ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! เสียงแจ้งเตือนของมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกยังคงดังต่อเนื่อง ข้อความในเฟซบุ๊กที่เพื่อนๆส่งแสดงความยินดีในวันครบรอบวันแต่งงานของเธออย่างท้วมท้น อิมิลี่เลื่อนสายตามองหน้าจอหวังว่า เสียงที่ดังนั้นจะเป็นของสามีของเธอ แต่เมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฎกลับทำให้หัวใจเธอยิ่งหว้าเหว่ และอดคิดไม่ได้ ว่า
“เจมส์คงลืมวันนี้ไปแล้วจริงๆ” อิมิลี่แต่งตัวด้วยเดรสเกาะอกยาวสีขาวที่พลิ้วไหวตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเธอ ผืนผ้าสีขาวสะอาดช่วยขับผิวที่เนียนละเอียดและสว่างสดใสราวกับเธอเป็นภาพวาดที่หลุดออกมาจากกรอบ เส้นผมยาวสลวยถูกปล่อยลงอย่างอิสระ คล้ายสายลมที่โอบอุ้มเธอไว้ เธอเดินไปหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน มองตัวเองเงียบ ๆ ราวกับตรวจสอบว่าภาพลักษณ์ของเธอสะท้อนความสงบที่เธอพยายามหาในหัวใจหรือไม่ เมื่อพอใจกับการแต่งกาย เธอหยิบกระเป๋าสะพายเล็กสีเบจที่เข้ากันพอดีกับชุด จากนั้นจึงก้าวออกจากห้องพัก ปลายเท้าของเธอแตะบนพื้นทางเดินของคอนโดที่เงียบสงบ เมื่อเธอเปิดประตูออกสู่ถนนในเมืองที่แสนคุ้นเคย สายลมอ่อน ๆ ยามเช้าพัดพากลิ่นกาแฟหอมกรุ่นจากร้านริมถนน เสียงหัวเราะและบทสนทนาของผู้คนทำให้บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนโลกที่แสนสวยแต่ภายในใจของเธอกลับรู้สึกขัดแย้ง ราวกับทุกสิ่งรอบตัวเป็นฉากสวยงามในภาพยนตร์ แต่หัวใจของเธอกลับหมองหม่น เธอรู้ว่าการไปที่ร้าน ไม่ใช่แค่การไปจัดการภาพวาดที่ฝากขาย แต่ยังเป็นการหลบหนีความวุ่นวายในจิตใจของเธอ ที่นั่นคือที่เดียวที่เธอสามารถปลดปล่อยอารมณ์และความคิดผ่านพู่กันและสี เธอยืนนิ่งเมื่อถึงหน้าร้าน เสียงกระดิ่งเบา ๆ ดังขึ้นทันทีที่เธอผลักประตูเข้ามา กลิ่นของสีอะคริลิกและกระดาษแผ่นใหม่ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ภายในร้าน The Brushstroke มีผนังที่เต็มไปด้วยภาพวาดหลากหลายสไตล์ วางโชว์เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ บรรยากาศอบอุ่นจากแสงไฟสีอ่อนที่สะท้อนลงบนพื้นไม้ทำให้ที่นี่รู้สึกเหมือนเป็นโลกอีกใบ “สวัสดีค่ะ ซาร่า” อิมิลี่เอ่ยทักเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย ขณะที่กลิ่นของสีอะคริลิกผสมกับกลิ่นกระดาษเก่า ๆ อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้หัวใจเธอสงบลงเล็กน้อย ซาร่ามองเธอพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น “สวัสดีอิมิลี่ เหมือนเดิมเลยนะ เดินเข้ามาเงียบ ๆ ไม่เปลี่ยนเลย” อิมิลี่หัวเราะเบา ๆ “ก็ที่นี่สงบดีนี่ ซาร่า” เธอพูดก่อนจะเดินผ่านโซนแสดงภาพไปยังม่านบางสีขาวที่กั้นห้องด้านหลังไว้ ม่านพลิ้วไหวเมื่อเธอแหวกมันเข้าไป ห้องด้านหลังเป็นพื้นที่ทำงานส่วนตัวที่เธอคุ้นเคย โต๊ะไม้ยาววางอยู่กลางห้อง เต็มไปด้วยขวดสี แปรงวาด และกระดาษร่างภาพ เสียงของเมืองภายนอกถูกปิดกั้นจนเหลือเพียงเสียงลมหายใจและความเงียบสงบ อิมิลี่นั่งลงประจำที่หน้าโต๊ะวาดภาพ จ้องมองผืนผ้าใบที่ยังค้างไว้ตรงหน้า ภาพวาดที่เธอกำลังสร้างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยอารมณ์ สีสันจัดจ้านตัดกับพื้นหลังสีขาวสะอาด เธอหยิบพู่กันขึ้นมา หมุนมันเบา ๆ ในมือราวกับกำลังชั่งใจว่าจะลงสีตรงไหนก่อน แต่แทนที่จะเริ่มวาด เธอกลับนั่งนิ่ง ปล่อยให้สายตาจ้องมองภาพที่ยังไม่เสร็จ ราวกับกำลังมองหาคำตอบบางอย่างในจังหวะการปาดสีที่ยังไม่สมบูรณ์ ความคิดของเธอลอยวนไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น บทสนทนากับเจมส์เมื่อคืนนั้นยังคงตกค้างในใจ แต่การอยู่ที่นี่ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้หลบหนีจากความวุ่นวายนั้นอย่างน้อยก็ชั่วคราว ทันใดเสียงม่านสีขาวบางเบาดังขึ้นเบา ๆ ทำให้อิมิลี่เงยหน้าขึ้นจากผืนผ้าใบ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง เขาเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางสง่างามในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอก เน้นกล้ามเนื้อแข็งแรงของเขาเห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าคมสันเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดเรอเนซองส์ ดวงตาสีเข้มลึกล้ำของเขาจ้องมาที่เธอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้บอก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม “ซาร่าบอกว่าคุณกำลังมองหาคนเป็นแบบให้วาด” อิมิลี่กระพริบตาเล็กน้อย ราวกับพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอวางพู่กันลงบนโต๊ะ และลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ยังคงสงวนไว้ซึ่งความระมัดระวัง “ใช่ค่ะ...แต่ฉันไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาเร็วขนาดนี้” เธอพูดเบา ๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความสุภาพ ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมีเสน่ห์จนเธออดไม่ได้ที่จะสังเกต “ผมชื่อเลโอ ซาร่าเป็นเพื่อนของผมเอง เธอบอกว่าอิมิลี่ต้องการแบบสำหรับภาพวาดชิ้นใหม่ ผมเลยอาสามา” อิมิลี่พยักหน้า แม้จะยังรู้สึกงุนงง แต่เธอก็ไม่อยากปฏิเสธ เธอผายมือไปยังเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางห้อง “เชิญนั่งตรงนั้นเลยค่ะ” เลโอเดินไปนั่งอย่างมั่นใจ ท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติราวกับคุ้นเคยกับการเป็นแบบให้วาดมาก่อน เขาเอนตัวเล็กน้อย ท้าวแขนไว้กับพนักเก้าอี้ ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่เธออย่างผ่อนคลาย อิมิลี่หยิบพู่กันขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่อัดแน่นในใจค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่อเธอเริ่มร่างเส้นลงบนผืนผ้าใบ เส้นสายเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างของเขา ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศของความสงบ แต่กลับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอสัมผัสได้จากเลโอ “คุณดูเหมือนเคยทำแบบนี้มาก่อน” อิมิลี่พูดขึ้นเบา ๆ “ผมเคยเป็นแบบให้เพื่อนในมหาวิทยาลัยวาดอยู่บ้าง” เลโอตอบ น้ำเสียงเรียบง่ายแต่นัยน์ตาของเขามันเยิ้ม “แต่ผมคิดว่ามันน่าสนุกเสมอ เวลาที่ได้เห็นตัวเองผ่านมุมมองของศิลปิน” คำพูดนั้นทำให้อิมิลี่ยิ้มจาง ๆ เธอจดจ่อกับการลงแสงเงา รู้สึกถึงความสมดุลที่กลับคืนมาในหัวใจอย่างแผ่วเบา ราวกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนนี้จะช่วยเติมเต็มบางสิ่งที่ขาดหายไปในช่วงเวลานี้อิมิลี่จรดพู่กันลงบนผืนผ้าใบอีกครั้ง ความนุ่มนวลของสีที่ผสมอย่างพิถีพิถันแตะลงบนพื้นผ้าใบขาวราวกับดนตรีที่บรรเลงเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สลับสายตาจากจุดที่กำลังวาดไปยังชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กตรงหน้าแสงอ่อนจากหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ ทาบไล้ร่างของเขา สร้างเงาอ่อนโยนที่ตกกระทบใบหน้าคมคาย ผมสีเข้มยุ่งเล็กน้อยแต่ดูมีเสน่ห์ ไหล่กว้างและท่าทางผ่อนคลายทำให้เขาดูเหมือนภาพวาดของชายหนุ่มที่หลุดออกมาจากยุคสมัยโรมัน แต่เป็นดวงตาคู่นั้นที่สะกดอิมิลี่ไว้ ดวงตาสีเข้มที่มองมาที่เธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น นุ่มนวล และราวกับมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ“คุณวาดเก่งมากเลยนะ” เลโอเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน น้ำเสียงของเขาลึกและเป็นมิตร “เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่าเรื่องราวบางอย่างผ่านภาพนี้”อิมิลี่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอ่อน เธอหลบสายตาลงมองพู่กันในมือ “บางทีอาจจะใช่ค่ะ ฉันว่าภาพวาดมักจะสะท้อนอารมณ์ของคนวาด”เลโอนิ่งฟังคำตอบของอิมิลี่ ดวงตาสีเข้มของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอด้วยความสนใจ ราวกับพยายามค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งกว่าในคำพูดของเธอ“แล้วตอนนี้คุณกำลังรู้สึกยังไงล่ะ?” เขาถามเสียงนุ่ม ด
ในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ อิมิลี่นั่งนิ่ง เธอทอดสายตามองจานที่ถูกจัดไว้สำหรับเจมส์ ซึ่งยังคงว่างเปล่าเหมือนกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้ แสงเทียนบนโต๊ะดินเนอร์กระพริบไหวตามจังหวะลมเบาๆ ราวกับสะท้อนความไม่มั่นคงในหัวใจของเธอ แก้วไวน์ในมือยกขึ้นช้าๆ คล้ายจะกลบความเงียบที่รบกวนแต่เสียงของความโดดเดี่ยวกลับดังกว่าคำปลอบโยนของน้ำเมรัย แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับนอกหน้าต่างให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบหลอกลวง มันเป็นความงามที่เธอเคยวาดฝันถึงตอนเด็กๆ ว่าอยากใช้ชีวิตในเมืองกรุงที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในตอนนี้ ความฝันนั้นกลับรู้สึกเย็นชาเหมือนกระจกหน้าต่างที่ปิดกั้นเธอจากโลกภายนอก เธอนั่งคิดถึงเจมส์ คนที่เธอเลือกแต่งงานด้วยเพราะฐานะและหน้าที่การงานที่มั่นคง ทนายที่เก่งกาจแต่ไม่เคยมีเวลาให้เธอในแบบที่เธอต้องการ ความรักของพวกเขาดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยงานและความรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงที่นับวันยิ่งจืดชืด เธอเฝ้าถามตัวเองว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันเลือกแล้วจริงๆ หรือ?” เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต แม้เธอจะรู้ดีว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีใครนั่งตรงข้
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นแต่เช้าตรู่ อิมิลี่ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและว่างเปล่าของของหมอนอีกใบที่เป็นของสามี แต่ สมองของเธอรีบประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าวันนี้มีนัดสำคัญที่โรงพยาบาล เธอลุกจากเตียงแทบจะทันที เสื้อกันหนาวสีครีมถูกหยิบขึ้นมาสวมเพื่อป้องกันอากาศหนาวยามเช้าขณะที่เธอเตรียมตัวออกไปภายในห้องตรวจ บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงแอร์ที่เป่าลมเย็นกระทบผนัง เสียงนั้นแม้จะเบา แต่กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจของอิมิลี่ชัดเจนขึ้น เธอนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สองแขนโอบกอดตัวเองราวกับหาความอบอุ่นจากใครสักคน เสื้อกันหนาวสีเธอสวมดูจะไม่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเธอดวงตาของอิมิลี่หลุบต่ำ มองมือตัวเองที่สั่นเล็กน้อย นิ้วเรียวขาวบีบกันแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีซีด ความคิดวิ่งวนอยู่ในหัวของเธอเป็นเสียงที่เธอไม่อาจกลบได้ ความเครียด ความกลัว และความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ผลักดันให้เธอกดตัวเองแน่นขึ้นคุณหมอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนเปล่งเสียงนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง“เดือนนี้ไข่ของคุณยังไม่ตก บางทีอาจเป็นเพราะความเครียดที
ช่วงเวลานี้เจมส์กำลังพยายามที่จะพยุงสถานะของคำว่า "สามีที่ดี" ให้มั่นคงขึ้น เขาจับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวลเป็นระยะๆระหว่างขับรถเพื่อจะไปร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรูที่เขาตั้งใจเลือกมาเพื่อปรับความสัมพันธ์ บรรยากาศภายในอบอุ่นด้วยแสงไฟโทนสีทอง โต๊ะที่ถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถันมีผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดและจานอาหารที่วางอย่างลงตัว มันดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวจากเจมส์ที่เขาพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สำหรับอิมิลี่ บางทีสิ่งนี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเธอเมื่ออาหารถูกรินราดด้วยซอสและจัดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมเย้ายวนจากเมนูหลากหลายชนิดกระจายไปทั่วบริเวณ ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ก่อนที่เจมส์จะได้สัมผัสส้อมหรือลองชิมรสชาติของอาหาร เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นแทรกความเงียบเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ "แอลซ่า" เขาเอ่ยชื่อเธอในลำคอเจมส์เหลือบมองอิมิลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอก้มหน้ามองจานของตัวเอง ราวกับพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เจมส์สังเกตเห็นรอยหม่นในดวงตาของเธอเขาลังเลเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ “อิมิลี่ เดี๋ย
แกรก ! เสียงของประตูเสื้อผ้าเปิดออกเบาๆ ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดยามรุ่งสาง เจมส์ยืนอยู่หน้า ตู้เสื้อผ้าที่แง้มออก ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเขาอยู่ในเงามืด ดวงตาเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความลังเล มือของเขาหยิบเสื้อแจ็กเก็ตออกมาพร้อมกับกางเกงที่พับไว้อย่างเรียบร้อยแสงไฟที่ลอดมาจากหน้าต่างเผยให้เห็นเงาร่างของอิมิลี่ที่พลิกตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง เธอสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนั้นปลุกเธอให้หลุดจากความหลับใหล“เจมส์... คุณกำลังจะไปไหนแต่เช้า” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“ผมมีประชุมเช้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ก็ฟังดูเหนื่อยล้า “งานสำคัญ... คดีใหญ่ ผมต้องรีบไป อิมิลี่”ขณะที่เขากำลังติดกระดุมเสื้อและดวงตาเขาจับจ้องไปยังเสื้อแจ็กเก็ตที่แขวนอยู่ในมือคำพูดนั้นตรงไปตรงมา แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในอากาศ เสียงกุกกักของเข็มขัดที่เขารัดเอวเพิ่มความอึดอัดให้กับห้อง อิมิลี่มองตามเขา ดวงตาของเธอแสดงความลังเล แต่คำถามที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่ในลำคอ“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถามเบาๆ น้ำเสียงที่แฝงความกังวลและไม่เข้าใจ เจมส์หยุดมือชั่วขณะ ก่อนจะดึงเสื้อแจ็กเก็ตมาสวม ขยับไหล่เล็กน้อยให้เข้
บนตึกสูงที่ผนังกระจกใสรอบด้านเผยให้เห็นวิวทะเลอันกว้างไกล ซึ่งห่างจากเมืองหลวง ประมาณ 3 ชั่วโมงเจมส์นั่งร่วมประชุม ท่าทางสุขุมและจริงจังในฐานะทนายของบริษัทซึ่งกำลังหารือประเด็นสำคัญร่วมกับทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัทรับเหมาแห่งหนึ่ง …. “ตอนนี้บริษัท ของเราเสียหายอย่างหนัก ลูกค้ามากว่าครึ่งต้องการเงินคืน จากการผิดนัดการส่งมอบบ้านตามกำหนด และกำลังเป็นวงกว้าง เมื่อบ้านที่สร้างใช้วัสดุ ต่ำกว่ามาตรฐาน จนทำให้มีการพังถล่มลงมา จากพายุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อน” หนึ่งในกรรมการของบริษัทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล พลางเคาะนิ้วลงบนเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ประกอบกับถาพถ่ายของบ้านที่พังถล่มลงมา ……... เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง บรรยากาศเคร่งเครียดในห้องเริ่มผ่อนคลาย แอลซ่า เลขานุการของบริษัท เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอกสารในมือ เธอวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อย“ คุณเจมส์ คะ นี่คือข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประเด็นค่ะและ ฉันคิดว่าคุณเจมส์ควรไปดูสถานที่จริง เพื่อเข้าใจปัญหาให้ละเอียดขึ้น” แอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงสุภา
บนถนนที่ทอดตัวผ่านป่าและสวนเขียวชอุ่ม เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์หรูสีดำดังแผ่วเบาเหมือนกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้าง แอลซ่านั่งอยู่บนเบาะหนังข้างเจมส์ ท่าทางของเธอมั่นใจพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางข้างหน้า "ใช้ทางนี้ดีกว่าค่ะ ทางลัดเข้าด้านหลังของโครงการ" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความแน่ใจและผ่อนคลายเจมส์ปรายตามองไปตามทิศที่เธอบอก ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนพวงมาลัยอย่างนุ่มนวล รถคันหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่ถนนสายเล็กที่ราวกับถูกลืมเลือนจากกาลเวลา ทั้งสองข้างทางถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านหนาแน่นปกคลุมเป็นอุโมงค์ แสงแดดลอดผ่านใบไม้ลงมาราวกับภาพวาดอันละเอียดอ่อน เสียงใบไม้กระทบกันแผ่วๆ กับสายลม ทำให้บรรยากาศดูเหมือนฉากในนิยายที่อบอุ่นและลึกลับในเวลาเดียวกันแต่ความสงบนั้นอยู่ได้ไม่นาน เสียง "ปึ้ง!" ดังสนั่นจากใต้ท้องรถทำให้ทุกอย่างชะงัก เจมส์รีบเหยียบเบรก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เขาหันมามองแอลซ่า ดวงตาเบิกกว้าง“ผมว่าเรามีปัญหาแล้วละครับ” เจมส์กล่าวเสียงหนักแน่นแต่เสียงสะท้อนถึงความกังวลพลางหักพวงมาลัยนำรถจอดเข้าข้างทางใต้เงาป่าทึบเขาเปิดประตูและก้าวลงจากรถทันที เสียงรอง
ที่ร้านภาพ The Brushstrokeเสียงกระดิ่งหน้าประตูดัง กริ๊ง กริ๊ง ขณะที่หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้าเนื้อดีสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันก้าวเข้ามา ใบหน้าของเธอแต่งแต้มอย่างปราณีตเข้ากับผมลอนสีดำที่จัดเรียงอย่างไร้ที่ติ สายตาเธอกวาดมองรอบร้านพลางขาก้าวเป็นจังหวะดังก้องรอบห้อง ราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่มีความหมายที่สุด“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง” เลโอก้าวออกมาจากเคาน์เตอร์ “มีอะไรให้ผมแนะนำไหมครับ?แต่เหลือเวลาอีก 15 นาทีร้านจะปิด” เขากล่าวพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเธอหันมามองเขาด้วยดวงตาคมกริบ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันกำลังมองหาภาพวาดที่เป็นชายหนุ่ม ราวกับหลุดออกมาจากนิยาย”แต่สายตาของเธอหยุดที่ใบหน้าเลโอชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพวาดที่จัดแสดงอยู่รอบตัว “แต่ภาพพวกนี้... ไม่มีวิญญาณ ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ฉันต้องการอะไรมากกว่านั้น ”ในขณะนั้น อิมิลี่ ก้าวแหวกม่านจากห้องด้านหลังออกมา“สวัสดีค่ะ คุณอลิซซาเบธ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” อิมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอจำลูกค้าคนนี้ได้ดี อลิซซาเบธเป็นลูกค้าชั้นสูงของแ
แม้ในใจของเจมส์จะยังคงพร่ำบอกให้ตัวเองมีความหวัง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับอิมิลี่อีกครั้งและยอมรับบุตรในครรภ์ แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีหวังเลยสักนิด เพราะสายตาของเธอที่มองเขาในวันนี้นั้น...ช่างว่างเปล่าและเย็นชาเกินกว่าจะหวนคืนได้ แต่ถึงกระนั้น ความค้างคาใจในบางเรื่องก็ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้ เท้าของเจมส์ยังคงกดลงบนคันเร่ง เส้นทางข้างหน้าเลือนรางในม่านหมอก แต่ในอกของเขากลับร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงมือที่กุมพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย แม้เขาจะพยายามทำให้ตัวเองสงบที่สุด แต่หัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่ยอมเชื่อฟังทันทีที่รถจอดเทียบ ฟ้ายังไม่ทันสางดี เจมส์ก้าวลงจากรถอย่างเร่งร้อน เขาเดินไปยืนหน้าประตูบ้านด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ปลายนิ้วจิ้มกริ่งด้วยแรงที่มากกว่าปกติติ๊ง...ต๊อง... ติ่งต้อง...เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วบ้าน ความเงียบงันแผ่ปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงฝีเท้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังขึ้นคลิก...ประตูแง้มเปิดออก เผยให้เห็นแอลซ่าในชุดนอนยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอปรือปรอยด้วยอาการสะลึมสะลือ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเจมส์ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเจมส์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาแทรกตัวผ่านประตูอ
