“อืม เจ้าไม่เข้าใจ คนอื่นก็ยิ่งไม่เข้าใจเลย!”หลิงอวี๋ยิ้มอย่างเย็นชาพลางตะโกนเรียก "หลี่ชุง!"“อาจารย์ ข้าอยู่นี่!”หลี่ชุงตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนมือไม้อ่อนไปหมด พอหลิงอวี๋เรียกถึงได้สติขึ้นมานางรีบวิ่งไปข้างหน้าพลางเอ่ย "อาจารย์ มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ!"“ไปเอาหนูที่ข้าบอกให้เจ้าจับมามาหนึ่งตัว!” หลิงอวี๋เอ่ยหลี่ชุงพยักหน้า แล้ววิ่งเข้าไปในโรงเหยียนหลิงทันทีหลังจากนั้นไม่นานหลี่ชุงก็ถือกรงออกมา ในนั้นมีหนูที่กระโดดไปมาอยู่หนึ่งตัว“ให้มันเลียเลือดของคุณชายหลี่กระอักออกมาที่พื้น!”หลี่ชุงยกหนูไปยังตำแหน่งที่คุณชายหลี่นั่งอยู่ หนูได้กลิ่นเลือดและเริ่มเลียผ่านกรงนั้นทุกคนต่างจ้องไปที่หนูตัวนั้น เห็นว่าหลังจากที่หนูเลียเลือด ก็เริ่มแขนขากระตุกและมีเลือดออกจากปากท่าทางเช่นนั้น เหมือนกับตอนที่คุณชายหลี่ป่วยก่อนหน้านี้ทุกประการ“ในเลือดมีพิษ!”มีคนร้องออกมาอย่างตกใจหลิงอวี๋ยิ้มเบา ๆ และมองไปที่คุณชายหลี่คุณชายหลี่มองหนูตัวนั้นอย่างงุนงง เห็นหนูกระตุกสองสามครั้ง แล้วขนของมันก็ร่วง เลือดเนื้อของมันก็ดูจางลง แขนขาของมันกระตุกแล้วก็เสียชีวิตไปเขายังไม่ยอม ก้า
“ตัวเจ้าเองไม่คิดอะไรเลยหรือ? ความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว เนื้องอกเลือดของเจ้ามิมีใครในเมืองหลวงที่สามารถรักษาได้ ข้ารักษาให้เจ้าแล้ว นับว่าช่วยชีวิตเจ้าหรือไม่?”“เจ้ากินบัวกมลนิลเข้าไป พิษบัวกมลนิลนี้ ขอเพียงได้สัมผัสมันเพียงเล็กน้อย ภายในเวลาไม่ถึงธูปครึ่งดอก ก็ทำให้ร่างกายเปื่อยเน่าจนตายได้แล้ว!”“เจ้าก็เห็นจุดจบของหนูแล้ว ยังต้องการจะปกป้องคนที่คิดจะฆ่าเจ้าอยู่อีกหรือ?”“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ มิได้รับเงินจากเจ้าเลยสักนิด!”“เหตุใดเล่า เจ้ายังคาดหวังให้ข้าให้โอสถเจ้าไม่คิดเงินอีกหรือ? ใต้หล้านี้มีของถูกเช่นนี้ที่ใดกัน?”หลิงอวี๋ด่าออกมามากถึงเพียงนี้ แต่ความโกรธก็ยังคงไม่หายไป นางหันกลับไปตะโกนบอกแม่ทัพเฉิน“ใต้เท้าเฉิน ข้าต้องการรายงานต่อทางการ!”“คุณชายหลี่แล้วก็หวงหยาผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกัน อาศัยการไปหาหมอเป็นข้ออ้าง แต่จริง ๆ แล้วซ่อนยาพิษไว้ในปาก จงใจใส่ร้ายข้าและสร้างความวุ่นวายการทำงานปกติของโรงเหยียนหลิง!”“พวกเขายังใส่ร้ายท่านฮั๋ว ท่านอ๋องเฉิง และทำลายทรัพย์สินส่วนตัวด้วย! ข้าอยากจะฟ้องร้องพวกเขาที่กลั่นแกล้งสร้างความวุ่นวาย มิสนใจกฎหมายบ้านเมือง!”“ใต้เท้าเฉิน ข้าหลิงอวี
