“แอลซ่า” เจมส์เอ่ยชื่อเธอเบา ๆ ราวกับกลั่นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจแต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความปรารถนาแอลซ่าหันกลับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก ดวงตาที่เป็นประกายของเธอจับจ้องเขา ราวกับรอฟังคำพูดต่อไป“ผมชอบคุณนะ แอลซ่า” เจมส์พูดออกมาแต่เสียงนั้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นก่อนที่เธอจะตอบอะไร ริมฝีปากของเขาก็บดเบียดเข้ากับริมฝีปากบางของเธออย่างดูดดื่ม ความอ่อนโยนและความร้อนแรงผสมผสานกันในจุมพิตนั้น แอลซ่าหลับตาลง มือเลื่อนขึ้นมาวางบนบ่าของเจมส์ ก่อนจะดึงเขาเข้ามาใกล้ เธอดันลิ้นอุ่นแลกรสให้เจมส์ได้สัมผัสราวกับการตอบรับว่า เธอ ชอบเขาด้วยเช่นกันแอลซ่าค่อย ๆ เลื่อนมืออีกข้างไปจับแขนของเขา ดึงร่างเจมส์เคลื่อนเข้ามาในบ้าน เสียงประตู ปิดลง ปัง!แสงไฟจากโคมไฟหน้ารถ ส่องลอดเข้าผ่านม่านให้เห็นเพียงเงาลางๆแอลซ่าเลื่อนนิ้วเรียวปลดกระดุมเสื้อที่รัดให้ผ่อนคลายเผยเนินอกทีเต่งตูมในบราลูกไม้สีแดงนันย์ตาที่เร่าร้อนแห่งไฟราคะราวจะเขมือบชายหนุ่มที่ยืนสองขาอยู่เบื้องหน้า หัวใจของเจมส์เต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก เมื่อนิ้วเรียวไถลเคลื่อนต่ำลูบท่อนเอ็นขึ้นลง เขาไม่เคยสัมผัส อารมณ์ความร้อนแรงแบบนี้ท่อนรักของเจมส์จา
ในห้องที่เงียบสงัด อิมิลี่ก้าวออกมาจากห้องอาบพร้อมผ้าขนหนูพันกาย เส้นผมชุ่ม หยดน้ำไหลลู่ลงมาปลายเส้นผมราวกับสายฝนที่เกาะปลายใบหญ้า ในมือของเธอถือนิตยสารเพลย์บอยของเจมส์ไว้ สายตาที่มองมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจโดยไม่ปิดบัง เธอยกมันขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโยนลงไปในถังขยะที่ตั้งอยู่มุมห้อง เสียงกระดาษกระทบกับถังโลหะ ดัง แกรก !เบาๆ แต่กลับดังก้องสะท้อนในห้องอันเงียบงันเธอหายใจออกแรงๆ คล้ายพยายามระบายความหงุดหงิด แล้วก้าวตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์มือถือไว้ เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น“ตริ้ง ตริ้ง ตริ้ง…” อิมิลี่หยิบมือถือขึ้นมาดู เบอร์แปลกตาปรากฏบนหน้าจอ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกดรับสาย“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ“หนูแอนค่ะ น้องสาวซ่าร่า… พี่อิมิลี่ใช่ไหมคะ?” น้ำเสียงของเด็กสาวสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยความเร่งรีบ“ซ่าร่าอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ค่ะ! เธอถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวเมื่อคืนก่อน ยังไม่ได้สติเลยค่ะ พี่จะมาเยี่ยมเธอได้ไหม?”คำพูดนั้นทำให้อิมิลี่รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย“ว่าไงนะ ซ่าร่า...” เธอพึมพำกับตัวเอง แต่รีบรว
หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมซาร่าที่โรงพยาบาล อีมิลี่ก็เดินทางมายังงร้านภาพ The Brushstroke ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้ภายนอกร้านจะดูอบอุ่นด้วยแสงไฟสีทองที่ส่องออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่ แต่สำหรับเธอ มันแทบไม่อาจทำให้ความรู้สึกหนักในใจนั้นเบาบางลง มือเรียวของเธอผลักประตูไม้เก่าที่แฝงเสน่ห์อย่างมีศิลป์ สียงกระดิ่งเล็ก ๆ บนประตูดังขึ้นเบา ๆ คล้ายจะต้อนรับการมาถึงของเธอ เมื่อเธอก้าวเข้ามาในร้าน หัวใจเธอเหมือนหยุดเต้นชั่วขณะ เมื่อสายตาแรกจับจ้องไปที่ผู้หญิงสวมชุดผ้าไหมสีน้ำทะเลช่างเปล่งออร่าอันสง่างามเกินเอื้อม พลางเอ่ยชื่อเบาๆในลำคอ “คุณหญิง อลิซซาเบธ”ชุดผ้าไหมทีหรูหราที่ท่านผู้หญิงสวมนั้น เนื้อผ้าเรียบลื่นจับจีบอย่างประณีต ผมของเธอถูกจัดแต่งอย่างไร้ที่ติเธอยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางร้าน ทว่าดวงตาคมกริบกลับจ้องไปที่อิมิลี่เพียงผู้เดียว สายตานั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและมั่นใจ สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของผู้หญิงที่รู้ในสิ่งที่ต้องการและไม่ลังเลที่จะเรียกร้องมันอิมิลี่รู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านในอากาศ การปรากฏตัวของคุณหญิงอลิซาเบธไม่ได้เปลี่ยนเพียงบรรยากาศในร้าน แต่ยังเหมือนเป็นสัญญาณว่า มีบางส
