“ตัวเจ้าเองไม่คิดอะไรเลยหรือ? ความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว เนื้องอกเลือดของเจ้ามิมีใครในเมืองหลวงที่สามารถรักษาได้ ข้ารักษาให้เจ้าแล้ว นับว่าช่วยชีวิตเจ้าหรือไม่?”“เจ้ากินบัวกมลนิลเข้าไป พิษบัวกมลนิลนี้ ขอเพียงได้สัมผัสมันเพียงเล็กน้อย ภายในเวลาไม่ถึงธูปครึ่งดอก ก็ทำให้ร่างกายเปื่อยเน่าจนตายได้แล้ว!”“เจ้าก็เห็นจุดจบของหนูแล้ว ยังต้องการจะปกป้องคนที่คิดจะฆ่าเจ้าอยู่อีกหรือ?”“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ มิได้รับเงินจากเจ้าเลยสักนิด!”“เหตุใดเล่า เจ้ายังคาดหวังให้ข้าให้โอสถเจ้าไม่คิดเงินอีกหรือ? ใต้หล้านี้มีของถูกเช่นนี้ที่ใดกัน?”หลิงอวี๋ด่าออกมามากถึงเพียงนี้ แต่ความโกรธก็ยังคงไม่หายไป นางหันกลับไปตะโกนบอกแม่ทัพเฉิน“ใต้เท้าเฉิน ข้าต้องการรายงานต่อทางการ!”“คุณชายหลี่แล้วก็หวงหยาผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกัน อาศัยการไปหาหมอเป็นข้ออ้าง แต่จริง ๆ แล้วซ่อนยาพิษไว้ในปาก จงใจใส่ร้ายข้าและสร้างความวุ่นวายการทำงานปกติของโรงเหยียนหลิง!”“พวกเขายังใส่ร้ายท่านฮั๋ว ท่านอ๋องเฉิง และทำลายทรัพย์สินส่วนตัวด้วย! ข้าอยากจะฟ้องร้องพวกเขาที่กลั่นแกล้งสร้างความวุ่นวาย มิสนใจกฎหมายบ้านเมือง!”“ใต้เท้าเฉิน ข้าหลิงอวี
คำพูดของตู้ตงหง ทำให้คนบางส่วนสั่นคลอน แบบนี้มันก็เป็นไปได้!ผู้คนเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาอีกครั้ง“คำพูดของคุณหนูตู้ฟังดูสมเหตุสมผล โรงหุยชุนกับโรงเหยียนหลิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน บางทีพระชายาอ๋องอี้อาจต้องการเป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียว จึงหาคนมาใส่ร้ายโรงหุยชุน!”“ช่างมันเถิด! พระชายาอ๋องอี้มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม โรงหุยชุนคงไม่สามารถเอาชนะพระชายาอ๋องอี้ได้ จึงคิดหาคนมาใส่ร้ายนาง!”“แต่คำกล่าวอ้างของคุณชายหลี่บอกว่าคุณชายจางเป็นคนสั่งนะ นี่มันก็เข้าทางแล้ว!”“คุณชายหลี่ผู้นี้นิสัยไม่ดี ใครจะรู้ว่าเขาจงใจปั้นแต่งคำพูดแบบนี้มาเอาใจพระชายาอ๋องอี้ เพื่อจะรักษาอาการป่วยหรือไม่!”เมื่อได้ยินว่าท่ามกลางผู้คนนั้น มีเสียงเอนเอียงมาทางตนเอง จางเจ๋อก็ชื่นชมไหวพริบของตู้ตงหงเขาคว้ามือของตู้ตงหง พลางเอ่ยอย่างอารมณ์ดี“คุณหนูตู้ ขอบคุณที่เจ้าเชื่อข้าถึงเพียงนี้! การมีคนรู้ใจเช่นเจ้าในชีวิต แม้ว่าจางเจ๋อจะถูกคนร้าย ก็รู้สึกชื่นใจ!”“คนอื่นไม่เชื่อข้าก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าเชื่อในตัวข้าก็พอแล้ว!”เอ่อ......หลิงอวี๋ หลิงหว่านและอันซินเกือบจะอาเจียนกับคำพูดการแสดงความรักอย่างไร้
