ช่วงเวลานี้เจมส์กำลังพยายามที่จะพยุงสถานะของคำว่า "สามีที่ดี" ให้มั่นคงขึ้น เขาจับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวลเป็นระยะๆระหว่างขับรถเพื่อจะไปร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรูที่เขาตั้งใจเลือกมาเพื่อปรับความสัมพันธ์
บรรยากาศภายในอบอุ่นด้วยแสงไฟโทนสีทอง โต๊ะที่ถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถันมีผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดและจานอาหารที่วางอย่างลงตัว มันดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวจากเจมส์ที่เขาพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สำหรับอิมิลี่ บางทีสิ่งนี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเธอเมื่ออาหารถูกรินราดด้วยซอสและจัดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมเย้ายวนจากเมนูหลากหลายชนิดกระจายไปทั่วบริเวณ ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ก่อนที่เจมส์จะได้สัมผัสส้อมหรือลองชิมรสชาติของอาหาร เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นแทรกความเงียบเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ "แอลซ่า" เขาเอ่ยชื่อเธอในลำคอ
เจมส์เหลือบมองอิมิลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอก้มหน้ามองจานของตัวเอง ราวกับพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เจมส์สังเกตเห็นรอยหม่นในดวงตาของเธอ
เขาลังเลเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ “อิมิลี่ เดี๋ยวผมมานะครับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงพยายามทำให้เป็นปกติ พร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ ที่ไม่อาจซ่อนความรู้สึกผิดในแววตา
อิมิลี่พยักหน้าเบา ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เธอจับส้อมในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เจมส์เดินออกไปทางสวนของร้านอาหารที่ปูด้วยพื้นหินเรียงราย เธอเหลือบมองตามหลังเขาผ่านกระจกใส เขายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูและเริ่มพูดคุย ท่าทางของเขาดูจริงจังจนยากจะละสายตาจนแทบจะอดคิดไม่ได้ ว่า “คุยกับใคร”
เจมส์ถือโทรศัพท์แนบหู ขณะยืนอยู่ด้านนอกของร้านอาหาร เสียงของแอลซ่าผ่านสายมีน้ำเสียงที่หนักแน่นและชัดเจน ราวกับสะกดความสนใจของเขาให้ไม่อาจละสายตาไปมองอิมิลี่ที่อยู่ด้านในร้านผ่านกระจกใส
“คุณเจมส์คะ บริษัทของเราจะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทรับเหมาก่อสร้างเนื่องจากผิดสัญญาส่งมอบงานและการสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานจนถูกลูกค้าฟ้องร้องบริษัทของเราซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และยอดขายของเราอย่างมาก” แอลซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พรุ่งนี้เช้าจะมีการประชุมใหญ่ของทุกฝ่าย และอยากให้คุณเจมส์เข้าร่วมเพื่อช่วยวางแผนจัดการเรื่องนี้ค่ะ”
เจมส์เงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่หัวสมองของเขาหมุนเร็วพยายามประเมินสถานการณ์ เขารู้ดีว่านี่เป็นงานใหญ่ซึ่งเขาในฐานะทนายของบริษัทซึ่งสำคัญมาก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาที่เขาควรมีให้กับภรรยาบ้างด้วยเช่นกัน..
