เฉียวลู่อาบน้ำทานข้าวเรียบร้อยแล้วเธอพูดเรื่องที่เธอไปเที่ยววันนี้ให้แม่กับพ่อฟังอย่างออกรสแต่กลับลืมเรื่องของคุณยายและหนังสือเก่าเล่มนั้นไปเลยจนกระทั่งเฉียวลู่กลับเข้าห้องนอนของเธอมา
“ลืมหนังสือเล่มนี้ไปเลย”
เฉียวลู่หยิบหนังสือเก่าเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของเธอมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่เขียนเอาไว้จางๆ ว่าเฉียวลู่
“ทำไม่มีชื่อของเราเขียนเอาไว้ในนี้นะ”
เฉียวลู่พลิกกระดาษหน้าถัดไปแต่กลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลยมีเพียงหน้ากระดาษสีขาวอมเหลืองเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเก่า เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ช่างเถอะ ถือซะว่าช่วยอุดหนุนคุณยายแล้วกัน”
ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็เลิกสนใจในหนังสือเก่าเล่มนั้นไป เฉียวลู่วางหนังสือเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟเข้านอนทันที คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดทั่วท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวที่ทอประกายระยับเกลื่อนกลาดหนังสือเล่มเก่าที่เฉียวลู่วางเอาไว้บนโต๊ะค่อยๆ คลี่เปิดออกทีละหน้าเหมือนมีลมบางเบาพัดผ่านและค่อยๆ เร็วขึ้นแรงขึ้น แสงสว่างถูกสาดกระจายออกมาจากหนังสือเก่าเล่มนั้นและมันค่อยๆ ไหลมารวมกันเป็นจุดเดียวที่หน้าอกของเฉียวลู่และหายไปทันที
เฉียวลู่ถูกเขย่าอย่างแรงจนเธองัวเงียรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“แม่คะปลุกหนูทำไมช่วงนี้หนูไม่มีงานถ่ายละครนะคะขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
เฉียวลู่นอนหันหลังให้แต่คนที่ปลุกเธอยังคงเขย่าอยู่อย่างนั้นจนเธอรู้สึกรำคาญ
“ก็ได้ๆ ค่ะแม่มีอะไรจะคุยกับหนูก็ว่ามาเลย”
เฉียวลู่พยายามถ่างตาที่ยังคงง่วงงุนของเธอมองผู้ที่กำลังเขย่าปลุกตน
“เอ๊ะ”
เฉียวลู่ถึงกับตกใจจนตาสว่างไร้ความง่วงอีกต่อไป คนที่เขย่าปลุกเธอคือเด็กผู้ชายสองคนที่ตัวเล็กและผอมจนแก้มตอบ ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยน้ำมูกและดินโคลน เสื้อผ้าเก่าขาดที่เหมือนไม่ได้ซักมานานปี ใบหน้าน้อยๆ ที่มีน้ำตาไหลออกมาเป็นทางนั้นไร้ความน่ารักสำหรับเฉียวลู่ แต่เมื่อเธอเห็นพวกเขาทั้งสองร้องไห้แล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้
“หนูจ๊ะ เธอสองคนเป็นลูกบ้านไหนทำไมมาอยู่ในห้องของพี่สาว.....”
เฉียวลู่พูดยังไม่ทันจบเธอก็ต้องตกใจอีกรอบเพราะห้องที่เธอบอกว่าเป็นห้องของเธอมันคือกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าที่ท่าทางกำลังจะพังลงมาอยู่รอมร่อ ถึงห้องจะค่อนข้างมืดสลัวแต่แสงสว่างเล็กน้อยที่ส่องลอดเข้ามาก็ทำให้เธอมองเห็นสภาพข้างในได้อย่างชัดเจน
“ไม่นะ!!!”
