เสียงเครื่องยนต์เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงบเมื่อรถทัวร์จอดนิ่งสนิทเทียบชานชาลา อิมิลี่ก้าวลงจากรถ นิ้วเรียวปรับสายกระเป๋าสะพายบ่าให้แน่นขึ้น เป็นการกระชับสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นคงในเวลานี้ สายตาของเธอกวาดมองโดยรอบ ..ภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนเดิม... “ทุกอย่างเปลี่ยนไป..." เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการย้ำเตือนให้ตัวเธอเองยอมรับความจริงนี้ให้ได้เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความเจริญ ร้านค้าและคาเฟ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถนนกว้างขึ้น รถราวิ่งขวักไขว่ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ ไม่มีใครจำเธอได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน..กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกังวานเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูร้านของชำเล็กๆ ริมถนนเพื่อแวะซื้อของเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังบ้านที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า จะเหมือนเดิมไหม แต่ที่นี่ ที่ดูจะหลงเหลือความเก่าแก่ไว้ท่ามกลางเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ชั้นวางไม้เรียงรายด้วยขวดแยมสัปปะรดโฮมเมดและขนมอบต่างๆ กลิ่นขนมปังอบอ่อนๆ กับเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงวัยเด็ก อิมิลี่กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ ทันใด
รถสปอร์ตคันหรูแล่นไปตามถนน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มต่ำอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ช่วยให้ความคิดในหัวของเจมส์สงบลงเลยสักนิด มือขวาของเขาจับพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วซีด ราวกับพยายามควบคุมบางอย่างที่กำลังหลุดลอยไปอีกมือหนึ่งพิมพ์ข้อความสั้น ๆ “ขอโทษ” ส่งถึง อิมิลี่ คำเพียงคำเดียว สั้น กระชับ แต่หนักแน่นในความรู้สึก ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้แม้ข้อความจะถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกผิดกลับไม่ได้ลดน้อยลง ความคิดของเขาวิ่งวนไม่หยุด ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำราวกับฟิล์มเก่าที่ฉายซ้ำ เขาอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน แต่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า บนถนนทอดยาวตรงไปสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางนั้นคล้ายกับถนนสู่คำตอบที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าความเงียบภายในรถยิ่งขยายเสียงความคิดในหัวให้ดังก้องมากขึ้น ทุกความรู้สึกผิดถูกสะท้อนกลับมาจนชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเจมส์รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง แม้เขาจะรู้ดีว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หัวหิน แต่ปลายทางของชีวิตเขากลับพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบที่บดบัง
ยามเย็นริมทะเล แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองบนผืนน้ำ อิมิลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะพร้าวริมทางเดิน เธอกำลังวาดภาพลูกค้าสาวด้วยความตั้งใจ สายลมทะเลพัดผ่านเบา ๆ เส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองลูกค้าที่นั่งเป็นแบบอยู่ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ริมชายหาด มีหญิงร่างใหญ่สองคนในชุดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นมืออาชีพสายสืบหรือรับจ้างพิเศษ ปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สายตาของพวกจ้องไปที่อิมิลี่โดยไม่ละสายตา ใบหน้าของพวกเธอแข็งกร้าว ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ หนึ่งในนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางคุยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง "คิดว่า น่าจะเจอเธอแล้ว"หล่อนพูดเสียงเบา ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ฟังดูอันตราย "แค่… เบา ๆ ก็พอ อย่าให้เรื่องใหญ่" หญิงที่โทรรายงาน เมื่อวางสายลง ดวงตาของเธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างแน่วแน่ ภาพถ่ายของอิมิลี่ ปรากฏเด่นชัดบนจอ ราวกับถูกดึงตรงมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ เธอหรี่ตามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตากับเพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแต่หนักแน่น "คนนี้แห