เจมส์จ้องลูคัสเขม็ง ดวงตาแดงก่ำราวเปลวเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งรอบตัว ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนลูคัสสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ“มึงจะเอายังไง?” เสียงของเจมส์แข็งกร้าว ราวกับจะท้าทายให้สถานการณ์ลุกลามลูคัสขบกรามแน่น ก่อนจะตัดสินใจผลักเจมส์ออกไปเต็มแรง ร่างนั้นเซถลาไปด้านหลัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว เจมส์ก็กระโจนกลับมาพร้อมหมัดที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของลูคัสเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ริมฝีปากของลูคัสแตกเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขายกหลังมือปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพุ่งสวนกลับด้วยหมัดอัดเข้าชายคางเจมส์อย่างจังเสียงร่างกระแทกพื้นดังสนั่น เจมส์นอนแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะดันร่างขึ้นอีกครั้ง"หยุดเถอะ! พอได้แล้ว!" อิมิลี่ร้องเสียงสั่นพลางถลันเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดหวั่นแต่เจมส์กลับไม่ฟัง เขาปัดมืออิมิลี่ออกอย่างแรงจนเธอเซถอยไป ราวกับแรงโกรธนั้นกำลังแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาจนมอดไหม้ ร่างเขาสั่นสะท้านเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ภายใน เขาเดินโซเซไปที่รถ กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน“เจมส์ ได้โปรด…” อิมิลี่อ้อนวอนเส
อิมิลี่ก้าวออกจากงานเลี้ยงพร้อมลูคัส สายลมยามค่ำคืนพัดวูบเข้ามาปะทะผิวกาย ความเย็นเยือกแทรกซึมจนเธอเผลอยกแขนกอดตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัวลูคัสเหลือบมองเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ริมฝีปากจะปิดสนิทไม่เอ่ยคำใด แต่ท่าทางของเขากลับสื่อความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เขาเลื่อนมือถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณค่ะ...” อิมิลี่พูดเสียงแผ่ว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็พอให้ลูคัสรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆแม้บ้านของอิมิลี่จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ลูคัสก็ยืนยันจะไปส่งให้ถึงที่พักอย่างปลอดภัยแต่ตลอดทางกลับบ้าน ภายในรถเงียบสนิทราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วเบา อิมิลี่นั่งนิ่ง ดวงตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ทว่าสิ่งที่ไหลวนอยู่ในความคิดของเธอกลับวุ่นวายเสียจนไม่อาจหาจุดพักภาพของเลโอผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาของเขาในวันนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความลึกลับ — แตกต่างจากวันแรกที่เธอเคยพบเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคนความคิดวกกลับไปถึงเรื่องการหย่าร้างกับเจมส์ การฟ้องร้องที่กำลังจะ
บรรยากาศในห้องครัวอึดอัดเสียจนเหมือนอากาศรอบตัวหนาหนักขึ้นทุกขณะ อิมิลี่ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก แต่แววตากลับฟ้องชัดถึงความกระอักกระอ่วนที่เอ่อล้นออกมาความเงียบที่ปกคลุมถูกทำลายลงเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากทางเดิน"อิมิลี่..."เธอหันไปตามเสียง ลูคัสปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเขามองข้ามเธอไปยังเลโอ ก่อนจะตวัดกลับมามองเธออีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยกระวนกระวายที่ปิดไม่มิดลูคัสละสายตากลับมาที่เลโออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองอิมิลี่ใหม่ สายตาของเขาไล่สลับไปมาระหว่างทั้งสองคนช้า ๆ ราวกับกับพยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่าน "เออ อิมิลี่..." ในที่สุดลูคัสจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามจะทำให้บรรยากาศคลี่คลาย"นี่คือเลโอ... น้องชายผม"คำพูดนั้นทำให้ คิ้วของอิมิลี่ขยับชิดกันแน่น"น้องชาย?" เธอทวนคำเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววงุนงง"ใช่..." ลูคัสพยักหน้าเบา ๆ "เราจากกันตั้งแต่เลโออายุแค่สามขวบ เขาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ... เพื่อรักษาตัว"เพื่อรักษาตัว...หัวใจของอิมิลี่กระตุกวูบขึ้นมาทันที ราวกับคำพูด
อิมิลี่ก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างช้า ๆ ปล่อยให้เสียงประตูปิดลงตามหลัง ราวกับเป็นสัญญาณว่าทางเลือกของเธอได้ถูกตัดสินไปแล้ว "ปัง"เสียงของประตูนั้นช่างหนักแน่นกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีอาจเป็นเพราะหัวใจของเธอที่เต้นแรงจนทุกอย่างรอบตัวดูชัดเจนเกินไปเธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุดติดอยู่กลางอก ดวงตาจ้องไปยังบ้านสีขาวหลังเดิม บ้านที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเธอ — โลกที่อบอวลด้วยเสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่โอบล้อมเธอไว้เสมอแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เคยให้ความรู้สึกเชื้อเชิญและปลอดภัย ทว่าวันนี้กลับดูห่างเหินจนแปลกตา เสียงพูดคุยแว่วมาเบา ๆ ผสานไปกับเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามสายลม เสียงเหล่านั้นควรทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่กลับกลายเป็นเสียงที่ย้ำเตือนว่าเธอเป็นเพียงคนนอก — คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางภาพเงาตะคุ่มของผู้คนเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีชีวิตชีวา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเดินเข้าไปร่วมวงด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูราวกับกำลังดำเนินต่อไปโดยไม่มีเธอ... ในขณะที่เธอเองกลับยังติดอยู่กับความรู้สึกหนักอึ้งราวกับหินที่ถ่วงหัวใจสายตาของเธอหยุดลงที่ลูกโป่งสีพาสเทลที่ผูกประดับอ
ท้องฟ้ายามอัสดงเปล่งประกายด้วยสีส้มทอง ไล่เฉดสู่สีชมพูอมม่วงตัดกับขอบฟ้า ผืนทะเลกว้างใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับเกล็ดอัญมณีที่กระจัดกระจายทั่วพื้นน้ำอิมิลี่ยืนอยู่บนผืนทรายที่เย็นเฉียบ ปลายเท้าเปลือยเปล่าจมลงในเนื้อทรายนุ่มละเอียด สายลมพัดผ่านปลายผมของเธอเบา ๆ เส้นผมปลิวไหวตามแรงลม กลิ่นไอเค็มจากทะเลอบอวลอยู่ในอากาศ แทรกซึมเข้าไปในทุกลมหายใจเธอทอดสายตามองแสงสุดท้ายของวัน ดวงตาคู่นั้นฉายแววครุ่นคิด ความสับสนและบาดแผลในใจดูเหมือนจะเบาบางลงเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบเช่นนี้คลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายเสียงปลอบประโลมที่คอยกระซิบว่า... "เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้น"เธอค่อย ๆ หยิบนามบัตรจากกระเป๋าสะพายขึ้นมา พลิกดูเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ตัวเลขไว้อย่างชัดเจน หัวใจเธอเต้นระรัว ราวกับพยายามเตือนเธอว่าหลังจากการตัดสินใจนี้ จะไม่มีวันหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก นิ้วเรียวกดตัวเลขบนหน้าจอมือถือช้า ๆ ขณะที่เสียงคลื่นยังซัดสาดอยู่ไม่ขาดสายตรู๊ด... ตรู๊ด...“สวัสดีครับ ผมทนายสมศักดิ์ครับ” เสียงปลายสายทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้น“สวัสดีค่ะฉันอิมิลี่ค่ะ ดิฉันอยากปรึกษา คือ... คือ