จางเจ๋อคิดจะตะโกนกลับด่าว่าคนคนนั้นโกหกแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าคุณชายผู้นั้นคือลูกชายคนโตของราชองครักษ์ผาง จางเจ๋อก็กลืนคำด่ากลับคืนไปเลยเขาหรือจะกล้าทำให้คุณชายผางขุ่นเคือง!จางเจ๋อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จึงเอ่ย "จริงอยู่ที่ซื้อมาจากดินแดนม้ง! แต่เพื่อนของข้าซื้อมันให้ข้า!"“พระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าข้าจะคาดเข็มขัดที่ซื้อมาจากดินแดนม้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าเคยไปดินแดนม้งนี่!”จู่ ๆ ตู้ตงหงก็อารมณ์ขึ้น แล้วตะโกนขึ้นมา“ผู้ใดจะไม่มีเพื่อนเล่า! พระชายาอ๋องอี้ท่านคิดจะเอาเข็มขัดที่ซื้อมาจากดินแดนม้งมาใส่ร้ายพี่จางเจ๋อ นี่มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ?”หลิงอวี๋ยิ้มเล็กน้อย“คุณหนูตู้ หูข้างใดของเจ้าที่ได้ยินว่าข้าใส่ร้ายพี่จางเจ๋อของเจ้าหรือ? เจ้าสอบสวนข้าเสียมากมายถึงเพียงนั้น จะไม่อนุญาตให้ข้าย้อนถามบ้างสักประโยคเลยหรือ?”"เห้อ ผู้ที่ไม่เคยไปดินแดนม้ง ทั้งยังไม่เคยได้ยินเรื่องบัวกมลนิล แต่กลับสามารถบอกฤทธิ์ทางยาของบัวกมลนิลได้..."“อีกทั้งยังเอาแต่พูดอยู่ตลอดว่าคุณชายหลี่จะต้องตายภายในธูปครึ่งดอก…”เสียงถอนหายใจของหลิงอวี๋ทำให้เหล่าผู้มีสติปัญญาต่างเข้าใจกันจางเจ๋อสามารถโต้เถีย
แม่ทัพเฉินโบกมือ แล้วเหล่านักการก็หยุด“ให้ตาย… เจ็บจะตายอยู่แล้วโว้...”หวงหยาเจ็บปวดจนหน้าบิดเบี้ยว น้ำหูน้ำตาไหลออกมาหมดเขาคลานไปบนพื้น เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของแม่ทัพเฉิน ก็ไม่กล้าพูดคำหยาบออกมา“ใต้เท้าเฉิน หมอหลี่จากโรงหุยชุนเป็นคนสั่งข้า!”“เขาให้เงินข้าห้าสิบตำลึง ให้ข้าหาคนสองสามคนมาก่อปัญหาที่โรงเหยียนหลิง!”“ยาพิษนั้นหมอหลี่ก็เป็นคนให้มาด้วย!”หลังจากทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษมามากพอแล้ว หวงหยาก็สารภาพทุกอย่างออกมาในคราวเดียว“หมอหลี่ ข้าขอโทษ… แม้ว่าท่านจะสัญญาว่าจะให้ข้าเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง แต่ข้าเกรงว่าถึงมีเงินแต่ก็คงไม่มีชีวิตให้ได้ใช้เงินแล้ว!”หวงหยาไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดทั่วร่างกาย แต่เมื่อนึกถึงเงินห้าร้อยตำลึงที่เขาสูญเสียไป เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจด้วยหวงหยากลัวว่าหมอหลี่จะโต้แย้งเหมือนจางเจ๋อ แล้วโยนความผิดนั้นให้กับตนเอง จึงชี้ไปที่เหล่าพี่น้องของเขาพลางตะโกน“ใต้เท้าเฉิน สิ่งที่ข้าบอกเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ตอนที่หมอหลี่ไปหาข้า พี่น้องเหล่านี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย! พวกเขาเป็นพยานให้ข้าได้!”พี่น้องเหล่านั้นเห็นว่าเจ้านายของตนถูกทุบตีจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเห
