เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เย่เสวียนถิงและซูชิงอู่เอาแต่อยู่ในเรือนหลังใหม่โดยไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเย่ซวนถิงเพิ่งจะได้ใช้ยา เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาแบบสบาย ๆ ได้ในช่วงสามวันแรกอีกทั้งจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่หลังจากผ่านสองสามวันแรกนี้ไปแล้ว อาการปวดก็จะค่อย ๆ บรรเทาลงซูชิงอู่ต้องอยู่ในห้องเพื่อสังเกตผลของยาและสภาพร่างกายของเย่เสวียนถิงโดยแทบไม่เคยลุกจากเตียงเลยแม้แต่อาหารก็ถูกนำมาส่งที่ห้องโดยอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่คอยสลับกันมาเรื่องที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ไม่ออกจากห้องเลยตลอดสามวันก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วจวนเมื่อคนรับใช้ในจวนเดินผ่านสวนเพื่อทำความสะอาดทุกวัน พวกเขาก็มองไปยังเรือนหลังใหม่ด้วยสายตาที่คลุมเครือเป็นพิเศษถึงอย่างไรก็ตาม วันที่สามเป็นวันเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายเจ้าสาวเย่เสวียนถิงที่ทนต่อความเจ็บปวดที่ขาของเขาในตอนเช้า ได้สั่งให้คนรับใช้เตรียมของขวัญไว้มากมายซูชิงอู่ห้ามเขา “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านยังไม่หาย เราออกเดินทางกันช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งที่จวนเสนาบดี”เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษแม้ว่าเขาจ
ซูชิงอู่วางป้ายวิญญาณไว้บนโต๊ะกลางห้องเมื่อเห็นสีหน้าของนางหลิงที่ขรึมขึ้นในทันที นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอดเสื้อผ้าของท่านออก สีแดงที่แท้จริงคือเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับฮูหยินตัวจริง ท่านเป็นเพียงภรรยาที่ตบแต่งเข้ามาเป็นลำดับที่สอง แม้ว่าท่านจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นแล้วก็เถอะ อย่างไรท่านก็ยังคงเป็นเพียงนางบำเรอ ชุดสีแดงนี้จะแปดเปื้อนเอาได้”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลิงแข็งทื่อนางกำมือแน่นจนผ้าที่เข่าของนางมีรอยย่นนางคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกของซูชิงอู่เมื่อกลับมาเยี่ยมคือการให้นางถอดเสื้อผ้า!เป็นเวลาครู่หนึ่งที่นางหลิงไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหน และสิ่งที่นางได้คิดไว้ก่อนหน้านี้คงไม่มีประโยชน์…ตั้งแต่ที่นางกลายมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวนเสนาบดีอย่างเป็นระเบียบ และทั้งท่านอัครเสนาบดีหรือฮูหยินใหญ่ก็พอใจนางเป็นอย่างมากไม่มีใครในจวนนี้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับนางแม้ว่านางจะปฏิบัติต่อซูชิงอู่เหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรดี ๆ ก็ตาม นางก็จะส่งไปยังเรือนของซูชิงอู่เพื่อให้นางเลือกก่อนเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็แสดงเป็นแม่ลูกที
จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขัดจังหวะเขา “เหตุใดพระชายาทำผิดแล้วต้องให้ท่านอัครเสนาบดีสั่งสอนด้วยเล่า?”อัครเสนาบดีซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกับคำพูดของเย่เสวียนถิงเขาเงยหน้ามองทันทีและเห็นสายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของเย่เสวียนถิงชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีรัศมีอันเยือกเย็นตั้งแต่อายุยังน้อย เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับใบมีดคมที่ถูกดึงออกจากฝัก“เด็กสาวที่ไม่เคารพแม่ของตัวเองย่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “นางบำเรอคู่ควรที่จะเป็นมารดาของชายาข้าหรือ?”ทันทีที่เขาพูดจบ ใบหน้าของนางหลิงก็ซีดลงขณะนี้ นางยืนขึ้นทั้งน้ำตาและตามอัครเสนาบดีซูมาเพื่อทำความเคารพ แต่คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้นางหน้าแดงด้วยความอับอายแต่เย่เสวียนถิงเป็นถึงอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะยอมให้สตรีเช่นนางพูดด้วยหรือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรผิด แต่นางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะโต้แย้ง“ท่านอัครเสนาบดี ข้ารู้ว่าข้ามีสถานะต่ำต้อย คงไม่คู่ควรให้พระชายาเรียกข้าว่าแม่จริง ๆ ท่านเขียนหนังสือหย่ากับข้าไปเลยดีกว่าเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นอัครเสนาบดีซูก็ทำสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขามองไปที่ซูชิงอู่อย่างไม่พอใจ “ชิงอู่ วันนี้เป็นวันดีใ
