"ตึง... ตึง... ตึง..."เสียงระฆังโบสถ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงการจากลาอย่างเป็นทางการ ภายในโบสถ์อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แสงเทียนที่ถูกจุดเรียงรายให้ความสว่างเรืองรอง แต่กลับมิอาจขับไล่ความหม่นหมองที่ปกคลุมหัวใจของผู้ร่วมงานได้กลิ่นกำยานลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงสวดมนต์แผ่วเบา ทุกสายตามองไปทางเดียวกันยังโลงศพที่วางอยู่กลางโบสถ์ มันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่ตอนนี้... กลับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าและความอาลัยอิมิลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เธอเงยหน้ามองแท่นพิธี ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับปะทุขึ้นมาไม่หยุดในมือถือดอกลิลลี่สีขาวไว้แน่น แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวานในความเงียบ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพ ค่อยๆ วางดอกไม้ลงข้างๆ ด้วยมือที่สั่นไหว"ลาก่อนนะ ซาร่า..." เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ราวกับหวังว่าลมจะพัดพาคำพูดนี้ไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่เธอไม่มีวันก้าวไปถึง………….เมื่อพิธีสิ้นสุดลง แขกเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ ท่ามกลางเสียงกระซิบ
บรรยากาศภายในคอนโดหรูเงียบสงัดเกินกว่าที่เคยเป็น เสียงฝีเท้าของอิมิลี่ที่ก้าวออกไปยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเจมส์ ที่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังกับความรู้สึกผิดหนักหน่วงราวกับก้อนหินบดขยี้หัวใจจนป่นปี้ ดวงตาของเขา หยุดมอง ภาพแต่งงาน บนโต๊ะกระจก รูปถ่ายที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของคำสัญญา และความฝันที่พวกเขาเคยวาดไว้ร่วมกัน บัดนี้ มันกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตที่กำลังหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา..เขาจ้องมันนิ่ง น้ำตาคลอเต็มหน่วยตา สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น ร่างพิงกับผนังเย็นเฉียบ ราวกับว่ามันดูดกลืน ความอบอุ่นทั้งหมดออกจากร่างกายของเขาไป“เธอไปแล้ว… และเธอคงไม่กลับมาอีก” ในสมองของเขายังวนอยู่กับคำนี้ซ้ำๆ แต่ในระหว่างนี้เสียงมือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเป็นระยะๆ แสงจากหน้าจอกระพริบเป็นจังหวะ ข้อความจากแอลซ่า ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้แต่เขากลับ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเพราะสิ่งที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขาคือคำพูดสุดท้ายของอิมิลี่"พอกันที เจมส์"เสียงของเธอหนักแน่น เด็ดขาด และเย็นชาเกินกว่าที่เขาจะหาเหตุผลใดๆ
เสียงเครื่องยนต์เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงบเมื่อรถทัวร์จอดนิ่งสนิทเทียบชานชาลา อิมิลี่ก้าวลงจากรถ นิ้วเรียวปรับสายกระเป๋าสะพายบ่าให้แน่นขึ้น เป็นการกระชับสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นคงในเวลานี้ สายตาของเธอกวาดมองโดยรอบ ..ภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนเดิม... “ทุกอย่างเปลี่ยนไป..." เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการย้ำเตือนให้ตัวเธอเองยอมรับความจริงนี้ให้ได้เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความเจริญ ร้านค้าและคาเฟ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถนนกว้างขึ้น รถราวิ่งขวักไขว่ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ ไม่มีใครจำเธอได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน..กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกังวานเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูร้านของชำเล็กๆ ริมถนนเพื่อแวะซื้อของเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังบ้านที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า จะเหมือนเดิมไหม แต่ที่นี่ ที่ดูจะหลงเหลือความเก่าแก่ไว้ท่ามกลางเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ชั้นวางไม้เรียงรายด้วยขวดแยมสัปปะรดโฮมเมดและขนมอบต่างๆ กลิ่นขนมปังอบอ่อนๆ กับเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงวัยเด็ก อิมิลี่กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ ทันใด
