รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน แอลฟิชชิ่ง ช็อป แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนกระจกหน้าร้านเป็นเงาวูบวาบไหวไปมาในความมืด แต่เลโอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาแห่งนั้นเลยสักนิดเขาเปิดประตูรถด้วยท่าทางร้อนรน ลมกลางคืนพัดวูบพาไอเย็นกระทบผิวกาย กลิ่นชื้นของทะเลลอยแผ่วมากับลม แต่เขาไม่หยุดสูด กลับเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาแน่ใจ—หรืออย่างน้อยก็หวัง—ว่ามันคือบ้านของอิมิลี่ก้าวเท้าหนักแน่นแต่แฝงความลังเล ทุกย่างก้าวดังชัดเจนในความเงียบงัน หัวใจเขาเต้นถี่แรงเหมือนจะระเบิดออกจากอก ความรู้สึกบางอย่างบีบคั้นอยู่ในอก ทั้งกลัว ทั้งหวัง ทั้งเจ็บเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูแผ่วเบา—ครั้งหนึ่ง แล้วอีกครั้งไร้เสียงตอบรับ
“ด่วนเลยค่ะ ไปสนามบินด่วนค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้คนขับไม่ถามอะไรอีกทันทีที่รถเคลื่อนตัว อากาศในรถก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างเงียบเฉียบจนน่าขนลุก เสียงลมหายใจของแอลซ่าเบาแต่หนักอึ้ง คล้ายกับความกังวลที่ก่อตัวในอก ………….เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่รถกำลังแล่นผ่านดูแปลกตา… ไม่ใช่เส้นทางที่ควรจะไปสนามบินแน่ๆหัวใจของเธอกระตุกวูบ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกผิว “ไม่ใช่ทางนี้นิ...” เธอพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอให้คนขับได้ยินไม่มีคำตอบเธอขยับตัวนิดหน่อย มองไปยังกระจกหน้าอีกครั้ง ถนนยังคงทอดยาวไปในทางที่เธอไม่รู้จัก “ไป...ทางนั้นสิ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่ให้สั่นไหวรถยังคงแล่นต่อ โดยไม่มีการชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง“ฉันบอกให้จอด!” ครั้งนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แฝงด้วยความหวาดกลัวและสัญชาตญาณเอาตัวรอดเงียบ...ความเงียบที่ตามมาทำให้ทุกอย่างดูอันตรายขึ้นทันตา ความเย็นวาบไหลผ่านสันหลังของเธอ ราวกับเธอกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ไม่มีทางย้อนกลับชายคนนั้นยังคงเงียบสนิท เขาไม่พูด ไม่ตอบแม้แต่คำเดียวรถแล่นผ่านทางแยกที่ควรจะเลี้ยวไปสนามบิน...แต่เขากลั
“จัดการได้เลย...” เสียงคำสั่งแผ่วต่ำแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ แทรกผ่านสัญญาณไร้สาย ส่งตรงถึงเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า ร้าน แอลฟิชชิ่งช้อป ในความมืดนั้น ร่างสูงในชุดดำแนบสนิทกับเงา ดวงตาเขาเย็นเฉียบ จ้องเป้าหมายตรงหน้าไม่กะพริบ ไม่มีความลังเล ไม่มีคำถาม มีแต่ "คำสั่ง" ที่ต้องทำให้เสร็จภายนอก...ดูเงียบงันเหมือนป่าที่ไร้ลม แต่ภายในร่างชายชุดดำ ไฟแค้นลุกไหม้ราวภูเขาไฟใกล้ระเบิด หัวใจเต้นเป็นจังหวะรอการลงมือ เขารอเวลานี้มานาน... เวลาที่จะลบศัตรูทั้งร้านนี้ไปจากแผนที่ไฟแช็กอยู่ในมือ เชื้อเพลิงวางเรียงรายรอบร้านและลังสินค้า ระเบิดตั้งเวลาแอบไว้หลังถังแก๊สคืนนี้...มันจะกลายเป็นแค่ซากเถ้าถ่านแต่ทันใดนั้น—เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากปลายถนน ในความเงียบของยามเช้ามืด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นคอนกรีตชื้นจากน้ำค้าง กลายเป็นจังหวะที่ฟังดู...ไม่ธรรมดา กึก... กึก... กึก...เลโอ เดินกลับมา แสงไฟถนนสลัวสีส้มทอดเงาเขายาวเหยียดบนทางเท้า อากาศเย็นเฉียบ ราวกับลมหายใจของเมืองกำลังกลั้นไว้บางอย่างเขาหรี่ตามองไปข้างหน้า เห็นเงาร่างหนึ่งยืนหลบมุมใกล้ร้าน ชายคนหนึ่ง... ท่าทางไม่คุ้น ยืนนิ่งเหมือนก