แสงอ่อนของเช้าตรู่ ทอประกายบางเบาผ่านม่านโปร่งที่พลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับโลกยังคงหมุนไปอย่างสงบสุข ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นอิมิลี่ ยืนอยู่ที่ระเบียงไม้เก่า บ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ เสียงนกร้อง แว่วมาเป็นระยะ ผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งไกลๆ เกิดเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่ควรปลอบประโลมจิตใจแต่ในเวลานี้... มันกลับไม่ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ท่ามกลางยามเช้าที่ดูสดใส รอยฟกช้ำ บนแขนและไหล่กลับเป็นเครื่องเตือนถึงเหตุการณ์ที่เธอพยายามลืม แต่มันก็ฝังลึกอยู่ในความคิด ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความระแวง เธอขยับแขนเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันคลุมเครือดวงตาของอิมิลีเพ่งลงไปที่กระดาษใบเล็กในมือ กระดาษแผ่นเดียวที่อาจไขปริศนาของเหตุการณ์นั้นได้ มันมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกัน และอักษรย่อ "A" เขียนไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงินตรงมุมขวานิ้วมือของเธอสั่น ราวกับก้อนหินหนักๆ ที่กดทับไว้ ขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ตามที่ปรากฏบนกระดาษ แล้วหันมองไกลออกไป ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งเกินไปสำหรับเช้าที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปั่นป่วน อิมิลี่แนบโท
หลังการพิจารณาคดีในศาล บรรยากาศหน้าอาคารยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวหลายสิบชีวิตกรูเข้ามา เสียงคำถามดังระงมราวกับฝนที่เทกระหน่ำ กล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้าหาเจมส์และแอลซ่า ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตู"คุณเจมส์ครับ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับคุณแอลซ่าเป็นความจริงหรือเปล่า?""ความคืบหน้าของคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่?"เจมส์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากวาดมองกลุ่มนักข่าวแล้วยกยิ้มมุมปาก อย่างใจเย็น แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา จากริมฝีปากของเจมส์ ดวงตาที่เรียบนิ่งของเขาเลื่อน มองแอลซ่า แวบหนึ่ง แล้วก้าวผ่านนักข่าวไปอย่างสุขุม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนให้ตั้งคำถาม..แอลซ่า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลุ่มนักข่าวที่พยายามซักถามเธออย่างดุดัน เจมส์เดินเคียงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ดีว่า ยิ่งพูดน้อย ยิ่งปลอดภัย ท่ามกลางความวุ่นวายที่รายล้อมทั้งสองก้าวตรงขึ้นรถตู้สีดำทึบที่ติดเครื่องอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของพวกเขาหนักแน่นและไร้ความลังเลเสียงประตูรถปิดดัง "ปัง" ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกทันที เจมส์นั่งนิ่ง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสงบจิตใจ ในข
ไฟนีออนสีขาวนวลส่องสะท้อนกระจกหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่ง รถกระบะสีดำคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลงอย่างรวดเร็ว ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ลูคัสเปิดประตูก้าวลงมา เท้าของเขาแตะลงบนพื้นด้วยจังหวะหนักแน่นไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่วุ่นวายลูคัสเดินเข้าร้านด้วยท่าทีเคยชิน ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่เขามาเยือนนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และอุปกรณ์ตกปลาคละคลุ้งในอากาศ เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่วเบา แต่ไม่มีใครในร้านหันมาสนใจ พนักงานหลังเคาน์เตอร์เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาสั้นๆ เป็นการทักทายที่ไม่ต้องใช้คำพูดลูคัสตอบรับด้วยการยกมุมปากเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเดินลึกเข้าไปในร้าน ฝ่าแถวเบ็ดตกปลาและกล่องเหยื่อล่อที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางสินค้าธรรมดาเหล่านี้ ซ่อนบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเอาไว้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ บานหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่สำหรับคนที่รู้...ที่นี่คือทางเข้าไปสู่ธุรกิจที่แท้จริงของเขาลูคัสเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ด้านหลังนั้น
บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำของเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บรรยากาศดูเงียบขรึม แต่แฝงไปด้วยชั้นเชิงของบทสนทนาหลังจากเสร็จสิ้นคดีความในศาล พวกเขาได้รับเชิญมาทานอาหารที่บ้านของ เจ้าสัวชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเจมส์ นั่งนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะ ท่าทีสงบเสงี่ยม แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดจากปัญหาครอบครัว แต่เขายังคงเก็บซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน สีหน้าของเขาเรียบเฉย เหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมไม่มีสิ่งใดสื่อถึงความวุ่นวายในหัวใจเสียงพูดคุยดังแว่วไปทั่วโต๊ะอาหาร เสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ สลับกับเสียงแก้วไวน์ที่ถูกยกขึ้นชนกันเป็นครั้งคราว บรรยากาศโดยรอบดูผ่อนคลาย แต่หากสังเกตให้ดี ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยนัยแฝง"แอลซ่าเก่งมากจริงๆ""ถ้าไม่ได้เธอ คดีอาจไม่เป็นแบบนี้""ข้อมูลที่เธอหามาแนบเนียนจนอีกฝ่ายโต้แย้งไม่ออก สมแล้วที่เป็นคนของเจ้าสัว"เสียงชื่นชมดังขึ้นเป็นระยะจากผู้บริหารหลายคนที่ร่วมโต๊ะ ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะอาหารสุดหรูแอลซ่ารับฟังคำชื่นชมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน แววตาเปล่งประกายความพึงพอใจ เธ