รถสปอร์ตคันหรูแล่นไปตามถนน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มต่ำอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ช่วยให้ความคิดในหัวของเจมส์สงบลงเลยสักนิด มือขวาของเขาจับพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วซีด ราวกับพยายามควบคุมบางอย่างที่กำลังหลุดลอยไปอีกมือหนึ่งพิมพ์ข้อความสั้น ๆ “ขอโทษ” ส่งถึง อิมิลี่ คำเพียงคำเดียว สั้น กระชับ แต่หนักแน่นในความรู้สึก ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้แม้ข้อความจะถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกผิดกลับไม่ได้ลดน้อยลง ความคิดของเขาวิ่งวนไม่หยุด ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำราวกับฟิล์มเก่าที่ฉายซ้ำ เขาอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน แต่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า บนถนนทอดยาวตรงไปสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางนั้นคล้ายกับถนนสู่คำตอบที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าความเงียบภายในรถยิ่งขยายเสียงความคิดในหัวให้ดังก้องมากขึ้น ทุกความรู้สึกผิดถูกสะท้อนกลับมาจนชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเจมส์รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง แม้เขาจะรู้ดีว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หัวหิน แต่ปลายทางของชีวิตเขากลับพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบที่บดบัง
ยามเย็นริมทะเล แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองบนผืนน้ำ อิมิลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะพร้าวริมทางเดิน เธอกำลังวาดภาพลูกค้าสาวด้วยความตั้งใจ สายลมทะเลพัดผ่านเบา ๆ เส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองลูกค้าที่นั่งเป็นแบบอยู่ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ริมชายหาด มีหญิงร่างใหญ่สองคนในชุดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นมืออาชีพสายสืบหรือรับจ้างพิเศษ ปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สายตาของพวกจ้องไปที่อิมิลี่โดยไม่ละสายตา ใบหน้าของพวกเธอแข็งกร้าว ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ หนึ่งในนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางคุยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง "คิดว่า น่าจะเจอเธอแล้ว"หล่อนพูดเสียงเบา ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ฟังดูอันตราย "แค่… เบา ๆ ก็พอ อย่าให้เรื่องใหญ่" หญิงที่โทรรายงาน เมื่อวางสายลง ดวงตาของเธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างแน่วแน่ ภาพถ่ายของอิมิลี่ ปรากฏเด่นชัดบนจอ ราวกับถูกดึงตรงมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ เธอหรี่ตามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตากับเพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแต่หนักแน่น "คนนี้แห
แสงอ่อนของเช้าตรู่ ทอประกายบางเบาผ่านม่านโปร่งที่พลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับโลกยังคงหมุนไปอย่างสงบสุข ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นอิมิลี่ ยืนอยู่ที่ระเบียงไม้เก่า บ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ เสียงนกร้อง แว่วมาเป็นระยะ ผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งไกลๆ เกิดเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่ควรปลอบประโลมจิตใจแต่ในเวลานี้... มันกลับไม่ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ท่ามกลางยามเช้าที่ดูสดใส รอยฟกช้ำ บนแขนและไหล่กลับเป็นเครื่องเตือนถึงเหตุการณ์ที่เธอพยายามลืม แต่มันก็ฝังลึกอยู่ในความคิด ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความระแวง เธอขยับแขนเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันคลุมเครือดวงตาของอิมิลีเพ่งลงไปที่กระดาษใบเล็กในมือ กระดาษแผ่นเดียวที่อาจไขปริศนาของเหตุการณ์นั้นได้ มันมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกัน และอักษรย่อ "A" เขียนไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงินตรงมุมขวานิ้วมือของเธอสั่น ราวกับก้อนหินหนักๆ ที่กดทับไว้ ขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ตามที่ปรากฏบนกระดาษ แล้วหันมองไกลออกไป ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งเกินไปสำหรับเช้าที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปั่นป่วน อิมิลี่แนบโท
หลังการพิจารณาคดีในศาล บรรยากาศหน้าอาคารยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวหลายสิบชีวิตกรูเข้ามา เสียงคำถามดังระงมราวกับฝนที่เทกระหน่ำ กล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้าหาเจมส์และแอลซ่า ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตู"คุณเจมส์ครับ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับคุณแอลซ่าเป็นความจริงหรือเปล่า?""ความคืบหน้าของคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่?"เจมส์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากวาดมองกลุ่มนักข่าวแล้วยกยิ้มมุมปาก อย่างใจเย็น แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา จากริมฝีปากของเจมส์ ดวงตาที่เรียบนิ่งของเขาเลื่อน มองแอลซ่า แวบหนึ่ง แล้วก้าวผ่านนักข่าวไปอย่างสุขุม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนให้ตั้งคำถาม..แอลซ่า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลุ่มนักข่าวที่พยายามซักถามเธออย่างดุดัน เจมส์เดินเคียงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ดีว่า ยิ่งพูดน้อย ยิ่งปลอดภัย ท่ามกลางความวุ่นวายที่รายล้อมทั้งสองก้าวตรงขึ้นรถตู้สีดำทึบที่ติดเครื่องอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของพวกเขาหนักแน่นและไร้ความลังเลเสียงประตูรถปิดดัง "ปัง" ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกทันที เจมส์นั่งนิ่ง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสงบจิตใจ ในข
ไฟนีออนสีขาวนวลส่องสะท้อนกระจกหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่ง รถกระบะสีดำคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลงอย่างรวดเร็ว ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ลูคัสเปิดประตูก้าวลงมา เท้าของเขาแตะลงบนพื้นด้วยจังหวะหนักแน่นไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่วุ่นวายลูคัสเดินเข้าร้านด้วยท่าทีเคยชิน ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่เขามาเยือนนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และอุปกรณ์ตกปลาคละคลุ้งในอากาศ เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่วเบา แต่ไม่มีใครในร้านหันมาสนใจ พนักงานหลังเคาน์เตอร์เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาสั้นๆ เป็นการทักทายที่ไม่ต้องใช้คำพูดลูคัสตอบรับด้วยการยกมุมปากเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเดินลึกเข้าไปในร้าน ฝ่าแถวเบ็ดตกปลาและกล่องเหยื่อล่อที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางสินค้าธรรมดาเหล่านี้ ซ่อนบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเอาไว้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ บานหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่สำหรับคนที่รู้...ที่นี่คือทางเข้าไปสู่ธุรกิจที่แท้จริงของเขาลูคัสเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ด้านหลังนั้น
