หากเป็นเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ เย่เสวียนถิงคงยังเต็มไปด้วยความหวัง คิดว่าขาของเขาจะดีขึ้นในไม่ช้าแต่นั่นก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วเขาเชิญหมอจากทั่วทั้งแผ่นดินมารักษา แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาเขาได้การที่ฟื้นตัวมาได้ถึงทุกวันนี้และสามารถบังคับตัวเองไม่ให้เดินกะโผลกกระเผลกได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วเขาจึงไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าตนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือแม้กระทั่งกลับไปขี่ม้าและฝึกศิลปะการต่อสู้อีกครั้งซูชิงอู่รู้ได้จากสีหน้าของเขาว่าเขาไม่เชื่อแต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเพียงเวลาไม่นานผลลัพธ์ก็จะบอกเขาเองว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนางลดสายตามองไปที่ขาของเย่เสวียนถิง สิ่งที่นางเกลียดที่สุด คือตอนนั้นนางไม่ได้รักษาเขาจนหายขาดให้เร็วกว่านี้หากเย่เสวียนถิงไม่ได้รับบาดเจ็บ ชาติที่แล้วหลังจากกลับมาจากสงครามเขาก็คงจะไม่ตายใช่หรือไม่?แม้ว่าขาของเขาจะรักษาได้ยาก แต่ในเวลานี้ สำหรับซูชิงอู่แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากฟางอี๋ซิน แม่ของนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับสูตรยารักษาโรค แม้ว่าตระกูลฟางจะยากจน แต่บรรพบุรุษของนางล้วนเป็นหมอหลวงความรู้ด้านการแพทย์มากมายท
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เย่เสวียนถิงและซูชิงอู่เอาแต่อยู่ในเรือนหลังใหม่โดยไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเย่ซวนถิงเพิ่งจะได้ใช้ยา เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาแบบสบาย ๆ ได้ในช่วงสามวันแรกอีกทั้งจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่หลังจากผ่านสองสามวันแรกนี้ไปแล้ว อาการปวดก็จะค่อย ๆ บรรเทาลงซูชิงอู่ต้องอยู่ในห้องเพื่อสังเกตผลของยาและสภาพร่างกายของเย่เสวียนถิงโดยแทบไม่เคยลุกจากเตียงเลยแม้แต่อาหารก็ถูกนำมาส่งที่ห้องโดยอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่คอยสลับกันมาเรื่องที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ไม่ออกจากห้องเลยตลอดสามวันก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วจวนเมื่อคนรับใช้ในจวนเดินผ่านสวนเพื่อทำความสะอาดทุกวัน พวกเขาก็มองไปยังเรือนหลังใหม่ด้วยสายตาที่คลุมเครือเป็นพิเศษถึงอย่างไรก็ตาม วันที่สามเป็นวันเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายเจ้าสาวเย่เสวียนถิงที่ทนต่อความเจ็บปวดที่ขาของเขาในตอนเช้า ได้สั่งให้คนรับใช้เตรียมของขวัญไว้มากมายซูชิงอู่ห้ามเขา “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านยังไม่หาย เราออกเดินทางกันช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งที่จวนเสนาบดี”เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษแม้ว่าเขาจ
ซูชิงอู่วางป้ายวิญญาณไว้บนโต๊ะกลางห้องเมื่อเห็นสีหน้าของนางหลิงที่ขรึมขึ้นในทันที นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอดเสื้อผ้าของท่านออก สีแดงที่แท้จริงคือเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับฮูหยินตัวจริง ท่านเป็นเพียงภรรยาที่ตบแต่งเข้ามาเป็นลำดับที่สอง แม้ว่าท่านจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นแล้วก็เถอะ อย่างไรท่านก็ยังคงเป็นเพียงนางบำเรอ ชุดสีแดงนี้จะแปดเปื้อนเอาได้”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลิงแข็งทื่อนางกำมือแน่นจนผ้าที่เข่าของนางมีรอยย่นนางคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกของซูชิงอู่เมื่อกลับมาเยี่ยมคือการให้นางถอดเสื้อผ้า!เป็นเวลาครู่หนึ่งที่นางหลิงไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหน และสิ่งที่นางได้คิดไว้ก่อนหน้านี้คงไม่มีประโยชน์…ตั้งแต่ที่นางกลายมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวนเสนาบดีอย่างเป็นระเบียบ และทั้งท่านอัครเสนาบดีหรือฮูหยินใหญ่ก็พอใจนางเป็นอย่างมากไม่มีใครในจวนนี้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับนางแม้ว่านางจะปฏิบัติต่อซูชิงอู่เหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรดี ๆ ก็ตาม นางก็จะส่งไปยังเรือนของซูชิงอู่เพื่อให้นางเลือกก่อนเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็แสดงเป็นแม่ลูกที
จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขัดจังหวะเขา “เหตุใดพระชายาทำผิดแล้วต้องให้ท่านอัครเสนาบดีสั่งสอนด้วยเล่า?”อัครเสนาบดีซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกับคำพูดของเย่เสวียนถิงเขาเงยหน้ามองทันทีและเห็นสายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของเย่เสวียนถิงชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีรัศมีอันเยือกเย็นตั้งแต่อายุยังน้อย เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับใบมีดคมที่ถูกดึงออกจากฝัก“เด็กสาวที่ไม่เคารพแม่ของตัวเองย่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “นางบำเรอคู่ควรที่จะเป็นมารดาของชายาข้าหรือ?”ทันทีที่เขาพูดจบ ใบหน้าของนางหลิงก็ซีดลงขณะนี้ นางยืนขึ้นทั้งน้ำตาและตามอัครเสนาบดีซูมาเพื่อทำความเคารพ แต่คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้นางหน้าแดงด้วยความอับอายแต่เย่เสวียนถิงเป็นถึงอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะยอมให้สตรีเช่นนางพูดด้วยหรือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรผิด แต่นางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะโต้แย้ง“ท่านอัครเสนาบดี ข้ารู้ว่าข้ามีสถานะต่ำต้อย คงไม่คู่ควรให้พระชายาเรียกข้าว่าแม่จริง ๆ ท่านเขียนหนังสือหย่ากับข้าไปเลยดีกว่าเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นอัครเสนาบดีซูก็ทำสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขามองไปที่ซูชิงอู่อย่างไม่พอใจ “ชิงอู่ วันนี้เป็นวันดีใ
ทั้งสามอย่างนั่นทำให้สีหน้าของนางหลิงดูแย่มากขึ้นเรื่อย ๆนางก้มหน้าบีบนิ้วมือไปมา แลดูกระวนกระวายแม้แต่หัวใจก็เต้นรัวสายตาของเย่เสวียนถิงมองข้ามเสนาบดีซูที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก จนสายตาไปหยุดอยู่ที่นางหลิงเขาได้สอบปากคำนักโทษมานับไม่ถ้วนและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายอันละเอียดอ่อนของคนเหล่านั้นสำหรับพฤติกรรมของนางหลิง เห็นได้ชัดว่ามีนางมีบางอย่างผิดปกติช่วงนี้เขาได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้มาตลอดแต่ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเรื่องบังเอิญแม้ในวันนั้นซูชิงอู่และนางหลิงจะไปวัดนอกเมืองเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระด้วยกัน แต่ซูชิงอู่ก็เป็นคนตัดสินใจออกจากวัดด้วยตัวเองในระหว่างทางที่นางไปซื้อแผ่นฮกมงคลก็ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไปเป็นเวลาสามวันอีกทั้งเขายังไปสอบถามมาว่าในช่วงเวลานี้ของปี นางหลิงจะไปจุดธูปกราบไหว้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติซูอู่หรี่ตา “แม่ของเจ้าคงจะผิดหวังมากหากนางเห็นว่าเจ้ายังไม่รู้จักโตเช่นนี้”ซูชิงอู่ไม่หลบเลี่ยงสายตาของซูอู่ นางรู้มานานแล้วว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เขาโกรธ ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับเขา การพูดเรื่องท่านแม่ก็เหมือนกับการ “กระตุกหนวดเสือ” พ่อตัวเอง
