดังงึมงำ
“นายขา...”
เอกวัฒน์ไม่สนใจเสียงร้องของชัญญา ตอนนี้เขาหน้ามืดตามัวหลงเสน่ห์ของชัญญาเต็มที่
เอกวัฒน์เริ่มเล่นรักกับเธออย่างร้อนแรง และเร่าร้อน
ชัญญาหอบ เธอหายใจไม่ทันกับบทรักร้อนแรง เธอกัดไปที่ไหล่ของเอกวัฒน์เพื่อไม่ให้กรีดร้องออกมา
เธอปลดปล่อยความสุขออกมานับครั้งไม่ถ้วน
เอกวัฒน์ยิ้มอย่างพอใจ
พวกเขารักกันอย่างเร่าร้อน ไฟปรารถนาที่เอกวัฒน์เก็บไว้ได้บรรเลงกับชัญญาจนในที่สุดทั้งคู่ก็ปลดปล่อยความสุขออกมา
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านใบไม้หนาแน่นของสวนสาธารณะ ก้องเกียรติกำลังเดินเคียงข้างญาณวดีตรงไปยังโรงพยาบาลจิตเวช
เมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน ก้องเกียรติกลับมาก็พบนวลพรรณนอนสลบไม่ได้สติอยู่ในห้องนอน เขารีบนำภรรยาของเขาส่งโรงพบาบาลทันที แต่ดูเหมือนว่า อาการของเธอไม่ดีขึ้น
ครั้งล่าสุดที่ก้องเกียรติพบหมอผู้ดูแล คุณหมอบอกว่า นวลพรรณมีอาการหึงหวงผิดปกติ คิดมาก วิตกกังวล มักจินตนาการไปเองว่า คนอื่นกำลังคบชู้กับสามีของเธอ ที่สำคัญ เธอมีอาการหูแว่วได้ยินเสียงประหลาด มองเห็นภาพหลอนผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา อารมณ์แปรปรวน และมีความคิดหวาดระแวง ซึ่งเป็นอาการของโรคจิตประเภทหนึ่ง
คุณหมอได้บอกเขาว่า ต้องส่งตัวเธอเข้าโรงพยาบาทจิตเวช เพื่อรักษาอาการของเธอ
ก้องเกียรติไม่รู้จะปรึกษาใคร คนที่เขาสามารถพูดคุยได้มีเพียงญาณวดีคนเดียว
ปลายทางที่พวกเขากำลังจะเดินไปถึงคือโรงพยาบาลจิตเวช หรือเรียกง่ายๆ ว่าโรงพยาบาลบ้า
นวลพรรณถูกกักขังอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล
กลิ่นยาฆ่าเชื้อ โชยมาแตะจมูก บรรยากาศรอบตัวดูอึดอัด ก้องเกียรติกับญาณวดีมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปภายใน
ทันทีที่พวกเขาเข้าไป ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่จ้องมองพวกเขาอยู่ ผู้ป่วยจิตเวชหลายคนยืนอยู่ตามมุมห้อง
บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ บางคนก็จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ก้องเกียรติกับญาณวดีรู้สึกขนลุกซู่ แต่พวกเขาก็พยายามใจเย็น ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังห้องผู้ป่วยของนวลพรรณ
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าห้อง เป็นจังหวะที่พยาบาลวัยกลางคนเปิดประตูออกมา
“มาหาใครคะ?”