สายลมกรรโชกแรงพัดป้ายชื่อ สำนักงานทนายความสมศักดิ์ ให้สั่นไหวไปมา เสียงโลหะเสียดสีกันแผ่วเบา กลิ่นฝนฟุ้งกระจาย อากาศหนักอึ้งราวกับพายุที่กำลังใกล้เข้ามา เมฆครึ้มปกคลุมฟ้า สีเทาหม่นทาบทับบรรยากาศปอยผมบางเส้นปลิวตวัดผ่านแก้มของ อิมิลี่ แต่เธอแทบไม่ใส่ใจ ดวงตาสีเข้มจ้องเข็มนาฬิกาบนข้อมือที่ขยับเข้าใกล้ สิบโมง ทุกที แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง ทว่าภายในใจของเธอคล้ายมีพายุหมุนอยู่ตลอดเวลาเธอสูดลมหายใจลึก พยายามข่มอาการประหม่า… ทุกอย่างต้องจบในวันนี้มือเรียวเอื้อมไปผลักประตูกริ๊ง…เสียงกระดิ่งดังขึ้นแผ่วเบา ทว่าในความเงียบของสำนักงาน เสียงนั้นกลับดังก้องอยู่ในใจเธอ หัวใจของอิมิลี่เต้นกระหน่ำจนแทบจะได้ยินชัดเจนภายในสำนักงานนั้นเย็นเยียบ หญิงวัยกลางคนใบหน้าตึงเงยหน้าขึ้นทันทีที่เธอก้าวเข้ามา ไม่มีแววประหลาดใจในสายตา… ราวกับเธอถูกคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว“สวัสดีค่ะ ดิฉันอิมิลี่ นัดกับทนายไว้ตอนสิบโมง”เสียงของเธอมั่นคง แต่ฝ่ามือที่กำแน่นข้างลำตัวกลับเผยความสั่นไหวที่เธอพยายามเก็บงำสายตาของพนักงานนิ่งเฉียบ มองเธอราวกับกำลังมองทะลุผ่านทุกเกราะกำบัง ทุกบาดแผลที่เธอแบกรับไว้ ความเจ็บปวดที่ถูกซุกซ่อนไว้ใ
แม้ในใจของเจมส์จะยังคงพร่ำบอกให้ตัวเองมีความหวัง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับอิมิลี่อีกครั้งและยอมรับบุตรในครรภ์ แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีหวังเลยสักนิด เพราะสายตาของเธอที่มองเขาในวันนี้นั้น...ช่างว่างเปล่าและเย็นชาเกินกว่าจะหวนคืนได้ แต่ถึงกระนั้น ความค้างคาใจในบางเรื่องก็ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้ เท้าของเจมส์ยังคงกดลงบนคันเร่ง เส้นทางข้างหน้าเลือนรางในม่านหมอก แต่ในอกของเขากลับร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงมือที่กุมพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย แม้เขาจะพยายามทำให้ตัวเองสงบที่สุด แต่หัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่ยอมเชื่อฟังทันทีที่รถจอดเทียบ ฟ้ายังไม่ทันสางดี เจมส์ก้าวลงจากรถอย่างเร่งร้อน เขาเดินไปยืนหน้าประตูบ้านด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ปลายนิ้วจิ้มกริ่งด้วยแรงที่มากกว่าปกติติ๊ง...ต๊อง... ติ่งต้อง...เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วบ้าน ความเงียบงันแผ่ปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงฝีเท้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังขึ้นคลิก...ประตูแง้มเปิดออก เผยให้เห็นแอลซ่าในชุดนอนยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอปรือปรอยด้วยอาการสะลึมสะลือ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเจมส์ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเจมส์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาแทรกตัวผ่านประตูอ
เจมส์จ้องลูคัสเขม็ง ดวงตาแดงก่ำราวเปลวเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งรอบตัว ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนลูคัสสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ“มึงจะเอายังไง?” เสียงของเจมส์แข็งกร้าว ราวกับจะท้าทายให้สถานการณ์ลุกลามลูคัสขบกรามแน่น ก่อนจะตัดสินใจผลักเจมส์ออกไปเต็มแรง ร่างนั้นเซถลาไปด้านหลัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว เจมส์ก็กระโจนกลับมาพร้อมหมัดที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของลูคัสเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ริมฝีปากของลูคัสแตกเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขายกหลังมือปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพุ่งสวนกลับด้วยหมัดอัดเข้าชายคางเจมส์อย่างจังเสียงร่างกระแทกพื้นดังสนั่น เจมส์นอนแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะดันร่างขึ้นอีกครั้ง"หยุดเถอะ! พอได้แล้ว!" อิมิลี่ร้องเสียงสั่นพลางถลันเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดหวั่นแต่เจมส์กลับไม่ฟัง เขาปัดมืออิมิลี่ออกอย่างแรงจนเธอเซถอยไป ราวกับแรงโกรธนั้นกำลังแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาจนมอดไหม้ ร่างเขาสั่นสะท้านเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ภายใน เขาเดินโซเซไปที่รถ กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน“เจมส์ ได้โปรด…” อิมิลี่อ้อนวอนเส
