อิมิลี่จรดพู่กันลงบนผืนผ้าใบอีกครั้ง ความนุ่มนวลของสีที่ผสมอย่างพิถีพิถันแตะลงบนพื้นผ้าใบขาวราวกับดนตรีที่บรรเลงเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สลับสายตาจากจุดที่กำลังวาดไปยังชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กตรงหน้า
แสงอ่อนจากหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ ทาบไล้ร่างของเขา สร้างเงาอ่อนโยนที่ตกกระทบใบหน้าคมคาย ผมสีเข้มยุ่งเล็กน้อยแต่ดูมีเสน่ห์ ไหล่กว้างและท่าทางผ่อนคลายทำให้เขาดูเหมือนภาพวาดของชายหนุ่มที่หลุดออกมาจากยุคสมัยโรมัน แต่เป็นดวงตาคู่นั้นที่สะกดอิมิลี่ไว้ ดวงตาสีเข้มที่มองมาที่เธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น นุ่มนวล และราวกับมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ “คุณวาดเก่งมากเลยนะ” เลโอเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน น้ำเสียงของเขาลึกและเป็นมิตร “เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่าเรื่องราวบางอย่างผ่านภาพนี้” อิมิลี่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอ่อน เธอหลบสายตาลงมองพู่กันในมือ “บางทีอาจจะใช่ค่ะ ฉันว่าภาพวาดมักจะสะท้อนอารมณ์ของคนวาด” เลโอนิ่งฟังคำตอบของอิมิลี่ ดวงตาสีเข้มของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอด้วยความสนใจ ราวกับพยายามค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งกว่าในคำพูดของเธอ “แล้วตอนนี้คุณกำลังรู้สึกยังไงล่ะ?” เขาถามเสียงนุ่ม ดวงตาของเขาสะท้อนความจริงใจที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเขากำลังมองทะลุผ่านกำแพงที่เธอสร้างขึ้น อิมิลี่หยุดมือ เธอจ้องมองพู่กันในมือ รู้สึกถึงแรงสั่นเล็ก ๆ ในหัวใจ ราวกับคำถามนั้นทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงมาตลอด “ฉัน...” เธอเริ่มพูด แต่เสียงของเธอแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน “บางทีฉันอาจจะรู้สึก...เหมือนกำลังหลงทาง” เลโอยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้พูดแทรก เขาปล่อยให้เธอพูดต่อ “การวาดภาพช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากความคิดที่สับสนได้ชั่วคราวค่ะ แต่มันก็เหมือนการวิ่งหนี...ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังตามหาอะไร” เลโอพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทีของเขายังคงสงบและผ่อนคลาย “ผมว่า...บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบทั้งหมดหรอกนะ บางอย่างเราค้นพบมันระหว่างทาง” อิมิลี่เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “คุณพูดเหมือนคุณเคยหลงทางมาก่อน” เลโอยักไหล่เบา ๆ ดวงตาของเขาแฝงความลึกลับเล็กน้อย “อาจจะใช่...แต่ผมคิดว่าทุกการหลงทาง มันนำเราไปเจอสิ่งที่เราต้องการในที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้เราเจอคนที่เข้าใจเรา” คำพูดนั้นทำให้อิมิลี่รู้สึกเหมือนลมหายใจสะดุดไปชั่วครู่ เธอก้มมองพู่กันในมือ ก่อนจะค่อย ๆ จรดลงบนผืนผ้าใบอีกครั้ง เส้นสายที่เธอวาดต่อเริ่มดูมั่นคงและชัดเจนขึ้น ราวกับคำพูดของเขาช่วยปลดล็อกบางอย่างในหัวใจ ในห้องนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่กลับอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทั้งคู่ต่างจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า ทว่าในหัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ไม่มีคำพูด ขณะที่บรรยากาศเริ่มเงียบลงอีกครั้ง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นเบา ๆ อยู่บนโต๊ะข้าง ๆ อิมิลี่หยุดมือ หยิบมันขึ้นมาดู หน้าจอแสดงข้อความที่ทำให้หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างประหลาด "สุขสันต์วันครบรอบแต่งงาน แต่คืนนี้ไม่ได้กลับนะ" เธอจ้องมองข้อความนั้นนิ่ง มือของเธอเย็นเฉียบ แม้จะไม่มีคำพูดเพิ่มเติม แต่ข้อความสั้น ๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่บีบรัดหัวใจของเธอ “ทุกอย่างโอเคไหม?” เลโอถามขึ้น น้ำเสียงของเขาสงบและอ่อนโยน ราวกับสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเธอ อิมิลี่วางโทรศัพท์ลง พลางสูดลมหายใจลึกเพื่อควบคุมตัวเอง เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา และฝืนยิ้มเมื่อเงยหน้ามองเลโอ แต่คำว่า "ไม่มีอะไร" ที่หลุดออกจากปากเธอกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่ไม่อาจปกปิดได้ สีหน้าเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อิมิลี่วางพู่กันลงอย่างช้า ๆ เสียงของมันกระทบกับโต๊ะไม้เบา ๆ แต่กลับดังก้องในความรู้สึก เธอมองภาพบนผ้าใบที่ยังไม่เสร็จ ราวกับเส้นสายและสีสันเหล่านั้นกลายเป็นภาระที่เธอไม่อาจแบกรับได้ในตอนนี้ “เดี๋ยวเราค่อยมาต่อกันใหม่ได้ไหมคะ?” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความล้า เธอเงยหน้ามองเลโอที่ยังคงนั่งอยู่ตรงหน้า เลโอพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ได้สิ ครับ” “บางครั้งเราต้องพักบ้างครับ” เลโอพูดเบา ๆ “เพราะศิลปะที่ดี...ไม่ได้มาจากการเร่งรีบ แต่มาจากความพร้อมทั้งใจและจิตวิญญาณ” คำพูดนั้นทำให้อิมิลี่สะอึกเล็กน้อย เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะก้มมองมือของตัวเองที่ยังคงสั่นเล็กน้อยจากความรู้สึกในใจ “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเก็บข้าวของอย่างเงียบ ๆเลโอยืนมองอิมิลี่ขณะที่เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นจัดเก็บพู่กันและจานสี เสียงเบา ๆ ของอุปกรณ์กระทบกันดังแผ่ว ๆ ในห้อง เธอทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ราวกับพยายามจัดการไม่เพียงแค่ข้าวของ แต่รวมถึงความคิดในหัวใจของเธอด้วย “คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอกครับ” เลโอพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน “แค่ผมได้เห็นคุณค่อย ๆ ผ่อนคลายลงก็พอแล้ว” อิมิลี่หยุดมือชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา รอยยิ้ม ปรากฏบนใบหน้าของเธอ แม้จะยังเจือด้วยความล้า “คุณใจดีเกินไปแล้วค่ะ” เลโอหัวเราะเบา ๆ พลางยักไหล่ “บางทีผมก็แค่ชอบอยู่ในที่ที่ผมรู้สึกว่าผมมีค่า...และที่นี่ กับคุณ ผมรู้สึกแบบนั้น” คำพูดของเขาทำให้อิมิลี่ชะงัก เธอหลบสายตาลงเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ตีขึ้นมาในอก เธอไม่แน่ใจว่าทำไมคำพูดของเขาถึงมีอิทธิพลต่อเธอมากขนาดนี้ “งั้นเจอกันครั้งหน้านะคะ” เธอพูดเบา ๆ ขณะที่เก็บของเสร็จเรียบร้อย เลโอพยักหน้า แต่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องมาที่เธอ รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของเขาไม่เลือนหายไป “ครับ เจอกันครั้งหน้า...เมื่อคุณพร้อม” เมื่อเลโอเดินออกไป เสียงม่านที่ไหวลู่ตามลมดังแผ่วเบา ราวกับสะท้อนความรู้สึกในใจที่ยังคงหวั่นไหว อิมิลี่ยืนนิ่ง ทอดสายตาไปยังผืนผ้าใบตรงหน้า ลายเส้นเค้าร่างของชายหนุ่มยังคงอยู่ ดวงตาของเธอจับจ้องมันอย่างลังเล ในความเงียบงัน อิมิลี่เอ่ยเสียงแผ่วกับตัวเอง ราวกับถามหัวใจที่ยังสั่นไหว "ฉันพร้อมจะไปต่อหรือยัง..." เสียงนั้นเบาราวกับกลืนหายไปในอากาศ แต่ในใจกลับดังก้องราวกับเสียงสะท้อนในห้องโล่ง เธอจ้องมองผืนผ้าใบอีกครั้ง เส้นเค้าร่างของเลโอยังไม่จางไป เหมือนกำลังรอคำตอบจากเธอ ว่าควรเติมเต็มภาพนี้ให้สมบูรณ์ หรือปล่อยให้มันเป็นเพียงร่องรอยของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ อิมิลี่นั่งนิ่ง เธอทอดสายตามองจานที่ถูกจัดไว้สำหรับเจมส์ ซึ่งยังคงว่างเปล่าเหมือนกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้ แสงเทียนบนโต๊ะดินเนอร์กระพริบไหวตามจังหวะลมเบาๆ ราวกับสะท้อนความไม่มั่นคงในหัวใจของเธอ แก้วไวน์ในมือยกขึ้นช้าๆ คล้ายจะกลบความเงียบที่รบกวนแต่เสียงของความโดดเดี่ยวกลับดังกว่าคำปลอบโยนของน้ำเมรัย แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับนอกหน้าต่างให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบหลอกลวง มันเป็นความงามที่เธอเคยวาดฝันถึงตอนเด็กๆ ว่าอยากใช้ชีวิตในเมืองกรุงที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในตอนนี้ ความฝันนั้นกลับรู้สึกเย็นชาเหมือนกระจกหน้าต่างที่ปิดกั้นเธอจากโลกภายนอก