ซูชิงอู่ไม่เคยรู้จักความอดทนและการยอมจำนนของผู้ใหญ่มาก่อน ฟางอี๋ซินทำตัวให้เข้มแข็งเพราะเห็นแก่ลูก ๆนางไม่เคยคิดว่าการมีน้าคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาอยู่ในจวนจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะถึงอย่างไรตระกูลชั้นสูงเกือบทั้งหมดในเมืองหลวง บุรุษล้วนมีภรรยาและอนุหลายคน…จนกระทั่งนางได้พบกับเย่เสวียนถิง ซูชิงอู่จึงรู้ว่าบุรุษดี ๆ ที่หายากในโลกนี้เป็นอย่างไรซูอู่โกรธมาก แต่เขาไม่ได้โกรธต่อหน้าเย่เสวียนถิง เขาเพียงพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เจ้าเอาป้ายวิญญาณของแม่เจ้ามาตั้งขนาดนี้ อยากจะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามาพูดจาเหน็บแนมต่อหน้าข้า...แล้วก็ขอโทษท่านแม่ของเจ้าด้วย!”นางหลิงก้มหน้า เช็ดหางตาด้วยผ้าเช็ดหน้าพลางสะอื้นอย่างเงียบ ๆซูชิงอู่หรี่ตามองนางหลิงจอมอวดดี น้ำเสียงของนางมีความเยาะเย้ย “ขอโทษเรื่องอะไรเจ้าคะ? หรือว่าท่านพ่อยังไม่รู้อีกว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องที่ข้าถูกลักพาตัวให้ฮองเฮารู้?”อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยแม่ของเจ้ารึ…”“ไม่ได้สงสัย แต่แน่ใจแล้วต่างหาก ข้ามีหลักฐาน”ซูชิงอู่ปรบมือของนางเบา ๆเย่เสวียนถิงพยักหน้าไปทางประตู และพาแม่นมคนหนึ่งเข้ามาแม่นมหลินถูกทุบตีจนเลือดตกยางออก แ
จู่ ๆ สีหน้าของเสนาบดีซูก็ขรึมขึ้น “ใครหน้าไหนมาพูดเรื่องไร้สาระที่นี่? แล้วเหตุใดถึงยังไม่โยนมันออกไป?!”คนรับใช้กล่าวว่า “ไม่ได้ขอรับท่านเสนาบดี ผู้ชายคนนั้นกำลังตะโกนอยู่บนถนนด้านนอก ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาดู หากจัดการกับมันอย่างเร่งรีบ ชื่อเสียงของคุณหนูรองก็จะ…”นางหลิงลุกขึ้นจากพื้นและเช็ดหางตาของนางนางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านเสนาบดี พวกเราไปดูกันดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวกับชื่อเสียงของชิงอู่ …”ซูชิงอู่ค่อย ๆ ระงับประกายในดวงตาของนาง พลางยิ้มเยาะ “เอาสิ”นางหยิบป้ายวิญญาณบนโต๊ะแล้วหันหลังเดินออกไปจวนหลังนี้ไม่คู่ควรแก่การที่จะนำป้ายวิญญาณของท่านแม่มาตั้งไว้นางยื่นป้ายวิญญาณให้กับอวิ๋นจื่อที่ติดตามมา อวิ๋นจื่อหยิบมันอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินผ่านเย่เสวียนถิง ซูชิงอู่ก็หยุดและเงยหน้ามองนางมองชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ทางนี้ไกลนิดหน่อย ขาของท่านคงจะไม่สบายเอามาก ๆ หลังจากยืนเป็นเวลานาน ข้าจะช่วยท่านเดินเอง”ก่อนที่เย่เสวียนถิงจะได้ปฏิเสธ ซูชิงอู่ก็คว้าแขนของเขาไว้แล้วดวงตาของเย่เสวียนถิงขรึมลงครู่หนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือของซูชิงอู่ ทำให้เขาเดินเร็วม
เพราะทั้งสองนั้นรู้จักกันอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงแม้จะเป็นเพียงทางร่างกายก็ตามในชาติที่แล้ว ซูชิงอู่ตื่นตระหนกต่อคำว่าร้ายของชายที่อยู่นอกประตูนางหลิงแกล้งทำเป็นเป็นคนดีเพื่อปลอบใจนางและสั่งให้คนมาจับกุมชายคนนั้นแต่เย่เสวียนถิงหยิบดาบของเขาขึ้นมาและตัดหัวชายคนนั้นต่อหน้าทุกคนการฆ่าผู้คนบนท้องถนน แม้เย่เสวียนถิงจะเป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ แต่เขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความยุ่งยากครั้งใหญ่ เย่เสวียนถิงถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปและไม่ได้กลับมาหลายวัน นางที่พักอยู่ในจวนของเสนาบดีสักพักหนึ่งเพื่อฟังข่าวลือทุกอย่างเกี่ยวกับนางทั้งภายนอกและภายในจวนในตอนนั้นชื่อเสียงของนางแย่มากจนขุนนางและภรรยาของชนชั้นสูงหลายคนที่นางเคยเป็นเพื่อนในอดีตไม่สนใจนางเท่าไหร่แล้วนางเหมือนกับกำลังวิ่งหนีจากโรคระบาดขณะนี้ ฉากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตานาง แต่ซูชิงอู่กลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยนางบีบมือของเย่เสวียนถิง ทันใดนั้นก็ยืนเขย่งเท้าและกระซิบที่ข้างหูเขา “เสวียนถิง ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”กล้ามเนื้อของเย่เสวียนถิงแข็งทื่อลมหายใจอันอบอุ่นพัดผ่านหูของเขา ทำให้ใบหน้างามดั่งห