คำพูดของตู้ตงหง ทำให้คนบางส่วนสั่นคลอน แบบนี้มันก็เป็นไปได้!ผู้คนเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาอีกครั้ง“คำพูดของคุณหนูตู้ฟังดูสมเหตุสมผล โรงหุยชุนกับโรงเหยียนหลิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน บางทีพระชายาอ๋องอี้อาจต้องการเป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียว จึงหาคนมาใส่ร้ายโรงหุยชุน!”“ช่างมันเถิด! พระชายาอ๋องอี้มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม โรงหุยชุนคงไม่สามารถเอาชนะพระชายาอ๋องอี้ได้ จึงคิดหาคนมาใส่ร้ายนาง!”“แต่คำกล่าวอ้างของคุณชายหลี่บอกว่าคุณชายจางเป็นคนสั่งนะ นี่มันก็เข้าทางแล้ว!”“คุณชายหลี่ผู้นี้นิสัยไม่ดี ใครจะรู้ว่าเขาจงใจปั้นแต่งคำพูดแบบนี้มาเอาใจพระชายาอ๋องอี้ เพื่อจะรักษาอาการป่วยหรือไม่!”เมื่อได้ยินว่าท่ามกลางผู้คนนั้น มีเสียงเอนเอียงมาทางตนเอง จางเจ๋อก็ชื่นชมไหวพริบของตู้ตงหงเขาคว้ามือของตู้ตงหง พลางเอ่ยอย่างอารมณ์ดี“คุณหนูตู้ ขอบคุณที่เจ้าเชื่อข้าถึงเพียงนี้! การมีคนรู้ใจเช่นเจ้าในชีวิต แม้ว่าจางเจ๋อจะถูกคนร้าย ก็รู้สึกชื่นใจ!”“คนอื่นไม่เชื่อข้าก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าเชื่อในตัวข้าก็พอแล้ว!”เอ่อ......หลิงอวี๋ หลิงหว่านและอันซินเกือบจะอาเจียนกับคำพูดการแสดงความรักอย่างไร้
จางเจ๋อคิดจะตะโกนกลับด่าว่าคนคนนั้นโกหกแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าคุณชายผู้นั้นคือลูกชายคนโตของราชองครักษ์ผาง จางเจ๋อก็กลืนคำด่ากลับคืนไปเลยเขาหรือจะกล้าทำให้คุณชายผางขุ่นเคือง!จางเจ๋อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จึงเอ่ย "จริงอยู่ที่ซื้อมาจากดินแดนม้ง! แต่เพื่อนของข้าซื้อมันให้ข้า!"“พระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าข้าจะคาดเข็มขัดที่ซื้อมาจากดินแดนม้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าเคยไปดินแดนม้งนี่!”จู่ ๆ ตู้ตงหงก็อารมณ์ขึ้น แล้วตะโกนขึ้นมา“ผู้ใดจะไม่มีเพื่อนเล่า! พระชายาอ๋องอี้ท่านคิดจะเอาเข็มขัดที่ซื้อมาจากดินแดนม้งมาใส่ร้ายพี่จางเจ๋อ นี่มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ?”หลิงอวี๋ยิ้มเล็กน้อย“คุณหนูตู้ หูข้างใดของเจ้าที่ได้ยินว่าข้าใส่ร้ายพี่จางเจ๋อของเจ้าหรือ? เจ้าสอบสวนข้าเสียมากมายถึงเพียงนั้น จะไม่อนุญาตให้ข้าย้อนถามบ้างสักประโยคเลยหรือ?”"เห้อ ผู้ที่ไม่เคยไปดินแดนม้ง ทั้งยังไม่เคยได้ยินเรื่องบัวกมลนิล แต่กลับสามารถบอกฤทธิ์ทางยาของบัวกมลนิลได้..."“อีกทั้งยังเอาแต่พูดอยู่ตลอดว่าคุณชายหลี่จะต้องตายภายในธูปครึ่งดอก…”เสียงถอนหายใจของหลิงอวี๋ทำให้เหล่าผู้มีสติปัญญาต่างเข้าใจกันจางเจ๋อสามารถโต้เถีย
แม่ทัพเฉินโบกมือ แล้วเหล่านักการก็หยุด“ให้ตาย… เจ็บจะตายอยู่แล้วโว้...”หวงหยาเจ็บปวดจนหน้าบิดเบี้ยว น้ำหูน้ำตาไหลออกมาหมดเขาคลานไปบนพื้น เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของแม่ทัพเฉิน ก็ไม่กล้าพูดคำหยาบออกมา“ใต้เท้าเฉิน หมอหลี่จากโรงหุยชุนเป็นคนสั่งข้า!”“เขาให้เงินข้าห้าสิบตำลึง ให้ข้าหาคนสองสามคนมาก่อปัญหาที่โรงเหยียนหลิง!”“ยาพิษนั้นหมอหลี่ก็เป็นคนให้มาด้วย!”หลังจากทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษมามากพอแล้ว หวงหยาก็สารภาพทุกอย่างออกมาในคราวเดียว“หมอหลี่ ข้าขอโทษ… แม้ว่าท่านจะสัญญาว่าจะให้ข้าเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง แต่ข้าเกรงว่าถึงมีเงินแต่ก็คงไม่มีชีวิตให้ได้ใช้เงินแล้ว!”หวงหยาไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดทั่วร่างกาย แต่เมื่อนึกถึงเงินห้าร้อยตำลึงที่เขาสูญเสียไป เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจด้วยหวงหยากลัวว่าหมอหลี่จะโต้แย้งเหมือนจางเจ๋อ แล้วโยนความผิดนั้นให้กับตนเอง จึงชี้ไปที่เหล่าพี่น้องของเขาพลางตะโกน“ใต้เท้าเฉิน สิ่งที่ข้าบอกเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ตอนที่หมอหลี่ไปหาข้า พี่น้องเหล่านี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย! พวกเขาเป็นพยานให้ข้าได้!”พี่น้องเหล่านั้นเห็นว่าเจ้านายของตนถูกทุบตีจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเห
“ใต้เท้าเฉิน เป็นเพราะมีอะไรบางอย่างมาดลใจข้า กลัวว่าที่โรงเหยียนหลิงเชิญแม่นางหลิงมาตรวจจะส่งผลกระทบต่อการค้า จึงเกิดเจตนามิดีขึ้น!”หมอหลี่หลับตาลง พลางเอ่ยอย่างฮึดสู้“เป็นข้าเองที่เอาเงินไปซื้อตัวหวงหยาให้ทำเรื่องนี้! เป็นข้าเองที่เอายาพิษให้หวงหยา! ข้ายอมรับผิดและทำตามกฎหมายขอรับ!”แม่ทัพเฉินเหลือบมองจางเจ๋ออย่างเย็นชา แล้วจึงเอ่ย“หมอหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า การวางยาพิษผู้อื่น เจ้าจะต้องได้รับโทษ?”หมอหลี่ตัวสั่น พลางเอ่ยเสียงสั่นเทา“ใต้เท้าเฉิน แต่… แต่คุณชายหลี่ยังไม่ตายนะขอรับ!”“หึ… หากพระชายาอ๋องอี้มิได้ใช้ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมช่วยชีวิตเขาไว้ เขากินยาพิษรุนแรงอย่างบัวกมลนิลเข้าไป เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”แม่ทัพเฉินยิ้มเยาะพลางเอ่ย“หมอหลี่ เจ้าสั่งให้หวงหยาวางยาพิษ จงใจวางยาพิษคุณชายหลี่เพื่อใส่ร้ายพระชายาอ๋องอี้!”“อีกทั้งยังสั่งให้หวงหยาทุบทำลายโรงเหยียนหลิง รังแกข่มเหง นี่คือข้อหาของเจ้า! เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น ข้าจักตัดสินประหารชีวิตเจ้า!”“หวงหยา เจ้าเห็นแก่เงิน มิแยกแยะอะไรถูกอะไรผิด วางยาพิษคุณชายหลี่ ให้ความช่วยเหลือคนทำชั่ว เจ้ามีความผิด
ตู้ตงหงมีหรือจะคิดว่าคู่หมั้นที่อ่อนโยนต่อนางเมื่อครู่นี้ ทันทีที่หันหน้ามาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลยการตบครั้งนี้นี้ทำให้นางตาพร่า ที่มุมปากก็มีเลือดไหลออกมาด้วยตู้ตงหงกุมหน้าไว้ ยังไม่เข้าใจว่าตนเองผิดอันใด!หลิงอวี๋ทำให้จางเจ๋ออับอาย ท่านอ๋องอี้ผู้พิการนี้ก็เป็นสามีของนาง!ตู้ตงหงและจางเจ๋อควรร่วมมือกันทำให้อับอายกลับไปบ้างไม่ใช่หรือ?“เจ้า… เจ้าตบข้าหรือ?”ตู้ตงหงร้องไห้ออกมา "ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อผู้ใดกัน?"