เธอนั่งคิดถึงเจมส์ คนที่เธอเลือกแต่งงานด้วยเพราะฐานะและหน้าที่การงานที่มั่นคง ทนายที่เก่งกาจแต่ไม่เคยมีเวลาให้เธอในแบบที่เธอต้องการ ความรักของพวกเขาดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยงานและความรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงที่นับวันยิ่งจืดชืด เธอเฝ้าถามตัวเองว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันเลือกแล้วจริงๆ หรือ?” เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต แม้เธอจะรู้ดีว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีใครนั่งตรงข้
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นแต่เช้าตรู่ อิมิลี่ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและว่างเปล่าของของหมอนอีกใบที่เป็นของสามี แต่ สมองของเธอรีบประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าวันนี้มีนัดสำคัญที่โรงพยาบาล เธอลุกจากเตียงแทบจะทันที เสื้อกันหนาวสีครีมถูกหยิบขึ้นมาสวมเพื่อป้องกันอากาศหนาวยามเช้าขณะที่เธอเตรียมตัวออกไปภายในห้องตรวจ บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงแอร์ที่เป่าลมเย็นกระทบผนัง เสียงนั้นแม้จะเบา แต่กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจของอิมิลี่ชัดเจนขึ้น เธอนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สองแขนโอบกอดตัวเองราวกับหาความอบอุ่นจากใครสักคน เสื้อกันหนาวสีเธอสวมดูจะไม่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเธอดวงตาของอิมิลี่หลุบต่ำ มองมือตัวเองที่สั่นเล็กน้อย นิ้วเรียวขาวบีบกันแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีซีด ความคิดวิ่งวนอยู่ในหัวของเธอเป็นเสียงที่เธอไม่อาจกลบได้ ความเครียด ความกลัว และความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ผลักดันให้เธอกดตัวเองแน่นขึ้นคุณหมอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนเปล่งเสียงนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง“เดือนนี้ไข่ของคุณยังไม่ตก บางทีอาจเป็นเพราะความเครียดที
ช่วงเวลานี้เจมส์กำลังพยายามที่จะพยุงสถานะของคำว่า "สามีที่ดี" ให้มั่นคงขึ้น เขาจับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวลเป็นระยะๆระหว่างขับรถเพื่อจะไปร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรูที่เขาตั้งใจเลือกมาเพื่อปรับความสัมพันธ์ บรรยากาศภายในอบอุ่นด้วยแสงไฟโทนสีทอง โต๊ะที่ถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถันมีผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดและจานอาหารที่วางอย่างลงตัว มันดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวจากเจมส์ที่เขาพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สำหรับอิมิลี่ บางทีสิ่งนี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเธอเมื่ออาหารถูกรินราดด้วยซอสและจัดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมเย้ายวนจากเมนูหลากหลายชนิดกระจายไปทั่วบริเวณ ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ก่อนที่เจมส์จะได้สัมผัสส้อมหรือลองชิมรสชาติของอาหาร เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นแทรกความเงียบเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ "แอลซ่า" เขาเอ่ยชื่อเธอในลำคอเจมส์เหลือบมองอิมิลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอก้มหน้ามองจานของตัวเอง ราวกับพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เจมส์สังเกตเห็นรอยหม่นในดวงตาของเธอเขาลังเลเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ “อิมิลี่ เดี๋ย