อิมิลี่ก้าวออกจากงานเลี้ยงพร้อมลูคัส สายลมยามค่ำคืนพัดวูบเข้ามาปะทะผิวกาย ความเย็นเยือกแทรกซึมจนเธอเผลอยกแขนกอดตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัวลูคัสเหลือบมองเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ริมฝีปากจะปิดสนิทไม่เอ่ยคำใด แต่ท่าทางของเขากลับสื่อความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เขาเลื่อนมือถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณค่ะ...” อิมิลี่พูดเสียงแผ่ว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็พอให้ลูคัสรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆแม้บ้านของอิมิลี่จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ลูคัสก็ยืนยันจะไปส่งให้ถึงที่พักอย่างปลอดภัยแต่ตลอดทางกลับบ้าน ภายในรถเงียบสนิทราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วเบา อิมิลี่นั่งนิ่ง ดวงตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ทว่าสิ่งที่ไหลวนอยู่ในความคิดของเธอกลับวุ่นวายเสียจนไม่อาจหาจุดพักภาพของเลโอผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาของเขาในวันนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความลึกลับ — แตกต่างจากวันแรกที่เธอเคยพบเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคนความคิดวกกลับไปถึงเรื่องการหย่าร้างกับเจมส์ การฟ้องร้องที่กำลังจะ
บรรยากาศในห้องครัวอึดอัดเสียจนเหมือนอากาศรอบตัวหนาหนักขึ้นทุกขณะ อิมิลี่ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก แต่แววตากลับฟ้องชัดถึงความกระอักกระอ่วนที่เอ่อล้นออกมาความเงียบที่ปกคลุมถูกทำลายลงเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากทางเดิน"อิมิลี่..."เธอหันไปตามเสียง ลูคัสปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเขามองข้ามเธอไปยังเลโอ ก่อนจะตวัดกลับมามองเธออีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยกระวนกระวายที่ปิดไม่มิดลูคัสละสายตากลับมาที่เลโออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองอิมิลี่ใหม่ สายตาของเขาไล่สลับไปมาระหว่างทั้งสองคนช้า ๆ ราวกับกับพยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่าน "เออ อิมิลี่..." ในที่สุดลูคัสจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามจะทำให้บรรยากาศคลี่คลาย"นี่คือเลโอ... น้องชายผม"คำพูดนั้นทำให้ คิ้วของอิมิลี่ขยับชิดกันแน่น"น้องชาย?" เธอทวนคำเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววงุนงง"ใช่..." ลูคัสพยักหน้าเบา ๆ "เราจากกันตั้งแต่เลโออายุแค่สามขวบ เขาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ... เพื่อรักษาตัว"เพื่อรักษาตัว...หัวใจของอิมิลี่กระตุกวูบขึ้นมาทันที ราวกับคำพูด
อิมิลี่ก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างช้า ๆ ปล่อยให้เสียงประตูปิดลงตามหลัง ราวกับเป็นสัญญาณว่าทางเลือกของเธอได้ถูกตัดสินไปแล้ว "ปัง"เสียงของประตูนั้นช่างหนักแน่นกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีอาจเป็นเพราะหัวใจของเธอที่เต้นแรงจนทุกอย่างรอบตัวดูชัดเจนเกินไปเธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุดติดอยู่กลางอก ดวงตาจ้องไปยังบ้านสีขาวหลังเดิม บ้านที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเธอ — โลกที่อบอวลด้วยเสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่โอบล้อมเธอไว้เสมอแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เคยให้ความรู้สึกเชื้อเชิญและปลอดภัย ทว่าวันนี้กลับดูห่างเหินจนแปลกตา เสียงพูดคุยแว่วมาเบา ๆ ผสานไปกับเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามสายลม เสียงเหล่านั้นควรทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่กลับกลายเป็นเสียงที่ย้ำเตือนว่าเธอเป็นเพียงคนนอก — คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางภาพเงาตะคุ่มของผู้คนเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีชีวิตชีวา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเดินเข้าไปร่วมวงด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูราวกับกำลังดำเนินต่อไปโดยไม่มีเธอ... ในขณะที่เธอเองกลับยังติดอยู่กับความรู้สึกหนักอึ้งราวกับหินที่ถ่วงหัวใจสายตาของเธอหยุดลงที่ลูกโป่งสีพาสเทลที่ผูกประดับอ
ท้องฟ้ายามอัสดงเปล่งประกายด้วยสีส้มทอง ไล่เฉดสู่สีชมพูอมม่วงตัดกับขอบฟ้า ผืนทะเลกว้างใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับเกล็ดอัญมณีที่กระจัดกระจายทั่วพื้นน้ำอิมิลี่ยืนอยู่บนผืนทรายที่เย็นเฉียบ ปลายเท้าเปลือยเปล่าจมลงในเนื้อทรายนุ่มละเอียด สายลมพัดผ่านปลายผมของเธอเบา ๆ เส้นผมปลิวไหวตามแรงลม กลิ่นไอเค็มจากทะเลอบอวลอยู่ในอากาศ แทรกซึมเข้าไปในทุกลมหายใจเธอทอดสายตามองแสงสุดท้ายของวัน ดวงตาคู่นั้นฉายแววครุ่นคิด ความสับสนและบาดแผลในใจดูเหมือนจะเบาบางลงเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบเช่นนี้คลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายเสียงปลอบประโลมที่คอยกระซิบว่า... "เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้น"เธอค่อย ๆ หยิบนามบัตรจากกระเป๋าสะพายขึ้นมา พลิกดูเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ตัวเลขไว้อย่างชัดเจน หัวใจเธอเต้นระรัว ราวกับพยายามเตือนเธอว่าหลังจากการตัดสินใจนี้ จะไม่มีวันหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก นิ้วเรียวกดตัวเลขบนหน้าจอมือถือช้า ๆ ขณะที่เสียงคลื่นยังซัดสาดอยู่ไม่ขาดสายตรู๊ด... ตรู๊ด...“สวัสดีครับ ผมทนายสมศักดิ์ครับ” เสียงปลายสายทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้น“สวัสดีค่ะฉันอิมิลี่ค่ะ ดิฉันอยากปรึกษา คือ... คือ
กริ๊ง...เสียงกระดิ่งเล็กๆ เหนือประตูดังขึ้นเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูเข้าไปร้านของชำของป้ามาทาร์ กลิ่นขนมปังอบใหม่ลอยมากระทบจมูกทันที ตามมาด้วยกลิ่นแยมสับปะรสหอมหวานที่ยังคงอบอวลอยู่ทั่วร้าน ชวนให้หัวใจของอิมิลี่อบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้วันนี้ เธอจะก้าวเข้ามาพร้อมหัวใจที่แบกความหนักแน่นและการตัดสินใจครั้งสำคัญ แต่ร้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งนี้ ก็ยังเป็นพื้นที่ปลอบโยนหัวใจเธอได้เสมอ“สวัสดีจ้า อิมิลี่”เสียงอ่อนโยนของป้ามาทาร์ดังขึ้นทันทีจากหลังเคาน์เตอร์ รอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับบนใบหน้าของป้าเหมือนดั่งทุกครั้ง ทำให้หัวใจอิมิลี่สั่นไหวไปกับความทรงจำเก่าๆ“สบายดีไหมจ๊ะ ไม่เห็นมาหลายวันแล้วนะ”“สวัสดีค่ะป้ามาทาร์... สบายดีค่ะ” เธอตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ กลับไป แต่ดวงตากลับเผลอเลื่อนไปหยุดที่นิตยสารเล่มเดิมที่เป็นดั่งหอกทิ่มแทงใจ มันยังคงวางอยู่ตรงมุมเดิมใกล้เคาน์เตอร์ แม้มันจะถูกพิมพ์ออกมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ภาพนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งถูกพิมพ์ออกมาเมื่อวาน — ภาพของแอลซ่าและเจมส์เธอจ้องภาพนั้นนิ่งงัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ อิมิลี่รีบกระพริบตา ดึงสติของตัวเองกลับมาอย่
หลังจากอิมิลี่หมกตัวอยู่ในห้องอาบเป็นเวลาหลายชั่วโมง ปล่อยให้สายน้ำเย็นเฉียบไหลผ่านร่าง เปรียบเสมือนอ้อมกอดสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอหวังลึกๆ ว่า น้ำจะชะล้างทุกความเจ็บปวด ความเสียใจ และทุกความรู้สึกที่กัดกินหัวใจให้ค่อยๆ ไหลลงท่อไปพร้อมกับหยดน้ำผิวกายของเธอเย็นเฉียบ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา แต่ท่ามกลางความหม่นหมองนั้น กลับมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ความแน่วแน่ที่ฉายชัดในแววตาเธอก้าวออกจากห้องอาบ ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่เดินเข้าไป ผู้หญิงที่เคยก้มหน้าอดทน รับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกแทนที่ด้วยสายตาแข็งกร้าว และการตัดสินใจที่แน่วแน่จนไม่มีทางหวนกลับเพราะครั้งนี้ เธอจะเป็นฝ่ายเดินออกจากความเจ็บปวดด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการรอคอยให้ใครเป็นคนบอกว่าพอได้แล้ว แต่เธอจะเป็นฝ่ายประกาศจุดจบของมันด้วยน้ำเสียงของเธอเองความสัมพันธ์ของเธอกับเจมส์ จะต้องจบลงที่ตรงนี้ และครั้งนี้จะไม่มีการยื้อ ไม่มีการอ้อนวอน ไม่มีการยอมให้ใครทำร้ายหัวใจของเธอได้อีกเธอจะเป็นฝ่ายยื่นฟ้องหย่าเจมส์ และจะไม่มีวันยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไปเธอจ้องตัวเองอยู่หน้ากระจก มองลึกเข้าไปใ