เฉียวลู่หันไปมองเด็กชายร่างผอมทั้งสองคนอีกครั้ง
“นี่คงไม่ใช่รายการแอบถ่ายหรอกใช่ไหม เล่นกันแรงไปแล้ว”
เด็กชายทั้งสองมองหน้าเฉียวลู่ด้วยท่าทางงุนงงเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพูด เฉียวลู่ลงจากเตียงเพื่อยืนยันเรื่องที่เธอกำลังคิดแต่แล้วเธอก็ทรุดลงที่พื้นอย่างแรง
“โอ๊ย!!! นี่มันอะไรกัน”
ขาของเฉียวลู่มีเลือดไหลออกมาเป็นทางเธอมองอย่างตกใจเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอันมีค่าของเธอ ถ้าหากว่าร่างกายอันบอบบางของเฉียวลู่บาดเจ็บหรือมีแผลเป็นนั่นเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เธอจะฟ้องร้องรายการนี้ให้เจ๊งไปเลยโทษฐานทำร้ายร่างกาย เด็กชายสองคนเห็นเฉียวลู่ล้มไปกองกับพื้นพวกเขาก็รีบเข้ามาช่วยพยุงเธอทันที แต่ร่างกายผอมแห้งของเด็กสองสามขวบหรือจะช่วยอะไรได้ เฉียวลู่มองท่าทางที่ดูทุลักทุเลของเด็กทั้งสองที่พยายามช่วยเธอแล้วส่ายหัวอย่างจนใจ
“นี่หนูน้อยทำไม่พวกเธอไม่ไปเรียกทีมงานมาล่ะ พี่สาวไม่โทษพวกเธอเรื่องนี้หรอกนะแต่อาการบาดเจ็บของพี่สาวจะต้องหาหมอ”
เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองอย่างใจเย็น เธอไม่กล่าวโทษพวกเขาเลยสักนิดเพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เด็กชายทั้งสองไม่ได้พูดอะไรแต่เหมือนพวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่สื่อ พวกเขารีบวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อทำตามสิ่งเธอต้องการ
หลังจากที่เด็กทั้งสองคนออกจากห้องนั้นไปเฉียวลู่ก็ได้โอกาสสำรวจห้องนั้นทันที เธอมองไปรอบๆ กระท่อมยังไงเธอก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้เหมือนว่าเธอจะเข้านอนและที่นั่นก็เป็นห้องของเธอเองแล้วตอนนี้มานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง ถ้าหากเป็นการแกล้งกันของรายการบางรายการนี่ก็ถือว่าเล่นกันแรงเกินไปแล้ว เฉียวลู่ก้มลงมองขาของตนเองที่กำลังมีเลือดไหลเป็นทาง
“เจ็บจริงๆ ด้วยนะเนี่ย”
เธอจับที่บริเวณใกล้ๆ แผลอีกครั้ง เสียงดังด้านนอกทำให้เฉียวลู่เงยหน้าขึ้นมองเด็กชายสองคนที่วิ่งออกไปก่อนหน้านี้กลับมาพร้อมกับผู้ชายอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี แต่งตัวด้วยชุดโบราณเก่าๆ แต่ดูสะอาดตากำลังมองมาที่เฉียวลู่ที่นั่งอยู่บนพื้น
“เจ้าบาดเจ็บหนักเพียงนั้นลุกขึ้นมาทำไม”
เฉียวลู่มองไปที่ผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ เธอบาดเจ็บขนาดนี้นี่เขายังคิดจะอยู่ในบทบาทอีกหรือทำกันเกินไปแล้วนะ
“นี่คุณไม่ว่าทีมงานจะสั่งอะไรคุณมาฉันไม่รับรับรู้แต่ตอนนี้ฉันต้องการหมอ คุณต้องโทรตามหมอเดี๋ยวนี้”
เฉียวลู่สั่งเสียงเด็ดขาด ผู้ชายคนนั้นมองมาที่เธอด้วยท่าทางมึนงง
“เจ้าให้บุตรชายของเจ้าไปตามหมอ ก็ข้านี่อย่างไรเล่าหมอที่เจ้าต้องการ เลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วกลับขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ ข้าจะตรวจให้เจ้าก่อน เมื่อวานตอนที่คนพาเจ้ากลับลงมาจากภูเขาเห็นสลบเจ้าเลือดอาบไปทั้งตัวข้าก็คิดว่าเจ้าจะไม่มีทางรอดแล้ว เห็นเจ้าพูดได้เช่นนี้ข้าก็เบาใจดูท่าทางเจ้าจะไม่เป็นอะไรมาก”