แกรก ! เสียงของประตูเสื้อผ้าเปิดออกเบาๆ ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดยามรุ่งสาง เจมส์ยืนอยู่หน้า ตู้เสื้อผ้าที่แง้มออก ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเขาอยู่ในเงามืด ดวงตาเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความลังเล มือของเขาหยิบเสื้อแจ็กเก็ตออกมาพร้อมกับกางเกงที่พับไว้อย่างเรียบร้อยแสงไฟที่ลอดมาจากหน้าต่างเผยให้เห็นเงาร่างของอิมิลี่ที่พลิกตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง เธอสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนั้นปลุกเธอให้หลุดจากความหลับใหล“เจมส์... คุณกำลังจะไปไหนแต่เช้า” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“ผมมีประชุมเช้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ก็ฟังดูเหนื่อยล้า “งานสำคัญ... คดีใหญ่ ผมต้องรีบไป อิมิลี่”ขณะที่เขากำลังติดกระดุมเสื้อและดวงตาเขาจับจ้องไปยังเสื้อแจ็กเก็ตที่แขวนอยู่ในมือคำพูดนั้นตรงไปตรงมา แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในอากาศ เสียงกุกกักของเข็มขัดที่เขารัดเอวเพิ่มความอึดอัดให้กับห้อง อิมิลี่มองตามเขา ดวงตาของเธอแสดงความลังเล แต่คำถามที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่ในลำคอ“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถามเบาๆ น้ำเสียงที่แฝงความกังวลและไม่เข้าใจ เจมส์หยุดมือชั่วขณะ ก่อนจะดึงเสื้อแจ็กเก็ตมาสวม ขยับไหล่เล็กน้อยให้เข้
บนตึกสูงที่ผนังกระจกใสรอบด้านเผยให้เห็นวิวทะเลอันกว้างไกล ซึ่งห่างจากเมืองหลวง ประมาณ 3 ชั่วโมงเจมส์นั่งร่วมประชุม ท่าทางสุขุมและจริงจังในฐานะทนายของบริษัทซึ่งกำลังหารือประเด็นสำคัญร่วมกับทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัทรับเหมาแห่งหนึ่ง …. “ตอนนี้บริษัท ของเราเสียหายอย่างหนัก ลูกค้ามากว่าครึ่งต้องการเงินคืน จากการผิดนัดการส่งมอบบ้านตามกำหนด และกำลังเป็นวงกว้าง เมื่อบ้านที่สร้างใช้วัสดุ ต่ำกว่ามาตรฐาน จนทำให้มีการพังถล่มลงมา จากพายุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อน” หนึ่งในกรรมการของบริษัทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล พลางเคาะนิ้วลงบนเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ประกอบกับถาพถ่ายของบ้านที่พังถล่มลงมา ……... เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง บรรยากาศเคร่งเครียดในห้องเริ่มผ่อนคลาย แอลซ่า เลขานุการของบริษัท เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอกสารในมือ เธอวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อย“ คุณเจมส์ คะ นี่คือข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประเด็นค่ะและ ฉันคิดว่าคุณเจมส์ควรไปดูสถานที่จริง เพื่อเข้าใจปัญหาให้ละเอียดขึ้น” แอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงสุภา
บนถนนที่ทอดตัวผ่านป่าและสวนเขียวชอุ่ม เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์หรูสีดำดังแผ่วเบาเหมือนกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้าง แอลซ่านั่งอยู่บนเบาะหนังข้างเจมส์ ท่าทางของเธอมั่นใจพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางข้างหน้า "ใช้ทางนี้ดีกว่าค่ะ ทางลัดเข้าด้านหลังของโครงการ" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความแน่ใจและผ่อนคลายเจมส์ปรายตามองไปตามทิศที่เธอบอก ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนพวงมาลัยอย่างนุ่มนวล รถคันหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่ถนนสายเล็กที่ราวกับถูกลืมเลือนจากกาลเวลา ทั้งสองข้างทางถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านหนาแน่นปกคลุมเป็นอุโมงค์ แสงแดดลอดผ่านใบไม้ลงมาราวกับภาพวาดอันละเอียดอ่อน เสียงใบไม้กระทบกันแผ่วๆ กับสายลม ทำให้บรรยากาศดูเหมือนฉากในนิยายที่อบอุ่นและลึกลับในเวลาเดียวกันแต่ความสงบนั้นอยู่ได้ไม่นาน เสียง "ปึ้ง!" ดังสนั่นจากใต้ท้องรถทำให้ทุกอย่างชะงัก เจมส์รีบเหยียบเบรก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เขาหันมามองแอลซ่า ดวงตาเบิกกว้าง“ผมว่าเรามีปัญหาแล้วละครับ” เจมส์กล่าวเสียงหนักแน่นแต่เสียงสะท้อนถึงความกังวลพลางหักพวงมาลัยนำรถจอดเข้าข้างทางใต้เงาป่าทึบเขาเปิดประตูและก้าวลงจากรถทันที เสียงรอง