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
คอนโดหรูสูงตระหง่านตั้งอยู่ ใจกลางกรุงแสงนีออนหลากสีจากป้ายร้านค้าและผับบาร์ด้านล่างสะท้อนบนกระจกอาคาร ราวกับจะประกาศศักดาแห่งชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความวุ่นวาย เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของผู้คนจากถนนเบื้องล่างคละเคล้ากันกลายเป็นซาวด์แทร็กแห่งย่านที่ไม่เคยเงียบสงบ แต่เมื่อขึ้นมาสู่ชั้นสูงของคอนโด ทุกสิ่งกลับเงียบงัน แสงไฟจากตึกสูงรอบข้างลอดผ่านม่านเนื้อบางในห้องนอนที่เงียบสนิท ห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาว ตรงข้ามกับแสงสีด้านล่างอย่าสิ้นเชิง มีเพียงแสงจากเทียนหอมส่งกลิ่นกุหลาบผสมน้ำหอมกลิ่นฟีโรโมนอบอวลทั่วห้องบนเตียงขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าเนื้อดีมันวาว ร่างชายหนุ่มคร่อมอยู่บนร่างหญิงสาว นั่นคือ อิมิลี่ ผู้เป็นภรรยาที่เปลือยกายอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อหรูหราซึ่งปกคลุมร่างขาวเพรียวเขาขยับตัวขึ้นลง ราวกับพยายามปลุกเร้าความรู้สึกที่เคยคุ้น แต่ท่อนชายของเขากลับไม่ตอบสนองตามที่ใจปรารถนา ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าลุ้นระทึก มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ดังแทรกผ่านอากาศอย่างแผ่วเบา“เจมส์... คุณโอเคไหม?” เสียงของอีมิลี่ขาดความมั่นใจ เธอเอ่ยถามด้วยความพะวง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความห่ว
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! เสียงแจ้งเตือนของมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกยังคงดังต่อเนื่อง ข้อความในเฟซบุ๊กที่เพื่อนๆส่งแสดงความยินดีในวันครบรอบวันแต่งงานของเธออย่างท้วมท้น อิมิลี่เลื่อนสายตามองหน้าจอหวังว่า เสียงที่ดังนั้นจะเป็นของสามีของเธอ แต่เมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฎกลับทำให้หัวใจเธอยิ่งหว้าเหว่ และอดคิดไม่ได้ ว่า “เจมส์คงลืมวันนี้ไปแล้วจริงๆ” อิมิลี่แต่งตัวด้วยเดรสเกาะอกยาวสีขาวที่พลิ้วไหวตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเธอ ผืนผ้าสีขาวสะอาดช่วยขับผิวที่เนียนละเอียดและสว่างสดใสราวกับเธอเป็นภาพวาดที่หลุดออกมาจากกรอบ เส้นผมยาวสลวยถูกปล่อยลงอย่างอิสระ คล้ายสายลมที่โอบอุ้มเธอไว้เธอเดินไปหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน มองตัวเองเงียบ ๆ ราวกับตรวจสอบว่าภาพลักษณ์ของเธอสะท้อนความสงบที่เธอพยายามหาในหัวใจหรือไม่ เมื่อพอใจกับการแต่งกาย เธอหยิบกระเป๋าสะพายเล็กสีเบจที่เข้ากันพอดีกับชุด จากนั้นจึงก้าวออกจากห้องพักปลายเท้าของเธอแตะบนพื้นทางเดินของคอนโดที่เงียบสงบ เมื่อเธอเปิดประตูออกสู่ถนนในเมืองที่แสนคุ้นเคย สายลมอ่อน ๆ ยามเช้าพัดพากลิ่นกาแฟหอมกรุ่นจากร้านริมถนน เสียงหัวเราะและบทสนทนาของผู้คนทำให้บรรยากาศรอบตัวด
อิมิลี่จรดพู่กันลงบนผืนผ้าใบอีกครั้ง ความนุ่มนวลของสีที่ผสมอย่างพิถีพิถันแตะลงบนพื้นผ้าใบขาวราวกับดนตรีที่บรรเลงเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สลับสายตาจากจุดที่กำลังวาดไปยังชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กตรงหน้าแสงอ่อนจากหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ ทาบไล้ร่างของเขา สร้างเงาอ่อนโยนที่ตกกระทบใบหน้าคมคาย ผมสีเข้มยุ่งเล็กน้อยแต่ดูมีเสน่ห์ ไหล่กว้างและท่าทางผ่อนคลายทำให้เขาดูเหมือนภาพวาดของชายหนุ่มที่หลุดออกมาจากยุคสมัยโรมัน