“มาหานวลพรรณค่ะ” ญาณวดีตอบ
“คุณนวลพรรณอยู่ด้านโน้นค่ะ”
ก้องเกียรติกับญาณวดีเดินเข้าไปในห้อง นวลพรรณนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอดูผอมลงมาก ดวงตาของเธอหมองคล้ำ เธอไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่มองก้องเกียรติกับญาณวดีด้วยสายตาว่างเปล่า
ก้องเกียรติรู้สึกใจสลาย เขาไม่เคยเห็นภรรยาในภาพนี้มาก่อน
“นวล จำพวกเราได้ไหม?” ก้องเอ่ยถาม
นวลพรรณไม่ตอบอะไร กลับมองพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนเดิม
“นวล....” ก้องเกียรติกำลังจะจับตัวภรรยาของเขา
“ม่ายย อย่าเข้ามา ไปให้พ้น” นวลพรรณกรีดร้องเสียงดัง
“คุณคะ ออกห่างจากคนไข้ด้วยค่ะ” พยาบาลคนเดิมรีบเข้ามาพาตัวนวลพรรณออกจากตรงนั้น
“ทำไมนวลถึงเป็นแบบนี้ไปได้” ก้องเกียรติมีสีหน้าเศร้าหมอง
“ไม่เป็นไรนะคะ ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างคุณเอง” ญาณวดีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและโอบกอดก้องเกียรติไว้
“ขอบคุณนะ ผมนี่โชคดีจริงๆ ที่ยังมีคุณ” ก้องเกียรติยิ้มออกมา
ญาณวดีแอบยิ้มออกมาอย่างสะใจ
ก้องเกียรติไม่มีวันรู้ว่า ต้นเหตุที่ทำให้นวลพรรณเป็นแบบนี้ ก็คือ ญาณวดี
รอยยิ้มที่หายไปณ บ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นของธีรเทพและกานต์รวี ช่วงเวลายามเย็นหลังเลิกงาน แสงแดดที่สาดส่องเข้าไปทำให้บ้านดูสวยงามเป็นอย่างมากธีรเทพเพิ่งเลิกงานกลับมา เขาเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ภายในบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหราและทันสมัยธีรเทพมองไปรอบๆ บ้านที่เต็มไปด้วยงานศิลปะและการตกแต่งภายในที่เขาเป็นผู้ดูแล เมื่อก่อนเขารู้สึกว่ามันช่างให้ความอบอุ่น และทำให้เขาอยากกลับบ้านเร็วๆ แต่วันนี้กลับไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้เลย“รวี อยู่ไหนครับ?”เสียงเรียกของเขาดังไปทั่วบ้าน แต่ไม่มีการตอบกลับ ธีรเทพถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เขาพบว่ากานต์รวีกำลังจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ๊ค แสงจอคอมพิวเตอร์สว่างส่องหน้าเธอขณะที่เธอพิมพ์อะไรบางอย่างอย่างรีบเร่ง“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”“อื๊อ ก็เหมือนเดิมล่ะค่ะ” กานต์รวีเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากของสามีที่กำลังจะหอมแก้มเธอ ทำให้เขาชะงักไปธีรเทพเดินไปนั่งลงข้างๆ เธอ พยายามดึงความสนใจของเธอ“เราควรใช้เวลาด้วยกันหน่อยมั้ย? ไปทานข้าวข้างนอกกับผมนะ” ธีรเทพแตะแขนเธอกานต์รวีหยุดพิมพ์ชั่วครู่ แต่ยังคงไม่ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค
รอยจูบในความทรงจำยามบ่ายวันศุกร์ใกล้เลิกงาน ณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่งของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่อยู่ในตึกของบริษัท Vivid บรรยากาศในร้านสงบเงียบ เสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ ลอยคลออยู่ในอากาศ ข้างๆ เธอ กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดใหม่ทำให้บรรยากาศยิ่งอบอุ่นยิ่งขึ้น แต่จิตใจของณัฐรินีย์กลับไม่ได้สงบตามไปด้วยเธอนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางคิดถึงธีรเทพ หัวใจของเธอเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงเขา ภาพของเขาที่นั่งรอเธอทำมาม่าให้ทาน ภาพของรอยยิ้มที่อบอุ่น และสายตาที่มองเธอด้วยความห่วงใยยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอณัฐรินีย์คิดถึงวันที่ธีรเทพเข้ามาในชีวิตของเธอ โดยไม่ทันได้คาดคิด ความใกล้ชิดและการพูดคุยที่เป็นธรรมชาติทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หายไปนาน ความรู้สึกที่เคยเก็บซ่อนไว้กลับมาปรากฏชัดในใจอีกครั้ง(ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้นะ?ทั้งๆ ที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เราควรจะตัดใจสิ...แต่มันยากเหลือเกิน)ณัฐรินีย์คิดในใจ พลางถอนหายใจเบา ๆเธอรู้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่หัวใจของเธอกลับไม่ยอมฟังเหตุผล ความคิดถึงและความรู้สึกหวั่นไหวที่เธอมีต่อธีรเทพทำให้เธอต้องต่อสู้กับตัวเองในทุกๆ วันณัฐรินีย์เ
สัญญาณอันตรายบ่งบอกกฤตินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวภายในหอสมุด แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและเหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าเขาเปิดตำราเก่าแก่ที่บันทึกเรื่องราวของคุณไสยและเวทมนตร์ขาว แต่จู่ ๆ ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา“เฮ้ เจ้ารู้สึกมั้ย?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งจู่ๆ ก็โผล่มาด้านหลัง“อื้อ” กฤตินปิดหนังสือทันที“แหม พอเป็นเรื่องของยัยเด็กนั่น เจ้ารีบร้อนทุกทีเลยนะ” เด็กหนุ่มค่อนแคะ“หนวกหูน่า โซระ”กฤตินลุกขึ้นและเดินออกจากหอสมุดไปทันทีภายในร้านอาหารไทยสไตล์ทันสมัยที่ตั้งอยู่ใกล้ออฟฟิศอาคิราและณัฐรินีย์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง แสงแดดยามเย็นที่ตกกระทบผ่านกระจกทำให้ภายในร้านดูอบอุ่นและเงียบสงบ คนในร้านไม่พลุกพล่านมากนัก ทำให้บรรยากาศเป็นใจสำหรับบทสนทนาที่เคร่งเครียดและสำคัญอาคิราและณัฐรินีย์นั่งตรงข้ามกัน อาหารบนโต๊ะถูกจัดเรียงอย่างน่าทาน แต่ทั้งสองคนแทบไม่ได้แตะต้อง มีเพียงถ้วยชาที่ถูกหยิบขึ้นมาจิบเป็นระยะๆอาคิรานำขวดยาเสน่ห์ที่ได้มาจากญาณวดียื่นให้ณัฐรินีย์ดู“นี่แหล่ะ ยาเสน่ห์แน่นอน”“เธอแน่ใจได้ยังไง?” ณัฐรินีย์มอง
ราตรีที่หน้าคอนโดภายในร้านอาหารไทยสไตล์ ณัฐรินีย์นั่งตัวลีบ หน้าจ๋อยอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มหล่อมาดนักธุรกิจ ที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบสบายๆ แต่ใบหน้าหล่อกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียด“นี่คุณ...ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้” ธีรเทพกุมขมับ“ขโมยของคนอื่น มันผิดกฎหมายนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“แค่ขวดน้ำมันน่ะ วดีคงไม่รู้เรื่องหรอก”“ยังจะพูดอีกนะ” ธีรเทพเสียงเข้ม“.......” ณัฐรินีย์สงบปากสงบคำทันที“ว่าแต่ คุณกับอาคิราเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอ?” ธีรเทพถอนใจ สายตาที่มองดูณัฐรินีย์เริ่มอ่อนลง“อื้อ ไอเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษน่ะ” ณัฐรินีย์พยักหน้าหงึกๆ และเผลอหลุดปากออกมา“ยังไง?”“แหงะ มะ มะ ไม่มีอะไร” ณัฐรินีย์ตกใจนึกขึ้นได้ รีบปฏิเสธทันควัน“บอกมา” ธีรเทพคาดคั้น“คือ...ถ้าฉันเล่าแล้ว คุณจะไม่บอกใครใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์กระพริบตาท่าทางลังเล“อื้อ”“คุณจะไม่หัวเราะใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์ถามย้ำ สายตาจริงจัง“อื้อ” ธีรเทพพยักหน้า แอบยกมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม“ไอ มีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นวิญญาณได้” ณัฐรินีย์สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา“คุณ
คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตคืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับราตรีแห่งความสูญเสียงานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วันภา