“พี่จางเจ๋อ… คำพูดที่พวกเขาว่ากล่าวเจ้าเมื่อครู่มันไม่น่าฟังถึงเพียงนั้น นี่ข้าจะล้างแค้นให้เจ้านะ!”เมื่อจางเจ๋อได้ยินว่าจนถึงตอนนี้ตู้ตงหงยังคงสร้างความเกลียดชังให้ตนเอง ก็ยิ่งโกรธ แล้วผลักนางออกไปด้วยความรังเกียจพลางดุด่านาง“ข้ากับท่านอ๋องอี้และพระชายาอ๋องอี้มิได้มีความโกรธแค้นต่อกัน! มันแค่ความเข้าใจผิดเล็กน้อย!”“หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระอีก ชีวิตคู่ของเราก็นับว่าจบ!”“ไม่… พี่จางเจ๋อ ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง เจ้าว่าเยี่ยงไรข้าก็ว่าเยี่ยงนั้น!”“เช่นนั้น ข้าจะไม่พูดเรื่องลงโทษท่านอ๋องอี้อีกแล้ว!”เมื่อตู้ตงหงได้ยินว่าการแต่งงานจะจบลง น้ำตาก็ร่วง คว้าแขนเสื้
“ป้ายคำขวัญนี้สำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”คนข้างล่างได้ยินคำพูดของหลิงอวี๋ ก็เอ่ยวิจารณ์กันขึ้นมา“ปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคนใดมอบมันให้หรือ?”“ข้าก็บอกแล้วว่า อักษรบนป้ายคำขวัญนั้นไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่คนธรรมดาเขียน!”"ใช่แล้ว อักษรนั่นเขียนขึ้นอย่างลื่นไหล มีความชดช้อยมาก!"ทุกคนมองป้ายคำขวัญนั้น คำพูดประจบประแจงก็ออกจากปากมาเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หวังเงินอะไรนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ท่านอ๋องเฉิงกับท่านอ๋องอี้พอใจ พวกเขาจะปล่อยมันผ่านไปได้เยี่ยงไร!“หึ... ไอ้พวกลิงหลอกเจ้า! พวกประจบสอพลอ!”ท่ามกลางเสียงสรรเสริญ ก็มีเสียงที่ไม่คล้อยตามดังขึ้นทันทีที่ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นคุณหนูใหญ่กวนพูดเยาะเย้ยท่านอ๋องเฉิงเหลือบมองนาง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“เหตุใดเล่า คุณหนูใหญ่กวนคิดว่าป้ายคำขวัญนี้มิดีหรือ? เพราะว่าอักษรที่เขียนไม่ดี?”"มันไม่ดีทั้งหมดนั่นเลย!"เจ้าหนูใหญ่กวนอาศัยคุณงามความดีและความมั่งคั่งของตระกูลกวน นางคอยจับตาดูอยู่ตลอด และนางก็ไม่ได้สนใจท่านอ๋องเฉิงด้วยท่านกวนเอ้อร์จะดึงนางไว้ก็ดึงไม่อยู่ นางเดินไปข้างหน้าอย่างอวดดีแล้วเมื่อครู่ เซียวหลินเทียนปรากฏต
“ไปให้พ้น เจ้าคนชั้นต่ำ! เจ้าคิดจะนำหนังสือบัญชีปลอมมาหลอกพวกเรารึ? วันนี้มีเพียงพวกเราต้องได้เห็นหนังสือบัญชีหนี้สินของพวกเรากับตาเท่านั้นจึงจะเชื่อ!”หลงจิ้งใช้บานประตูเป็นอาวุฟาดไปทางผู้ดูแลเฝิงเมื่อผู้ดูแลเฝิงเห็นว่าหลงจิ้งมีท่าทีคุกคามก็แค้นจนอยากจะฟาดเขาให้ตายในทีเดียวแต่ตัวตนของหลงจิ้งสูงส่ง อย่าว่าแต่จะสังหารเขาเลย แม้ว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บก็คาดว่ามิถึงครึ่งชั่วยามทหารจากจวนเจ้าแห่งทิศใต้ก็คงจะมาล้อมบ่อนไว้แล้วผู้ดูแลเฝิงชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียแล้วก็ไม่มีทางเลือกจึงต้องหลบให้ จากนั้นหลงจิ้งก็นำทุกคนพุ่งเข้าไปในห้องบัญชีห้องบัญชีของบ่อนพนันมิได้มีเพียงนักบัญชีคนเดียว แต่มีอยู่เจ็ดแปดคน เมื่อพวกเขาเห็นคนมากมายถึงเพียงนี้พุ่งเข้ามา ทุกคนพากันตกตะลึง นี่มันเกิดเรื่องกระไรขึ้น?