วันรุ่งขึ้น ทูตชุดแรกจากแคว้นเล็ก ๆ เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วชุดแรกที่มาถึงก่อนก็คือสามแคว้นเล็กโดยรอบคือ แคว้นพัน แคว้นเฉิง แคว้นกันกู่คนที่นำแคว้นพันมาเยี่ยมเยือนก็คือหัวหน้าขุนนางจินอายุเกือบห้าสิบจากแคว้นพันทางแคว้นเฉิงคือท่านชายอวี่เหวินเย่ลูกชายคนโตของอ๋องเฉิงและอวี่เหวินเสียท่านหญิงที่เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นปีนี้ส่วนคนที่นำแคว้นกันกู่มาก็คือฮูเหยียนเสวี่ยท่านหญิงคนโตของประมุขและฮูเหยียนเจี้ยนกับน้องชายที่เพิ่งจะสิบขวบทั้งสามแคว้นเล็กต่างนำของพิเศษพื้นถิ่นจำนวนมิน้อยมาถวายแด่จักรพรรดิองค์ใหม่ ทั้งผ้าไหม เครื่องประดับหยก ทั้งยังมีผลไม้ตามฤดูกาลและของพิเศษที่มีอยู่ในพื้นถิ่นอีกด้วยหลิงอวี๋อยู่ที่วังหลัง มิได้พบทูตของทั้งสามแคว้นหลิงซวนจึงย่อมมิละเลยในเรื่องนี้ นางส่งหานอวี้ผู้ชอบซุบซิบนินทาไปสืบแล้วหานอวี้ปลอมตัวเป็นขันทีน้อยคอยดูทูตเหล่านั้นอย่างชัดเจนในเส้นทางที่พวกทูตต้องผ่านเมื่อเห็นท่านหญิงทั้งสอง หานอวี้ก็ตาโตมิสนผู้อื่นแล้วรีบกลับไปรายงานหลิงอวี๋“ฮองเฮาเพคะ ท่านหญิงอวี่เหวินเสียจากแคว้นเฉิงนั้นมิรู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร นางคลุมผ้าปิดหน้าไว้ แต่ชุดที่นางสวมใส่ท
เรื่องนี้เจ้ากรมพิธีได้แจ้งหลิงอวี๋ไว้ก่อนหน้านี้แล้วเซียวหลินเทียนขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ แคว้นเล็ก ๆ โดยรอบเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะยอมจำนนต่อเขาโดยซื่อสัตย์ การมาประชุมครานี้จะตัดเรื่องที่พวกเขามาดูลาดเลาออกไปมิได้ดังนั้นงานต้อนรับจึงมิเพียงแต่การจัดที่พักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความน่าตกใจที่ซ่อนอยู่ในรายการที่จัดงานเลี้ยงด้วยหลิงอวี๋ย่อมเข้าใจดีก่อนหน้านี้นางขัดแย้งกับเซียวหลินเทียนจึงมิอยากไปยุ่งเรื่องของเขาแต่หลังจากที่เซียวหลินเทียนขอโทษนางอย่างจริงใจแล้ว หลิงอวี๋จึงพยายามที่จะเตรียมการต้อนรับเพื่อช่วยเซียวหลินเทียนเพียงแต่ตอนนี้นางมิอยากบอกกับเซียวหลินเทียน หากบอกเรื่องนี้ไปก่อนก็มิประหลาดใจแล้ว“หม่อมฉันจัดการ ท่านยังมิวางพระทัยอีกหรือเพคะ?”หลิงอวี๋มองเซียวหลินเทียนอย่างตำหนิ พลางเอ่ยถามออกไป “ท่านคิดเห็นอย่างไรกับทูตทั้งสามแคว้นนี้หรือเพคะ?”เซียวหลินเทียนเอ่ยไปตามตรง “ทั้งสามแคว้นนี้นอกจากแคว้นกันกู่แล้ว แคว้นอื่นล้วนแสร้งมาบ่นลำบากกับข้า!””“หัวหน้าขุนนางจินผู้นั้นใบหน้าเย่อหยิ่ง ข้ามิรู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากที่ใดจึงกล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าข้าเช่นนี้ คิดว่าข้ายังเด็กรั
หลิงอวี๋มิใช่แม่พระ ผู้ป่วยที่ต้องช่วยเหลือในใต้หล้ามีตั้งมาก นางมิสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องไปแคว้นกันกู่ที่อยู่ไกลถึงเพียงนั้นอีก!แต่ท่านหญิงใหญ่จะยอมแพ้หรือ?หากประมุขแคว้นกันกู่ป่วยหนักจริง ๆ อีกทั้งท่านหญิงใหญ่ก็เป็นลูกกตัญญู นางไม่มีทางยอมแพ้กับคำปฏิเสธนี้ของเซียวหลินเทียนแน่เมื่อนึกถึงที่หานอวี๋บอกว่า ท่านหญิงใหญ่เป็นสตรีที่ดูมีพลังมาก หลิงอวี๋ก็ให้ความสำคัญกับท่านหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นพิเศษเดิมทีหลิงอวี๋ยังคิดว่าอีกสองวันจึงจะได้พบกับฮูเหยียนเสวี่ยที่งานเลี้ยงไหนเลยจะคิดว่า วันรุ่งขึ้นยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะว่าราชกิจเสร็จ ป้ายอวยพรของฮูเหยียนเสวี่ยก็ส่งมาที่พระตำหนักคุนหนิงแล้ว“ฮองเฮาเพคะ หากท่านมิทรงต้องการพบ บ่าวจะไปปฏิเสธนางให้เพคะ!”หลิงซวนเอ่ยอย่างเอาใจใส่“เหตุใดจะมิพบเล่า?”หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “เชิญนางเข้ามาเถิด!”ฮูเหยียนเสวี่ยเข้ามาคารวะตนที่ตำหนักอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางหลิงอวี๋ก็ต้องพบเสียหน่อย เหตุใดจะต้องหลบซ่อนเล่า!หลิงอวี๋เปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่านแล้วไปพบฮูเหยียนเสวี่ยที่โถงกลางฮูเหยียนเสวี่ยพานางรับใช้มาเพียงสองคน ตอนที่นางเข
สีหน้าของหลิงอวี๋เรียบเฉยลงฮูเหยียนเสวี่ยผู้นี้ ตนเห็นแก่ที่พ่อของนางป่วยและเห็นใจอารมณ์ของนาง จึงพูดกับนางดี ๆแต่นางทำเหมือนตนเป็นแค่คนทั่วไปจริง ๆ ทั้งยังกล้ากล่าวโทษตนอีก!หลิงอวี๋นึกถึงอีกเป้าหมายหนึ่งที่แคว้นเล็ก ๆ เหล่านี้มาประชุมกันในครานี้ นั่นก็คือหยั่งเชิงความสามารถของเซียวหลินเทียนหากวันนี้ตนมิจัดการฮูเหยียนเสวี่ยผู้นี้ เช่นนั้นจะมิเป็นการทำให้เซียวหลินเทียนเสียหน้าหรือ?“เพล้ง!”หลิงอวี๋สะบัดมือแล้วถ้วยชาก็บินไปตกอยู่ตรงเท้าของฮูเหยียนเสวี่ย“ฮูเหยียนเสวี่ย เจ้าช่างกล้าหาญนัก กล้าบ่นโวยวายต่อหน้าข้า!”“เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไร?”หลิงอวี๋ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “อะไรคือที่เจ้าบอกว่ากันกู่ของเจ้ามอบบรรณาการมาให้ฉินตะวันตกทุกปี สิบปีมิเคยขาด? เจ้าคิดว่านี่คือความภาคภูมิใจของเจ้าในฐานะคนกันกู่หรือ?” “เจ้ามิเคยเรียนประวัติศาสตร์ของกันกู่หรือ? ตอนนั้นกันกู่ของเจ้าถูกแคว้นเพื่อนบ้านตีพ่าย ชนเผ่าเหลืออยู่เพียงหนึ่งพันกว่าคน สตรีและเด็กถูกทหารแคว้นเพื่อนบ้านทำลายอย่างโหดเหี้ยม!”“ปู่ของเจ้าเป็นดังสุนัขไร้บ้าน ร้องขอความช่วยเหลือไปทั่วทุกที่ สุดท้ายก็มาขอที่แทบเท้าของฉินตะ
ตุ้บ…ฮูเหยียนเสวี่ยคุกเข่าลง คำพูดของเซียวหลินเทียนทำให้นางตกใจจนหน้าซีด“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้มิได้เพคะ...”“ข้ามิสามารถทำเช่นไรได้?”เซียวหลินเทียนเอ่ยตัดบทนางด้วยเสียงแข็ง “สองแคว้นมีสัมพันธ์ต่อกันจะมิสังหารทูตที่มาเจรจา ข้าให้เวลาเจ้าออกไปแล้ว!”“ฮูเหยียนเสวี่ย หากเจ้ากล้าพูดจาโอหังอีก ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที กันกู่ของเจ้าก็ทำได้เพียงรับไปอย่างว่าง่ายเท่านั้น!”