เฉียวลู่ยังคงมึนงงกับคำพูดของผู้ชายคนนั้น ถ้าจะบอกว่าเป็นบทที่ทางทีมงานกำหนดมาให้เขาพูดก็ต้องบอกว่าเขาเล่นได้ดีทีเดียว เธอเป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีนนะบาดเจ็บหนักขนาดนี้แต่เขากลับพูดออกมาอย่างสบายๆ เหมือนไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่หรือสำคัญอะไร ความจริงเรื่องนี้ต้องออกเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน
ถึงเฉียวลู่จะยังนึกสงสัยแต่เธอก็ทำตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกเพราะเธอเริ่มรู้สึกระบมที่ขาของเธอเนื่องจากนั่งกดทับเป็นเวลานาน เด็กชายผอมแห้งสองคนรีบมาช่วยพยุงเธอทันทีที่เห็นเฉียวลู่ขยับตัว หลังจากนั่งบนเตียงแล้วเธอก็หันไปมองเด็กชายทั้งสอง
“ขอบใจนะ”
เด็กชายทำหน้าประหลาดใจที่เห็นเฉียวลู่พูดกับพวกเขาเช่นนั้น ทั้งสองทำหน้าเอียงอายแล้วหลบไปยืนด้านข้างอย่างรู้ความเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นมาตรวจเฉียวลู่
“ข้าขอตรวจชีพจรของเจ้าหน่อย”
เฉียวลู่กลอกตาใส่เขา นี่ยังคิดจะสวมบทบาทแสดงละครอยู่อีกหรือได้สิเธอก็เป็นนักแสดงที่มีสปิริตคนหนึ่งเหมือนกันในเมื่ออยากจะแสดงนักเธอก็จะร่วมเล่นไปด้วย
“เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านหมอแล้ว”
เฉียวลู่จีบปากจีบคอพูดดึงเอาวิญญาณนักแสดงของเธอออกมา หลังจากที่ท่านหมอที่เฉียวลู่เข้าใจว่าเป็นนักแสดงนั้นจับชีพจรของเธอเสร็จเขาก็พยักหน้าให้กับตนเอง
“เมื่อวานตอนที่ข้ามารักษาเจ้าอาการของเจ้าหนักจนเกินเยียวยาข้านั้นไร้ทางช่วย ช่างน่าแปลกใจเหลือเกินที่ตอนนี้เจ้าแทบไม่เป็นอะไรเลยนอกจากบาดแผลภายนอกที่ขาของเจ้า”
นักแสดงชายคนนี้สวมวิญญาณหมอมืออาชีพได้ดีจริงๆ เธอจะน้อยหน้าเขาไม่ได้
“เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าหายดีแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านหมอ”
เฉียวลู่มองท่าทางของเขา หมอนักแสดงพยักหน้าให้เธอ
“ข้าจะสั่งยารักษาแผลที่ขาให้เจ้าแล้วกัน เดี๋ยวให้อวี้หลงอวี้ชิงตามไปเอายากับข้าที่เรือน ส่วนค่ารักษากับค่ายาข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีเอาไว้เจ้ามีเมื่อใดค่อยทยอยคืนข้าแล้วกัน”
เฉียวลู่พยักหน้า
“ขอบคุณท่านหมอที่เมตตาข้า”
หลังจากที่นักแสดงหมอออกจากกระท่อมไปเฉียวลู่ก็นั่งรอเพื่อให้ผู้กำกับสั่งคัทเพื่อที่เธอจะได้ไปหาหมอจริงๆ สักทีเพราะตอนนี้แผลที่ขาเริ่มปวดตุบๆ แล้ว นั่งอยู่นานเสียงคัทก็ยังไม่ดังขึ้นเฉียวลู่เริ่มหงุดหงิดในใจ
“พอที!!! ฉันไม่สนเรื่องรายการของพวกคุณแล้วถ้าไม่ยอมสั่งคัทฉันจะทำเอง แล้วพวกคุณจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันทั้งหมด”
เฉียวลู่ลุกจากเตียงเพื่อออกไปจากกระท่อมหลังนั้น เธอหวังว่าเมื่อเธอออกมาจะได้พบกับทีมงานและกองถ่ายเธอจะวีนพวกเขาให้หนักๆ แต่สิ่งที่เฉียวลู่เห็นหลังออกมาจากกระท่อมหลังน้อยคือ ภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนกระท่อมที่เธออยู่ อยู่สูงขึ้นมาตรงเชิงเขาด้านล่างที่ไกลออกไปราวสองสามร้อยเมตรมีบ้านเรือนที่ทำจากดินหรือบางหลังก็เป็นเพียงกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าตั้งอยู่ประปราย ไม่มีกองถ่ายไม่มีทีมงานไม่มีใครเลย มีแต่เด็กชายตัวเล็กผอมแห้งสองคนที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่เธอ
