เพราะทั้งสองนั้นรู้จักกันอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงแม้จะเป็นเพียงทางร่างกายก็ตามในชาติที่แล้ว ซูชิงอู่ตื่นตระหนกต่อคำว่าร้ายของชายที่อยู่นอกประตูนางหลิงแกล้งทำเป็นเป็นคนดีเพื่อปลอบใจนางและสั่งให้คนมาจับกุมชายคนนั้นแต่เย่เสวียนถิงหยิบดาบของเขาขึ้นมาและตัดหัวชายคนนั้นต่อหน้าทุกคนการฆ่าผู้คนบนท้องถนน แม้เย่เสวียนถิงจะเป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ แต่เขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความยุ่งยากครั้งใหญ่ เย่เสวียนถิงถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปและไม่ได้กลับมาหลายวัน นางที่พักอยู่ในจวนของเสนาบดีสักพักหนึ่งเพื่อฟังข่าวลือทุกอย่างเกี่ยวกับนางทั้งภายนอกและภายในจวนในตอนนั้นชื่อเสียงของนางแย่มากจนขุนนางและภรรยาของชนชั้นสูงหลายคนที่นางเคยเป็นเพื่อนในอดีตไม่สนใจนางเท่าไหร่แล้วนางเหมือนกับกำลังวิ่งหนีจากโรคระบาดขณะนี้ ฉากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตานาง แต่ซูชิงอู่กลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยนางบีบมือของเย่เสวียนถิง ทันใดนั้นก็ยืนเขย่งเท้าและกระซิบที่ข้างหูเขา “เสวียนถิง ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”กล้ามเนื้อของเย่เสวียนถิงแข็งทื่อลมหายใจอันอบอุ่นพัดผ่านหูของเขา ทำให้ใบหน้างามดั่งห
ให้เขาเข้ามาแล้วปิดประตูอย่างนั้นหรือ?ข้าเกรงว่าแม้นจะปิดประตูบานนี้ลงแล้ว ท่านก็ยังสามารถอาศัยปากของคนรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีซูพูดไปตามที่ท่านต้องการได้อยู่วันยันค่ำ?ซูชิงอู่คนนี้จะไม่โง่เหมือนชีวิตครั้งก่อน และจะไม่หลงเชื่อคำพูดของหลิงซื่อที่พร่ำพูดว่า 'เห็นแก่ประโยชน์ของนางเอง' อย่างแน่นอนหลิงซื่อคิดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะกล้าพูดกับนางเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ความโกรธที่พุ่งพล่านขึ้นครู่หนึ่ง ทำให้นางกระสับกระส่ายไปทั้งร่าง และเวียนศรีษะเพราะโทสะเสียงของนางสั่น “สำหรับข้าแล้ว... นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อความหวังดีของข้าราวกับข้าทำคุณบูชาโทษ...” อัครเสนาบดีซูที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินซูชิงอู่พูดเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็มืดมนยิ่งขึ้นเขาพูดว่า “ซูชิงอู่ เห็นแก่หน้าของข้าเถอะ เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้เลย!”ซูชิงอู่กลอกตามองเขา "นี้ไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อท่านนำนางเข้ามาและยกฐานะให้นางเป็นแม่เลี้ยงของข้า ท่านย่อมไม่มีความละอายใดหลงเหลือให้จะต้องอายอีก...”“เจ้า……”ดวงตาของอัครเสนาบดีซูเบิกกว้าง และโกรธซูชิงอู่มากเช่นกันเขายืนอยู่ตรงนั้นเอามือ
นางแนะนำตนเองต่อหน้าสาธารณชนดูเหมือนจะมีความภาคภูมิใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นราวกับได้บอกทั้งโลกให้รู้ถึงผู้ที่สำคัญที่สุดในใจของนาง และแนะนำเขาให้กับทุกคนที่นางรู้จัก รวมทั้งที่ไม่รู้ด้วยเมื่อเย่เสวียนถิงเห็นซูชิงอู่ทำเช่นนี้ จิตใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยเริ่มเหี่ยวเฉาลงเช่นกันเหงื่อเย็นไหลลงมาบนหน้าผากของชายเนื้อตัวสกปรกผู้นั้นทันทีเขาอยากจะทิ้งสิ่งที่ถืออยู่ หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปแต่เขารู้ว่าหากทำเช่นนั้นเขาจะไม่มีวันรอด เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือต่อไป "แม้... แม้ว่าท่านจะเป็นถึงพระชายาเสวียน แต่สิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริง นี่... เสื้อชั้นในนี้เป็นของท่าน ท่านกล้าให้ใครมาตรวจปานบนร่างกายของท่านหรือไม่?”ซูชิงอู่พูดอย่างไม่แยแส "ถ้าเช่นนั้น ข้าเกรงว่าเจ้าจะเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีปานบนร่างกายเลย ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้ดีที่สุด และเขาสามารถช่วยข้าเป็นพยานได้"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยเสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร "ผู้ที่ใส่ร้ายพระชายาและทำลายชื่อเสียงของพระชายา
จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า "ท่านน้าหลิง ลองเรียกเขาเข้าไปในจวน แล้วปิดประตูจัดการเรื่องนี้ดีไหม? การเปิดประตูให้ชาวบ้านมุงดูเช่นนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงของซูเชียนหลิงได้นะ ท่านว่าไหม?"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยให้คนของเขาจากนั้นมีคนไปยังประตูจวนอัครเสนาบดีซูทันทีทันใดนั้นใบหน้าของหลิงซื่อก็ซีดลง และนางก็รีบวิ่งไปขว้างหน้าประตูไว้อย่างเงียบ ๆ เพื่อหยุดไม่ให้ใครปิดประตูในทันที“อย่าปิดประตู เรื่องนี้ต้องทำให้กระจ่าง เชียนหลิงของข้ายังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางจะไปข้องเกี่ยวกับคนป่าเถื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร?!”เมื่อซูชิงอู่เห็นปฏิกิริยาของนาง นางก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันมากขึ้นเรื่อย ๆ "ท่านพ่อ ท่านเห็นมันด้วยตาของท่านเองและได้ยินมันด้วยหูของท่านเองมิใช่หรือ? ในตอนที่ชายผู้นี้ใส่ร้ายข้าเมื่อครู่ ท่านน้าก็พูดเองนี่ว่า นางต้องการปิดประตูและจัดการกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายพอเป็นคราวของซูเชียนหลิง นางกลับเปลี่ยนความคิดไปอีกทาง ท่านคิดว่าความตั้งใจของนางคืออะไรกัน?"ดวงตาของหลิงซื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีนางกังวล แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อปฏิเสธออกไปได้ใบหน้าของอัครเสนาบดีซ
เมื่อพูดถึงการปกป้องพระชายาของเขา เย่เสวียนถิงนับว่าช่ำชองอย่างแท้จริงแม้ว่าเขาจะพูดโกหกตาใส แต่เขาก็พูดอย่างจริงใจและปราศจากท่าทีพิรุธแต่อย่างไรยามของจวนอัครเสนาบดีซูเดินเข้ามาทันที และคว้าคอเสื้อของชายผู้นั้นเอาไว้แล้วตบเขาทั้งซ้ายและขวาอย่างไม่ลังเลเสียงตบดังมากจนทำให้ผู้คนปวดหู ผู้ชมหลายคนรู้สึกราวกับเจ็บปวดเช่นเดียวกับชายผู้นั้นทันใดนั้น ใบหน้าของชายผู้นั้นก็ถูกตบจนบวมเหมือนหัวหมู แม้แต่จะพูด ก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำยามคนเดิมชักมือของตนกลับและยืนเงียบ ๆ ข้างเย่เสวียนถิงท่าทีของเย่เสวียนถิงเผยให้เห็นปัญหาอย่างชัดเจนยิ่งกว่านั้น ผู้คนที่สังเกตการณ์ต่างก็คิดว่าในฐานะองค์ชายแล้ว เย่เสวียนถิงถือเป็นศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ เขาเป็นถึงท่านอ๋องจะอภิเษกกับสตรีขี้แพ้ได้อย่างไร?นั่นคงเป็นข่าวลือการกระทำของของเย่เสวียนถิง ถือเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของซูชิงอู่ทางอ้อมแต่ด้วยวิธีนี้ ความกดดันและปลายหอกล้วนพุ่งไปยังซูเชียนหลิงแทนซูเชียนหลิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง บุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้านางเรียกได้ว่าเป็นภรรยาและสามีอย่างถูกต้องนางเคยเห็นปานสีแดงบนร่างกายขอ
ซูเชียนหลิงรีบปิดแผ่นหลังของนางทันทีใบหน้าของนางซีดเซียว รู้สึกได้ถึงผ้าที่ฉีกขาดใต้ฝ่ามือของนางเมื่อครู่ผ้าถูกซูชิงอู่ฟันจนขาดนางตั้งใจเช่นนี้!นางมีผื่นแดงตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วงสองวันที่ผ่านมา ผื่นไม่หนาแน่น แต่มีเพียงอาการคันเล็กน้อยซูเชียนหลิงคิดเพียงว่านางกินอะไรผิดสำแดงลงไปและนั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้ นางเพียงต้องรออีกสักหน่อย มันก็จะหายไปเอง เช่นนั้นนางจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เลยแต่ตอนนี้นางกลายเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกะทันหันใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงและนางก็ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง“ไม่ ไม่ใช่นะ นั่นไม่ใช่ปานแดง มันเป็นผื่นบนตัวข้าต่างหาก!”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ "เจ้าไม่ละอายในคำโกหกของตัวเองเลยหรือ? มีคนจับตาดูอยู่มากมาย จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างไร?"ใช่ มันจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?!จิตใจของซูเชียนหลิงตะลึงไปชั่วขณะ นางไม่อาจเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกันได้ แม้จะคำนวณทุกสิ่งแล้วก็ตามสิ่งเดียวที่นางนึกถึงคือของขวัญที่นางได้รับจากซูชิงอู่เมื่อครั้งไม่กี่วันนี้…แต่นางจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้จะมีใครมาที