แต่เป็นดวงตาคู่นั้นที่สะกดอิมิลี่ไว้ ดวงตาสีเข้มที่มองมาที่เธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น นุ่มนวล และราวกับมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ“คุณวาดเก่งมากเลยนะ” เลโอเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน น้ำเสียงของเขาลึกและเป็นมิตร “เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่าเรื่องราวบางอย่างผ่านภาพนี้”อิมิลี่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอ่อน เธอหลบสายตาลงมองพู่กันในมือ “บางทีอาจจะใช่ค่ะ ฉันว่าภาพวาดมักจะสะท้อนอารมณ์ของคนวาด”เลโอนิ่งฟังคำตอบของอิมิลี่ ดวงตาสีเข้มของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอด้วยความสนใจ ราวกับพยายามค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งกว่าในคำพูดของเธอ“แล้วตอนนี้คุณกำลังรู้สึกยังไงล่ะ?” เขาถามเสียงนุ่ม ด
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ
“จัดการได้เลย...” เสียงคำสั่งแผ่วต่ำแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ แทรกผ่านสัญญาณไร้สาย ส่งตรงถึงเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า ร้าน แอลฟิชชิ่งช้อป ในความมืดนั้น ร่างสูงในชุดดำแนบสนิทกับเงา ดวงตาเขาเย็นเฉียบ จ้องเป้าหมายตรงหน้าไม่กะพริบ ไม่มีความลังเล ไม่มีคำถาม มีแต่ "คำสั่ง" ที่ต้องทำให้เสร็จภายนอก...ดูเงียบงันเหมือนป่าที่ไร้ลม แต่ภายในร่างชายชุดดำ ไฟแค้นลุกไหม้ราวภูเขาไฟใกล้ระเบิด หัวใจเต้นเป็นจังหวะรอการลงมือ เขารอเวลานี้มานาน... เวลาที่จะลบศัตรูทั้งร้านนี้ไปจากแผนที่ไฟแช็กอยู่ในมือ เชื้อเพลิงวางเรียงรายรอบร้านและลังสินค้า ระเบิดตั้งเวลาแอบไว้หลังถังแก๊สคืนนี้...มันจะกลายเป็นแค่ซากเถ้าถ่านแต่ทันใดนั้น—เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากปลายถนน ในความเงียบของยามเช้ามืด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นคอนกรีตชื้นจากน้ำค้าง กลายเป็นจังหวะที่ฟังดู...ไม่ธรรมดา กึก... กึก... กึก...เลโอ เดินกลับมา แสงไฟถนนสลัวสีส้มทอดเงาเขายาวเหยียดบนทางเท้า อากาศเย็นเฉียบ ราวกับลมหายใจของเมืองกำลังกลั้นไว้บางอย่างเขาหรี่ตามองไปข้างหน้า เห็นเงาร่างหนึ่งยืนหลบมุมใกล้ร้าน ชายคนหนึ่ง... ท่าทางไม่คุ้น ยืนนิ่งเหมือนก
“ด่วนเลยค่ะ ไปสนามบินด่วนค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้คนขับไม่ถามอะไรอีกทันทีที่รถเคลื่อนตัว อากาศในรถก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างเงียบเฉียบจนน่าขนลุก เสียงลมหายใจของแอลซ่าเบาแต่หนักอึ้ง คล้ายกับความกังวลที่ก่อตัวในอก ………….เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่รถกำลังแล่นผ่านดูแปลกตา… ไม่ใช่เส้นทางที่ควรจะไปสนามบินแน่ๆหัวใจของเธอกระตุกวูบ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกผิว “ไม่ใช่ทางนี้นิ...” เธอพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอให้คนขับได้ยินไม่มีคำตอบเธอขยับตัวนิดหน่อย มองไปยังกระจกหน้าอีกครั้ง ถนนยังคงทอดยาวไปในทางที่เธอไม่รู้จัก “ไป...ทางนั้นสิ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่ให้สั่นไหวรถยังคงแล่นต่อ โดยไม่มีการชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง“ฉันบอกให้จอด!” ครั้งนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แฝงด้วยความหวาดกลัวและสัญชาตญาณเอาตัวรอดเงียบ...ความเงียบที่ตามมาทำให้ทุกอย่างดูอันตรายขึ้นทันตา ความเย็นวาบไหลผ่านสันหลังของเธอ ราวกับเธอกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ไม่มีทางย้อนกลับชายคนนั้นยังคงเงียบสนิท เขาไม่พูด ไม่ตอบแม้แต่คำเดียวรถแล่นผ่านทางแยกที่ควรจะเลี้ยวไปสนามบิน...แต่เขากลั
รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน แอลฟิชชิ่ง ช็อป แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนกระจกหน้าร้านเป็นเงาวูบวาบไหวไปมาในความมืด แต่เลโอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาแห่งนั้นเลยสักนิดเขาเปิดประตูรถด้วยท่าทางร้อนรน ลมกลางคืนพัดวูบพาไอเย็นกระทบผิวกาย กลิ่นชื้นของทะเลลอยแผ่วมากับลม แต่เขาไม่หยุดสูด กลับเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาแน่ใจ—หรืออย่างน้อยก็หวัง—ว่ามันคือบ้านของอิมิลี่ก้าวเท้าหนักแน่นแต่แฝงความลังเล ทุกย่างก้าวดังชัดเจนในความเงียบงัน หัวใจเขาเต้นถี่แรงเหมือนจะระเบิดออกจากอก ความรู้สึกบางอย่างบีบคั้นอยู่ในอก ทั้งกลัว ทั้งหวัง ทั้งเจ็บเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูแผ่วเบา—ครั้งหนึ่ง แล้วอีกครั้งไร้เสียงตอบรับ
ภายในห้องนอนที่เงียบงัน แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องสว่างเพียงเล็กน้อย เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวบนผนังราวกับคอยเฝ้ามองความเงียบของค่ำคืนเลโอ นั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงคิ้วขมวดแน่น ดวงตาหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้า — เพราะไม่อาจสลัดความกังวลออกจากใจได้ เรื่องของอิมิลี่เมื่อวันก่อนยังวนเวียนไม่จางหาย ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งทวีคูณเขาเดินช้า ๆ ออกไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ลูคัสใช้เป็นฐานวางแผน ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากไฟเหนือโต๊ะทำงาน และเสียงกระดาษพลิกเบา ๆ ลูคัสนั่งนิ่ง จ้องแผนงานตรงหน้าราวกับใช้มันเป็นกำแพงกั้นโลกภายนอกเลโอหยุดยืนอยู่ตรงขอบโต๊ะ สูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาแต่ชัด “เลโอ มีอะไรเหรอ?” ลูคัสถาม โดยที่สายตายังไม่ละจากแผน“ทำไมนายไม่พักผ่อนล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปที่ร้าน ลูกน้องก็รออยู่”เลโอไม่ตอบทันที เขาเงียบ... แววตาลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา“นายคิดยังไงกับอิมิลี่... กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น?”คำถามนั้นแขวนค้างกลางอากาศ ราวกับทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบไปชั่วขณะลูคัสชะงัก ปลายนิ้วที่แตะแผนงานแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “มันเป็น... อ
ตรู๊ด… ตรู๊ด… ตรู๊ด… เสียงรอสายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทนายสมศักดิ์ยกมือถือแนบหู ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยังไม่คลาย เขาต่อสายหาทนายเจมส์ — สามีของอิมิลี่ และคนเดียวที่อาจรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ปลายสายกลับนิ่งงัน ไร้การตอบรับที่บาร์หรูใจกลางเมืองเจมส์นั่งอยู่เพียงลำพัง แสงไฟโทนส้มสะท้อนลงบนใบหน้าเคร่งเครียด เสียงแจ๊สคลอเบา ๆ จากลำโพงในมุมห้อง เขาจ้องแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเบา ๆ เมื่อเบอร์แปลกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่เจมส์ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมอง ดวงตาเขาแดงก่ำ ราวกับไม่ได้หลับมาเป็นคืนที่สามแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก — เหมือนพยายามยึดตัวเองไว้กับความเป็นจริง