ฮูเหยียนเสวี่ยทั้งร้อนใจทั้งโกรธ เซียวหลินเทียนมิได้พูดเกินจริง กันกู่เมื่อเทียบกับฉินตะวันตกก็เป็นเพียงเด็กที่เล่นกับผู้ใหญ่เท่านั้นเซียวหลินเทียนแค่ส่งทหารไปสองหมื่นนายก็สามารถทำให้กันกู่แพ้ราบคาบได้แล้วหากเซียวหลินเทียนสังหารนาง กันกู่ก็มิกล้าเอาความนางมิสามารถทำให้ท่านพ่อและครอบครัวเดือดร้อนเพราะความผิดของตนได้ในช่วงนี้ฮูเหยียนเสวี่ยจัดการเรื่องการบ้านการเมืองแทนท่านพ่อ เคยชินกับการสั่งจากตำแหน่งที่สูงแล้ว ความรู้สึกเหนือกว่าที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้นางเสียตัวตนไปถึงขั้นตำหนิหลิงอวี๋ดังเช่นที่ทำกับเหล่าขุนนางใต้บังคับบัญชาไหนเลยจะคิดว่าหลิงอวี๋มิได้อ่อนโยนดังที่เห็นภายนอก เมื่อโหดเหี้ยมขึ้นมาก็เยือกเย
ในส่วนการตัดสินใจของเซียวหลินเทียน หลิงอวี๋มิอยากเข้าไปแทรก แม้ว่าในใจจะค่อนข้างเห็นใจราษฎรกันกู่ แต่นี่คือสิ่งที่ฮูเหยียนเสวี่ยสร้างขึ้นเองใต้หล้านี้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง หากไร้การคุ้มครองจากฉินตะวันตก กันกู่ก็คงดำรงอยู่มิได้และหลายปีมานี้ฉินตะวันตกเองมิได้รับบรรณาการของกันกู่มาเปล่า ๆ พวกเขาเองก็ต้องจ่ายเช่นกันเมื่อกันกู่ลำบาก ฉินตะวันตกล้วนตอบสนองต่อคำร้องขอความช่วยเหลือและไปสนับสนุนเสมอแต่สิ่งนี้มิได้รับคำขอบคุณจากกันกู่ ทั้งยังทำให้ฮูเหยียนเสวี่ยคิดว่าที่พวกเขาช่วยเป็นสิ่งที่ควรทำอีกด้วย!ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเซียวหลินเทียนต้องเสียสละทหารของตนไปเพื่อแคว้นเล็ก ๆ ที่ไร้ความภักดีต่อตนด้วยเล่า!ฮูเหยียนเสวี่ยรู้สึกคับข้องใจ เช่นนั้นก็ให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเถิด!ฮูเหยียนเสวี่ยถูกทหารกองทัพหลวงเอาตัวออกจากวังหลวง หลังจากที่นางผิดหวังอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บความรู้สึกเหล่านี้เปลี่ยนเป็นความแค้นฝังลึก!ทุกอย่างเป็นเพราะหลิงอวี๋คนเลวนั่น ทำให้ตนถูกบีบไปสู่สถานการณ์สิ้นหวังนางไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่!ใต้หล้านี้มิได้มีเพียงฉินตะวันตกที่เป็นแคว้นที่แข็งแก
ข่าวลือที่แพร่ออกไปกะทันหันเหล่านั้นมาถึงหูของหลิงอวี๋ ทีแรกนางมิได้สนใจ ตนอยู่ในตำแหน่งสูง มีคนจำนวนมากมิเชื่อมั่นเรื่องคัดเลือกสนมก่อนหน้านี้ถูกเซียวหลินเทียนปฏิเสธไป พวกคนที่อยากส่งลูกสาวเข้ามาในวังก็ย่อมมิพอใจอยู่แล้วดังนั้นจึงอยากจะอาศัยเรื่องของหลิงเสียงกังมาใส่ความตนคนบริสุทธิ์มิต้องทำสิ่งใดก็จะเห็นเองว่าบริสุทธิ์ นางรู้สึกว่าขอเพียงคนของตนรู้ว่าตนมีจิตใจดีก็เพียงพอแล้วแต่เหล่าขุนนางกลับมิได้เห็นเช่นนั้น ข่าวมิดีมากมายถูกปล่อยออกไปเช่นนี้ ฮองเฮาผู้มีศีลธรรมเสื่อมเสียจะเป็นมารดาแห่งแว่นแคว้นได้อย่างไร!พวกผู้ตรวจการเป็นผู้นำฟ้องร้องหลิงอวี๋ และเกลี้ยกล่อมให้เซียวหลินเทียนถอดถอนฮองเฮาจากนั้นขุนนางของพวกจ้าวฮุยก็พากันยื่นสาส์นกราบทูลฟ้องร้องหลิงอวี๋ เป้าหมายก็คือต้องการถอดถอนฮองเฮาเช่นกันเพียงแค่สองวัน สาส์นกราบทูลฟ้องร้องหลิงอวี๋ก็กองเต็มโต๊ะของเซียวหลินเทียนแล้วเซียวหลินเทียนอ่านไปเพียงมิกี่อันก็โกรธมาก เรื่องบุญคุณความแค้นของหลิงอวี๋กับหลิงเสียงกังนั้นเขารู้ดี ขุนนางเหล่านี้มิรู้สิ่งใดเลยกลับกล้ามาใส่ร้ายหลิงอวี๋เช่นนี้เซียวหลินเทียนให้จ้าวซวนไปหาหลิงเสียงกัง อย