คอนโดหรูสูงตระหง่านตั้งอยู่ ใจกลางกรุงแสงนีออนหลากสีจากป้ายร้านค้าและผับบาร์ด้านล่างสะท้อนบนกระจกอาคาร ราวกับจะประกาศศักดาแห่งชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความวุ่นวาย เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของผู้คนจากถนนเบื้องล่างคละเคล้ากันกลายเป็นซาวด์แทร็กแห่งย่านที่ไม่เคยเงียบสงบ แต่เมื่อขึ้นมาสู่ชั้นสูงของคอนโด ทุกสิ่งกลับเงียบงัน แสงไฟจากตึกสูงรอบข้างลอดผ่านม่านเนื้อบางในห้องนอนที่เงียบสนิท ห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาว ตรงข้ามกับแสงสีด้านล่างอย่าสิ้นเชิง มีเพียงแสงจากเทียนหอมส่งกลิ่นกุหลาบผสมน้ำหอมกลิ่นฟีโรโมนอบอวลทั่วห้องบนเตียงขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าเนื้อดีมันวาว ร่างชายหนุ่มคร่อมอยู่บนร่างหญิงสาว นั่นคือ อิมิลี่ ผู้เป็นภรรยาที่เปลือยกายอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อหรูหราซึ่งปกคลุมร่างขาวเพรียวเขาขยับตัวขึ้นลง ราวกับพยายามปลุกเร้าความรู้สึกที่เคยคุ้น แต่ท่อนชายของเขากลับไม่ตอบสนองตามที่ใจปรารถนา ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าลุ้นระทึก มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ดังแทรกผ่านอากาศอย่างแผ่วเบา“เจมส์... คุณโอเคไหม?” เสียงของอีมิลี่ขาดความมั่นใจ เธอเอ่ยถามด้วยความพะวง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความห่ว
บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำของเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บรรยากาศดูเงียบขรึม แต่แฝงไปด้วยชั้นเชิงของบทสนทนาหลังจากเสร็จสิ้นคดีความในศาล พวกเขาได้รับเชิญมาทานอาหารที่บ้านของ เจ้าสัวชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเจมส์ นั่งนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะ ท่าทีสงบเสงี่ยม แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดจากปัญหาครอบครัว แต่เขายังคงเก็บซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน สีหน้าของเขาเรียบเฉย เหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมไม่มีสิ่งใดสื่อถึงความวุ่นวายในหัวใจเสียงพูดคุยดังแว่วไปทั่วโต๊ะอาหาร เสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ สลับกับเสียงแก้วไวน์ที่ถูกยกขึ้นชนกันเป็นครั้งคราว บรรยากาศโดยรอบดูผ่อนคลาย แต่หากสังเกตให้ดี ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยนัยแฝง"แอลซ่าเก่งมากจริงๆ""ถ้าไม่ได้เธอ คดีอาจไม่เป็นแบบนี้""ข้อมูลที่เธอหามาแนบเนียนจนอีกฝ่ายโต้แย้งไม่ออก สมแล้วที่เป็นคนของเจ้าสัว"เสียงชื่นชมดังขึ้นเป็นระยะจากผู้บริหารหลายคนที่ร่วมโต๊ะ ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะอาหารสุดหรูแอลซ่ารับฟังคำชื่นชมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน แววตาเปล่งประกายความพึงพอใจ เธ
ไฟนีออนสีขาวนวลส่องสะท้อนกระจกหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่ง รถกระบะสีดำคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลงอย่างรวดเร็ว ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ลูคัสเปิดประตูก้าวลงมา เท้าของเขาแตะลงบนพื้นด้วยจังหวะหนักแน่นไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่วุ่นวายลูคัสเดินเข้าร้านด้วยท่าทีเคยชิน ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่เขามาเยือนนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และอุปกรณ์ตกปลาคละคลุ้งในอากาศ เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่วเบา แต่ไม่มีใครในร้านหันมาสนใจ พนักงานหลังเคาน์เตอร์เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาสั้นๆ เป็นการทักทายที่ไม่ต้องใช้คำพูดลูคัสตอบรับด้วยการยกมุมปากเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเดินลึกเข้าไปในร้าน ฝ่าแถวเบ็ดตกปลาและกล่องเหยื่อล่อที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางสินค้าธรรมดาเหล่านี้ ซ่อนบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเอาไว้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ บานหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่สำหรับคนที่รู้...ที่นี่คือทางเข้าไปสู่ธุรกิจที่แท้จริงของเขาลูคัสเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ด้านหลังนั้น