“ใต้เท้าเฉิน เป็นเพราะมีอะไรบางอย่างมาดลใจข้า กลัวว่าที่โรงเหยียนหลิงเชิญแม่นางหลิงมาตรวจจะส่งผลกระทบต่อการค้า จึงเกิดเจตนามิดีขึ้น!”หมอหลี่หลับตาลง พลางเอ่ยอย่างฮึดสู้“เป็นข้าเองที่เอาเงินไปซื้อตัวหวงหยาให้ทำเรื่องนี้! เป็นข้าเองที่เอายาพิษให้หวงหยา! ข้ายอมรับผิดและทำตามกฎหมายขอรับ!”แม่ทัพเฉินเหลือบมองจางเจ๋ออย่างเย็นชา แล้วจึงเอ่ย“หมอหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า การวางยาพิษผู้อื่น เจ้าจะต้องได้รับโทษ?”หมอหลี่ตัวสั่น พลางเอ่ยเสียงสั่นเทา“ใต้เท้าเฉิน แต่… แต่คุณชายหลี่ยังไม่ตายนะขอรับ!”“หึ… หากพระชายาอ๋องอี้มิได้ใช้ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมช่วยชีวิตเขาไว้ เขากินยาพิษรุนแรงอย่างบัวกมลนิลเข้าไป เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”แม่ทัพเฉินยิ้มเยาะพลางเอ่ย“หมอหลี่ เจ้าสั่งให้หวงหยาวางยาพิษ จงใจวางยาพิษคุณชายหลี่เพื่อใส่ร้ายพระชายาอ๋องอี้!”“อีกทั้งยังสั่งให้หวงหยาทุบทำลายโรงเหยียนหลิง รังแกข่มเหง นี่คือข้อหาของเจ้า! เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น ข้าจักตัดสินประหารชีวิตเจ้า!”“หวงหยา เจ้าเห็นแก่เงิน มิแยกแยะอะไรถูกอะไรผิด วางยาพิษคุณชายหลี่ ให้ความช่วยเหลือคนทำชั่ว เจ้ามีความผิด
ตู้ตงหงมีหรือจะคิดว่าคู่หมั้นที่อ่อนโยนต่อนางเมื่อครู่นี้ ทันทีที่หันหน้ามาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลยการตบครั้งนี้นี้ทำให้นางตาพร่า ที่มุมปากก็มีเลือดไหลออกมาด้วยตู้ตงหงกุมหน้าไว้ ยังไม่เข้าใจว่าตนเองผิดอันใด!หลิงอวี๋ทำให้จางเจ๋ออับอาย ท่านอ๋องอี้ผู้พิการนี้ก็เป็นสามีของนาง!ตู้ตงหงและจางเจ๋อควรร่วมมือกันทำให้อับอายกลับไปบ้างไม่ใช่หรือ?“เจ้า… เจ้าตบข้าหรือ?”ตู้ตงหงร้องไห้ออกมา "ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อผู้ใดกัน?"“พี่จางเจ๋อ… คำพูดที่พวกเขาว่ากล่าวเจ้าเมื่อครู่มันไม่น่าฟังถึงเพียงนั้น นี่ข้าจะล้างแค้นให้เจ้านะ!”เมื่อจางเจ๋อได้ยินว่าจนถึงตอนนี้ตู้ตงหงยังคงสร้างความเกลียดชังให้ตนเอง ก็ยิ่งโกรธ แล้วผลักนางออกไปด้วยความรังเกียจพลางดุด่านาง“ข้ากับท่านอ๋องอี้และพระชายาอ๋องอี้มิได้มีความโกรธแค้นต่อกัน! มันแค่ความเข้าใจผิดเล็กน้อย!”“หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระอีก ชีวิตคู่ของเราก็นับว่าจบ!”“ไม่… พี่จางเจ๋อ ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง เจ้าว่าเยี่ยงไรข้าก็ว่าเยี่ยงนั้น!”“เช่นนั้น ข้าจะไม่พูดเรื่องลงโทษท่านอ๋องอี้อีกแล้ว!”เมื่อตู้ตงหงได้ยินว่าการแต่งงานจะจบลง น้ำตาก็ร่วง คว้าแขนเสื้
“ป้ายคำขวัญนี้สำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”คนข้างล่างได้ยินคำพูดของหลิงอวี๋ ก็เอ่ยวิจารณ์กันขึ้นมา“ปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคนใดมอบมันให้หรือ?”“ข้าก็บอกแล้วว่า อักษรบนป้ายคำขวัญนั้นไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่คนธรรมดาเขียน!”"ใช่แล้ว อักษรนั่นเขียนขึ้นอย่างลื่นไหล มีความชดช้อยมาก!"ทุกคนมองป้ายคำขวัญนั้น คำพูดประจบประแจงก็ออกจากปากมาเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หวังเงินอะไรนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ท่านอ๋องเฉิงกับท่านอ๋องอี้พอใจ พวกเขาจะปล่อยมันผ่านไปได้เยี่ยงไร!