ทั้งสามอย่างนั่นทำให้สีหน้าของนางหลิงดูแย่มากขึ้นเรื่อย ๆนางก้มหน้าบีบนิ้วมือไปมา แลดูกระวนกระวายแม้แต่หัวใจก็เต้นรัวสายตาของเย่เสวียนถิงมองข้ามเสนาบดีซูที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก จนสายตาไปหยุดอยู่ที่นางหลิงเขาได้สอบปากคำนักโทษมานับไม่ถ้วนและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายอันละเอียดอ่อนของคนเหล่านั้นสำหรับพฤติกรรมของนางหลิง เห็นได้ชัดว่ามีนางมีบางอย่างผิดปกติช่วงนี้เขาได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้มาตลอดแต่ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเรื่องบังเอิญแม้ในวันนั้นซูชิงอู่และนางหลิงจะไปวัดนอกเมืองเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระด้วยกัน แต่ซูชิงอู่ก็เป็นคนตัดสินใจออกจากวัดด้วยตัวเองในระหว่างทางที่นางไปซื้อแผ่นฮกมงคลก็ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไปเป็นเวลาสามวันอีกทั้งเขายังไปสอบถามมาว่าในช่วงเวลานี้ของปี นางหลิงจะไปจุดธูปกราบไหว้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติซูอู่หรี่ตา “แม่ของเจ้าคงจะผิดหวังมากหากนางเห็นว่าเจ้ายังไม่รู้จักโตเช่นนี้”ซูชิงอู่ไม่หลบเลี่ยงสายตาของซูอู่ นางรู้มานานแล้วว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เขาโกรธ ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับเขา การพูดเรื่องท่านแม่ก็เหมือนกับการ “กระตุกหนวดเสือ” พ่อตัวเอง
ซูชิงอู่ไม่เคยรู้จักความอดทนและการยอมจำนนของผู้ใหญ่มาก่อน ฟางอี๋ซินทำตัวให้เข้มแข็งเพราะเห็นแก่ลูก ๆนางไม่เคยคิดว่าการมีน้าคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาอยู่ในจวนจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะถึงอย่างไรตระกูลชั้นสูงเกือบทั้งหมดในเมืองหลวง บุรุษล้วนมีภรรยาและอนุหลายคน…จนกระทั่งนางได้พบกับเย่เสวียนถิง ซูชิงอู่จึงรู้ว่าบุรุษดี ๆ ที่หายากในโลกนี้เป็นอย่างไรซูอู่โกรธมาก แต่เขาไม่ได้โกรธต่อหน้าเย่เสวียนถิง เขาเพียงพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เจ้าเอาป้ายวิญญาณของแม่เจ้ามาตั้งขนาดนี้ อยากจะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามาพูดจาเหน็บแนมต่อหน้าข้า...แล้วก็ขอโทษท่านแม่ของเจ้าด้วย!”นางหลิงก้มหน้า เช็ดหางตาด้วยผ้าเช็ดหน้าพลางสะอื้นอย่างเงียบ ๆซูชิงอู่หรี่ตามองนางหลิงจอมอวดดี น้ำเสียงของนางมีความเยาะเย้ย “ขอโทษเรื่องอะไรเจ้าคะ? หรือว่าท่านพ่อยังไม่รู้อีกว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องที่ข้าถูกลักพาตัวให้ฮองเฮารู้?”อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยแม่ของเจ้ารึ…”“ไม่ได้สงสัย แต่แน่ใจแล้วต่างหาก ข้ามีหลักฐาน”ซูชิงอู่ปรบมือของนางเบา ๆเย่เสวียนถิงพยักหน้าไปทางประตู และพาแม่นมคนหนึ่งเข้ามาแม่นมหลินถูกทุบตีจนเลือดตกยางออก แ
จู่ ๆ สีหน้าของเสนาบดีซูก็ขรึมขึ้น “ใครหน้าไหนมาพูดเรื่องไร้สาระที่นี่? แล้วเหตุใดถึงยังไม่โยนมันออกไป?!”คนรับใช้กล่าวว่า “ไม่ได้ขอรับท่านเสนาบดี ผู้ชายคนนั้นกำลังตะโกนอยู่บนถนนด้านนอก ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาดู หากจัดการกับมันอย่างเร่งรีบ ชื่อเสียงของคุณหนูรองก็จะ…”นางหลิงลุกขึ้นจากพื้นและเช็ดหางตาของนางนางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านเสนาบดี พวกเราไปดูกันดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวกับชื่อเสียงของชิงอู่ …”ซูชิงอู่ค่อย ๆ ระงับประกายในดวงตาของนาง พลางยิ้มเยาะ “เอาสิ”นางหยิบป้ายวิญญาณบนโต๊ะแล้วหันหลังเดินออกไปจวนหลังนี้ไม่คู่ควรแก่การที่จะนำป้ายวิญญาณของท่านแม่มาตั้งไว้นางยื่นป้ายวิญญาณให้กับอวิ๋นจื่อที่ติดตามมา อวิ๋นจื่อหยิบมันอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินผ่านเย่เสวียนถิง ซูชิงอู่ก็หยุดและเงยหน้ามองนางมองชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ทางนี้ไกลนิดหน่อย ขาของท่านคงจะไม่สบายเอามาก ๆ หลังจากยืนเป็นเวลานาน ข้าจะช่วยท่านเดินเอง”ก่อนที่เย่เสวียนถิงจะได้ปฏิเสธ ซูชิงอู่ก็คว้าแขนของเขาไว้แล้วดวงตาของเย่เสวียนถิงขรึมลงครู่หนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือของซูชิงอู่ ทำให้เขาเดินเร็วม