ที่ร้านภาพ The Brushstrokeเสียงกระดิ่งหน้าประตูดัง กริ๊ง กริ๊ง ขณะที่หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้าเนื้อดีสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอแต่งแต้มอย่างปราณีตเข้ากับผมลอนสีดำที่จัดเรียงอย่างไร้ที่ติ สายตาเธอกวาดมองรอบร้านพลางขาก้าวเป็นจังหวะดังก้องรอบห้อง ราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่มีความหมายที่สุด“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง” เลโอก้าวออกมาจากเคาน์เตอร์ “มีอะไรให้ผมแนะนำไหมครับ?แต่เหลือเวลาอีก 15 นาทีร้านจะปิด” เขากล่าวพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเธอหันมามองเขาด้วยดวงตาคมกริบ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันกำลังมองหาภาพวาดที่เป็นชายหนุ่ม ราวกับหลุดออกมาจากนิยาย”แต่สายตาของเธอหยุดที่ใบหน้าเลโอชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพวาดที่จัดแสดงอยู่รอบตัว “แต่ภาพพวกนี้... ไม่มีวิญญาณ ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น ”ในขณะนั้น อิมิลี่ ก้าวแหวกม่านจากห้องด้านหลังออกมา“สวัสดีค่ะ คุณอลิซซาเบธ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” อิมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอจำลูกค้าคนนี้ได้ดี อลิซซาเบธเป็นลูกค้าชั้นสูงของแ
พลบค่ำในบาร์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆร้านภาพวาดบรรยากาศที่อบอุ่น เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงเบา ๆ จากมุมเวทีเติมเต็มบรรยากาศอันสบายใจ โต๊ะอาหารที่อิมิลี่และเลโอนั่งอยู่ถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ แสงไฟอุ่น ๆ ส่องกระทบแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเลโอนั่งฝั่งตรงข้ามของอิมิลี่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย สายตาของเขาสำรวจบรรยากาศรอบตัว ก่อนจะกลับมาจดจ่อที่หญิงสาวตรงหน้า“ฉันว่าเคยเห็นคุณที่ไหนสักแห่งนะ” อิมิลี่พูดขึ้น หลังจากรออาหารที่สั่งถูกเสิร์ฟ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยเลโอเลิกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มบาง “อาจจะใช่ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่สายตาที่เขาจ้องมองเธอแฝงไปด้วยความลึกลับ ราวกับเขากำลังซ่อนความลับบางอย่างไว้อิมิลี่จ้องนัยน์ตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามอ่านความหมายในคำพูดของเขา แต่สุดท้ายเธอก็ยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ “แต่ยังไงก็ช่างเถอะ”เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาชู พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการมานั่งเป็นเพื่อนทานอาหารเย็นมื้อนี้ค่ะ”เลโอยิ้มยิ้มมุมปาก สายตาของเขามีแววขี้เล่นเล็กน้อย เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและชนกับแก้วของเธอเบา ๆ เสียงแก้วกระทบกันดังกังวานแผ่วเบา เขากล่า
บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำของเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บรรยากาศดูเงียบขรึม แต่แฝงไปด้วยชั้นเชิงของบทสนทนาหลังจากเสร็จสิ้นคดีความในศาล พวกเขาได้รับเชิญมาทานอาหารที่บ้านของ เจ้าสัวชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเจมส์ นั่งนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะ ท่าทีสงบเสงี่ยม แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดจากปัญหาครอบครัว แต่เขายังคงเก็บซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน สีหน้าของเขาเรียบเฉย เหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมไม่มีสิ่งใดสื่อถึงความวุ่นวายในหัวใจเสียงพูดคุยดังแว่วไปทั่วโต๊ะอาหาร เสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ สลับกับเสียงแก้วไวน์ที่ถูกยกขึ้นชนกันเป็นครั้งคราว บรรยากาศโดยรอบดูผ่อนคลาย แต่หากสังเกตให้ดี ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยนัยแฝง"แอลซ่าเก่งมากจริงๆ""ถ้าไม่ได้เธอ คดีอาจไม่เป็นแบบนี้""ข้อมูลที่เธอหามาแนบเนียนจนอีกฝ่ายโต้แย้งไม่ออก สมแล้วที่เป็นคนของเจ้าสัว"เสียงชื่นชมดังขึ้นเป็นระยะจากผู้บริหารหลายคนที่ร่วมโต๊ะ ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะอาหารสุดหรูแอลซ่ารับฟังคำชื่นชมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน แววตาเปล่งประกายความพึงพอใจ เธ