เฉียวลู่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เธอกำลังประสบอยู่ ก่อนหน้านี้ที่เธอจำได้คือเธอกำลังเข้านอนที่บ้านของตัวเอง พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่กระท่อมหลังนี้ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือว่าเธอถูกลักพาตัวมาแล้วคนที่ลักตัวของเธอมาอยู่ที่ไหนพวกเขาเป็นใครทำไมถึงปล่อยให้เธออยู่กับเด็กแค่สองคนเท่านั้น หรือว่าเด็กสองคนนี้ก็ถูกลักพาตัวมาด้วยเหมือนกัน
“ไม่สิ”
เฉียวลู่พึมพำเบาๆ ดูจากสภาพภายนอกพวกเขาไม่น่าจะเป็นเด็กที่บ้านมีฐานะร่ำรวยเลยสักนิด แล้วการแต่งตัวที่ดูย้อนยุคนี่มันอะไรกันหมอกำมะลอคนนั้นอีกคงไม่ใช่ว่า.... เฉียวลู่นึกถึงเรื่องต่างๆ นานา ที่จะสามารถเป็นได้จนกระทั่งนึกถึงบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา
“ไม่จริงน่า ไม่ใช่ว่าเราทะลุมิติย้อนเวลาบ้าบออะไรนั่นหรอกนะ นี่มันเรื่องเหลวไหลทั้งเพ”
เฉียวลู่ดึงทึ้งผมของตนเองเหมือนคนบ้า เด็กชายทั้งสองที่พึ่งเดินมาถึงกระท่อมน้อยมองเฉียวลู่ด้วยสายตาเป็นห่วง
หลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วเฉียวลู่จึงรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กทั้งสองที่กำลังมองมาที่เธอ ทำให้เฉียวลู่นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“นี่เธอสองคนบอกพี่สาวได้ไหมจ๊ะว่าที่นี่คือที่ไหน”
เด็กชายสองคนมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางมึนงง
“พวกเธอไม่เข้าใจที่พี่สาวพูดหรือ”
หรือว่าพวกเขาพูดคนละภาษากับเรา เฉียวลู่พยักหน้าให้กับความคิดของตนเอง
“ท่านแม่”
เสียงเล็กๆ ที่ดังมาจากเด็กชายหนึ่งในสองคนทำเอาความคิดของเฉียวลู่ชะงักไป
“ท่านแม่หรือ พวกเธอเรียกใคร.....หรือว่าฉัน”
เฉียวลู่ชี้มาที่ตัวเอง เด็กชายสองคนพยักหน้ารับเฉียวลู่ตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยินจนอ้าปากค้าง
“ไม่นะฉันยังไม่ได้แต่งงาน”
สิ่งที่เฉียวลู่คิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ นักแสดงสาวโสดวัยสามสิบกว่าที่ไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งเพราะตั้งมั่นที่จะทำตามความฝันให้เป็นจริง จนกระทั่งเธอได้เป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน แล้วดูตอนนี้สิว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอต้องมากลายเป็นแม่แบบไม่รู้ตัวท่านเทพเซียนกำลังเล่นตลกอะไรกับเธอกันแน่ เธอจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่เกมส์เซอร์ไวเวอร์เอาชีวิตรอดจากอดีตนะที่เล่นแพ้แล้วจะสามารถรีเซตใหม่ได้ท่าทางว้าวุ่นของเฉียวลู่ทำให้เด็กชายทั้งสองเป็นห่วงพวกเขาเดินเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้คนละข้างแล้วส่งสายตาให้กำลังใจมาที่เธอ เฉียวลู่ที่พึ่งเป็นท่านแม่หมาดๆ ถึงกับใจเหลวเป็นน้ำให้กับท่าทางที่น่ารักของพวกเขา“เอาเถอะเป็นไงเป็นกันฟูมฟายไปก็เท่านั้น เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป”นั่นเป็นข้อดีของเฉียวลู่คือเธอเป็นคนที่มีสติและเหตุผลต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเธอก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีทุกครั้ง และอีกหนึ่งข้อดีของเธอคือเมื่อเธอตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วเธอจะมุ่งมั่นไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำสำเร็จเพราะแบบนี้เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับและนักแสดงในวงการอย
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้วเฉียวลู่และเด็กๆ ก็กลับเข้าไปในกระท่อมน้อยของตนอีกครั้ง เตียงเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ปูด้วยฟูกเก่าๆ พอให้สามคนได้อาศัยนอน อากาศตอนกลางวันแม้จะเย็นสบายแต่เพราะหมู่บ้านอยู่ในหุบเขาทำให้ตอนกลางคืนนั้นหนาวมากเฉียวลู่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกหนาว นางดึงเด็กทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขนเพื่อให้ไออุ่นแก่พวกเขา เฉียวลู่สัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่เย็นเฉียบในอ้อมแขน นางได้แต่นึกสงสารพวกเขาจับใจถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันนางจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กสองคนนี้ต้องลำบากเช่นนี้แน่เฉียวลู่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องมากมายที่ตนจะต้องทำในวันพรุ่งนี้ แต่แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างบางอย่างที่วาบขึ้นมาในห้อง เฉียวลู่มองไปที่มุมห้องที่มีกล่องไม้เก่าๆ ไม่ใหญ่มากวางอยู่ ถึงแม้กล่องไม้ใบนั้นจะยังปิดเอาไว้แต่แสงสว่างก็ยังสามารถลอดผ่านออกมาด้านนอกได้เฉียวลู่มองกล่องใบนั้นอย่างระมัดระวัง จะมีอะไรที่น่าระทึกขวัญมากไปกว่าการที่ต้องตื่นมาแล้วมาอยู่ในยุคโบราณอีก เฉียวลู่ตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดกล่องใบนั้นดู เมื่อนางเปิดกล่องไม้เก่าใบนั้นออกด้านในกล่องใบนั้นที่มีแสงสว่างลอดออกมาคือหนังสือเก่าหนึ่งเล่มปกส
เช้าอันแสนสดใสได้มาเยือนอีกครั้งเฉียวลู่ภาวนาเมื่อยามลืมตาตื่นให้เรื่องเมื่อวานที่ตนเองประสบเป็นเพียงความฝัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นดั่งใจที่คิดเฉียวลู่ได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของตนถึงแม้เมื่อวานเฉียวลู่จะได้รับบาดเจ็บที่ขาแต่วันนี้นางกลับไม่รู้สึกเจ็บที่ขาเลยมันหายดีอย่างไร้ร่องรอยไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นเฉียวลู่มองท่อนขาเล็กที่เรียบเนียนของตนนี่มันเป็นไปได้ยังไงมันเหมือนกับว่าเมื่อวานนางไม่ได้รับบาดเจ็บเลยร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงกลับมาเป็นเหมือนเช่นยามปกติและดูเหมือนว่านางจะมีกำลังมากยิ่งกว่าเดิมซะอีก น่าแปลกใจยิ่งนักหรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่ได้มาหลังจากที่นางมาอยู่ที่นี่อวี้หลงกับอวี้ชิงยังไม่ตื่นเฉียวลู่ย่องออกจากห้องไปและปิดประตูอย่างเบามือ สิ่งแรกที่เฉียวลู่ทำคือต้องทดลองสั่งของในหนังสือเล่มนั้นดูก่อน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเฉียวลู่ในตอนนี้คืออาหารและที่ขาดไม่ได้เลยคือไฟแช็ก นางไม่มีทางใช้หินจุดไฟได้เหมือนอย่างเช่นคนโบราณแน่นอนเฉียวลู่ฝนหมึกและค่อยๆ ใช้พู่กันบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปบนหน้ากระดาษ โชคดีที่การเป็นนักแสดงของนางทำให้ต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมายเพื่อให้สมกับบทบาทที่ได้รับ นี่