หลังการพิจารณาคดีในศาล บรรยากาศหน้าอาคารยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวหลายสิบชีวิตกรูเข้ามา เสียงคำถามดังระงมราวกับฝนที่เทกระหน่ำ กล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้าหาเจมส์และแอลซ่า ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตู"คุณเจมส์ครับ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับคุณแอลซ่าเป็นความจริงหรือเปล่า?""ความคืบหน้าของคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่?"เจมส์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากวาดมองกลุ่มนักข่าวแล้วยกยิ้มมุมปาก อย่างใจเย็น แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา จากริมฝีปากของเจมส์ ดวงตาที่เรียบนิ่งของเขาเลื่อน มองแอลซ่า แวบหนึ่ง แล้วก้าวผ่านนักข่าวไปอย่างสุขุม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนให้ตั้งคำถาม..แอลซ่า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลุ่มนักข่าวที่พยายามซักถามเธออย่างดุดัน เจมส์เดินเคียงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ดีว่า ยิ่งพูดน้อย ยิ่งปลอดภัย ท่ามกลางความวุ่นวายที่รายล้อมทั้งสองก้าวตรงขึ้นรถตู้สีดำทึบที่ติดเครื่องอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของพวกเขาหนักแน่นและไร้ความลังเลเสียงประตูรถปิดดัง "ปัง" ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกทันที เจมส์นั่งนิ่ง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสงบจิตใจ ในข
แสงอ่อนของเช้าตรู่ ทอประกายบางเบาผ่านม่านโปร่งที่พลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับโลกยังคงหมุนไปอย่างสงบสุข ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นอิมิลี่ ยืนอยู่ที่ระเบียงไม้เก่า บ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ เสียงนกร้อง แว่วมาเป็นระยะ ผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งไกลๆ เกิดเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่ควรปลอบประโลมจิตใจแต่ในเวลานี้... มันกลับไม่ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ท่ามกลางยามเช้าที่ดูสดใส รอยฟกช้ำ บนแขนและไหล่กลับเป็นเครื่องเตือนถึงเหตุการณ์ที่เธอพยายามลืม แต่มันก็ฝังลึกอยู่ในความคิด ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความระแวง เธอขยับแขนเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันคลุมเครือดวงตาของอิมิลีเพ่งลงไปที่กระดาษใบเล็กในมือ กระดาษแผ่นเดียวที่อาจไขปริศนาของเหตุการณ์นั้นได้ มันมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกัน และอักษรย่อ "A" เขียนไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงินตรงมุมขวานิ้วมือของเธอสั่น ราวกับก้อนหินหนักๆ ที่กดทับไว้ ขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ตามที่ปรากฏบนกระดาษ แล้วหันมองไกลออกไป ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งเกินไปสำหรับเช้าที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปั่นป่วน อิมิลี่แนบโท
ยามเย็นริมทะเล แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองบนผืนน้ำ อิมิลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะพร้าวริมทางเดิน เธอกำลังวาดภาพลูกค้าสาวด้วยความตั้งใจ สายลมทะเลพัดผ่านเบา ๆ เส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองลูกค้าที่นั่งเป็นแบบอยู่ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ริมชายหาด มีหญิงร่างใหญ่สองคนในชุดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นมืออาชีพสายสืบหรือรับจ้างพิเศษ ปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สายตาของพวกจ้องไปที่อิมิลี่โดยไม่ละสายตา ใบหน้าของพวกเธอแข็งกร้าว ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ หนึ่งในนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางคุยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง "คิดว่า น่าจะเจอเธอแล้ว"หล่อนพูดเสียงเบา ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ฟังดูอันตราย "แค่… เบา ๆ ก็พอ อย่าให้เรื่องใหญ่" หญิงที่โทรรายงาน เมื่อวางสายลง ดวงตาของเธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างแน่วแน่ ภาพถ่ายของอิมิลี่ ปรากฏเด่นชัดบนจอ ราวกับถูกดึงตรงมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ เธอหรี่ตามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตากับเพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแต่หนักแน่น "คนนี้แห
รถสปอร์ตคันหรูแล่นไปตามถนน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มต่ำอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ช่วยให้ความคิดในหัวของเจมส์สงบลงเลยสักนิด มือขวาของเขาจับพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วซีด ราวกับพยายามควบคุมบางอย่างที่กำลังหลุดลอยไปอีกมือหนึ่งพิมพ์ข้อความสั้น ๆ “ขอโทษ” ส่งถึง อิมิลี่ คำเพียงคำเดียว สั้น กระชับ แต่หนักแน่นในความรู้สึก ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้แม้ข้อความจะถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกผิดกลับไม่ได้ลดน้อยลง ความคิดของเขาวิ่งวนไม่หยุด ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำราวกับฟิล์มเก่าที่ฉายซ้ำ เขาอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน แต่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า บนถนนทอดยาวตรงไปสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางนั้นคล้ายกับถนนสู่คำตอบที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าความเงียบภายในรถยิ่งขยายเสียงความคิดในหัวให้ดังก้องมากขึ้น ทุกความรู้สึกผิดถูกสะท้อนกลับมาจนชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเจมส์รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง แม้เขาจะรู้ดีว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หัวหิน แต่ปลายทางของชีวิตเขากลับพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบที่บดบัง