ที่หน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใน หัวหินบ่ายนี้อากาศอบอ้าวจนเหงื่อไหลซึมตามใบหน้า แต่ความร้อนกลับไม่ได้มาจากอุณหภูมิของอากาศ แต่เพราะกลุ่มลูกบ้านนับร้อยที่ยืนถือป้ายประท้วงแน่นขนัด สร้างแรงกดดันและพลังแห่งความไม่พอใจที่แผ่ซ่านไปทั่วหน้าอาคารกระจกสูงเสียงโห่ร้องและคำพูดเรียกร้องดังก้องบริเวณ"คืนเงินพวกเรามา!" “แสดงความรับผิดชอบ!”ลูคัส ชายหนุ่มวัย 35 ปี ยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มผู้ชุมนุม เขาสวมเสื้อลายสก็อตที่พอดีกับร่างกายแข็งแรงและกางเกงยีนสีซีดที่บ่งบอกถึงความเรียบง่ายในแบบของเขา ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ฉายแววเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ เขาคือหัวเรี่ยวหัวแรงของกลุ่มผู้ประท้วง และทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาราวกับรอคำพูดที่จะปลุกเร้าพลังลูคัสยกเอกสารในมือขึ้นเหนือศีรษะ ท่าทางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะเปล่งเสียงพูดที่ดังกังวาน"พวกเราจะไม่ยอมให้พวกเขาเลื่อนอีกต่อไป!"น้ำเสียงของเขาหนักแน่นจนทำให้เสียงของฝูงชนเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนเงี่ยหูฟังคำพูดของเขาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง"เราเดือดร้อนกันมากพอแล้ว ค่าเสียหายนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พวกเขาต้องรับผิดชอบ!"เสียงปรบมือและโห่ร้อ
17.45 PM.ที่ร้านภาพ The Brushstrokeภายในร้านที่เงียบสงบ อิมิลี่ก้มมองนาฬิกาข้อมือของเธอ เวลานัดกับเลโอกำลังใกล้เข้ามา เธอถอนหายใจเบาๆ พลางพยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนจะหยิบกระจกขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อเช็กใบหน้าอย่างรวดเร็วเธอจัดปอยผมที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่ ไล้มือปรับเสื้อผ้าและเสื้อคลุมให้เรียบร้อย จนมั่นใจในภาพลักษณ์ของตัวเอง เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนหมุนตัวแหวกม่านหลังร้านออกมา ก้าวเดินเป็นจังหวะ เสียงรองเท้าส้นเตี้ยกระทบพื้นดังเบาๆ แล้วหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์“ไม่ต้องล็อกร้านนะคะ เดี๋ยวพี่กลับมาทำงานต่อ” อิมิลี่พูดกับพนักงานสาวที่ยืนอยู่ด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นกันเอง“และถ้าถึงเวลากลับ ก็ออกไปได้เลยค่ะ แค่นำป้ายปิดติดไว้หน้าประตูก็พอ” เธอพูดพลางยิ้มอ่อนโยน ส่งผ่านความใส่ใจพนักงานสาวพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม “ได้ค่ะ คุณอิมิลี่”อิมิลี่ยิ้มตอบ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้าน เสียงระฆังเล็กๆ บนประตูดังขึ้นแผ่วเบาขณะที่เธอก้าวออกไป ท่ามกลางแสงไฟพลบค่ำที่ส่องประกายอ่อนๆ ทั่วถนน ลมเย็นพัดผ่านตัวเธอเบาๆ ทำให้เธอกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศเงียบสงบของพลบค่ำ เธอเดินต่
คอนโดหรูใจกลางเมืองตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงสีแห่งค่ำคืน ลิฟท์แก้วโปร่งใสค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปอย่างนุ่มนวล อิมิลี่เงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์ที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา หัวใจเต้นเบาๆ กับความงดงาม ภาพเมืองกรุงเทพฯ ที่เปล่งประกายด้วยแสงไฟจากตึกระฟ้าและแสงไฟสีส้มของท้องถนนด้านล่างที่พาดไปมาติ้ง ! ประตูลิฟท์เปิดออกสู่รูฟท็อป ลมเย็นจากที่สูงพัดสัมผัสใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน เธอก้าวออกมาพลางทอดสายตาไปรอบๆชื่นชมภาพเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความสูงและแสงไฟเมื่อมองจากมุมนี้ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนภาพในฝันเลโอที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เป็นไง ชอบไหมครับบนนี้” น้ำเสียงของเขาทำให้อิมิลี่เผลอยิ้มบางๆ ก่อนตอบว่า “บรรยากาศดีมากค่ะ” เธอพูดด้วยสายตาเป็นประกาย บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบพอที่จะได้ยินเสียงลมและหัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ อิมิลี่หันมามองเลโอด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณนะคะ ที่อยู่เป็นเพื่อนในค่ำนี้” น้ำเสียงของเธอนั้นราวกลั่นออกมาจากความรู้สึกที่จริงใจ เลโอยกยิ้มมุมปาก พลางพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยินดีครับ” คำพูดที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นด้วยความหมายบนรูฟท็อบที่เต็มไปด้วย
