อิมิลี่รีบจัดแจงตัวเองด้วยความร้อนรน ความคิดในหัววิ่งพล่านดั่งเปลวไฟที่โหมกระพือ แม้เธอจะปิดประตูห้องของเลโออย่างแผ่วเบา แต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่อาจสงบลงได้ เมื่อออกจากห้อง เธอเร่งฝีเท้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความกังวลพุ่งทะยานทุกย่างก้าวจนกระทั่งถึงหน้าร้าน The Brushstrokeภาพตรงหน้าสร้างความตื่นตระหนกในทันที ประตูร้านที่ควรจะปิดกลับเปิดกว้างอย่างผิดปกติ ความเงียบแปลกประหลาดที่แทรกตัวแทนเสียงกระดิ่งต้อนรับที่มักดังเป็นประจำลิน หญิงสาวที่เพิ่งมาช่วยงานได้ไม่กี่วัน ยืนรออยู่ด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่ออิมิลี่ปรากฏตัว เธอก็รีบกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "ดิฉันเข้ามาทำงานตอนเวลาเปิดร้าน แต่พอถึงร้าน ประตูก็เปิดค้างไว้แบบนี้ค่ะ แล้วพอสำรวจข้าวของ ภาพบางภาพก็หายไปค่ะ" คำพูดของลินเหมือนน้ำหนักก้อนใหญ่ที่กระแทกลงในใจของอิมิลี่เธอยืนอึ้งในความตกใจ ใจของเธอเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น พลางกวาดสายตาไปรอบร้าน ภาพที่เคยประดับเรียงรายกลับหายไปในบางจุด บรรยากาศแห่งความสงบในร้านกลายเป็นความว่างเปล่าที่ชวนให้ใจหล่นวูบอิมิลี่ก้าวเข้าไปยังห้องหลังร้านด้วยหัวใจที่เต้นแรง ภาพบางภาพที่เคย
อิมิลี่นิ่งค้างอยู่ในความเงียบ ราวกับเวลาในโลกของเธอหยุดลง มือของเธอกำโทรศัพท์แน่นจนแทบสั่น ขณะที่สายตาจ้องภาพบนหน้าจอในแอปเมสเซนเจอร์อย่างไม่ละสายตาหัวใจเธอเหมือนถูกบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก ภาพของเจมส์ ผู้เป็นสามีของเธอ ยืนใกล้ชิดกับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างสนิทสนม และใบหน้าของหญิงคนนั้นดูคุ้นตายิ่งนัก แต่ความสับสนทำให้เธอยังไม่สามารถเรียบเรียงความคิดออกมาได้ ว่า “หล่อนคือใคร”คำถามในแชตที่เพื่อน ๆ ส่งมา เป็นเหมือนคมมีดที่แทงซ้ำในจิตใจของเธอ"จริงไหม อิมิลี่?"“หล่อนเป็นใคร อิมิลี่?”ตัวอักษรเหล่านั้นก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา ความโกรธและความอับอายที่ราวกับพายุลูกใหญ่เคลื่อนด้วยความเร็วสูงซัดเข้าหา ไม่มีคำอธิบาย ไร้ซึ่งคำตอบ ในความเงียบและความอึดอัดรอบตัวกัดกินเธอ แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ว่า เธอจะต้องรู้ความจริงจากปากของเจมส์ เธอเลื่อนนิ้วอย่างหนักแน่น กดเบอร์โทรหาเขา ขณะเสียงหัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา ความรู้สึกของเธอสับสนอย่างท่วมท้น แต่เธอต้องการคำตอบ และต้องรู้ว่า ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นตรู๊ด ตรู๊ด... เสียงเรียกเข้าจากอิมิลี่ดังก้องในความเงียบในรถสปอร์ตคันหรู เจมส์ไม่ได้ยินเสียง
คืนที่มืดมิดปกคลุมทั่วทั้งคอนโดชั้นสูงใจกลางเมืองใหญ่ แสงไฟจากตึกระฟ้าและถนนที่ไม่เคยหลับใหลด้านล่างส่องประกายระยิบระยับเป็นเส้นสาย แต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นและเวิ้งว้างสำหรับอิมิลี่ ภายในห้องที่เงียบสงัด อิมิลี่นั่งพิงหัวเตียง มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟเล็กบนโต๊ะข้างเตียงที่สาดแสงอ่อนโยน ทิ้งเงาจางๆ ไว้บนผนัง ราวกับสะท้อนถึงความรู้สึกอ้างว้างในใจเธอเธอกอดเข่าตัวเองไว้แน่น ท่าทางที่ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปในจิตใจกลับเต็มไปด้วย ความคิดวนเวียนเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูฝนที่ไม่หยุดพัก สายตาของเธอมองออกไปยังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ที่ภายนอกนั้น เมืองทั้งเมืองดูมีชีวิตชีวาและการเคลื่อนไหวเบื้องล่างเต็มไปด้วยความคึกคักแต่สำหรับเธอ จากความสูงลิบนี้ ทุกอย่างกลับดูเหมือนฉากไกลโพ้น ราวกับว่าเธอถูกตัดขาดจากทุกสิ่ง อยู่เพียงลำพังในความเงียบอันหนาวเหน็บที่ล้อมรอบ รู้สึกเหมือนกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ.. เธอพยายามข่มตาหลับมาแล้วหลายชั่วโมง แต่ยิ่งพยายาม ความกังวลและความสับสนในใจก็ยิ่งตื่นตัว หัวใจของเธอเต้นแรง รัวเร็ว ไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกที่ไม่อาจระงับได้โอบล้อมเธอไว้ในยามค่ำคืนเสียงนาฬิกาที
ยามสายของวันที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีเทาหม่น บรรยากาศรอบตัวของอิมิลี่ชวนให้อึดอัดราวสะท้อนความรู้สึกภายในจิตใจของเธอ อิมิลี่ก้าวออกจากคอนโดด้วยใบหน้าหมองคล้ำ แววตาเหนื่อยล้าจากค่ำคืนที่เธอนั้นแทบไม่ได้นอนเลยเสียงเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปมาบนท้องถนนประสานเข้ากับเสียงบีบแตรที่ดังระงม กลิ่นควันดำจากท่อไอเสียที่ลอยฟุ้งยิ่งทำให้ ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเธอดูยุ่งเหยิงและสับสนเกินกว่าที่จะรับไหว เมืองที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเชื่อว่าเป็น "สวรรค์" บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นกรงขังที่บีบคั้นหัวใจ เธอรู้สึกราวกับติดอยู่ในโลกที่ไม่เหลือพื้นที่หายใจอิมิลี่ขยับสายกระเป๋าสะพายแน่นขึ้น ก้มหน้าก้าวเท้ายาวราวกับต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายรอบตัว ความรู้สึกที่ปั่นป่วนในใจทำให้เธอไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองสิ่งใดอีกต่อไป สิ่งที่เธอคิดมีเพียงอย่างเดียว คือการไปถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุดแม้หัวใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เธอก็รู้ดีว่าภารกิจในวันนี้สำคัญยิ่งนัก การเยี่ยมซาร่าและการหาทางช่วยเหลือเธอคือสิ่งที่เธอจะต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะต้องผ่านอุปสรรคอะไรก็ตาม……………………………………………อิมิลี่เร่งฝีเท้าตรงมายังห้องพักฟื้นอย
ท้องฟ้ายามบ่ายอึมครึม ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบราวกับคลุมทุกสิ่งบนเนินเขา บริเวณจุดชมวิวพักรถระหว่างทาง ลูคัสและเลโอ สองพี่น้องยืนอยู่เงียบๆ สายตาทอดลงไปยังหมู่บ้านด้านล่างที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง เศษอิฐ เศษหลังคาที่แตกหักกระจัดกระจายบ่งบอกถึงความเสียหายที่พายุครั้งใหญ่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ฝากไว้ ไม่เพียงทำลายตัวอาคาร แต่ยังพัดพาความหวังและความฝันของผู้คนไปด้วยทุกสิ่งรอบตัวเหมือนหยุดนิ่ง แต่ในใจของพวกเขากลับพลุ่งพล่าน ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกเริ่มตีตื้นขึ้นพร้อมความทรงจำที่ไม่เคยจาง เสียงลมที่พัดผ่าน คล้ายเสียงกระซิบจากอดีตที่คอยเตือนถึงสิ่งที่ไม่มีวันย้อนคืน"เวลาผ่านไปเร็วมาก... นี่ก็สิบกว่าปีแล้วนะ ตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น"เลโอเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา พลางมองลูคัสด้วยสายตาที่สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ฉันพี่น้อง แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความเศร้าและคำถามลึกซึ้ง ราวกับต้องการคำตอบเพื่อช่วยปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์ที่ยืดเยื้อลูคัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งกายและใจ ดวงตาของเขามองตรงไปยังซากหมู่บ้านที่ครั้งหนึ่งเค