“เย่หรง ประเดี๋ยวฉวยโอกาสตอนชุลมุนจุดไฟเผาไปเสีย!”หลงจิ้งสั่งการเย่หรงอย่างเงียบ ๆ แล้วกระซิบต่อ “ข้ารู้สถานที่ที่พวกเขาเก็บขี้ผึ้งหอมไว้ เจ้าจุดไฟเผาที่นี่เสีย ส่วนข้าจะไปแอบจุดไฟเผาสถานที่เก็บขี้ผึ้งหอม!”“เช่นนี้ทุกคนก็จะไม่มีขี้ผึ้งหอมไว้สูบ แล้วก็จะรู้ถึงอันตรายของขี้ผึ้งหอม ทำเช่นนี้ได้ผลก
เมื่อเหล่าคุณชายที่มายืนดูได้ยินจำนวนนี้ ต่างก็ตกใจกันไปหมดแม้ว่าคนที่สามารถมาเล่นการพนันที่บ่อนสำนักซิงหลัวได้นั้นจะล้วนเป็นพวกที่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวย แต่มิว่าเงินของตระกูลใครก็มิได้ปลิวมาตามสายลม หากเป็นหนี้มากเกินไป จะไปอธิบายให้คนในบ้านฟังอย่างไรเล่า?“ผู้ดูแลเฝิง เจ้าคำนวณให้ข้าทีว่าข้าเป็นหนี้พวกเจ้าอยู่เท่าไร?”คุณชายคนหนึ่งเป็นผู้นำเอ่ยถามขึ้นมาก่อน จากนั้นคุณชายคนอื่น ๆ ก็พากันซักถามผู้ดูแลเฝิงผู้ดูแลเฝิงรู้สึกปวดหัวจัด เรื่องนี้จะสามารถบอกพวกเขาได้หรือ?คนมากมายถึงเพียงนี้ หากให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นหนี้สำนักซิงหลัวอยู่เท่าใด คาดว่าคืนนี้บ่อนแห่งนี้คงได้ถูกพวกเขาทำลายเป็นแน่“ไยเล่า เจ้ามิกล้าบอกรึ?”เย่หรงตะโกนออกมาเสียงดัง “ทุกคนดูท่าทางของเขาเถิด หากมิได้โกง แล้วจะทำหน้ามีพิรุธเยี่ยงนี้หาปะไร?”“ให้เจ้าสำนักของพวกเจ้าออกมาอธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นสำนักซิงหลัวที่โกง หรือว่าผู้ดูแลเฝิงปลอมแปลงบัญชีกันแน่?”เมื่อคุณชายเหล่านั้นเห็นว่าผู้ดูแลเฝิงสีหน้ามิสู้ดีก็รู้ดีแก่ใจแล้ว พวกเขาคงจะเป็นหนี้มากเกินไปจนผู้ดูแลเฝิงมิสะดวกพูดในยามนี้เป็นแน่“ผู้ดูแลเฝิง ไปเรียกเจ้าส
เย่หรงเห็นว่าหลงจิ้งยิ่งแสดงยิ่งสมจริงขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ คาดมิถึงว่าท่านชายผู้สง่างามเช่นหลงจิ้งจะมีด้านนี้ด้วย!โชคดีที่หลงจิ้งมาด้วยตนเอง มิฉะนั้นตนก็คงคิดวิธีการก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้มิออกหรอก“ไปนำหนังสือบัญชีมา มิฉะนั้นข้าจะไปแจ้งทางการว่าพวกเจ้าหลอกลวง!”เย่หรงก็เอ่ยข่มขู่ตามไปด้วย“ผู้คุ้มกันหลิน หากไปแจ้งทางการเจ้ามิกลัวว่าคุณชายของเจ้าจะถูกเจ้าแห่งทิศใต้ลงโทษเอาหรือ?”ผู้ดูแลเฝิงเผชิญหน้ากับคำขู่ของเย่หรงแล้วหัวเราะเยาะออกมา เมื่อเห็นว่าหลงจิ้งพุ่งเข้ามาหาตนอีกครั้ง เขาก็ถอยหนีไปที่หน้าประตู“เจ้าไปเกลี้ยกล่อมคุณชายของเจ้าว่าอย่าก่อเรื่องจะดีกว่า สำนักซิงหลัวของข้ากล้าเปิดบ่อนในเมืองหลวงแดนเทพเช่นนี้ก็ย่อมมิใช่คนที่จะมารังแกได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว!”ผู้ดูแลเฝิงยิ้มเย็นชา “พวกเจ้าไปพักผ่อนอยู่ในห้องก่อนเถิด รอให้คุณชายของเจ้ามีสติเต็มที่แล้วข้าค่อยมาคุยกับเขาอีกที!”หลังจากพูดจบ ผู้ดูแลเฝิงก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป“จัดการมัน!”หลงจิ้งทำท่าทางให้เย่หรง จากนั้นก็เดินนำไปเตะที่ประตู“เจ้าสุนัขรับใช้ เจ้ากลับมาคุยกับข้าให้ชัดเจน อย่าแม้แแต่จะคิดหนี!”ผู้