“ได้ครับ ผมจะเตรียมตัวและเข้าประชุมตามที่แจ้ง” เขาตอบในที่สุด แม้ในใจจะรู้สึกถึงความขัดแย้งที่กำลังก่อตัว“มีเรื่องสำคัญไหมคะ?” อิมิลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาของเธอบ่งบอกถึงความกังวล เมื่อเจมส์เปิดประตูกระจกกลับเข้ามา
“เรื่องงานครับ แต่ไม่มีอะไรให้กังวล” เจมส์ตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะนั่งลงประจำที่ เขาหยิบช้อนส้อมขึ้นมา เริ่มรับประทานอาหาร พลางพยายามทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายลงด้วยการตักอาหารใส่จานของอิมิลี่ด้วยท่าทีเอาใจ “ลองนี่ดูสิครับ คุณน่าจะชอบ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและเจือด้วยความตั้งใจ
อิมิลี่มองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ รอยตึงเครียดในสีหน้าเริ่มคลายออกทีละน้อย การเอากอกเอาใจ ของเจมส์ราวกับสายลมเย็นพัดผ่านหัวใจเธอ
…………หลังจากทั้งสองได้ปรับสัมพันธ์ รอยยิ้มเล็กก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่ เจมส์จูงมืออิมิลี่ก้าวเข้ามาในคอนโดที่เงียบสงบ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาตรงไปยังครัวอย่างมั่นใจ หยิบขวดไวน์ชั้นดีที่ตั้งอยู่บนชั้น เปิดมันด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ไวน์สีแดงเข้มค่อย ๆ ถูกรินลงบนแก้วคริสตัลสองใบ แสงไฟอ่อน ๆ ภายในห้องสะท้อนกับผิวแก้ว เปล่งประกายละมุนตา ก่อนที่จะเดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียง วางแผ่นลงอย่างระมัดระวัง เสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาและอบอุ่นดังก้องไปทั่วห้องเขาเดินกลับมาหาอิมิลี่ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์ ยื่นมันให้เธอราวกับเขากำลังสร้างบรรยากาศที่โรแมนติกเพื่อย้อนกลับไปเมื่อ10ปีก่อนตอนยังข้าวใหม่ปลามัน เธอรับแก้วไวน์ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยจากความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจ
เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิดมองตาเธอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย ว่าคืนนี้ เราจะเริ่มกันใหม่ ในบรรยากาศเดิมๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป พร้อมรอยยิ้มที่เผยความนุ่มนวล
“เต้นรำกับผมหน่อยได้ไหม?”อิมิลี่ไม่ได้ลังเล เธอพร้อม วางมือลงบนมือของเขา เจมส์ดึงเธอเข้ามาใกล้ จับมือข้างหนึ่งและโอบเอวเธอด้วยอีกข้าง
ทั้งคู่เริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง เสียงดนตรีเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงความรู้สึกของพวกเขาให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง
เสียงเพลงคลาสสิกยังคงบรรเลงแผ่วเบาในห้องที่อบอวลด้วยแสงไฟสีอุ่น เจมส์จับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวล พาเธอไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่ที่นุ่มฟู เขาจ้องรอยยิ้มของเธอ พลางเคลื่อนมือ มือแตะไหล่ของเธอเบา ๆ “คุณรู้ไหม ผมอยากให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่พิเศษ” ริมปากของเจมส์กระซิบ ข้างใบหูอิมิลี่อย่างแผ่วเบาแล้วเลื่อนไล้ซอกคอของเธออย่างอ่อนโยน เสียงเพลงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเป็นเหมือนฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับช่วงเวลานี้
เจมส์เลื่อนมือสัมผัสผิวเนียนละเอียดของอิมิลี่มือหนาซุกซนทุกจุดสัมผัสเขาพยายามปลุกเร้าอารมณ์ของตัวเองให้ลุกโชนดั่งไฟราคะ ดันร่างเธอลงบนเตียง เลื่อนมือสัมผัสขาเรียวเคลื่อนลงเท้าเล็กเรียว มือหนาลูบไล้เคล้นอารมณ์แต่ท่อนชายของเขากลับสวนทางกับการกระทำเขาพยายามพลิ้วไหวให้เขากับจังหวะเพลงแต่ทันใดนั้นเสียงรองเท้าส้นสูงกลับดังก้องเป็นจังหวะหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสั้นท่าทางมั้นใจคนที่เขาพบเมื่อคืนก่อน ใบหน้าของ แอลซ่า ลอยขึ้นมาทันทีเพียงแค่เขาจินตนาการถึงเธอ ความรู้สึกที่ดับไปกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นร่างกายตอบสนองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาแต่แทนที่เขาจะมีความสุขและโล่งใจ กลับรู้สึกผิด ความคิดในหัววนเวียนอย่างไร้ทิศทาง
เขาชงักแล้วขยับตัวออกจากร่างมิลิมี่เล็กน้อยเพราะความสับสนในใจของเขาก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงบรรยากาศที่เคยอ่อนโยนและอบอุ่นพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน เธอเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัยและเอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เจมส์หลบสายตาของเธอ สายตานั้นไม่สามารถปิดบังความคิดที่ซ่อนอยู่ได้ แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเลี่ยงประเด็น
“เปล่า…”
อิมิลี่ยังคงมองเขาอยู่ แม้จะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่คลืบคลานเข้ามา เจมส์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดขึ้นเพื่อปิดบทสนทนา
“เดี๋ยว ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เจมส์พูดจบก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ เสียงประตูปิดเบา ๆ แต่ในหัวเขาเต็มไปด้วยความคิดที่ขัดแย้ง
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง?