บรรยากาศในบ้านของแอลซ่าเงียบสงัดหลังเหตุการณ์ไล่ล่าที่บีบให้ทั้งคู่ต้องหนีเอาชีวิตรอด เจมส์ยังคงหัวเสียและไม่อาจปล่อยวางสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาเดินออกไปที่ระเบียงริมสระน้ำด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาจ้องไปยังผิวน้ำที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นประกายริบหรี่แอลซ่ามองตามหลังของเจมส์ ที่เดินออกไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ เธอรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดและความว้าวุ่นในตัวเขาเพราะเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกันมากนัก ความกลัวและความกดดันยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ แต่เธอก็รู้ว่าในเวลานี้ สิ่งที่เธอควรทำไม่ใช่การถามคำถามหรือพูดปลอบโยน เธอก้าวเข้าไปใกล้เจมส์อย่างเงียบๆ แล้วยกแขนโอบกอดเขาจากด้านหลังอย่างแผ่วเบาราวกับต้องการส่งผ่านความอุ่นใจและกำลังใจทั้งหมดให้เขา เจมส์รู้สึกถึงสัมผัสนั้น เขาถอนหายใจยาว ราวกับได้ปลดปล่อยความหนักในใจลงชั่วครู่…เขาค่อยๆ เอื้อมไปแตะแขนของเธอที่โอบอยู่รอบ แล้วหมุนตัวเข้าหาเธอ เจมส์ขยับตัวเข้าชิด มองลึกลงไปในดวงตาของแอลซ่า ราวกับค้นหาความมั่นใจบางอย่าง ก่อนที่เขาจะขยับริมฝีปากแตะลงบนริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวลแอลซ่าหลับตาลงปล่อยให้ช่วงเวลานั้นพัดผ่านไปช้าๆ เธอไม่พูดอะไร
อิมิลี่ก้าวออกจากคาเฟ่ด้วยสีหน้าที่ดูสงบนิ่งแต่ภายในใจกลับปั่นป่วนราวกับพายุ คำพูดของคุณหญิงยังคงดังก้องในหัวของเธอ ความหมายที่ซ่อนเร้นในถ้อยคำนั้นเหมือนกำลังเรียกร้องให้เธอหาคำตอบ แม้จะยังไม่รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไรสายลมเย็นยามค่ำ ปะทะเข้ากับผิวหน้าและเส้นผม แต่กลับไม่ได้ช่วยบรรเทาความรู้สึกร้อนรุ่มที่อยู่ในใจของเธอได้เลย เธอยก สองมือกอดตัวเองเบา ๆ ราวกับหวังว่าท่าทางเล็ก ๆ นี้จะช่วยปลอบประโลมตัวเอง แสงจากเสาไฟข้างถนนทอดยาวเป็นเงาบาง ๆอิมิลี่ยืนอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าคือแผ่นป้ายสี่เหลี่ยมที่มีคำว่า "ปิด" แขวนอยู่หน้าประตูร้าน The Brushstroke ดวงตาของเธอจ้องมองด้วยแววตาแห่งความอาลัย ความเศร้าปะปนกับความหวนหา มันคือคำลาที่เธอไม่อยากจะยอมรับหรือเอ่ยออกมาเธอปล่อยให้ความคิดของตัวเองล่องลอยไป ภาพในอดีตผุดขึ้นมาทีละฉากเหมือนม้วนฟิล์มที่กำลังฉายซ้ำในหัวของเธอ ความทรงจำแรกเริ่มจากวันที่เธอก้าวเข้ามาในร้านนี้ยังคงชัดเจน เสียงหัวเราะเบา ๆ กลิ่นอายของสี และความสุขเล็ก ๆ ที่เคยหล่อเลี้ยงหัวใจในวันวาน ตอนนั้น The Brushstroke เป็นเหมือนโลกใบเล็กที่หล่อเลี้ยงความฝันของเธอ เป็นที่ที่เธอเคยรู้สึกอบอุ่
"ตึง... ตึง... ตึง..."เสียงระฆังโบสถ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงการจากลาอย่างเป็นทางการ ภายในโบสถ์อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แสงเทียนที่ถูกจุดเรียงรายให้ความสว่างเรืองรอง แต่กลับมิอาจขับไล่ความหม่นหมองที่ปกคลุมหัวใจของผู้ร่วมงานได้กลิ่นกำยานลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงสวดมนต์แผ่วเบา ทุกสายตามองไปทางเดียวกันยังโลงศพที่วางอยู่กลางโบสถ์ มันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่ตอนนี้... กลับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าและความอาลัยอิมิลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เธอเงยหน้ามองแท่นพิธี ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับปะทุขึ้นมาไม่หยุดในมือถือดอกลิลลี่สีขาวไว้แน่น แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวานในความเงียบ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพ ค่อยๆ วางดอกไม้ลงข้างๆ ด้วยมือที่สั่นไหว"ลาก่อนนะ ซาร่า..." เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ราวกับหวังว่าลมจะพัดพาคำพูดนี้ไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่เธอไม่มีวันก้าวไปถึง………….เมื่อพิธีสิ้นสุดลง แขกเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ ท่ามกลางเสียงกระซิบ
แม้ในใจของเจมส์จะยังคงพร่ำบอกให้ตัวเองมีความหวัง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับอิมิลี่อีกครั้งและยอมรับบุตรในครรภ์ แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีหวังเลยสักนิด เพราะสายตาของเธอที่มองเขาในวันนี้นั้น...ช่างว่างเปล่าและเย็นชาเกินกว่าจะหวนคืนได้ แต่ถึงกระนั้น ความค้างคาใจในบางเรื่องก็ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้ เท้าของเจมส์ยังคงกดลงบนคันเร่ง เส้นทางข้างหน้าเลือนรางในม่านหมอก แต่ในอกของเขากลับร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงมือที่กุมพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย แม้เขาจะพยายามทำให้ตัวเองสงบที่สุด แต่หัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่ยอมเชื่อฟังทันทีที่รถจอดเทียบ ฟ้ายังไม่ทันสางดี เจมส์ก้าวลงจากรถอย่างเร่งร้อน เขาเดินไปยืนหน้าประตูบ้านด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ปลายนิ้วจิ้มกริ่งด้วยแรงที่มากกว่าปกติติ๊ง...ต๊อง... ติ่งต้อง...เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วบ้าน ความเงียบงันแผ่ปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงฝีเท้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังขึ้นคลิก...ประตูแง้มเปิดออก เผยให้เห็นแอลซ่าในชุดนอนยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอปรือปรอยด้วยอาการสะลึมสะลือ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเจมส์ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเจมส์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาแทรกตัวผ่านประตูอ
เจมส์จ้องลูคัสเขม็ง ดวงตาแดงก่ำราวเปลวเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งรอบตัว ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนลูคัสสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ“มึงจะเอายังไง?” เสียงของเจมส์แข็งกร้าว ราวกับจะท้าทายให้สถานการณ์ลุกลามลูคัสขบกรามแน่น ก่อนจะตัดสินใจผลักเจมส์ออกไปเต็มแรง ร่างนั้นเซถลาไปด้านหลัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว เจมส์ก็กระโจนกลับมาพร้อมหมัดที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของลูคัสเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ริมฝีปากของลูคัสแตกเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขายกหลังมือปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพุ่งสวนกลับด้วยหมัดอัดเข้าชายคางเจมส์อย่างจังเสียงร่างกระแทกพื้นดังสนั่น เจมส์นอนแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะดันร่างขึ้นอีกครั้ง"หยุดเถอะ! พอได้แล้ว!" อิมิลี่ร้องเสียงสั่นพลางถลันเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดหวั่นแต่เจมส์กลับไม่ฟัง เขาปัดมืออิมิลี่ออกอย่างแรงจนเธอเซถอยไป ราวกับแรงโกรธนั้นกำลังแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาจนมอดไหม้ ร่างเขาสั่นสะท้านเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ภายใน เขาเดินโซเซไปที่รถ กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน“เจมส์ ได้โปรด…” อิมิลี่อ้อนวอนเส