เพราะทั้งสองนั้นรู้จักกันอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงแม้จะเป็นเพียงทางร่างกายก็ตามในชาติที่แล้ว ซูชิงอู่ตื่นตระหนกต่อคำว่าร้ายของชายที่อยู่นอกประตูนางหลิงแกล้งทำเป็นเป็นคนดีเพื่อปลอบใจนางและสั่งให้คนมาจับกุมชายคนนั้นแต่เย่เสวียนถิงหยิบดาบของเขาขึ้นมาและตัดหัวชายคนนั้นต่อหน้าทุกคนการฆ่าผู้คนบนท้องถนน แม้เย่เสวียนถิงจะเป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ แต่เขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความยุ่งยากครั้งใหญ่ เย่เสวียนถิงถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปและไม่ได้กลับมาหลายวัน นางที่พักอยู่ในจวนของเสนาบดีสักพักหนึ่งเพื่อฟังข่าวลือทุกอย่างเกี่ยวกับนางทั้งภายนอกและภายในจวนในตอนนั้นชื่อเสียงของนางแย่มากจนขุนนางและภรรยาของชนชั้นสูงหลายคนที่นางเคยเป็นเพื่อนในอดีตไม่สนใจนางเท่าไหร่แล้วนางเหมือนกับกำลังวิ่งหนีจากโรคระบาดขณะนี้ ฉากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตานาง แต่ซูชิงอู่กลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยนางบีบมือของเย่เสวียนถิง ทันใดนั้นก็ยืนเขย่งเท้าและกระซิบที่ข้างหูเขา “เสวียนถิง ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”กล้ามเนื้อของเย่เสวียนถิงแข็งทื่อลมหายใจอันอบอุ่นพัดผ่านหูของเขา ทำให้ใบหน้างามดั่งห
ให้เขาเข้ามาแล้วปิดประตูอย่างนั้นหรือ?ข้าเกรงว่าแม้นจะปิดประตูบานนี้ลงแล้ว ท่านก็ยังสามารถอาศัยปากของคนรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีซูพูดไปตามที่ท่านต้องการได้อยู่วันยันค่ำ?ซูชิงอู่คนนี้จะไม่โง่เหมือนชีวิตครั้งก่อน และจะไม่หลงเชื่อคำพูดของหลิงซื่อที่พร่ำพูดว่า 'เห็นแก่ประโยชน์ของนางเอง' อย่างแน่นอนหลิงซื่อคิดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะกล้าพูดกับนางเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ความโกรธที่พุ่งพล่านขึ้นครู่หนึ่ง ทำให้นางกระสับกระส่ายไปทั้งร่าง และเวียนศรีษะเพราะโทสะเสียงของนางสั่น “สำหรับข้าแล้ว... นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อความหวังดีของข้าราวกับข้าทำคุณบูชาโทษ...” อัครเสนาบดีซูที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินซูชิงอู่พูดเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็มืดมนยิ่งขึ้นเขาพูดว่า “ซูชิงอู่ เห็นแก่หน้าของข้าเถอะ เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้เลย!”ซูชิงอู่กลอกตามองเขา "นี้ไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อท่านนำนางเข้ามาและยกฐานะให้นางเป็นแม่เลี้ยงของข้า ท่านย่อมไม่มีความละอายใดหลงเหลือให้จะต้องอายอีก...”“เจ้า……”ดวงตาของอัครเสนาบดีซูเบิกกว้าง และโกรธซูชิงอู่มากเช่นกันเขายืนอยู่ตรงนั้นเอามือ
การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
เซียวเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ "เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ขยับกัน?"รองแม่ทัพก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน "เป็นไปได้ว่าเขาจงใจวางกับดัก รอให้พวกเราย่ามใจ แล้วบุกฝ่าเข้ามาไปในคราวเดียว!"เมื่อเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายหนักแน่นมาก เซียวเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดไปได้ชั่วขณะ “แม้จะต้องตื่นตัวเอาไว้ แต่ก็ต้องพักผ่อน จงรออยู่ที่นี่ดูท่าทีอีกฝ่าย ข้าจะสั่งให้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเพื่อสลับกันพักผ่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้รีบรวมตัวกันโดยไว!”"