“หึ... ไอ้พวกลิงหลอกเจ้า! พวกประจบสอพลอ!”ท่ามกลางเสียงสรรเสริญ ก็มีเสียงที่ไม่คล้อยตามดังขึ้นทันทีที่ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นคุณหนูใหญ่กวนพูดเยาะเย้ยท่านอ๋องเฉิงเหลือบมองนาง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“เหตุใดเล่า คุณหนูใหญ่กวนคิดว่าป้ายคำขวัญนี้มิดีหรือ? เพราะว่าอักษรที่เขียนไม่ดี?”"มันไม่ดีทั้งหมดนั่นเลย!"เจ้าหนูใหญ่กวนอาศัยคุณงามความดีและความมั่งคั่งของตระกูลกวน นางคอยจับตาดูอยู่ตลอด และนางก็ไม่ได้สนใจท่านอ๋องเฉิงด้วยท่านกวนเอ้อร์จะดึงนางไว้ก็ดึงไม่อยู่ นางเดินไปข้างหน้าอย่างอวดดีแล้วเมื่อครู่ เซียวหลินเทียนปรากฏต
“กวนอิ่ง เจ้ามานี่!”ท่านกวนเอ้อร์เรียก คิดว่าในเมื่อทำให้ขุ่นเคืองแล้ว เขาก็ทำได้เพียงใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาแล้วประเดี๋ยวค่อยให้เงินแก่แม่นางหลิง ตระกูลกวนมีเงินตั้งมากมาย เรื่องที่แก้ปัญหาได้ด้วยเงินล้วนไม่ใช่ปัญหากวนอิ่งขมวดคิ้ว พลางเอ่ยอย่างออดอ้อน "ลุงสอง อย่าดังไป เขาคุยเรื่องจริงจังกันอยู่!"“ท่านอ๋องอี้ โปรดคิดให้ดี หม่อมฉันจะให้โอกาสท่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!”“ท่านพ่อของหม่อมฉันมีหม่อมฉันเป็นบุตรีเพียงผู้เดียว หากท่านอภิเษกกับหม่อมฉัน ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลกวนจะเป็นของท่าน! ท่านแม่ของหม่อมฉันก็เตรียมสินสอดมากมายให้ด้วย มีทั้ง…”ยังไม่ทันที่กวนอิ่งจะอวดความมั่งคั่งของนาง เซียวหลินเทียนก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา"ข้ามีภรรยาแล้ว และข้าจะไม่หย่ากับนางอีกตลอดชีวิตนี้!"“คุณหนูใหญ่กวนหยุดพูดได้แล้ว ท่านอ๋องเฉิงกำลังสอบสวนคดีอยู่ กรุณาถอยออกไป อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลา!”กวนอิ่งถูกปฏิเสธอีกครั้ง จู่ ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางจ้องมองที่เซียวหลินเทียนอย่างดุร้าย พลางเอ่ยถามเสียงดัง“หม่อมฉันมีตรงไหนไม่ดีหรือ? เซียวหลินเทียน ท่านปฏิเสธข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าหม่อมฉันกว
ทุกคนฟังคำพูดของเสวี่ยหลานแล้วก็รู้สึกว่าปกติมาก เมื่อยกอาหารมาก็แทบจะเป็นไปมิได้ที่เสวี่ยหลานจะพลิกดูข้างล่าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงอวี๋ซ่อนอะไรที่เจ้าวังน้อยกินมิได้ไว้ใต้จานนั้นแต่หลิงอวี๋จับช่องโหว่ในคำพูดของเสวี่ยหลานได้ นางจ้องมองเสวี่ยหลานอย่างน่ากลัวโดยมิพูดอะไรเสวี่ยหลานก็จ้องหลิงอวี๋อย่างโมโห “เจ้าทาสชั่ว เถียงมิได้แล้วสิ! เจ้าก็แค่ยอมรับมาว่าเจ้าคิดจะสังหารเจ้าวังน้อย!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะ พลางเอ่ยกับท่านน้าหลิน “ท่านน้าหลิน ท่านได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยหรือไม่เจ้าคะ?”