ผู้ดูแลเฝิงยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างปลอบโยน “คุณชายสามอย่าได้ร้อนใจ พวกเราจะคิดไปรายงานกับบิดาของท่านได้อย่างไรกัน! พวกเรามีความลำบากจริง ๆ จึงได้ต้องจำกัดการจำหน่าย! หวังว่าคุณชายสามจะเข้าใจขอรับ!”หลงจิ้งมีใบหน้าเศร้าหมอง ดูคล้ายว่าจะถูกผู้ดูแลเฝิงทำให้หงุดหงิดเสียแล้ว “ข้าเองก็อยากจะรู้อยู่พอดีว่าข้าเป็นหนี้สำนักซิงหลัวอยู่เท่าไร เจ้าไปคำนวณให้ข้าก่อนแล้วกัน!”“เช่นนั้นข้าน้อยจะไปตรวจสอบที่ห้องบัญชีดูขอรับ!”ผู้ดูแลเฝิงมิอาจโต้แย้งกับหลงจิ้งได้ จึงเดินออกไปอีกครั้งหลงจิ้งมองขี้ผึ้งหอมบนโต๊ะแล้วเอ่ยกับเย่หรงอย่างสบาย ๆ “หยิบขี้ผึ้งหอมกับกล้องสูบยามาให้ข้าที!”เย่หรงตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นหลงจิ้งขยิบตาให้ตน ก็เข้าใจทันทีแล้วยื่นขี้ผึ้งหอมและกล้องสูบยาให้กับเขาหลงจิ้งจุดไฟแล้วแสร้งทำเป็นสูบเข้าไปสองสามครั้ง เขามิได้สูบเข้าไปจริง ๆเมื่อได้กลิ่นของขี้ผึ้งหอม หลงจิ้งต้องใช้ความตั้งใจอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งเพื่อต้านทานแรงดึงดูดของกลิ่นหอมนี้ที่มีต่อตนเขาปล่อยให้ตนจินตนาการถึงความเจ็บปวดจากอาการติดยากำเริบ ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงหัวใจนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อต้องเผชิ
ในขณะที่พวกของเซียวหลินเทียนและเผยอวี้ติดอยู่ในตำหนักใต้ดิน เย่หรงและหลงจิ้งก็เข้าไปในบ่อนพนันของสำนักซิงหลัวได้อย่างราบรื่นแล้วเนื่องจากสถานะของหลงจิ้งคือแขกผู้มีเกียรติ เย่หรงที่อยู่ในฐานะผู้คุ้มกันจึงดูราวกับว่าเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยด้วยเช่นกัน ทั้งสองจึงได้รับการต้อนรับให้เข้าไปอย่างราบรื่นก่อนหน้านี้เย่หรงก็เคยไปที่บ่อนพนันสำนักซิงหลัว ทั้งยังเคยเล่นการพนันที่นั่นอยู่สองสามครั้งด้วย แต่เนื่องจากบรรดาแขกที่มาส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงเป็นเช่นเดียวกับเย่ซวินที่เมื่อเจอเย่หรงก็จะเยาะเย้ยทุกครั้งหลังจากนั้นเย่หรงก็มิกลับมาอีกเลยบ่อนพนันใหญ่โตมาก และคนที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือผู้ดูแลเฝิง เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณห้าสิบกว่าปีเมื่อก่อนเย่หรงก็รู้จักเขาเช่นกัน บุรุษผู้ไว้หนวดจิ๋มผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเฉียบคม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวตึงคนหนึ่ง“สองวันที่ผ่านมาคุณชายสามมีธุระหรือ? ไฉนมิแวะเวียนมาที่บ่อนบ้างเล่าขอรับ?”ผู้ดูแลเฝิงเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มตาหยีคำพูดเหล่านี้แฝงด้วยกับดัก ระหว่างทางที่มาหลงจิ้งก็คิดไว้แล้ว เดิมทีเมื่อวานตนควรจะต