อิมิลี่ก้าวออกจากงานเลี้ยงพร้อมลูคัส สายลมยามค่ำคืนพัดวูบเข้ามาปะทะผิวกาย ความเย็นเยือกแทรกซึมจนเธอเผลอยกแขนกอดตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัวลูคัสเหลือบมองเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ริมฝีปากจะปิดสนิทไม่เอ่ยคำใด แต่ท่าทางของเขากลับสื่อความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เขาเลื่อนมือถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณค่ะ...” อิมิลี่พูดเสียงแผ่ว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็พอให้ลูคัสรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆแม้บ้านของอิมิลี่จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ลูคัสก็ยืนยันจะไปส่งให้ถึงที่พักอย่างปลอดภัยแต่ตลอดทางกลับบ้าน ภายในรถเงียบสนิทราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วเบา อิมิลี่นั่งนิ่ง ดวงตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ทว่าสิ่งที่ไหลวนอยู่ในความคิดของเธอกลับวุ่นวายเสียจนไม่อาจหาจุดพักภาพของเลโอผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาของเขาในวันนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความลึกลับ — แตกต่างจากวันแรกที่เธอเคยพบเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคนความคิดวกกลับไปถึงเรื่องการหย่าร้างกับเจมส์ การฟ้องร้องที่กำลังจะ
บรรยากาศในห้องครัวอึดอัดเสียจนเหมือนอากาศรอบตัวหนาหนักขึ้นทุกขณะ อิมิลี่ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก แต่แววตากลับฟ้องชัดถึงความกระอักกระอ่วนที่เอ่อล้นออกมาความเงียบที่ปกคลุมถูกทำลายลงเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากทางเดิน"อิมิลี่..."เธอหันไปตามเสียง ลูคัสปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเขามองข้ามเธอไปยังเลโอ ก่อนจะตวัดกลับมามองเธออีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยกระวนกระวายที่ปิดไม่มิดลูคัสละสายตากลับมาที่เลโออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองอิมิลี่ใหม่ สายตาของเขาไล่สลับไปมาระหว่างทั้งสองคนช้า ๆ ราวกับกับพยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่าน "เออ อิมิลี่..." ในที่สุดลูคัสจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามจะทำให้บรรยากาศคลี่คลาย"นี่คือเลโอ... น้องชายผม"คำพูดนั้นทำให้ คิ้วของอิมิลี่ขยับชิดกันแน่น"น้องชาย?" เธอทวนคำเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววงุนงง"ใช่..." ลูคัสพยักหน้าเบา ๆ "เราจากกันตั้งแต่เลโออายุแค่สามขวบ เขาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ... เพื่อรักษาตัว"เพื่อรักษาตัว...หัวใจของอิมิลี่กระตุกวูบขึ้นมาทันที ราวกับคำพูด