ท่านน้าหลินพยักหน้าโดยมิรู้ตัว แต่มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้ตอบ หลิงอวี๋จึงเอ่ยอย่างอดทน “ท่านน้าหลิน ก่อนหน้านี้ข้าบอกหรือไม่ว่าเจ้าวังน้อยกินสิ่งใดแล้วแพ้?”“ไม่!”ท่านน้าหลินนึกย้อนดู หลิงอวี๋แค่บอกว่าหมิงจูแพ้อาหาร แต่มิได้บอกว่ากินอะไรเข้าไป“ท่านน้าหลิน เมื่อครู่เสวี่ยหลานบอกว่า นางรับจานนั้นมาแล้วมิได้พลิกดู ดังนั้นจึงมิรู้ว่าข้าใส่อะไรไว้ด้านล่าง!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านน้าหลิน ข้าขอถามสักหน่อยเถิดว่า เสวี่ยหลานได้กินอาหารจานนี้ไปแล้วหรือไม่?”“ไม่ นางเป็นแค่ทาส ไห
เสวี่ยหลานมิอยากจะเชื่อ นางเล็งเห็นว่าเจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ ไม่มีทางที่จะมีคนจับแผนของตนได้ จึงกล้าใช้ถั่วลิสงมาใส่ร้ายหลิงอวี๋ไหนเลยจะคิดว่าจะล้มเหลว!เป็นเพราะทาสต่ำต้อยผู้นี้โชคดีเกินไป หรือว่าแค่บังเอิญโชคดีกันแน่นะ?ไหนเลยเสวี่ยหลานจะยอมให้ล้มเหลวไปเช่นนี้ นางเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างชั่วร้ายแล้วเอ่ย“ท่านน้าหลิน แม้ว่าทาสต่ำต้อยผู้นี้จะช่วยชีวิตเจ้าวังน้อยไว้ได้ แต่ก็มิใช่ความดีความชอบของนาง!”“นางเป็นคนปรุงอาหารเหล่านี้ นางต้องใส่บางอย่างลงในอาหารเป็นแน่ จึงทำให้เจ้าวังน้อยต้องทรมานเช่นนี้!”“ทาสต่ำต้อยผู้นี้ ท่านน้าหลินต้องลงโทษนางสถานหนักนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋เห็นเสวี่ยหลานมุ่งเป้ามาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้เลยว่าถั่วลิสงบดในอาหารจะต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่หลิงอวี๋จึงเอ่ยกับท่านน้าหลินไปตรง ๆ “ท่านน้าหลินเจ้าคะ อาหารเหล่านี้มิได้มีปัญหาอะไร เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าข้ากินไปเช่นกัน ข้ามิได้เป็นอะไรนี่เจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน ท่านเองก็กินอาหารที่ข้าปรุงด้วยกระมัง! หากข้าจงใจทำร้าย เหตุใดอาหารจานเดียวกัน คนสามคนกิน แต่มีคนเดียวที่เกิดเรื่องเล่าเจ้าคะ?”“ท่านน้าหลิน เรื่องน
ท่านน้าหลินมองหลิงอวี๋ด้วยสีหน้ามืดมนเสวี่ยเหมยที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านน้าหลิน ข้ากล้ารับประกันด้วยชีวิตว่า อาอวี๋ไม่มีทางวางยาพิษเจ้าวังน้อยเจ้าค่ะ!””“ตอนนี้เจ้าวังน้อยกำลังจะตายแล้วและไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ เหตุใดท่านมิลองเชื่ออาอวี๋ดูสักครั้งแล้วหาส้มมาให้นางเล่าเจ้าคะ ส้มเป็นผลไม้ ไม่มีทางสังหารเจ้าวังน้อยได้หรอก!”“ท่านน้าหลิน ท่านลองคิดดู หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย เมื่อเจ้าวังกลับมา พวกเรากับท่านก็จะถูกเจ้าวังประหารนะเจ้าคะ!”“เสวี่ยหลานจะต้องมิพอใจที่ท่านแต่งตั้งข้าเป็นหัวหน้าเป็นแน่… จึงได้มีความแค้นต่อท่านและข้า ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันมิให้เราช่วยชีวิตเจ้าวังน้อย!”