ลูกกระเดือกของเย่เสวียนถิงขยับขึ้นลงเล็กน้อย การถูกคนเย็นชาและร้อนแรงพิงอยู่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับโลกแห่งน้ำแข็งและไฟทันใดนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นเบา ๆ "เจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไร?"ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดซูชิงอู่ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้แม้ว่าเขาจะเป็นคนนอก ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของตระกูลซูมากนัก แต่เขาก็ตระหนักถึงความทะเยอทะยานอันร้ายกาจของสองแม่ลูกตระกูลซูมานานแล้วเขาเคยเตือนซูชิงอู่อย่างอ้อม ๆ มาก่อน แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับกลายเป็นความรังเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนเย่เสวียนถิงหลับตา ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกผ่อนคลายและเศร้าเล็กน้อย…ด้านความโล่งใจก็คือ เขาอาจรู้เหตุผลว่าทำไมจู่ ๆ ซูชิงอู่ถึงดีกับเขา และมีความเป็นไปได้สูงมากที่นางจะปรารถนาให้เขาช่วยจัดการกับคนในตระกูลซูด้านที่ทำให้เขารู้สึกเศร้า...เพราะเขารู้ถึงเหตุผลดังกล่าวแล้ว…ซูชิงอู่กะพริบตา และทันใดนั้นก็กอดแขนของเขาไว้แน่นเวลานี้ประตูหน้าจวนถูกปิดลงแล้ว หลิงซื่อก็รีบไปเกลี้ยกล่อมซูเชียนหลิง อัครเสนาบดีซูก็โกรธจัดจนหนีไปเช่นกัน ซูชิงอู่ไม่สนใจสายตาของคนรับใช้ นางจับหน้าเขา หรี่ตาลง ยิ้มแล้วถามว่า "เหตุใดท่านจึงถามเช
เย่เสวียนถิงถูกซูชิงอู่พาไปที่ห้องบัญชีของอัครเสนาบดีซูด้วยความงุนงงพ่อบ้านกำลังมอบหมายงานให้คนรับใช้อยู่ที่ประตู เมื่อได้เห็นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงเดินมา เหงื่อเย็นก็ผุดบนหน้าผากเขาทันทีเขามองเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประตู เขาจึงรู้โดยสัญชาตญาณว่าสถานการณ์ในจวนตอนนี้ไม่สู้ดีนักอัครเสนาบดีซูโกรธมาก ฮูหยินและบุตรีของเขากำลังพัวพันกับเรื่องซุบซิบนินทา และเขาต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสองเพียงลำพัง!“ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋องเสวียนและพระชายา!” ซูชิงอู่โบกมือแล้วพูดเข้าประเด็น "พ่อบ้านอวี๋ โปรดนำสมุดบัญชีทั้งหมดของจวนอัครเสนาบดีซูในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มาให้ข้าด้วย"“หือ? อะไรนะขอรับ?”พ่อบ้านอวี๋ตะลึง “พระชายา แต่ว่าสมุดบัญชีเหล่านี้... จะนำออกมาให้ท่านได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอัครเสนาบดีซูเท่านั้น หากท่านอัครเสนาบดีซูไม่อนุญาตเช่นนั้นข้าก็ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎ!”ซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตระหนักได้ว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อบ้านที่จะทำเช่นนี้ทันใดนั้นนางก็ยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้ม จากนั้นจึงหรี่ตาลงแล้วถามว่า "ท่านรู้ไหมว่าท่านแม่ของข้าคือใคร?"“เอ่อ? ข้ารู้... ข้ารู้...”ซูช
การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
เซียวเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ "เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ขยับกัน?"รองแม่ทัพก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน "เป็นไปได้ว่าเขาจงใจวางกับดัก รอให้พวกเราย่ามใจ แล้วบุกฝ่าเข้ามาไปในคราวเดียว!"เมื่อเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายหนักแน่นมาก เซียวเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดไปได้ชั่วขณะ “แม้จะต้องตื่นตัวเอาไว้ แต่ก็ต้องพักผ่อน จงรออยู่ที่นี่ดูท่าทีอีกฝ่าย ข้าจะสั่งให้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเพื่อสลับกันพักผ่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้รีบรวมตัวกันโดยไว!”"