ขอรับ!"หลังจากนั้น ฝ่ายปราการเจิ้นเป่ยทั้งหมดเริ่มผลัดกันเฝ้าประตูเมืองหลังจากเฝ้าระวังเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่กองทัพหลักของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยทั้งสองฝ่ายต่างสับสนกับคำสั่งสายฟ้าแลบ พวกเขารออย่างวิตกกังวล และพลังของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากเหตุผลที่เหยียนจั๋วไม่ได้นำคนของเขาเข้าโจมตีทันที เพราะเขาเคยปะทะกับเย่เสวียนถิงมาหลายครั้งแล้ว และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายค่อนข้างดีเขาใช้กลยุทธ์ม่านบังตาเพื่อสร้างความสับสนในการตัดสินของตนเองและผู้อื่น บางทีอาจคาดหวังให้เขาส่งทหารไปตอนนี้แล้วจับเขาโดยไม่ทันระวังตัวหากนายทหารระดับสูงที่
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา
คนผู้นั้นถูกทุบตีจนจมูกช้ำ ใบหน้าบวม เขารู้สึกเสียใจมากคนของเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่...ขณะนั้นเอง ทหารผู้นั้นก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านนอกนั่นคือการแจ้งเตือนในค่ายทหารว่ามีการบุกโจมตีจากศัตรู!บรรดารองแม่ทัพที่เพิ่งเดินออกไปไม่นานก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และรีบไปที่ค่ายด้วยความตื่นตระหนก พยายามเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบอาวุธให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขาออกมา เซียวเฝิงได้รวบรวมทหารทั้งหมดรออยู่ก่อนแล้วพลางมองผู้มาทีหลังด้วยสายตาเย็นชาแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในการฝึกช่วงนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพเหล่านั้นคุ้นเคยกับการฟังคำสั่งของเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่แรก“เมื่อครู่หน่วยสอดแนมเพิ่งมารายงานว่ากองทัพใหญ่แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้พวกเขายังอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ ทุกคนจงตามข้ามาเพื่อเตรียมการป้องกัน!”ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงไม่ควรออกไปล้างบางตอนนี้ ปราการเจิ้นเป่ยเป็นสถานที่อันตรายที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว การโจมตีนั้นยากกว่าการป้องกัน“ท่านแม่ทัพเซียว ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นคือใคร?”เซียวเฝิง
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา
นางออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น และนางต้องการแก้แค้นเย่เสวียนถิงเหลือบมองนาง จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ“อาอู่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวคนเดียว ไว้รอข้ากลับมาก่อน”ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ แคว้นอู๋ตะวันตกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสงครามนี้จะกินเวลานานเท่าใดเย่เสวียนถิงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท ข่าวการกลับมาของเขาต้องแพร่กระจายออกไปแน่ สิ่งที่เขาต้องทำคือเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าคนส่งข่าวเหล่านั้นซูชิงอู่ที่เห็นว่าเขาเปิดเผยใบหน้า นางก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะจากไปตอนนี้ปัญหาของตระกูลเจียวได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอุปสรรคในราชสำนัก และนางไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไปเย่ชิวหมิงจะนำกองทหารที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงตามล่าตระกูลเจียวที่เหลือ และนางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงแล้ว“เสวียนถิง ท่านจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเขาเหลือบมองลูกชายอีกสองคนแล้วเดินไป แม้เขาจะไม่ได้กอดพวกเขา แต่อย่างน้อยก็ลูบหัวพวกเขาลูกชายคนโตเหมือนเขามากกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ้วนท้วนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแ
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