ยังมิทันที่เสวี่ยเหมยจะพูดจบ เสวี่ยหลานก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด? ข้ามิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด!”แต่คำพูดเหล่านี้ของเสวี่ยเหมยทำให้ท่านน้าหลินหวั่นใจไปแล้ว นางเหลือบมองเสวี่ยหลานอย่างดุร้ายแล้วตะโกนบอกอี้เหวิน “ไปหาส้มมา!”อี้เหวินรีบวิ่งไปที่โกดังพร้อมกับนางกำนัลคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งมีส้มหนึ่งตะกร้าส่งมาที่วังเทพพอดี อี้เหวินจึงไปเอามา“คั
“ท่านน้าหลิน ข้ามิได้วางยาพิษเจ้าวังน้อยนะเจ้าคะ!”หลิงอวี๋รีบเอ่ย “ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยหน่อยเถิด บางทีข้าอาจคิดหาวิธีช่วยเจ้าวังน้อยได้!”เมื่อเสวี่ยหลานได้ยินดังนั้นมีหรือจะให้หลิงอวี๋ทำตามปรารถนา จึงตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านน้าหลิน อย่าไปฟังคำแก้ตัวของนางเจ้าค่ะ แทงตาของนางให้บอดไปเลย นางจะได้พูดความจริง!”ขณะที่ท่านน้าหลินกำลังจะแทงปิ่นปักผมไปในตาของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ก็หลบพลางตะโกน “ท่านน้าหลิน แม้ว่าท่านจะสังหารข้า ข้าก็ไม่มียาแก้พิษ!”“ท่านให้ข้าไปดูเจ้าวังน้อยเถิด มิว่าอย่างไรข้าก็หนีมิพ้นน้ำมือของพวกท่าน เจ้าวังน้อยตกอยู่ในสถาณการณ์วิกฤติ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ ให้ข้าลองดูก็ยังมีความหวังอยู่บ้างนะเจ้าคะ!”“ท่านน้าหลิน เจ้าวังมิอยู่ที่วังเทพ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าวังน้อย ท่านเองก็มิสามารถอธิบายให้เจ้าวังฟังได้!”คำพูดเหล่านี้จี้ใจท่านน้าหลิน นางมองหลิงอวี๋และคิดว่าหลิงอวี๋ก็หนีมิพ้นเช่นกัน ให้นางดูก็มิเสียหาย“พานางไป!”“ทาสสารเลว หากเจ้ามิสามารถช่วยเจ้าวังน้อยได้ เจ้าก็รอถูกสับเป็นชิ้น ๆ เสีย!”ท่านน้าหลินให้อี้เหวินลากหลิงอวี๋ไปหลิงอวี๋ถูกพาไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหวง
หลิงอวี๋ตกใจกับการเตะประตูอย่างหยาบคายเช่นนี้ จึงหันกลับไปแล้วก็เห็นอี้เหวินนางกำนัลข้างกายของท่านน้าหลินกำลังทะเลาะกับบรรดานางกำนัลอย่างดุเดือด“นางสารเลว เจ้ากล้าวางยาพิษเจ้าวังน้อยได้อย่างไร!”อี้เหวินก่นด่า พุ่งไปตรงหน้าหลิงอวี๋ เงื้อมือขึ้นแล้วตบหลิงอวี๋กลิ้งลงไปกับพื้นวางยาพิษ?จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!หลิงอวี๋ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยังมิทันที่นางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกอี้เหวินจิกผมลากออกไปข้างนอกแล้ว“พี่อี้เหวิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”หนังหัวของหลิงอวี๋ถูกดึงจนเจ็บไปหมด นางพยายามดิ้นรนพลางตะโกนออกไป “เจ้าวังน้อยเป็นอะไรไป?”“เป็นอะไรไป? เจ้าวังน้อยกินอาหารที่เจ้าปรุง แล้วมีผื่นขึ้นไปทั่วตัว หายใจลำบาก และกำลังจะตายแล้ว!”อี้เหวินมิสนใจอะไรทั้งนั้นแล้วลากหลิงอวี๋ไปพร้อมกับนางกำนัลอีกคนหลิงอวี๋ดิ้นมิหลุดจากการควบคุมของทั้งสองคน นางถูกทั้งสองคนลากจากห้องครัวไปที่โถงหลัก หลิงอวี๋รู้สึกว่าแขนของตนจะหักเพราะสองคนนี้อยู่แล้วผิวหนังที่ลากไปตามพื้นก็มีรอยขีดข่วนจากหินที่ขรุขระด้วย...กระทั่งถูกลากไปถึงที่โถงหลัก ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกของท่านน้า