ไฟนีออนสีขาวนวลส่องสะท้อนกระจกหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่ง รถกระบะสีดำคันหนึ่งหยุดลงตรงหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลงอย่างรวดเร็ว ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ลูคัสเปิดประตูก้าวลงมา เท้าของเขาแตะลงบนพื้นด้วยจังหวะหนักแน่นไม่มีอารมณ์ใดๆ สะท้อนออกมา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่วุ่นวายลูคัสเดินเข้าร้านด้วยท่าทีเคยชิน ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่เขามาเยือนนับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และอุปกรณ์ตกปลาคละคลุ้งในอากาศ เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่วเบา แต่ไม่มีใครในร้านหันมาสนใจ พนักงานหลังเคาน์เตอร์เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาสั้นๆ เป็นการทักทายที่ไม่ต้องใช้คำพูดลูคัสตอบรับด้วยการยกมุมปากเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ที่อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเดินลึกเข้าไปในร้าน ฝ่าแถวเบ็ดตกปลาและกล่องเหยื่อล่อที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางสินค้าธรรมดาเหล่านี้ ซ่อนบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาเอาไว้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ บานหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่สำหรับคนที่รู้...ที่นี่คือทางเข้าไปสู่ธุรกิจที่แท้จริงของเขาลูคัสเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ด้านหลังนั้น
หลังการพิจารณาคดีในศาล บรรยากาศหน้าอาคารยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวหลายสิบชีวิตกรูเข้ามา เสียงคำถามดังระงมราวกับฝนที่เทกระหน่ำ กล้องและไมโครโฟนพุ่งเข้าหาเจมส์และแอลซ่า ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากประตู"คุณเจมส์ครับ ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับคุณแอลซ่าเป็นความจริงหรือเปล่า?""ความคืบหน้าของคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่?"เจมส์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตากวาดมองกลุ่มนักข่าวแล้วยกยิ้มมุมปาก อย่างใจเย็น แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา จากริมฝีปากของเจมส์ ดวงตาที่เรียบนิ่งของเขาเลื่อน มองแอลซ่า แวบหนึ่ง แล้วก้าวผ่านนักข่าวไปอย่างสุขุม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนให้ตั้งคำถาม..แอลซ่า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลุ่มนักข่าวที่พยายามซักถามเธออย่างดุดัน เจมส์เดินเคียงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ดีว่า ยิ่งพูดน้อย ยิ่งปลอดภัย ท่ามกลางความวุ่นวายที่รายล้อมทั้งสองก้าวตรงขึ้นรถตู้สีดำทึบที่ติดเครื่องอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของพวกเขาหนักแน่นและไร้ความลังเลเสียงประตูรถปิดดัง "ปัง" ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกทันที เจมส์นั่งนิ่ง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสงบจิตใจ ในข
แสงอ่อนของเช้าตรู่ ทอประกายบางเบาผ่านม่านโปร่งที่พลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับโลกยังคงหมุนไปอย่างสงบสุข ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นอิมิลี่ ยืนอยู่ที่ระเบียงไม้เก่า บ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงบ เสียงนกร้อง แว่วมาเป็นระยะ ผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งไกลๆ เกิดเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่ควรปลอบประโลมจิตใจแต่ในเวลานี้... มันกลับไม่ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ท่ามกลางยามเช้าที่ดูสดใส รอยฟกช้ำ บนแขนและไหล่กลับเป็นเครื่องเตือนถึงเหตุการณ์ที่เธอพยายามลืม