แต่ภายในหัว... วนเวียนอยู่กับสิ่งเดียว"พรุ่งนี้... ที่ศาล"วันตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือจุดจบเขายกแก้วขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้รสขมไหลลงคอราวกับกลืนคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นทีละชั้นมือถือยังคงสั่น... แต่เขาแค่เหลือบตามอง ก่อนปล่อยให้มันเงียบหายไปในที่สุด …แต่ในขณะที่เวลานี้ อิมิลี่ ยังจมอยู่กับความมืดมิด กลิ่นอับชื้นของโกดังเก่าและฝุ่นผงตลบอบอวล อองเดรศัตรูของลูคัส ลากอิมิลีเข้ามาในความเงียบอันเย็นเย
ที่หัวมุมถนนชายคนหนึ่งยืนเงียบอยู่ห่างออกไปจากสายตาผู้คน ร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิทนิ่งราวรูปปั้นในความมืด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนหน้ากากหิน ดวงตาคมกริบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชา เขาไม่จำเป็นต้องขยับตัวเพื่อให้รู้ว่าเธอกำลังจะออกมา ทุกก้าว ทุกเวลา ถูกคำนวณไว้หมดแล้วนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหูฟังที่แนบแน่นข้างหู เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจดังลอดออกมา“เธอกำลังออกมาแล้ว... เดินกลับลำพัง”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งเย็น ราบเรียบราวใบมีดเหล็กเฉือนผ่านโลหะ“ติดตามไป — อย่าให้คลาดสายตา”เขาไม่พูดอะไรตอบกลับ แค่ขยับเท้าอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าคำนวนมาอย่างพิถีพิถัน ห่างพอไม่ให้สะดุดตา แต่ใกล้พอจะ “จัดการ” ได้ในเสี้ยววินาที หากมีคำสั่งตกลงมาเขาไม่พูด ไม่เผลอแสดงอารมณ์ ไม่แม้แต่หายใจแรง แค่เดิน แค่เฝ้ามอง ด้วยสายตาเย็นเฉียบของนักล่าที่มั่นใจว่าเหยื่อไม่มีวันหนีรอดในมือของเขา หน้าจอโทรศัพท์เรืองแสงจาง ๆ แสดงภาพถ่ายหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมเวลา ตำแหน่ง และข้อความที่ติดแท็กไว้ชัดเจน“เป้าหมายสำคัญ — ห้ามทำร้าย จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอองเดร”เข
อิมิลี่จ้องลูคัสนิ่ง แววตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังรอคำตอบ แต่เขาเงียบ เงียบจนหัวใจเธอแทบได้ยินเสียงตัวเองเต้นเธอค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังลังไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหลัง กล่องพวกนั้นพร้อมจะถูกขนย้ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บางอย่างในท่าทางของลูคัส... ทำให้เธอรู้ มันไม่ใช่แค่การขนของธรรมดาทันใดนั้น ลูคัสเหลียวไป ลูกน้องของเขาเดินออกมาจากมุมเงามืด ใบหน้าตึงเครียด น้ำเสียงเร่งรีบ“ลูคัส... สายของเรารายงานว่า มีสายสืบซุ่มอยู่ใกล้ท่าเรือ เราอาจต้องเปลี่ยนแผน”ลูคัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ อิมิลี่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังไม่พูดตรง ๆ แต่เธอเข้าใจแล้ว ว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปในธุรกิจที่อันตราย... และมันจริงกว่าที่เธอเคยกลัว“เธอต้องกลับไปนะ อิมิลี่ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ลูคัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาไม่ใช่การไล่... แต่เป็นการปกป้องอิมิลี่ขยับเข้าไปเพียงก้าวเดียว แววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม “คุณเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับธุรกิจพวกนี้อีก”เขาเงียบไปอึดใจ แล้วเบือนสายตาหนี คำตอบของเขาคือความเงียบ และมันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดใด“คุณต้องกลับไปนะ อยู่ห่าง