เห็นเพียงว่าเกี๊ยวในถาดมีทั้งสีขาว สีแดงและสีเขียว ขนาดเท่า ๆ กันและแต่ละชิ้นก็ดูนุ่มละมุน เห็นแล้วน่ากินมากสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเกี๊ยวเหล่านี้มีขนาดพอดีคำมาก กินชิ้นละคำได้ และเกี๊ยวหนึ่งจานกินแล้วก็มิอิ่มจนเกินไป“เจ้าวังน้อยเชิญเพคะ!”หลิงอวี๋ยื่นตะเกียบให้หวงฝู่หมิงจูแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เครื่องปรุงรสมีสองแบบ แบบหนึ่งหวาน อีกแบบหนึ่งเปรี้ยวเผ็ดเพคะ!”“เจ้าวังน้อยเริ่มด้วยรสเปรี้ยวเผ็ดก่อนจะเป็นการเปิดการรับรสดีกว่าเพคะ!”หวงฝู่หมิงจูรับตะเกียบมาอย่างเชื่อฟังแล้วคีบเกี๊ยวหนึ่งชิ้นจิ้มลงในเครื่องปรุงรสเปรี้ยวเผ็ดตามคำพูดของหลิงอวี๋เสวี่ยเหมยมองการแสดงออกของหวงฝู่หมิงจูอย่างกังวล กังวลว่าอาหารเช้าที่หลิงอวี๋ทำให้จะมิถูกใจเจ้าวังน้อยมิคาดคิดว่าเมื่อเจ้าวังน้อยกินไปชิ้นหนึ่ง ก็รีบคีบอีกชิ้นหนึ่งมาจิ้มเครื่องปรุงรสแบบหวานอีก“อาอวี๋ ข้าชอบแบบเปรี้ยวเผ็ดเช่นนี้ อร่อยมาก!”หลังจากที่เจ้าวังน้อยกินเกี๊ยวไปสองชิ้น ก็ผลักเครื่องปรุงรสหวานออกไปแล้วกินแค่อันที่เปรี้ยวเผ็ดเท่านั้นเจ้าวังน้อยกินเกี๊ยวไปทีละชิ้น เมื่อเห็นเจ้าวังน้อยกินไปครึ่งจานแล้ว ความกังวลของเสวี่ยเหมยก็หายไปอาอ
วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังมิทันสว่าง เสวี่ยเหมยมาหาแล้ว“อาอวี๋!”หลิงอวี๋ตื่นแล้ว นางกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยเหมย จึงรีบเปิดประตูเดินออกไป“โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างเย็นชา “เสวี่ยหลานจงใจแกล้งป่วย มิลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้เจ้าวังน้อย ขอเพียงเจ้าสามารถทำให้เจ้าวังน้อยพอใจได้ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ชิงความโปรดปรานของเสวี่ยหลานจากเจ้าวังน้อยได้!”“โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากทำมิสำเร็จเจ้าจะไม่มีวันก้าวหน้าอีกตลอดไป!”ดวงตาของหลิงอวี๋เป็นประกายแล้วเอ่ยทันที “พี่เสวี่ยเหมยมิต้องกังวล ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน!”นางรีบสวมเครื่องแบบวังแล้วเรียกให้ปี้เอ๋อร์ตามเสวี่ยเหมยไปที่ห้องครัววังเทพมีห้องครัวใหญ่และห้องครัวเล็ก เพราะว่าเจ้าวังน้อยจู้จี้จุกจิก จึงมีห้องครัวเล็กของตนเองก่อนหน้านี้หลิงอวี๋คิดอยู่ว่า วังเทพนี้สร้างขึ้นบนภูเขาน้ำแข็ง อาหารการกินเหล่านี้ดูน่าเบื่อมาก ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อมาถึงห้องครัวหลิงอวี๋จะพบว่าตนคิดคับแคบไปเองในครัวของเจ้าวังน้อยมีผักและผลไม้สด ๆ มากมาย“เจ้าวังใจกว้างกับเจ้าวังน้อยมาก ของเหล่านี้ต้องจ่ายเงินสูงมากเพื่อให้คนมาส่ง