เขาพิงผนังห้องน้ำ สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจ แต่ภาพหญิงสาวในชุดสูทและรองเท้าส้นสูงยังตามหลอกหลอน ความร้อนแรงของเธอทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่น ความรู้สึกผิดทับถมในขณะที่เขาเริ่มตั้งคำถามถึงชีวิตแต่งงานของตัวเอง เรื่องบนเตียงกับอิมิลี่มันจืดชืดเกินไปหรือ? เสียงน้ำจากฝักบัวไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเขาสงบลงเลย กลับกลายเป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ปะทุขึ้นในใจก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เขาสะดุ้งจากห้วงความคิด“เจมส์?” เสียงของอิมิลี่เจือด้วยความเป็นห่วง เธอเคาะประตูอีกครั้ง
เขารวบรวมสติ รีบตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามให้ปกติที่สุด
“เดี๋ยว ผมกำลังจะออกไป อิมิลี่”แกรก ! เสียงของประตูเสื้อผ้าเปิดออกเบาๆ ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดยามรุ่งสาง เจมส์ยืนอยู่หน้า ตู้เสื้อผ้าที่แง้มออก ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเขาอยู่ในเงามืด ดวงตาเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความลังเล มือของเขาหยิบเสื้อแจ็กเก็ตออกมาพร้อมกับกางเกงที่พับไว้อย่างเรียบร้อยแสงไฟที่ลอดมาจากหน้าต่างเผยให้เห็นเงาร่างของอิมิลี่ที่พลิกตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง เธอสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนั้นปลุกเธอให้หลุดจากความหลับใหล“เจมส์... คุณกำลังจะไปไหนแต่เช้า” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“ผมมีประชุมเช้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ก็ฟังดูเหนื่อยล้า “งานสำคัญ... คดีใหญ่ ผมต้องรีบไป อิมิลี่”ขณะที่เขากำลังติดกระดุมเสื้อและดวงตาเขาจับจ้องไปยังเสื้อแจ็กเก็ตที่แขวนอยู่ในมือคำพูดนั้นตรงไปตรงมา แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในอากาศ เสียงกุกกักของเข็มขัดที่เขารัดเอวเพิ่มความอึดอัดให้กับห้อง อิมิลี่มองตามเขา ดวงตาของเธอแสดงความลังเล แต่คำถามที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่ในลำคอ“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถามเบาๆ น้ำเสียงที่แฝงความกังวลและไม่เข้าใจ เจมส์หยุดมือชั่วขณะ ก่อนจะดึงเสื้อแจ็กเก็ตมาสวม ขยับไหล่เล็กน้อยให้เข้
บนตึกสูงที่ผนังกระจกใสรอบด้านเผยให้เห็นวิวทะเลอันกว้างไกล ซึ่งห่างจากเมืองหลวง ประมาณ 3 ชั่วโมงเจมส์นั่งร่วมประชุม ท่าทางสุขุมและจริงจังในฐานะทนายของบริษัทซึ่งกำลังหารือประเด็นสำคัญร่วมกับทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัทรับเหมาแห่งหนึ่ง …. “ตอนนี้บริษัท ของเราเสียหายอย่างหนัก ลูกค้ามากว่าครึ่งต้องการเงินคืน จากการผิดนัดการส่งมอบบ้านตามกำหนด และกำลังเป็นวงกว้าง เมื่อบ้านที่สร้างใช้วัสดุ ต่ำกว่ามาตรฐาน จนทำให้มีการพังถล่มลงมา จากพายุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อน” หนึ่งในกรรมการของบริษัทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล พลางเคาะนิ้วลงบนเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ประกอบกับถาพถ่ายของบ้านที่พังถล่มลงมา ……... เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง บรรยากาศเคร่งเครียดในห้องเริ่มผ่อนคลาย แอลซ่า เลขานุการของบริษัท เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอกสารในมือ เธอวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อย“ คุณเจมส์ คะ นี่คือข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประเด็นค่ะและ ฉันคิดว่าคุณเจมส์ควรไปดูสถานที่จริง เพื่อเข้าใจปัญหาให้ละเอียดขึ้น” แอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงสุภา
บนถนนที่ทอดตัวผ่านป่าและสวนเขียวชอุ่ม เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์หรูสีดำดังแผ่วเบาเหมือนกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้าง แอลซ่านั่งอยู่บนเบาะหนังข้างเจมส์ ท่าทางของเธอมั่นใจพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางข้างหน้า "ใช้ทางนี้ดีกว่าค่ะ ทางลัดเข้าด้านหลังของโครงการ" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความแน่ใจและผ่อนคลายเจมส์ปรายตามองไปตามทิศที่เธอบอก ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนพวงมาลัยอย่างนุ่มนวล รถคันหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่ถนนสายเล็กที่ราวกับถูกลืมเลือนจากกาลเวลา ทั้งสองข้างทางถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านหนาแน่นปกคลุมเป็นอุโมงค์ แสงแดดลอดผ่านใบไม้ลงมาราวกับภาพวาดอันละเอียดอ่อน เสียงใบไม้กระทบกันแผ่วๆ กับสายลม ทำให้บรรยากาศดูเหมือนฉากในนิยายที่อบอุ่นและลึกลับในเวลาเดียวกันแต่ความสงบนั้นอยู่ได้ไม่นาน เสียง "ปึ้ง!" ดังสนั่นจากใต้ท้องรถทำให้ทุกอย่างชะงัก เจมส์รีบเหยียบเบรก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เขาหันมามองแอลซ่า ดวงตาเบิกกว้าง“ผมว่าเรามีปัญหาแล้วละครับ” เจมส์กล่าวเสียงหนักแน่นแต่เสียงสะท้อนถึงความกังวลพลางหักพวงมาลัยนำรถจอดเข้าข้างทางใต้เงาป่าทึบเขาเปิดประตูและก้าวลงจากรถทันที เสียงรอง
ที่ร้านภาพ The Brushstrokeเสียงกระดิ่งหน้าประตูดัง กริ๊ง กริ๊ง ขณะที่หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้าเนื้อดีสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอแต่งแต้มอย่างปราณีตเข้ากับผมลอนสีดำที่จัดเรียงอย่างไร้ที่ติ สายตาเธอกวาดมองรอบร้านพลางขาก้าวเป็นจังหวะดังก้องรอบห้อง ราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่มีความหมายที่สุด“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง” เลโอก้าวออกมาจากเคาน์เตอร์ “มีอะไรให้ผมแนะนำไหมครับ?แต่เหลือเวลาอีก 15 นาทีร้านจะปิด” เขากล่าวพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเธอหันมามองเขาด้วยดวงตาคมกริบ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันกำลังมองหาภาพวาดที่เป็นชายหนุ่ม ราวกับหลุดออกมาจากนิยาย”แต่สายตาของเธอหยุดที่ใบหน้าเลโอชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพวาดที่จัดแสดงอยู่รอบตัว “แต่ภาพพวกนี้... ไม่มีวิญญาณ ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น ”ในขณะนั้น อิมิลี่ ก้าวแหวกม่านจากห้องด้านหลังออกมา“สวัสดีค่ะ คุณอลิซซาเบธ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” อิมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอจำลูกค้าคนนี้ได้ดี อลิซซาเบธเป็นลูกค้าชั้นสูงของแ
พลบค่ำในบาร์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆร้านภาพวาดบรรยากาศที่อบอุ่น เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงเบา ๆ จากมุมเวทีเติมเต็มบรรยากาศอันสบายใจ โต๊ะอาหารที่อิมิลี่และเลโอนั่งอยู่ถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ แสงไฟอุ่น ๆ ส่องกระทบแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเลโอนั่งฝั่งตรงข้ามของอิมิลี่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย สายตาของเขาสำรวจบรรยากาศรอบตัว ก่อนจะกลับมาจดจ่อที่หญิงสาวตรงหน้า“ฉันว่าเคยเห็นคุณที่ไหนสักแห่งนะ” อิมิลี่พูดขึ้น หลังจากรออาหารที่สั่งถูกเสิร์ฟ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยเลโอเลิกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มบาง “อาจจะใช่ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่สายตาที่เขาจ้องมองเธอแฝงไปด้วยความลึกลับ ราวกับเขากำลังซ่อนความลับบางอย่างไว้อิมิลี่จ้องนัยน์ตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามอ่านความหมายในคำพูดของเขา แต่สุดท้ายเธอก็ยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ “แต่ยังไงก็ช่างเถอะ”เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาชู พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการมานั่งเป็นเพื่อนทานอาหารเย็นมื้อนี้ค่ะ”เลโอยิ้มยิ้มมุมปาก สายตาของเขามีแววขี้เล่นเล็กน้อย เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและชนกับแก้วของเธอเบา ๆ เสียงแก้วกระทบกันดังกังวานแผ่วเบา เขากล่า
“แอลซ่า” เจมส์เอ่ยชื่อเธอเบา ๆ ราวกับกลั่นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจแต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความปรารถนาแอลซ่าหันกลับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก ดวงตาที่เป็นประกายของเธอจับจ้องเขา ราวกับรอฟังคำพูดต่อไป“ผมชอบคุณนะ แอลซ่า” เจมส์พูดออกมาแต่เสียงนั้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นก่อนที่เธอจะตอบอะไร ริมฝีปากของเขาก็บดเบียดเข้ากับริมฝีปากบางของเธออย่างดูดดื่ม ความอ่อนโยนและความร้อนแรงผสมผสานกันในจุมพิตนั้น แอลซ่าหลับตาลง มือเลื่อนขึ้นมาวางบนบ่าของเจมส์ ก่อนจะดึงเขาเข้ามาใกล้ เธอดันลิ้นอุ่นแลกรสให้เจมส์ได้สัมผัสราวกับการตอบรับว่า เธอ ชอบเขาด้วยเช่นกันแอลซ่าค่อย ๆ เลื่อนมืออีกข้างไปจับแขนของเขา ดึงร่างเจมส์เคลื่อนเข้ามาในบ้าน เสียงประตู ปิดลง ปัง!แสงไฟจากโคมไฟหน้ารถ ส่องลอดเข้าผ่านม่านให้เห็นเพียงเงาลางๆแอลซ่าเลื่อนนิ้วเรียวปลดกระดุมเสื้อที่รัดให้ผ่อนคลายเผยเนินอกทีเต่งตูมในบราลูกไม้สีแดงนันย์ตาที่เร่าร้อนแห่งไฟราคะราวจะเขมือบชายหนุ่มที่ยืนสองขาอยู่เบื้องหน้า หัวใจของเจมส์เต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก เมื่อนิ้วเรียวไถลเคลื่อนต่ำลูบท่อนเอ็นขึ้นลง เขาไม่เคยสัมผัส อารมณ์ความร้อนแรงแบบนี้ท่อนรักของเจมส์จา
ในห้องที่เงียบสงัด อิมิลี่ก้าวออกมาจากห้องอาบพร้อมผ้าขนหนูพันกาย เส้นผมชุ่ม หยดน้ำไหลลู่ลงมาปลายเส้นผมราวกับสายฝนที่เกาะปลายใบหญ้า ในมือของเธอถือนิตยสารเพลย์บอยของเจมส์ไว้ สายตาที่มองมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจโดยไม่ปิดบัง เธอยกมันขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโยนลงไปในถังขยะที่ตั้งอยู่มุมห้อง เสียงกระดาษกระทบกับถังโลหะ ดัง แกรก !เบาๆ แต่กลับดังก้องสะท้อนในห้องอันเงียบงันเธอหายใจออกแรงๆ คล้ายพยายามระบายความหงุดหงิด แล้วก้าวตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์มือถือไว้ เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น“ตริ้ง ตริ้ง ตริ้ง…” อิมิลี่หยิบมือถือขึ้นมาดู เบอร์แปลกตาปรากฏบนหน้าจอ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกดรับสาย“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ“หนูแอนค่ะ น้องสาวซ่าร่า… พี่อิมิลี่ใช่ไหมคะ?” น้ำเสียงของเด็กสาวสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยความเร่งรีบ“ซ่าร่าอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ค่ะ! เธอถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวเมื่อคืนก่อน ยังไม่ได้สติเลยค่ะ พี่จะมาเยี่ยมเธอได้ไหม?”คำพูดนั้นทำให้อิมิลี่รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย“ว่าไงนะ ซ่าร่า...” เธอพึมพำกับตัวเอง แต่รีบรว
หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมซาร่าที่โรงพยาบาล อีมิลี่ก็เดินทางมายังงร้านภาพ The Brushstroke ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้ภายนอกร้านจะดูอบอุ่นด้วยแสงไฟสีทองที่ส่องออกมาจากหน้าต่างบานใหญ่ แต่สำหรับเธอ มันแทบไม่อาจทำให้ความรู้สึกหนักในใจนั้นเบาบางลง มือเรียวของเธอผลักประตูไม้เก่าที่แฝงเสน่ห์อย่างมีศิลป์ สียงกระดิ่งเล็ก ๆ บนประตูดังขึ้นเบา ๆ คล้ายจะต้อนรับการมาถึงของเธอ เมื่อเธอก้าวเข้ามาในร้าน หัวใจเธอเหมือนหยุดเต้นชั่วขณะ เมื่อสายตาแรกจับจ้องไปที่ผู้หญิงสวมชุดผ้าไหมสีน้ำทะเลช่างเปล่งออร่าอันสง่างามเกินเอื้อม พลางเอ่ยชื่อเบาๆในลำคอ “คุณหญิง อลิซซาเบธ”ชุดผ้าไหมทีหรูหราที่ท่านผู้หญิงสวมนั้น เนื้อผ้าเรียบลื่นจับจีบอย่างประณีต ผมของเธอถูกจัดแต่งอย่างไร้ที่ติเธอยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางร้าน ทว่าดวงตาคมกริบกลับจ้องไปที่อิมิลี่เพียงผู้เดียว สายตานั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและมั่นใจ สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของผู้หญิงที่รู้ในสิ่งที่ต้องการและไม่ลังเลที่จะเรียกร้องมันอิมิลี่รู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านในอากาศ การปรากฏตัวของคุณหญิงอลิซาเบธไม่ได้เปลี่ยนเพียงบรรยากาศในร้าน แต่ยังเหมือนเป็นสัญญาณว่า มีบางส
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ
“จัดการได้เลย...” เสียงคำสั่งแผ่วต่ำแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ แทรกผ่านสัญญาณไร้สาย ส่งตรงถึงเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า ร้าน แอลฟิชชิ่งช้อป ในความมืดนั้น ร่างสูงในชุดดำแนบสนิทกับเงา ดวงตาเขาเย็นเฉียบ จ้องเป้าหมายตรงหน้าไม่กะพริบ ไม่มีความลังเล ไม่มีคำถาม มีแต่ "คำสั่ง" ที่ต้องทำให้เสร็จภายนอก...ดูเงียบงันเหมือนป่าที่ไร้ลม แต่ภายในร่างชายชุดดำ ไฟแค้นลุกไหม้ราวภูเขาไฟใกล้ระเบิด หัวใจเต้นเป็นจังหวะรอการลงมือ เขารอเวลานี้มานาน... เวลาที่จะลบศัตรูทั้งร้านนี้ไปจากแผนที่ไฟแช็กอยู่ในมือ เชื้อเพลิงวางเรียงรายรอบร้านและลังสินค้า ระเบิดตั้งเวลาแอบไว้หลังถังแก๊สคืนนี้...มันจะกลายเป็นแค่ซากเถ้าถ่านแต่ทันใดนั้น—เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากปลายถนน ในความเงียบของยามเช้ามืด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นคอนกรีตชื้นจากน้ำค้าง กลายเป็นจังหวะที่ฟังดู...ไม่ธรรมดา กึก... กึก... กึก...เลโอ เดินกลับมา แสงไฟถนนสลัวสีส้มทอดเงาเขายาวเหยียดบนทางเท้า อากาศเย็นเฉียบ ราวกับลมหายใจของเมืองกำลังกลั้นไว้บางอย่างเขาหรี่ตามองไปข้างหน้า เห็นเงาร่างหนึ่งยืนหลบมุมใกล้ร้าน ชายคนหนึ่ง... ท่าทางไม่คุ้น ยืนนิ่งเหมือนก
“ด่วนเลยค่ะ ไปสนามบินด่วนค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้คนขับไม่ถามอะไรอีกทันทีที่รถเคลื่อนตัว อากาศในรถก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างเงียบเฉียบจนน่าขนลุก เสียงลมหายใจของแอลซ่าเบาแต่หนักอึ้ง คล้ายกับความกังวลที่ก่อตัวในอก ………….เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่รถกำลังแล่นผ่านดูแปลกตา… ไม่ใช่เส้นทางที่ควรจะไปสนามบินแน่ๆหัวใจของเธอกระตุกวูบ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกผิว “ไม่ใช่ทางนี้นิ...” เธอพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอให้คนขับได้ยินไม่มีคำตอบเธอขยับตัวนิดหน่อย มองไปยังกระจกหน้าอีกครั้ง ถนนยังคงทอดยาวไปในทางที่เธอไม่รู้จัก “ไป...ทางนั้นสิ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่ให้สั่นไหวรถยังคงแล่นต่อ โดยไม่มีการชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง“ฉันบอกให้จอด!” ครั้งนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แฝงด้วยความหวาดกลัวและสัญชาตญาณเอาตัวรอดเงียบ...ความเงียบที่ตามมาทำให้ทุกอย่างดูอันตรายขึ้นทันตา ความเย็นวาบไหลผ่านสันหลังของเธอ ราวกับเธอกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ไม่มีทางย้อนกลับชายคนนั้นยังคงเงียบสนิท เขาไม่พูด ไม่ตอบแม้แต่คำเดียวรถแล่นผ่านทางแยกที่ควรจะเลี้ยวไปสนามบิน...แต่เขากลั
รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน แอลฟิชชิ่ง ช็อป แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนกระจกหน้าร้านเป็นเงาวูบวาบไหวไปมาในความมืด แต่เลโอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาแห่งนั้นเลยสักนิดเขาเปิดประตูรถด้วยท่าทางร้อนรน ลมกลางคืนพัดวูบพาไอเย็นกระทบผิวกาย กลิ่นชื้นของทะเลลอยแผ่วมากับลม แต่เขาไม่หยุดสูด กลับเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาแน่ใจ—หรืออย่างน้อยก็หวัง—ว่ามันคือบ้านของอิมิลี่ก้าวเท้าหนักแน่นแต่แฝงความลังเล ทุกย่างก้าวดังชัดเจนในความเงียบงัน หัวใจเขาเต้นถี่แรงเหมือนจะระเบิดออกจากอก ความรู้สึกบางอย่างบีบคั้นอยู่ในอก ทั้งกลัว ทั้งหวัง ทั้งเจ็บเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูแผ่วเบา—ครั้งหนึ่ง แล้วอีกครั้งไร้เสียงตอบรับ
ภายในห้องนอนที่เงียบงัน แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องสว่างเพียงเล็กน้อย เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวบนผนังราวกับคอยเฝ้ามองความเงียบของค่ำคืนเลโอ นั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงคิ้วขมวดแน่น ดวงตาหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้า — เพราะไม่อาจสลัดความกังวลออกจากใจได้ เรื่องของอิมิลี่เมื่อวันก่อนยังวนเวียนไม่จางหาย ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งทวีคูณเขาเดินช้า ๆ ออกไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ลูคัสใช้เป็นฐานวางแผน ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากไฟเหนือโต๊ะทำงาน และเสียงกระดาษพลิกเบา ๆ ลูคัสนั่งนิ่ง จ้องแผนงานตรงหน้าราวกับใช้มันเป็นกำแพงกั้นโลกภายนอกเลโอหยุดยืนอยู่ตรงขอบโต๊ะ สูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาแต่ชัด “เลโอ มีอะไรเหรอ?” ลูคัสถาม โดยที่สายตายังไม่ละจากแผน“ทำไมนายไม่พักผ่อนล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปที่ร้าน ลูกน้องก็รออยู่”เลโอไม่ตอบทันที เขาเงียบ... แววตาลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา“นายคิดยังไงกับอิมิลี่... กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น?”คำถามนั้นแขวนค้างกลางอากาศ ราวกับทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบไปชั่วขณะลูคัสชะงัก ปลายนิ้วที่แตะแผนงานแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “มันเป็น... อ
ตรู๊ด… ตรู๊ด… ตรู๊ด… เสียงรอสายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทนายสมศักดิ์ยกมือถือแนบหู ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยังไม่คลาย เขาต่อสายหาทนายเจมส์ — สามีของอิมิลี่ และคนเดียวที่อาจรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ปลายสายกลับนิ่งงัน ไร้การตอบรับที่บาร์หรูใจกลางเมืองเจมส์นั่งอยู่เพียงลำพัง แสงไฟโทนส้มสะท้อนลงบนใบหน้าเคร่งเครียด เสียงแจ๊สคลอเบา ๆ จากลำโพงในมุมห้อง เขาจ้องแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเบา ๆ เมื่อเบอร์แปลกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่เจมส์ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมอง ดวงตาเขาแดงก่ำ ราวกับไม่ได้หลับมาเป็นคืนที่สามแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก — เหมือนพยายามยึดตัวเองไว้กับความเป็นจริง แต่ภายในหัว... วนเวียนอยู่กับสิ่งเดียว"พรุ่งนี้... ที่ศาล"วันตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือจุดจบเขายกแก้วขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้รสขมไหลลงคอราวกับกลืนคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นทีละชั้นมือถือยังคงสั่น... แต่เขาแค่เหลือบตามอง ก่อนปล่อยให้มันเงียบหายไปในที่สุด …แต่ในขณะที่เวลานี้ อิมิลี่ ยังจมอยู่กับความมืดมิด กลิ่นอับชื้นของโกดังเก่าและฝุ่นผงตลบอบอวล อองเดรศัตรูของลูคัส ลากอิมิลีเข้ามาในความเงียบอันเย็นเย
ที่หัวมุมถนนชายคนหนึ่งยืนเงียบอยู่ห่างออกไปจากสายตาผู้คน ร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิทนิ่งราวรูปปั้นในความมืด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนหน้ากากหิน ดวงตาคมกริบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชา เขาไม่จำเป็นต้องขยับตัวเพื่อให้รู้ว่าเธอกำลังจะออกมา ทุกก้าว ทุกเวลา ถูกคำนวณไว้หมดแล้วนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหูฟังที่แนบแน่นข้างหู เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจดังลอดออกมา“เธอกำลังออกมาแล้ว... เดินกลับลำพัง”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งเย็น ราบเรียบราวใบมีดเหล็กเฉือนผ่านโลหะ“ติดตามไป — อย่าให้คลาดสายตา”เขาไม่พูดอะไรตอบกลับ แค่ขยับเท้าอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าคำนวนมาอย่างพิถีพิถัน ห่างพอไม่ให้สะดุดตา แต่ใกล้พอจะ “จัดการ” ได้ในเสี้ยววินาที หากมีคำสั่งตกลงมาเขาไม่พูด ไม่เผลอแสดงอารมณ์ ไม่แม้แต่หายใจแรง แค่เดิน แค่เฝ้ามอง ด้วยสายตาเย็นเฉียบของนักล่าที่มั่นใจว่าเหยื่อไม่มีวันหนีรอดในมือของเขา หน้าจอโทรศัพท์เรืองแสงจาง ๆ แสดงภาพถ่ายหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมเวลา ตำแหน่ง และข้อความที่ติดแท็กไว้ชัดเจน“เป้าหมายสำคัญ — ห้ามทำร้าย จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอองเดร”เข
อิมิลี่จ้องลูคัสนิ่ง แววตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังรอคำตอบ แต่เขาเงียบ เงียบจนหัวใจเธอแทบได้ยินเสียงตัวเองเต้นเธอค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังลังไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหลัง กล่องพวกนั้นพร้อมจะถูกขนย้ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บางอย่างในท่าทางของลูคัส... ทำให้เธอรู้ มันไม่ใช่แค่การขนของธรรมดาทันใดนั้น ลูคัสเหลียวไป ลูกน้องของเขาเดินออกมาจากมุมเงามืด ใบหน้าตึงเครียด น้ำเสียงเร่งรีบ“ลูคัส... สายของเรารายงานว่า มีสายสืบซุ่มอยู่ใกล้ท่าเรือ เราอาจต้องเปลี่ยนแผน”ลูคัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ อิมิลี่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังไม่พูดตรง ๆ แต่เธอเข้าใจแล้ว ว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปในธุรกิจที่อันตราย... และมันจริงกว่าที่เธอเคยกลัว“เธอต้องกลับไปนะ อิมิลี่ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ลูคัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาไม่ใช่การไล่... แต่เป็นการปกป้องอิมิลี่ขยับเข้าไปเพียงก้าวเดียว แววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม “คุณเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับธุรกิจพวกนี้อีก”เขาเงียบไปอึดใจ แล้วเบือนสายตาหนี คำตอบของเขาคือความเงียบ และมันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดใด“คุณต้องกลับไปนะ อยู่ห่าง