เช้าตรู่ในห้องประชุมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ หัวหิน บรรยากาศตึงเครียดจากปัญหาที่กำลังเผชิญ เสียง "โป๊ะ" ของหนังสือพิมพ์ที่ถูกวางลงบนโต๊ะประชุมด้วยความหงุดหงิดของผู้บริหารพลางชี้นิ้วไปที่หน้าหนังสือพิมพ์ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกร้าว “ผู้ชายคนนี้คือใคร?”บนหน้า1ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อดังปรากฏภาพของ ลูคัส ชายหนุ่มใบหน้า คมเข้ม “เขาคือหนึ่งในแกนนำผู้ประท้วงที่กำลังเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัท ครับ” เสียงของกรรมการบริษัทคนหนึ่งที่นั่งร่วมบนโต๊ะกล่าวขึ้น แต่ภาพนั้นไม่ได้หยุดแค่เขา สายตาของทุกคนในห้องประชุมกลับเหลือบไปมองอีกมุมของหน้าหนังสือพิมพ์ ภาพ แอลซ่า เลขาคนสนิทของเจ้าของบริษัท เธอกำลังคล้อง แขน ทนายเจมส์ไว้แน่น ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงในวงการกฎหมาย แต่สิ่งที่สะดุดตากว่านั้นคือการยืนใกล้ชิดกันอย่างน่าสงสัย หน้าอกของแอลซ่าดูเหมือนแทบจะแนบชิดกับแขนของเจมส์จนปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพนี้ต้องการสร้างกระแสอะไรบางอย่าง และเหนือภาพนั้นคือพาดหัวข่าวที่หนาและใหญ่จนแทบจะทะลุออกมาจากกระดาษ"ทนายชื่อดังควงอดีตนางแบบเพลย์บอย! เลขาสาวที่หันหลังให้วงการเพื่อเข้าสู่
อิมิลี่รีบจัดแจงตัวเองด้วยความร้อนรน ความคิดในหัววิ่งพล่านดั่งเปลวไฟที่โหมกระพือ แม้เธอจะปิดประตูห้องของเลโออย่างแผ่วเบา แต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่อาจสงบลงได้ เมื่อออกจากห้อง เธอเร่งฝีเท้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความกังวลพุ่งทะยานทุกย่างก้าวจนกระทั่งถึงหน้าร้าน The Brushstrokeภาพตรงหน้าสร้างความตื่นตระหนกในทันที ประตูร้านที่ควรจะปิดกลับเปิดกว้างอย่างผิดปกติ ความเงียบแปลกประหลาดที่แทรกตัวแทนเสียงกระดิ่งต้อนรับที่มักดังเป็นประจำลิน หญิงสาวที่เพิ่งมาช่วยงานได้ไม่กี่วัน ยืนรออยู่ด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่ออิมิลี่ปรากฏตัว เธอก็รีบกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "ดิฉันเข้ามาทำงานตอนเวลาเปิดร้าน แต่พอถึงร้าน ประตูก็เปิดค้างไว้แบบนี้ค่ะ แล้วพอสำรวจข้าวของ ภาพบางภาพก็หายไปค่ะ" คำพูดของลินเหมือนน้ำหนักก้อนใหญ่ที่กระแทกลงในใจของอิมิลี่เธอยืนอึ้งในความตกใจ ใจของเธอเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น พลางกวาดสายตาไปรอบร้าน ภาพที่เคยประดับเรียงรายกลับหายไปในบางจุด บรรยากาศแห่งความสงบในร้านกลายเป็นความว่างเปล่าที่ชวนให้ใจหล่นวูบอิมิลี่ก้าวเข้าไปยังห้องหลังร้านด้วยหัวใจที่เต้นแรง ภาพบางภาพที่เคย
บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำของเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บรรยากาศดูเงียบขรึม แต่แฝงไปด้วยชั้นเชิงของบทสนทนาหลังจากเสร็จสิ้นคดีความในศาล พวกเขาได้รับเชิญมาทานอาหารที่บ้านของ เจ้าสัวชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเจมส์ นั่งนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะ ท่าทีสงบเสงี่ยม แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดจากปัญหาครอบครัว แต่เขายังคงเก็บซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน สีหน้าของเขาเรียบเฉย เหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมไม่มีสิ่งใดสื่อถึงความวุ่นวายในหัวใจเสียงพูดคุยดังแว่วไปทั่วโต๊ะอาหาร เสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ สลับกับเสียงแก้วไวน์ที่ถูกยกขึ้นชนกันเป็นครั้งคราว บรรยากาศโดยรอบดูผ่อนคลาย แต่หากสังเกตให้ดี ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยนัยแฝง"แอลซ่าเก่งมากจริงๆ""ถ้าไม่ได้เธอ คดีอาจไม่เป็นแบบนี้""ข้อมูลที่เธอหามาแนบเนียนจนอีกฝ่ายโต้แย้งไม่ออก สมแล้วที่เป็นคนของเจ้าสัว"เสียงชื่นชมดังขึ้นเป็นระยะจากผู้บริหารหลายคนที่ร่วมโต๊ะ ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะอาหารสุดหรูแอลซ่ารับฟังคำชื่นชมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน แววตาเปล่งประกายความพึงพอใจ เธ