เสียงเครื่องยนต์เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงบเมื่อรถทัวร์จอดนิ่งสนิทเทียบชานชาลา อิมิลี่ก้าวลงจากรถ นิ้วเรียวปรับสายกระเป๋าสะพายบ่าให้แน่นขึ้น เป็นการกระชับสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นคงในเวลานี้ สายตาของเธอกวาดมองโดยรอบ ..ภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนเดิม... “ทุกอย่างเปลี่ยนไป..." เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการย้ำเตือนให้ตัวเธอเองยอมรับความจริงนี้ให้ได้เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความเจริญ ร้านค้าและคาเฟ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถนนกว้างขึ้น รถราวิ่งขวักไขว่ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ ไม่มีใครจำเธอได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน..กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกังวานเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูร้านของชำเล็กๆ ริมถนนเพื่อแวะซื้อของเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังบ้านที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า จะเหมือนเดิมไหม แต่ที่นี่ ที่ดูจะหลงเหลือความเก่าแก่ไว้ท่ามกลางเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ชั้นวางไม้เรียงรายด้วยขวดแยมสัปปะรดโฮมเมดและขนมอบต่างๆ กลิ่นขนมปังอบอ่อนๆ กับเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงวัยเด็ก อิมิลี่กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ ทันใด
บรรยากาศภายในคอนโดหรูเงียบสงัดเกินกว่าที่เคยเป็น เสียงฝีเท้าของอิมิลี่ที่ก้าวออกไปยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเจมส์ ที่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังกับความรู้สึกผิดหนักหน่วงราวกับก้อนหินบดขยี้หัวใจจนป่นปี้ ดวงตาของเขา หยุดมอง ภาพแต่งงาน บนโต๊ะกระจก รูปถ่ายที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของคำสัญญา และความฝันที่พวกเขาเคยวาดไว้ร่วมกัน บัดนี้ มันกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตที่กำลังหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา..เขาจ้องมันนิ่ง น้ำตาคลอเต็มหน่วยตา สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น ร่างพิงกับผนังเย็นเฉียบ ราวกับว่ามันดูดกลืน ความอบอุ่นทั้งหมดออกจากร่างกายของเขาไป“เธอไปแล้ว… และเธอคงไม่กลับมาอีก” ในสมองของเขายังวนอยู่กับคำนี้ซ้ำๆ แต่ในระหว่างนี้เสียงมือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเป็นระยะๆ แสงจากหน้าจอกระพริบเป็นจังหวะ ข้อความจากแอลซ่า ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้แต่เขากลับ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเพราะสิ่งที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขาคือคำพูดสุดท้ายของอิมิลี่"พอกันที เจมส์"เสียงของเธอหนักแน่น เด็ดขาด และเย็นชาเกินกว่าที่เขาจะหาเหตุผลใดๆ
"ตึง... ตึง... ตึง..."เสียงระฆังโบสถ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงการจากลาอย่างเป็นทางการ ภายในโบสถ์อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แสงเทียนที่ถูกจุดเรียงรายให้ความสว่างเรืองรอง แต่กลับมิอาจขับไล่ความหม่นหมองที่ปกคลุมหัวใจของผู้ร่วมงานได้กลิ่นกำยานลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงสวดมนต์แผ่วเบา ทุกสายตามองไปทางเดียวกันยังโลงศพที่วางอยู่กลางโบสถ์ มันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่ตอนนี้... กลับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าและความอาลัยอิมิลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เธอเงยหน้ามองแท่นพิธี ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับปะทุขึ้นมาไม่หยุดในมือถือดอกลิลลี่สีขาวไว้แน่น แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวานในความเงียบ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพ ค่อยๆ วางดอกไม้ลงข้างๆ ด้วยมือที่สั่นไหว"ลาก่อนนะ ซาร่า..." เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ราวกับหวังว่าลมจะพัดพาคำพูดนี้ไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่เธอไม่มีวันก้าวไปถึง………….เมื่อพิธีสิ้นสุดลง แขกเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ ท่ามกลางเสียงกระซิบ