กริ๊ง...เสียงกระดิ่งเล็กๆ เหนือประตูดังขึ้นเบาๆ เมื่ออิมิลี่ผลักประตูเข้าไปร้านของชำของป้ามาทาร์ กลิ่นขนมปังอบใหม่ลอยมากระทบจมูกทันที ตามมาด้วยกลิ่นแยมสับปะรสหอมหวานที่ยังคงอบอวลอยู่ทั่วร้าน ชวนให้หัวใจของอิมิลี่อบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้วันนี้ เธอจะก้าวเข้ามาพร้อมหัวใจที่แบกความหนักแน่นและการตัดสินใจครั้งสำคัญ แต่ร้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งนี้ ก็ยังเป็นพื้นที่ปลอบโยนหัวใจเธอได้เสมอ“สวัสดีจ้า อิมิลี่”เสียงอ่อนโยนของป้ามาทาร์ดังขึ้นทันทีจากหลังเคาน์เตอร์ รอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับบนใบหน้าของป้าเหมือนดั่งทุกครั้ง ทำให้หัวใจอิมิลี่สั่นไหวไปกับความทรงจำเก่าๆ“สบายดีไหมจ๊ะ ไม่เห็นมาหลายวันแล้วนะ”“สวัสดีค่ะป้ามาทาร์... สบายดีค่ะ” เธอตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ กลับไป แต่ดวงตากลับเผลอเลื่อนไปหยุดที่นิตยสารเล่มเดิมที่เป็นดั่งหอกทิ่มแทงใจ มันยังคงวางอยู่ตรงมุมเดิมใกล้เคาน์เตอร์ แม้มันจะถูกพิมพ์ออกมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ภาพนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งถูกพิมพ์ออกมาเมื่อวาน — ภาพของแอลซ่าและเจมส์เธอจ้องภาพนั้นนิ่งงัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ อิมิลี่รีบกระพริบตา ดึงสติของตัวเองกลับมาอย่
หลังจากอิมิลี่หมกตัวอยู่ในห้องอาบเป็นเวลาหลายชั่วโมง ปล่อยให้สายน้ำเย็นเฉียบไหลผ่านร่าง เปรียบเสมือนอ้อมกอดสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ เธอหวังลึกๆ ว่า น้ำจะชะล้างทุกความเจ็บปวด ความเสียใจ และทุกความรู้สึกที่กัดกินหัวใจให้ค่อยๆ ไหลลงท่อไปพร้อมกับหยดน้ำผิวกายของเธอเย็นเฉียบ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา แต่ท่ามกลางความหม่นหมองนั้น กลับมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ความแน่วแน่ที่ฉายชัดในแววตาเธอก้าวออกจากห้องอาบ ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่เดินเข้าไป ผู้หญิงที่เคยก้มหน้าอดทน รับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกแทนที่ด้วยสายตาแข็งกร้าว และการตัดสินใจที่แน่วแน่จนไม่มีทางหวนกลับเพราะครั้งนี้ เธอจะเป็นฝ่ายเดินออกจากความเจ็บปวดด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการรอคอยให้ใครเป็นคนบอกว่าพอได้แล้ว แต่เธอจะเป็นฝ่ายประกาศจุดจบของมันด้วยน้ำเสียงของเธอเองความสัมพันธ์ของเธอกับเจมส์ จะต้องจบลงที่ตรงนี้ และครั้งนี้จะไม่มีการยื้อ ไม่มีการอ้อนวอน ไม่มีการยอมให้ใครทำร้ายหัวใจของเธอได้อีกเธอจะเป็นฝ่ายยื่นฟ้องหย่าเจมส์ และจะไม่มีวันยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไปเธอจ้องตัวเองอยู่หน้ากระจก มองลึกเข้าไปใ
"ติ๊ง" "ติ๊ง" เสียงข้อความมือถือดังถี่รัว.. ปลุกอิมิลี่ให้สะดุ้งตื่นจากความฝันอันว่างเปล่า เธอขยับตัวช้าๆ ดวงตาพร่ามัวกวาดมองไปรอบห้องที่เงียบงัน แล้วหยุดสายตาที่มือถือข้างเตียง เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างอ่อนล้า ดันตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ปล่อยให้ความเย็นของไม้เนื้อแข็งแทรกผ่านแผ่นหลัง มือเรียวเอื้อมไปหยิบมือถือขึ้นมา ทันทีที่ปลายนิ้วแตะหน้าจอ แสงไฟสว่างวาบขึ้นในความสลัวของเช้าตรู่ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัส แต่เพียงเสี้ยววินาที ภาพที่ปรากฏบนจอ ทำให้เธอตื่นเต็มตาในทันที ภาพนั้น… เจมส์ ผู้ชายที่เป็น สามีตามกฎหมาย ของเธอ นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงเดียวกับผู้หญิงอีกคน มือของเขาแนบอยู่บนผิวกายภาพกิจกรรมเร่าร้อนถูกบันทึกไว้ชัดเจน ตั้งแต่ปลายนิ้วที่ลากไล้ไปตามร่างกาย ริมฝีปากที่แนบจูบไปทั่วทุกจุด จนถึงเสียงครางกระสันที่ดังไม่ขาดสาย มันบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก กลายเป็นมีดที่กรีดลงกลางใจ ไม่มีพื้นที่ให้จินตนาการ ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้เธอหลอกตัวเอง เพราะทุกอย่างถูกส่งมาอย่างจงใจ ส่งมาเพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากความรักที่เธอเคยยึดมั่น อิมิลี่นิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ หัวใจเต