ไฟนีออนสีขาวนวลส่องสะท้อนกระจกหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่ง รถกระบะสีดำคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลงอย่างรวดเร็ว ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ลูคัสเปิดประตูก้าวลงมา เท้าของเขาแตะลงบนพื้นด้วยจังหวะหนักแน่นไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่วุ่นวายลูคัสเดินเข้าร้านด้วยท่าทีเคยชิน ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่เขามาเยือนนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และอุปกรณ์ตกปลาคละคลุ้งในอากาศ เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่วเบา แต่ไม่มีใครในร้านหันมาสนใจ พนักงานหลังเคาน์เตอร์เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาสั้นๆ เป็นการทักทายที่ไม่ต้องใช้คำพูดลูคัสตอบรับด้วยการยกมุมปากเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเดินลึกเข้าไปในร้าน ฝ่าแถวเบ็ดตกปลาและกล่องเหยื่อล่อที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางสินค้าธรรมดาเหล่านี้ ซ่อนบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเอาไว้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ บานหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่สำหรับคนที่รู้...ที่นี่คือทางเข้าไปสู่ธุรกิจที่แท้จริงของเขาลูคัสเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ด้านหลังนั้น
หลังการพิจารณาคดีในศาล บรรยากาศหน้าอาคารยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวหลายสิบชีวิตกรูเข้ามา เสียงคำถามดังระงมราวกับฝนที่เทกระหน่ำ กล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้าหาเจมส์และแอลซ่า ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตู"คุณเจมส์ครับ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับคุณแอลซ่าเป็นความจริงหรือเปล่า?""ความคืบหน้าของคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่?"เจมส์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากวาดมองกลุ่มนักข่าวแล้วยกยิ้มมุมปาก อย่างใจเย็น แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา จากริมฝีปากของเจมส์ ดวงตาที่เรียบนิ่งของเขาเลื่อน มองแอลซ่า แวบหนึ่ง แล้วก้าวผ่านนักข่าวไปอย่างสุขุม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนให้ตั้งคำถาม..แอลซ่า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลุ่มนักข่าวที่พยายามซักถามเธออย่างดุดัน เจมส์เดินเคียงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ดีว่า ยิ่งพูดน้อย ยิ่งปลอดภัย ท่ามกลางความวุ่นวายที่รายล้อมทั้งสองก้าวตรงขึ้นรถตู้สีดำทึบที่ติดเครื่องอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของพวกเขาหนักแน่นและไร้ความลังเลเสียงประตูรถปิดดัง "ปัง" ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกทันที เจมส์นั่งนิ่ง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสงบจิตใจ ในข
แสงอ่อนของเช้าตรู่ ทอประกายบางเบาผ่านม่านโปร่งที่พลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับโลกยังคงหมุนไปอย่างสงบสุข ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นอิมิลี่ ยืนอยู่ที่ระเบียงไม้เก่า บ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ เสียงนกร้อง แว่วมาเป็นระยะ ผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งไกลๆ เกิดเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่ควรปลอบประโลมจิตใจแต่ในเวลานี้... มันกลับไม่ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ท่ามกลางยามเช้าที่ดูสดใส รอยฟกช้ำ บนแขนและไหล่กลับเป็นเครื่องเตือนถึงเหตุการณ์ที่เธอพยายามลืม แต่มันก็ฝังลึกอยู่ในความคิด ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความระแวง เธอขยับแขนเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันคลุมเครือดวงตาของอิมิลีเพ่งลงไปที่กระดาษใบเล็กในมือ กระดาษแผ่นเดียวที่อาจไขปริศนาของเหตุการณ์นั้นได้ มันมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกัน และอักษรย่อ "A" เขียนไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงินตรงมุมขวานิ้วมือของเธอสั่น ราวกับก้อนหินหนักๆ ที่กดทับไว้ ขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ตามที่ปรากฏบนกระดาษ แล้วหันมองไกลออกไป ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งเกินไปสำหรับเช้าที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปั่นป่วน อิมิลี่แนบโท
ยามเย็นริมทะเล แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองบนผืนน้ำ อิมิลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะพร้าวริมทางเดิน เธอกำลังวาดภาพลูกค้าสาวด้วยความตั้งใจ สายลมทะเลพัดผ่านเบา ๆ เส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองลูกค้าที่นั่งเป็นแบบอยู่ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ริมชายหาด มีหญิงร่างใหญ่สองคนในชุดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นมืออาชีพสายสืบหรือรับจ้างพิเศษ ปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สายตาของพวกจ้องไปที่อิมิลี่โดยไม่ละสายตา ใบหน้าของพวกเธอแข็งกร้าว ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ หนึ่งในนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางคุยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง "คิดว่า น่าจะเจอเธอแล้ว"หล่อนพูดเสียงเบา ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ฟังดูอันตราย "แค่… เบา ๆ ก็พอ อย่าให้เรื่องใหญ่" หญิงที่โทรรายงาน เมื่อวางสายลง ดวงตาของเธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างแน่วแน่ ภาพถ่ายของอิมิลี่ ปรากฏเด่นชัดบนจอ ราวกับถูกดึงตรงมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ เธอหรี่ตามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตากับเพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแต่หนักแน่น "คนนี้แห
รถสปอร์ตคันหรูแล่นไปตามถนน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มต่ำอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ช่วยให้ความคิดในหัวของเจมส์สงบลงเลยสักนิด มือขวาของเขาจับพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วซีด ราวกับพยายามควบคุมบางอย่างที่กำลังหลุดลอยไปอีกมือหนึ่งพิมพ์ข้อความสั้น ๆ “ขอโทษ” ส่งถึง อิมิลี่ คำเพียงคำเดียว สั้น กระชับ แต่หนักแน่นในความรู้สึก ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้แม้ข้อความจะถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกผิดกลับไม่ได้ลดน้อยลง ความคิดของเขาวิ่งวนไม่หยุด ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำราวกับฟิล์มเก่าที่ฉายซ้ำ เขาอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน แต่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า บนถนนทอดยาวตรงไปสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางนั้นคล้ายกับถนนสู่คำตอบที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าความเงียบภายในรถยิ่งขยายเสียงความคิดในหัวให้ดังก้องมากขึ้น ทุกความรู้สึกผิดถูกสะท้อนกลับมาจนชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเจมส์รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง แม้เขาจะรู้ดีว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หัวหิน แต่ปลายทางของชีวิตเขากลับพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบที่บดบัง