แต่มันก็ฝังลึกอยู่ในความคิด ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความระแวง เธอขยับแขนเบาๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำอันคลุมเครือดวงตาของอิมิลีเพ่งลงไปที่กระดาษใบเล็กในมือ กระดาษแผ่นเดียวที่อาจไขปริศนาของเหตุการณ์นั้นได้ มันมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกัน และอักษรย่อ "A" เขียนไว้ด้วยหมึกสีน้ำเงินตรงมุมขวานิ้วมือของเธอสั่น ราวกับก้อนหินหนักๆ ที่กดทับไว้ ขณะกดหมายเลขโทรศัพท์ตามที่ปรากฏบนกระดาษ แล้วหันมองไกลออกไป ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งเกินไปสำหรับเช้าที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปั่นป่วน อิมิลี่แนบโท
ยามเย็นริมทะเล แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองบนผืนน้ำ อิมิลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก ๆ ใต้ต้นมะพร้าวริมทางเดิน เธอกำลังวาดภาพลูกค้าสาวด้วยความตั้งใจ สายลมทะเลพัดผ่านเบา ๆ เส้นผมของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองลูกค้าที่นั่งเป็นแบบอยู่ตรงหน้า ด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ริมชายหาด มีหญิงร่างใหญ่สองคนในชุดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นมืออาชีพสายสืบหรือรับจ้างพิเศษ ปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สายตาของพวกจ้องไปที่อิมิลี่โดยไม่ละสายตา ใบหน้าของพวกเธอแข็งกร้าว ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญ หนึ่งในนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พลางคุยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง "คิดว่า น่าจะเจอเธอแล้ว"หล่อนพูดเสียงเบา ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยเจตนาที่ฟังดูอันตราย "แค่… เบา ๆ ก็พอ อย่าให้เรื่องใหญ่" หญิงที่โทรรายงาน เมื่อวางสายลง ดวงตาของเธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างแน่วแน่ ภาพถ่ายของอิมิลี่ ปรากฏเด่นชัดบนจอ ราวกับถูกดึงตรงมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ เธอหรี่ตามองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตากับเพื่อนร่วมทีมข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำแต่หนักแน่น "คนนี้แห
รถสปอร์ตคันหรูแล่นไปตามถนน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มต่ำอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ช่วยให้ความคิดในหัวของเจมส์สงบลงเลยสักนิด มือขวาของเขาจับพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วซีด ราวกับพยายามควบคุมบางอย่างที่กำลังหลุดลอยไปอีกมือหนึ่งพิมพ์ข้อความสั้น ๆ “ขอโทษ” ส่งถึง อิมิลี่ คำเพียงคำเดียว สั้น กระชับ แต่หนักแน่นในความรู้สึก ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้แม้ข้อความจะถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกผิดกลับไม่ได้ลดน้อยลง ความคิดของเขาวิ่งวนไม่หยุด ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำราวกับฟิล์มเก่าที่ฉายซ้ำ เขาอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมัน แต่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า บนถนนทอดยาวตรงไปสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางนั้นคล้ายกับถนนสู่คำตอบที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าความเงียบภายในรถยิ่งขยายเสียงความคิดในหัวให้ดังก้องมากขึ้น ทุกความรู้สึกผิดถูกสะท้อนกลับมาจนชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเจมส์รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง แม้เขาจะรู้ดีว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ หัวหิน แต่ปลายทางของชีวิตเขากลับพร่ามัวเหมือนหมอกหนาทึบที่บดบัง