ขอรับ!"หลังจากนั้น ฝ่ายปราการเจิ้นเป่ยทั้งหมดเริ่มผลัดกันเฝ้าประตูเมืองหลังจากเฝ้าระวังเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่กองทัพหลักของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยทั้งสองฝ่ายต่างสับสนกับคำสั่งสายฟ้าแลบ พวกเขารออย่างวิตกกังวล และพลังของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากเหตุผลที่เหยียนจั๋วไม่ได้นำคนของเขาเข้าโจมตีทันที เพราะเขาเคยปะทะกับเย่เสวียนถิงมาหลายครั้งแล้ว และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายค่อนข้างดีเขาใช้กลยุทธ์ม่านบังตาเพื่อสร้างความสับสนในการตัดสินของตนเองและผู้อื่น บางทีอาจคาดหวังให้เขาส่งทหารไปตอนนี้แล้วจับเขาโดยไม่ทันระวังตัวหากนายทหารระดับสูงที่
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา
คนผู้นั้นถูกทุบตีจนจมูกช้ำ ใบหน้าบวม เขารู้สึกเสียใจมากคนของเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่...ขณะนั้นเอง ทหารผู้นั้นก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านนอกนั่นคือการแจ้งเตือนในค่ายทหารว่ามีการบุกโจมตีจากศัตรู!บรรดารองแม่ทัพที่เพิ่งเดินออกไปไม่นานก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และรีบไปที่ค่ายด้วยความตื่นตระหนก พยายามเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบอาวุธให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขาออกมา เซียวเฝิงได้รวบรวมทหารทั้งหมดรออยู่ก่อนแล้วพลางมองผู้มาทีหลังด้วยสายตาเย็นชาแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในการฝึกช่วงนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพเหล่านั้นคุ้นเคยกับการฟังคำสั่งของเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่แรก“เมื่อครู่หน่วยสอดแนมเพิ่งมารายงานว่ากองทัพใหญ่แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้พวกเขายังอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ ทุกคนจงตามข้ามาเพื่อเตรียมการป้องกัน!”ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงไม่ควรออกไปล้างบางตอนนี้ ปราการเจิ้นเป่ยเป็นสถานที่อันตรายที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว การโจมตีนั้นยากกว่าการป้องกัน“ท่านแม่ทัพเซียว ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นคือใคร?”เซียวเฝิง
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา
นางออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น และนางต้องการแก้แค้นเย่เสวียนถิงเหลือบมองนาง จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ“อาอู่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวคนเดียว ไว้รอข้ากลับมาก่อน”ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ แคว้นอู๋ตะวันตกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสงครามนี้จะกินเวลานานเท่าใดเย่เสวียนถิงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท ข่าวการกลับมาของเขาต้องแพร่กระจายออกไปแน่ สิ่งที่เขาต้องทำคือเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าคนส่งข่าวเหล่านั้นซูชิงอู่ที่เห็นว่าเขาเปิดเผยใบหน้า นางก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะจากไปตอนนี้ปัญหาของตระกูลเจียวได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอุปสรรคในราชสำนัก และนางไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไปเย่ชิวหมิงจะนำกองทหารที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงตามล่าตระกูลเจียวที่เหลือ และนางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงแล้ว“เสวียนถิง ท่านจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเขาเหลือบมองลูกชายอีกสองคนแล้วเดินไป แม้เขาจะไม่ได้กอดพวกเขา แต่อย่างน้อยก็ลูบหัวพวกเขาลูกชายคนโตเหมือนเขามากกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ้วนท้วนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแ
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