เฉียวลู่พาเด็กๆ เดินแยกออกมาอีกทางที่ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านผ่านเข้ามา นางตัดกิ่งไม้และเหลาปลายให้แหลมให้อวี้หลงกับอวี้ชิงถือเอาไว้ และสั่งให้เด็กทั้งสองเดินอยู่ข้างหลังนางห้ามห่างเกินสองก้าวอวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าทำตามแต่โดยดี“เอาล่ะเด็กๆ จากนี้ไปจะเป็นป่าทึบห้ามห่างจากแม่เป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”อวี้หลงและอวี้ชิงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกัน เฉียวลู่เดินนำหน้าสายตาสอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างที่สามารถกินได้และไม่เป็นพิษต่อร่างกายน้อยๆ ของพวกเขาทั้งสาม เดินหาอยู่นานเฉียวลู่เก็บได้เพียงเห็ดหอมกับเห็ดหูหนูมาเล็กน้อยเท่านั้น มีเห็ดเพียงไม่กี่ชนิดที่นางรู้จักและพวกมันล้วนเป็นเห็ดที่นางเคยกินที่ร้านอาหารทั้งนั้น ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของนางที่ไม่ก้มหน้าก้มตากินเข้าไปอย่างเดียว และยังมีบางชนิดที่นางจำมาจากหนังสือที่ที่นางเคยอ่านมานิดหน่อย โชคดีที่ความจำของนางยังดีอยู่ไม่อย่างนั้นได้พาเด็กๆ กินเห็ดพิษเข้าไป คงได้เดือดร้อนกันทั้งหมดแน่ผ่านไปนานพวกเขายังเดินวนอยู่ใกล้ๆ ที่เดิมเฉียวลู่ไม่กล้าพาเด็กทั้งสองเดินเข้าไปในป่าที่ลึกเกินไปยังคงเดินวนเวียนอยู่บริเวณตีนเขา เพราะนางกลัวว่าหากเจอกับสัตว์ป่าทั้ง
ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนางเฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”จากนั้นห
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้วเฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี
หลังอาบน้ำเสร็จสองสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง ฉีหมิงเยี่ยนลูบหลังนางเบาๆ พร้อมทั้งเอ่ยบางอย่างจนทำให้เฉียวลู่ที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับต้องตื่นเต็มตา“ข้าให้คนไปสืบเรื่องของซูหลีมาแล้ว บุรุษที่นางติดพันในช่วงนี้คือคุณชายตระกูลกั๋ว คนผู้นี้พึ่งมีตัวตนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วมีบุตรชายที่หายสาบสูญไปพึ่งจะหาพบ อาลู่เขายังเป็นคนที่เสิ่นฮองเฮามีความสัมพันธ์ด้วย ข้าเกรงว่าแม้แต่องค์ชายใหญ่ก็คงจะไม่ใช่พระโอรสของฮ่องเต้ เจ้าควรจะเตือนเรื่องนี้แก่นาง”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เตือนนางหรือ อย่าว่าแต่เตือนนางเลยแม้แต่ใบหน้าของนางข้ายังไม่ได้พบแล้วจะพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เฉียวลู่คิดอย่างปวดหัวสามวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ฉีเหวินจิ้ง เฉียวลู่เข้าร่วมในฐานะพระชายาของชินอ๋อง เหล่าขุนนางและราชทูตที่มาร่วมอวยพรต่างให้ความสนใจทั้งสองคน พระชายาชินอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเท่าใดนักงานนี้ถือว่าเป็นงานแรกอย่างเป็นทางการสำหรับนางก็ว่าได้ อีกอย่างที่พวกเขาให้ความสนใจในตัวนางก็เพราะฉีหมิงเยี่ยน ก่อนหน้านี้ระดมทหารหลายพันนายออกกวาดล้างโจรสลัดเพื่อแก
องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่กลับมาที่พักรับรองของราชทูตแคว้นเซียวนางก็ขังตนเองเอาไว้ภายในห้อง เจ็ดวันแล้วที่นางไม่ยอมออกไปไหน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางดีอกดีใจที่ตนเองได้พบกับเฉียวลู่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนนางจะมีเรื่องยุ่งยากบางอย่างภายในใจ นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยเห็นองค์หญิงของตนเป็นเช่นนี้มาก่อนนางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง หลายวันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้อง พระองค์ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเป็นห่วง องค์หญิงเซียวหมิ่นรู้ว่านางกำนัลเป็นห่วงตนจึงยอมทำตามที่พวกนางขอร้อง“ก็ได้ ไปเถอะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นเดินนำหน้านางกำนัลออกจากเรือนรับรองไป นางเดินเล่นในอุทยานที่มีดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมของมันทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เหล่าผีเสื้อสีสันสดใสบินรอบๆ ตัวนาง องค์หญิงเซียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ“ที่นี่ถูกดูแลเป็นอย่างดีเชียวเจ้าดูดอกไม้พวกนั้นสิ แม้แต่ที่แคว้นเซียวก็ยังไม่งดงามเท่านี้เลย”นางชี้ชวนให้นางกำนัลผู้ติดตามดูดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล เพราะเอาแต่มองดอกไม้พวกนั้นทำให้น
“ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้ใด”ผู้พิพากษาเอ่ยถาม เสิ่นชิงหยุนที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ครั้งนี้กลับคุกเข่าลงอย่างหาได้ยาก นางร้องไห้น้ำตานองหน้า แสร้งทำท่าอ่อนแอให้ผู้คนสงสาร“ข้าคือเสิ่นชิงหยุน บุตรสาวคนเล็กของราชครูเสิ่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อต้องการร้องเรียนเอาผิด พระชายาของชินอ๋องเพราะนางทำร้ายร่างกายของข้าอย่างไร้เหตุผล”ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างมองมาที่เฉียวลู่เป็นตาเดียว ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเสิ่นนั้นหลงรักปักใจในชินอ๋องมานานถึงขั้นไม่ยอมแต่งงานออกเรือน อาจเป็นเพราะพระชายาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงลงมือทำร้ายคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเมืองดังเซ็งแซ่ แต่เฉียวลู่ไม่สะดุ้งสะเทือนนางไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางรอดูว่าเสิ่นชิงหยุนจะเล่นลูกไม้อันใดอีก หากมีเพียงเท่านี้นั่นก็ทำให้นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนักที่นางเล่นใหญ่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยองค์หญิงเซียวหมิ่นทำท่าจะลุกขึ้นตีนางอีกครั้ง นางโตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเท่าสตรีผู้นี้มาก่อน เฉียวลู่ดึงนางให้นั่งลง นางส่ายหน้าให้องค์หญิงเซียวหมิ่นสงบใจ องค์หญิงเซียวหมิ่นได้แต่ทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากเป็นที่แคว้นเซียวสตรีอย่างเส