เสียงเครื่องยนต์เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงความสงบเมื่อรถทัวร์จอดนิ่งสนิทเทียบชานชาลา อิมิลี่ก้าวลงจากรถ นิ้วเรียวปรับสายกระเป๋าสะพายบ่าให้แน่นขึ้น เป็นการกระชับสิ่งเดียวที่ให้ความมั่นคงในเวลานี้ สายตาของเธอกวาดมองโดยรอบ ..ภาพเบื้องหน้าไม่เหมือนเดิม... “ทุกอย่างเปลี่ยนไป..." เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการย้ำเตือนให้ตัวเธอเองยอมรับความจริงนี้ให้ได้เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความเจริญ ร้านค้าและคาเฟ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถนนกว้างขึ้น รถราวิ่งขวักไขว่ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ ไม่มีใครจำเธอได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อน..กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกังวานเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูร้านของชำเล็กๆ ริมถนนเพื่อแวะซื้อของเล็กน้อยก่อนเข้าไปยังบ้านที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่า จะเหมือนเดิมไหม แต่ที่นี่ ที่ดูจะหลงเหลือความเก่าแก่ไว้ท่ามกลางเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ชั้นวางไม้เรียงรายด้วยขวดแยมสัปปะรดโฮมเมดและขนมอบต่างๆ กลิ่นขนมปังอบอ่อนๆ กับเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้เธอหวนนึกถึงวัยเด็ก อิมิลี่กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบๆ ทันใด
บรรยากาศภายในคอนโดหรูเงียบสงัดเกินกว่าที่เคยเป็น เสียงฝีเท้าของอิมิลี่ที่ก้าวออกไปยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเจมส์ ที่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังกับความรู้สึกผิดหนักหน่วงราวกับก้อนหินบดขยี้หัวใจจนป่นปี้ ดวงตาของเขา หยุดมอง ภาพแต่งงาน บนโต๊ะกระจก รูปถ่ายที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของคำสัญญา และความฝันที่พวกเขาเคยวาดไว้ร่วมกัน บัดนี้ มันกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตที่กำลังหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา..เขาจ้องมันนิ่ง น้ำตาคลอเต็มหน่วยตา สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น ร่างพิงกับผนังเย็นเฉียบ ราวกับว่ามันดูดกลืน ความอบอุ่นทั้งหมดออกจากร่างกายของเขาไป“เธอไปแล้ว… และเธอคงไม่กลับมาอีก” ในสมองของเขายังวนอยู่กับคำนี้ซ้ำๆ แต่ในระหว่างนี้เสียงมือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเป็นระยะๆ แสงจากหน้าจอกระพริบเป็นจังหวะ ข้อความจากแอลซ่า ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้แต่เขากลับ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเพราะสิ่งที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขาคือคำพูดสุดท้ายของอิมิลี่"พอกันที เจมส์"เสียงของเธอหนักแน่น เด็ดขาด และเย็นชาเกินกว่าที่เขาจะหาเหตุผลใดๆ
"ตึง... ตึง... ตึง..."เสียงระฆังโบสถ์ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงการจากลาอย่างเป็นทางการ ภายในโบสถ์อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า แสงเทียนที่ถูกจุดเรียงรายให้ความสว่างเรืองรอง แต่กลับมิอาจขับไล่ความหม่นหมองที่ปกคลุมหัวใจของผู้ร่วมงานได้กลิ่นกำยานลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงสวดมนต์แผ่วเบา ทุกสายตามองไปทางเดียวกันยังโลงศพที่วางอยู่กลางโบสถ์ มันคือจุดสิ้นสุดของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่ตอนนี้... กลับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าและความอาลัยอิมิลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เธอเงยหน้ามองแท่นพิธี ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับปะทุขึ้นมาไม่หยุดในมือถือดอกลิลลี่สีขาวไว้แน่น แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวานในความเงียบ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพ ค่อยๆ วางดอกไม้ลงข้างๆ ด้วยมือที่สั่นไหว"ลาก่อนนะ ซาร่า..." เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ราวกับหวังว่าลมจะพัดพาคำพูดนี้ไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกที่เธอไม่มีวันก้าวไปถึง………….เมื่อพิธีสิ้นสุดลง แขกเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ ท่ามกลางเสียงกระซิบ