เสียงเครื่องยนต์เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงบเมื่อรถทัวร์จอดนิ่งสนิทเทียบชานชาลา อิมิลี่ก้าวลงจากรถ นิ้วเรียวปรับสายกระเป๋าสะพายบ่าให้แน่นขึ้น เป็นการกระชับสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นคงในเวลานี้ สายตาของเธอกวาดมองโดยรอบ ..ภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนเดิม... “ทุกอย่างเปลี่ยนไป..." เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการย้ำเตือนให้ตัวเธอเองยอมรับความจริงนี้ให้ได้เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความเจริญ ร้านค้าและคาเฟ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถนนกว้างขึ้น รถราวิ่งขวักไขว่ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ ไม่มีใครจำเธอได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน..กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกังวานเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูร้านของชำเล็กๆ ริมถนนเพื่อแวะซื้อของเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังบ้านที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า จะเหมือนเดิมไหม แต่ที่นี่ ที่ดูจะหลงเหลือความเก่าแก่ไว้ท่ามกลางเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ชั้นวางไม้เรียงรายด้วยขวดแยมสัปปะรดโฮมเมดและขนมอบต่างๆ กลิ่นขนมปังอบอ่อนๆ กับเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงวัยเด็ก อิมิลี่กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ ทันใด
บรรยากาศภายในคอนโดหรูเงียบสงัดเกินกว่าที่เคยเป็น เสียงฝีเท้าของอิมิลี่ที่ก้าวออกไปยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเจมส์ ที่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังกับความรู้สึกผิดหนักหน่วงราวกับก้อนหินบดขยี้หัวใจจนป่นปี้ ดวงตาของเขา หยุดมอง ภาพแต่งงาน บนโต๊ะกระจก รูปถ่ายที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของคำสัญญา และความฝันที่พวกเขาเคยวาดไว้ร่วมกัน บัดนี้ มันกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตที่กำลังหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา..เขาจ้องมันนิ่ง น้ำตาคลอเต็มหน่วยตา สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น ร่างพิงกับผนังเย็นเฉียบ ราวกับว่ามันดูดกลืน ความอบอุ่นทั้งหมดออกจากร่างกายของเขาไป“เธอไปแล้ว… และเธอคงไม่กลับมาอีก” ในสมองของเขายังวนอยู่กับคำนี้ซ้ำๆ แต่ในระหว่างนี้เสียงมือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเป็นระยะๆ แสงจากหน้าจอกระพริบเป็นจังหวะ ข้อความจากแอลซ่า ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้แต่เขากลับ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเพราะสิ่งที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขาคือคำพูดสุดท้ายของอิมิลี่"พอกันที เจมส์"เสียงของเธอหนักแน่น เด็ดขาด และเย็นชาเกินกว่าที่เขาจะหาเหตุผลใดๆ
"ตึง... ตึง... ตึง..."เสียงระฆังโบสถ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงการจากลาอย่างเป็นทางการ ภายในโบสถ์อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แสงเทียนที่ถูกจุดเรียงรายให้ความสว่างเรืองรอง แต่กลับมิอาจขับไล่ความหม่นหมองที่ปกคลุมหัวใจของผู้ร่วมงานได้กลิ่นกำยานลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงสวดมนต์แผ่วเบา ทุกสายตามองไปทางเดียวกันยังโลงศพที่วางอยู่กลางโบสถ์ มันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่ตอนนี้... กลับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าและความอาลัยอิมิลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เธอเงยหน้ามองแท่นพิธี ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับปะทุขึ้นมาไม่หยุดในมือถือดอกลิลลี่สีขาวไว้แน่น แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวานในความเงียบ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพ ค่อยๆ วางดอกไม้ลงข้างๆ ด้วยมือที่สั่นไหว"ลาก่อนนะ ซาร่า..." เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ราวกับหวังว่าลมจะพัดพาคำพูดนี้ไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่เธอไม่มีวันก้าวไปถึง………….เมื่อพิธีสิ้นสุดลง แขกเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ ท่ามกลางเสียงกระซิบ