ท่านอาหลินหันหลังกลับมาเสวี่ยหลานถูกหลิงอวี๋ตะโกนเช่นนี้ก็ทำอะไรมิถูก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนที่หยิ่งยโสเช่นนี้ที่ถึงกับมาใส่ร้ายตนเมื่อเห็นท่านอาหลินหันหลังกลับมา เสวี่ยหลานก็ตกใจรีบแก้ตัว“ท่านอาหลิน ข้า… ข้าหาได้มิพอใจกับการลงโทษของท่านไม่ ทาสหยิ่งยโสเผู้นี้จงใจใส่ร้ายข้า!”หลิงอวี๋เอ่ยเสียงแข็ง “เสวี่ยหลาน เจ้าแก้ตัวเก่งนัก! ต่อหน้าท่านอาหลินทำอย่าง ลับหลังทำอีกอย่าง เจ้าคิดว่าการแก้ตัวเช่นนี้ท่านอาหลินจะแยกมิออกหรือใครพูดจริงใครพูดโกหก?“อีกอย่างคำพูดของเจ้า พี่เสวี่ยเหมยก็ได้ยินเช่นกัน!”เสวี่ยเหมยยิ้มแอบในใจ แต่บนใบหน้าแสร้งทำเป็นตำหนิอย่างโกรธ ๆ “อาอวี๋ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”ท่าทางเช่นนี้ของเสวี่ยเหมยในสายตาของท่านอาหลิน ยิ่งยืนยันว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดเป็นเรื่องจริง!เสวี่ยเหมยแค่ขัดเพียงเพราะความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานกับเสวี่ยหลาน จึงปกป้องเสวี่ยหลาน“เสวี่ยหลาน เมื่อครู่ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าการลงโทษเจ้าจะเบาเกินไปจริง ๆ!”ท่านอาหลินเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าวังให้ข้าดูแลหมิงจู ข้าก็ต้องดูแลนางอย่างดี!”“วันนี้มีคนขโมยงูขาวน้อยของนางไป แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเรื่อง
เพื่อให้พ้นผิด หยวนเซี่ยจึงเอ่ยอย่างร้อนใจ “หากท่านอาหลินมิเชื่อก็ไปถามเจ้าวังน้อยได้เจ้าค่ะ นางเป็นพยานให้บ่าวได้!”“จะต้องเป็นหยวนชุนนึกสนุก แอบพางูขาวน้อยกลับมา แล้วดูแลมิดี งูขาวน้อยจึงกัดนางกับหยวนตงจนตาย!”เสวี่ยหลานทั้งโกรธและเกลียด หรือหลิงอวี๋จะถูกทำให้ใสสะอาดไปเช่นนี้?นางจึงตะโกนอย่างมิยอม “เป็นไปมิได้! งูขาวน้อยเป็นงูพิษ หยวนชุนรู้เรื่องนี้ดี นางจะเอางูขาวน้อยออกมาโดยมิเอากรงมาด้วยได้อย่างไร!”หลิงอวี๋มองเสวี่ยหลานอย่างเฉยเมย พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “มีอะไรเป็นไปมิได้เล่า! หยวนชุนคงขโมยงูขาวน้อยมา แต่ผลก็คือมิระวังงูขาวน้อยจึงหลุดไป!”“นางหางูขาวน้อยมิเจอ กังวลว่าจะถูกเจ้าวังน้อยลงโทษ จึงส่งกรงกลับไป!”“ผลคือกลับมาก็ถูกงูขาวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่กัดจนตาย!”เสวี่ยเหมยเหลือบมองหลิงอวี๋อย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะคาดเดากระบวนการมิออก แต่ก็ว่าไปตามคำพูดของหลิงอวี๋“มีความเป็นไปได้ ใครก็ได้ ไปเรียกนางกำนัลที่ประจำการอยู่ตำหนักรุ่ยจูคืนนี้มาถามว่าหยวนชุนได้กลับไปหรือไม่ เช่นนี้ก็จะรู้ความจริงแล้ว!”นางกำนัลของตำหนักรุ่ยจูคนหนึ่งจึงวิ่งกลับไปเรียกหลังจากนั้นมินานนางกำนัลผู้นั้นก็พานาง