อิมิลี่ก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างช้า ๆ ปล่อยให้เสียงประตูปิดลงตามหลัง ราวกับเป็นสัญญาณว่าทางเลือกของเธอได้ถูกตัดสินไปแล้ว "ปัง"เสียงของประตูนั้นช่างหนักแน่นกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีอาจเป็นเพราะหัวใจของเธอที่เต้นแรงจนทุกอย่างรอบตัวดูชัดเจนเกินไปเธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุดติดอยู่กลางอก ดวงตาจ้องไปยังบ้านสีขาวหลังเดิม บ้านที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเธอ — โลกที่อบอวลด้วยเสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่โอบล้อมเธอไว้เสมอแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เคยให้ความรู้สึกเชื้อเชิญและปลอดภัย ทว่าวันนี้กลับดูห่างเหินจนแปลกตา เสียงพูดคุยแว่วมาเบา ๆ ผสานไปกับเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามสายลม เสียงเหล่านั้นควรทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่กลับกลายเป็นเสียงที่ย้ำเตือนว่าเธอเป็นเพียงคนนอก — คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางภาพเงาตะคุ่มของผู้คนเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีชีวิตชีวา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเดินเข้าไปร่วมวงด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูราวกับกำลังดำเนินต่อไปโดยไม่มีเธอ... ในขณะที่เธอเองกลับยังติดอยู่กับความรู้สึกหนักอึ้งราวกับหินที่ถ่วงหัวใจสายตาของเธอหยุดลงที่ลูกโป่งสีพาสเทลที่ผูกประดับอ
ท้องฟ้ายามอัสดงเปล่งประกายด้วยสีส้มทอง ไล่เฉดสู่สีชมพูอมม่วงตัดกับขอบฟ้า ผืนทะเลกว้างใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับเกล็ดอัญมณีที่กระจัดกระจายทั่วพื้นน้ำอิมิลี่ยืนอยู่บนผืนทรายที่เย็นเฉียบ ปลายเท้าเปลือยเปล่าจมลงในเนื้อทรายนุ่มละเอียด สายลมพัดผ่านปลายผมของเธอเบา ๆ เส้นผมปลิวไหวตามแรงลม กลิ่นไอเค็มจากทะเลอบอวลอยู่ในอากาศ แทรกซึมเข้าไปในทุกลมหายใจเธอทอดสายตามองแสงสุดท้ายของวัน ดวงตาคู่นั้นฉายแววครุ่นคิด ความสับสนและบาดแผลในใจดูเหมือนจะเบาบางลงเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบเช่นนี้คลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายเสียงปลอบประโลมที่คอยกระซิบว่า... "เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้น"เธอค่อย ๆ หยิบนามบัตรจากกระเป๋าสะพายขึ้นมา พลิกดูเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ตัวเลขไว้อย่างชัดเจน หัวใจเธอเต้นระรัว ราวกับพยายามเตือนเธอว่าหลังจากการตัดสินใจนี้ จะไม่มีวันหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก นิ้วเรียวกดตัวเลขบนหน้าจอมือถือช้า ๆ ขณะที่เสียงคลื่นยังซัดสาดอยู่ไม่ขาดสายตรู๊ด... ตรู๊ด...“สวัสดีครับ ผมทนายสมศักดิ์ครับ” เสียงปลายสายทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้น“สวัสดีค่ะฉันอิมิลี่ค่ะ ดิฉันอยากปรึกษา คือ... คือ
กริ๊ง...เสียงกระดิ่งเล็กๆ เหนือประตูดังขึ้นเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูเข้าไปร้านของชำของป้ามาทาร์ กลิ่นขนมปังอบใหม่ลอยมากระทบจมูกทันที ตามมาด้วยกลิ่นแยมสับปะรสหอมหวานที่ยังคงอบอวลอยู่ทั่วร้าน ชวนให้หัวใจของอิมิลี่อบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้วันนี้ เธอจะก้าวเข้ามาพร้อมหัวใจที่แบกความหนักแน่นและการตัดสินใจครั้งสำคัญ แต่ร้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งนี้ ก็ยังเป็นพื้นที่ปลอบโยนหัวใจเธอได้เสมอ“สวัสดีจ้า อิมิลี่”เสียงอ่อนโยนของป้ามาทาร์ดังขึ้นทันทีจากหลังเคาน์เตอร์ รอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับบนใบหน้าของป้าเหมือนดั่งทุกครั้ง