“ฉินซาน เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?”เซียวหลินเทียนมองไปทางฉินซานอย่างให้กำลังใจ เมื่อครู่ฉินซานค่อนข้างท้อแท้กับความสามารถของตนเอง เซียวหลินเทียนจึงอยากใช้สิ่งนี้กระตุ้นความมั่นใจของฉินซานฉินซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ชี้ไปที่แผนที่พลางเอ่ยออกมา “ในผังภาพหยินหยางมีเส้นอยู่สองเส้น เส้นหยินเริ่มจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเส้นหยางเริ่มจากทิศตะวันออก”“หากเส้นหยินเคลื่อนที่ไปตามนี้แสดงว่าหยินแข็งแกร่งหยางอ่อนแอ และหากเส้นหยางเคลื่อนที่ไปทิศทางนี้ก็แสดงว่าหยางแข็งแกร่งหยินอ่อนแอ”“กลไกที่พวกเราผ่านมาได้เมื่อครู่นี้หากอิงตามผังแปดทิศ ถูกแบ่งและเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของมัน กลไกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบของผังแปดทิศ หากพวกเราเดินไปที่กลไกในตำแหน่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็จะง่ายหน่อย ทว่าหากเป็นตำแหน่งทิศตะวันออก ก็จะมีกับดักกลไกอันตรายทุกย่างก้าว!” เมื่อเผยอวี้ ลู่หนานและคนอื่น ๆ ได้ฟังเช่นนั้นก็ต่างรู้สึกสับสนกันไปหมดลู่หนานจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ “แล้วทำอย่างไรพวกเราจึงจะแยกแยะตำแหน่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันออกให้ชัดเจนได้เล่า มิใช่ว่าเดินไปตามนี้หรือ? มีโอกาสเลือกได้ที่ไหนกั
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนก็เคยเห็นวิชากลไกที่เจ้าตำหนักปีกเงินคนก่อนรวบรวมไว้เช่นกัน เขาได้ทำการศึกษาพร้อมกับฉินซานและผ่านไปได้หลายด่านโดยไม่มีอันตรายใด ๆแต่ก็เป็นดังเช่นที่หุ่นไม้เตือน ด่านต่อ ๆ ไปจะยากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากเผยอวี้และเซียวหลินเทียนแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนจะถูกกลไกหลอกในระดับที่ต่างกันผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดก็คือจ้าวซวน เขาเกือบจะถูกกลไกตัดแขนขาดครึ่งหนึ่ง ทว่าเซียวหลินเทียนเห็นว่าสถานการณ์มิดี จึงพุ่งเข้าไปแล้วใช้กระบี่คุนอู๋ตัดกลไกได้ทันกาล สุดท้ายก็ช่วยจ้าวซวนออกมาได้แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จ้าวซวนก็ถูกเฉือนจนเนื้อหนังเปิดอย่างน่าสยดสยอง และเลือดก็ยังคงไหลมิหยุดด้วยเผยอวี้รีบหยิบโอสถสมานแผลออกมาเทลงบนมือของจ้าวซวนจนหมดขวด แต่ก็ต้องใช้โอสถสมานแผลถึงสองขวดจึงจะห้ามเลือดที่แขนของจ้าวซวนได้เซียวหลินเทียนเห็นว่ายังเดินกันมิถึงครึ่งทางของตำหนักใต้ดิน แต่คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ได้รับบาดเจ็บกันแล้ว ในใจจึงแอบด่าทอเจ้าสำนักซิงหลัวคนก่อนว่าช่างวิปริตเสียจริง ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไร ถึงได้ต้องมาทำของอันตรายร้ายกาจเยี่ยงนี้!แต่ก็เพราะตำหนักใต้ดินอันตราย คนชุดขาวจ