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานของพ่อ ฉันนั่งขดตัวอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ กำลังวาดรูปอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ดินสอสีหลากสีเรียงรายอยู่ข้างกายฉันชอบมาที่นี่ที่สุดแล้ว ห้องทำงานของพ่อเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบา ทำให้ฉันรู้สึกสงบและผ่อนคลาย“ณัฐรินีย์ลูก มาดูสิ พ่อทำอะไรให้ดู” เสียงพ่อดังขึ้นจากด้านหลังฉันรีบหันไปมอง พ่อกำลังวาดภาพร่างชุดเดรสลายดอกไม้สวยงาม ฉันตื่นเต้นมาก รีบวิ่งไปดูใกล้ๆ“สวยจังค่ะพ่อ” ฉันพูดพลางชี้ไปที่ภาพร่าง“พ่อว่าลูกวาดสวยกว่าพ่ออีกนะ” พ่อชมฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริพ่อมักจะชมเชยผลงานของฉันเสมอ และให้คำแนะนำต่างๆ นานา ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันชอบเวลาที่ได้อยู่กับพ่อ พ่อจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องราวในวัยเด็กของพ่อ เรื่องราวของการออกแบบ และเรื่องราวเกี่ยวกับแม่แม่... ฉันแทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าแม่สวยมาก และรักฉันมาก ฉันเคยถามพ่อว่าแม่ไปไหน พ่อจะตอบว่าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว และแม่กำลังดูแลฉันอยู่เสมอ คำตอบของพ่อทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจในวันหนึ่ง"ณัฐ พ่อมีเรื่องอยากจะเล่าให้ลูกฟังนะ" พ่อขอ
เด็กสาวผู้ลึกลับที่มากับหญิงสาวสวยงามสง่าทุกครั้งที่ฉันมาห้องสมุด ฉันมักจะเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิมเสมอ เด็กสาวคนนั้นมีความงามแบบธรรมชาติ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มักจะปล่อยสยาย ไว้หน้าม้าบางๆ ปกปิดดวงตาคู่งามที่ดูลึกล้ำ ผิวขาวเนียนของเธอตัดกับผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดูงดงามอย่างไม่มีที่ติฉันชอบแอบมองเธอจากมุมที่เธอไม่เห็น เธอเป็นคนอ่านหนังสือเก่งมาก ฉันเห็นเธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบ่อยครั้ง ฉันอยากรู้จังว่าเธออ่านหนังสือเกี่ยวกับอะไรนะวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า เด็กสาวคนนั้นคงรู้ตัวว่าฉันกำลังแอบมองเธออยู่วันนั้นเป็นวันที่แดดจ้ามาก ฉันมานั่งที่โต๊ะประจำเหมือนเช่นเคย และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผมยาวสีขาวที่สวยงาม ราวกับเส้นไหมที่สะท้อนแสงไฟในห้องสมุด ดวงตาของเธอถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำ ริมฝีปากสีแดงสดที่ดูโดด เธอสวมชุดสีดำที่ดูงดงามและสง่า การแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและความลึกลับในตัวขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกัน หญิงสาวคนนั้นก็กระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวคนนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นหัน
วางแผนงานเลี้ยงเปิดตัวณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประชุมของบริษัท จิบกาแฟจากถ้วยใบโปรด ดวงตาของเธอจับจ้องที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค พลางพิมพ์รายละเอียดของการเตรียมงานเลี้ยงสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทไปด้วยอาคิราและณัฐรินีย์เพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในงานเลี้ยงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ค่อนข้างใหญ่โต มีการเชิญแขกคนสำคัญจากบริษัทที่เป็นคู่ค้า รวมไปถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศไทย“เป็นไงบ้าง ณัฐ?” อาคิราเปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะลงฝั่งตรงข้าม“เกือบจะเสร็จละ แต่ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่” ณัฐรินีย์ตอบพร้อมกับส่งเอกสารให้เพื่อนดู“งานเลี้ยงครั้งนี้ดูสำคัญมากเลยแฮะ”“อื้อ เราต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้” ณัฐรินีย์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ณัฐรินีย์แสดงแผนผังการจัดงานเลี้ยงที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค มีแผนที่ของสถานที่จัดงน การจัดวางโต๊ะต่างๆ“เราน่าจะต้องเริ่มจากการเตรียมพื้นที่และตกแต่งสถานที่ให้ดูหรูหราและน่าประทับใจ....จากนั้นก็....”ทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้นและตั้งใจ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องทำให้งานเลี้ยงเปิดต