ทำให้หัวใจอิมิลี่สั่นไหวไปกับความทรงจำเก่าๆ“สบายดีไหมจ๊ะ ไม่เห็นมาหลายวันแล้วนะ”“สวัสดีค่ะป้ามาทาร์... สบายดีค่ะ” เธอตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ กลับไป แต่ดวงตากลับเผลอเลื่อนไปหยุดที่นิตยสารเล่มเดิมที่เป็นดั่งหอกทิ่มแทงใจ มันยังคงวางอยู่ตรงมุมเดิมใกล้เคาน์เตอร์ แม้มันจะถูกพิมพ์ออกมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ภาพนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งถูกพิมพ์ออกมาเมื่อวาน — ภาพของแอลซ่าและเจมส์เธอจ้องภาพนั้นนิ่งงัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ อิมิลี่รีบกระพริบตา ดึงสติของตัวเองกลับมาอย่
หลังจากอิมิลี่หมกตัวอยู่ในห้องอาบเป็นเวลาหลายชั่วโมง ปล่อยให้สายน้ำเย็นเฉียบไหลผ่านร่าง เปรียบเสมือนอ้อมกอดสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอหวังลึกๆ ว่า น้ำจะชะล้างทุกความเจ็บปวด ความเสียใจ และทุกความรู้สึกที่กัดกินหัวใจให้ค่อยๆ ไหลลงท่อไปพร้อมกับหยดน้ำผิวกายของเธอเย็นเฉียบ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา แต่ท่ามกลางความหม่นหมองนั้น กลับมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ความแน่วแน่ที่ฉายชัดในแววตาเธอก้าวออกจากห้องอาบ ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่เดินเข้าไป ผู้หญิงที่เคยก้มหน้าอดทน รับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกแทนที่ด้วยสายตาแข็งกร้าว และการตัดสินใจที่แน่วแน่จนไม่มีทางหวนกลับเพราะครั้งนี้ เธอจะเป็นฝ่ายเดินออกจากความเจ็บปวดด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการรอคอยให้ใครเป็นคนบอกว่าพอได้แล้ว แต่เธอจะเป็นฝ่ายประกาศจุดจบของมันด้วยน้ำเสียงของเธอเองความสัมพันธ์ของเธอกับเจมส์ จะต้องจบลงที่ตรงนี้ และครั้งนี้จะไม่มีการยื้อ ไม่มีการอ้อนวอน ไม่มีการยอมให้ใครทำร้ายหัวใจของเธอได้อีกเธอจะเป็นฝ่ายยื่นฟ้องหย่าเจมส์ และจะไม่มีวันยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไปเธอจ้องตัวเองอยู่หน้ากระจก มองลึกเข้าไปใ
"ติ๊ง" "ติ๊ง" เสียงข้อความมือถือดังถี่รัว.. ปลุกอิมิลี่ให้สะดุ้งตื่นจากความฝันอันว่างเปล่า เธอขยับตัวช้าๆ ดวงตาพร่ามัวกวาดมองไปรอบห้องที่เงียบงัน แล้วหยุดสายตาที่มือถือข้างเตียง เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างอ่อนล้า ดันตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ปล่อยให้ความเย็นของไม้เนื้อแข็งแทรกผ่านแผ่นหลัง มือเรียวเอื้อมไปหยิบมือถือขึ้นมา ทันทีที่ปลายนิ้วแตะหน้าจอ แสงไฟสว่างวาบขึ้นในความสลัวของเช้าตรู่ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัส แต่เพียงเสี้ยววินาที ภาพที่ปรากฏบนจอ ทำให้เธอตื่นเต็มตาในทันที ภาพนั้น… เจมส์ ผู้ชายที่เป็น สามีตามกฎหมาย ของเธอ นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงเดียวกับผู้หญิงอีกคน มือของเขาแนบอยู่บนผิวกายภาพกิจกรรมเร่าร้อนถูกบันทึกไว้ชัดเจน ตั้งแต่ปลายนิ้วที่ลากไล้ไปตามร่างกาย ริมฝีปากที่แนบจูบไปทั่วทุกจุด จนถึงเสียงครางกระสันที่ดังไม่ขาดสาย มันบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก กลายเป็นมีดที่กรีดลงกลางใจ ไม่มีพื้นที่ให้จินตนาการ ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้เธอหลอกตัวเอง เพราะทุกอย่างถูกส่งมาอย่างจงใจ ส่งมาเพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากความรักที่เธอเคยยึดมั่น อิมิลี่นิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ หัวใจเต