ลู่หนานไปสำรวจเส้นทางข้างหน้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนเคยบอกไว้ว่า กลไกในตำหนักใต้ดินนั้นซับซ้อนมาก และบอกพวกเขาว่าอย่าไปเสี่ยงง่าย ๆลู่หนานเดินไปจนถึงทางเลี้ยว เขาทำตามคำสั่งของเซียวหลินเทียน เมื่อเขาเห็นประตูบานหนึ่งจึงมิกล้าเข้าไปเขายืนอยู่ห่างจากหน้าประตูสองสามเมตร และพยายามตรวจดูว่าบริเวณโดยรอบมีกับดักหรือไม่แต่พื้นถนนตรงหน้าประตูกับตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้นเป็นแบบเดียวกัน ล้วนปูด้วยแผ่นหินชนวน ดูแล้วก็หาได้มีสิ่งใดผิดปกติไม่และประตูบานนั้นก็ดูคล้ายกับว่าฝังอยู่ในผนังอุโมงค์ ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประตูที่หนักอึ้งทั้งสองบานก็ประกบเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา มิได้มีช่องว่างใดด้วยลู่หนานเคลื่อนไหวไปช้า ๆ แต่เดินไปได้เพียงหนึ่งเมตร จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าที่ใต้เท้าว่างเปล่า แล้วแผ่นหินชนวนก็แยกออกจากกัน จากนั้นลู่หนานก็รู้สึกว่าร่างกายของตนตกลงไปเขาตกใจมากจึงกระโดดขึ้นไปจนหัวกระแทกกับเพดานถ้ำ จากนั้นก็มีลูกศรลับนับมิถ้วนพุ่งออกมาจากผนังทั้งสองด้านโชคดีที่ลู่หนานเป็นคนตาไวมือไว จึงเบี่ยงตัวหลบแล้วไถลตัวกลับไปได้ทันกาลแต่ถึงกระนั้น ที่ไหล่ของลู่หนานก็ถูกลูกศรยิ
“สหายหวงฝู่ ข้าขอแนะนำว่าเจ้าเองก็อย่าได้ตกลงตามเงื่อนไขของเขา!”เซียวหลินเทียนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องพิษของลูกสาวเจ้า แต่คนที่แม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงก็ยังมิกล้าเปิดเผยออกมาเช่นนี้ เจ้าจะเชื่อคำสัญญาของเขาได้หรือ?”“แม้ว่าเขาจะรับปากว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่เมื่อฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะลืมความแค้นที่เมื่อนั้นบรรพบุรุษของเจ้าแช่แข็งเข้าไว้ใต้ภูเขาหิมะได้หรือ?”“จากที่ข้าเห็น เขาก็แค่มิกล้าบุกเข้ามาในตำหนักใต้ดิน ก็เลยจงใจล่อลวงเจ้า!”“สหายหวงฝู่ คนชุดขาวผู้เดียวก็เก่งกาจเช่นนี้แล้ว หากฝูไห่ถูกปล่อยตัวออกมา ทั่วทั้งใต้หล้านี้ ผู้ใดกันที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้? กลัวก็แต่เมื่อถึงกาลนั้น คนที่ตายจะมิใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงราษฎรนับล้านในแดนเทพอีก!”ความเป็นความตายของคนเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!หวงฝู่หลินเกือบจะหลุดพูดคำนี้ออกไปแล้ว แต่เมื่อหันไปเห็นปี้ซง หวงฝู่หลินก็พูดเช่นนี้มิออกปี้ซงและเหล่าทาสในวังเทพ มีหลายคนที่อยู่กับตนมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาจะบอกว่ามิต้องไปสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นได้หรือ?หากเป็นเช่นนี้ ตนยังนับว่าเป