เมื่อครู่ชั่วพริบตาหลิงอวี๋เห็นสายตาโกรธแค้นของนางซุนที่มีต่อตน นางจึงรู้สึกมิค่อยสบายใจแต่เมื่อคิดว่าเมื่อก่อนป้าสะใภ้ใหญ่ดีต่อตน หลิงอวี๋ก็มิได้คิดเล็กคิดน้อยกับนาง“ป้าสะใภ้ใหญ่ หากท่านรู้สึกว่าการที่ข้าไล่ท่านลุงออกไปมันมิดีต่อเขา ท่านก็เรียกเขากลับมาเถิด!”หลิงอวี๋ตัดสินใจว่าต่อไปจะมิยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องสามีภรรยาของลุงกับป้าแล้ว จึงเอ่ยออกไป“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยทีหลังเถิด!”นางซุนเอ่ยพอเป็นพิธีทั้งสองคนเดินไปคุยไปจนไปถึงหน้าประตูตำหนักกระดิ่งทองขันทีเหอเห็นก็รีบเข้าไปรายงานเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนจัดการเรื่องบ้านเมืองไปพอประมาณแล้ว จึงชี้ที่สาส์นกราบทูลบนโต๊ะแล้วเอ่ยกับขุนนางทั้งหมด“สาส์นกราบทูลที่ขุนนางทั้งหลายฟ้องร้องฮองเฮามาข้าได้อ่านหมดแล้ว เช้านี้จะตอบในคราวเดียว”“สิ่งที่เหล่าขุนนางเป็นห่วงที่สุดก็คือ เรื่องที่ฮองเฮาแย่งชิงทรัพย์สินจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนเพื่อพ่อและเรื่องที่รังแกหลิงเสียงกังกับภรรยา วันนี้ข้าตั้งใจเชิญนางซุนฮูหยินหลิงผู้อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าสถานการณ์ให้ชัดเจน!”“ฮองเฮาและนางซุนเข้าตำหนัก!”หลิงอวี๋กับนางซุนได้ยินเสียงเรียกก็เข้าไปตำหน
เซียวหลินเทียนกับฉินซานแทบจะหันไปมองพร้อมกันทันทีที่ได้ยินชื่อหานเหมยแล้วก็เห็นว่าบนเกวียนคันนั้นก็มีทาสหญิงอยู่จำนวนมิน้อยสตรีคนที่ขันทีโม่พูดถึงยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งด้วยท่าทีเฉยเมย บนตัวและใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผล ชุดก็ขาดรุ่งริ่งจนเผยผิวหนังส่วนใหญ่ออกมา“หานเหมย!”ฉินซานตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นที่เขาเป็นฝ่ายอาสาออกมาตามหาหลิงอวี๋ครั้งนี้ เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อหานเหมยนับตั้งแต่ที่ฉินซานมีความคิดที่จะแต่งงานกับหานเหมย เขาก็ให้ความสนใจหานเหมยอย่างมากหานเหมยทำงานอย่างจริงจัง ทั้งยังขยันเรียนรู้และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนน้อมอย่างยิ่งไป ๆ มา ๆ ฉินซานก็ตกหลุมรักหานเหมยที่ขยันและจิตใจดีผู้นี้ไปเสียแล้วเดิมทีเขาอยากหาโอกาสหยั่งเชิงหานเหมยว่าจะยินดีแต่งงานกับตนหรือไม่ ไหนเลยจะคิดว่ายังมิทันได้โอกาส หานเหมยก็หายตัวไปพร้อมกับหลิงอวี๋เสียก่อนแล้วฉินซานกังวลมาตลอดว่า หานเหมยจะถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสังหารไปแล้วเพราะไม่มีประโยชน์และมูลค่า คาดมิถึงว่าจะได้เห็นหานเหมยยังมีชีวิตอยู่ฉินซานตื่นเต้นจนอยากจะพุ่งเข้าไปช่วยหานเหมยออกมาขันทีโม่คว้าตัวเขาไว้แล้วกระซิบ “อย่าหุนหัน
เผยอวี้เพิ่งจะพูดจบ ฉินซานกับขันทีโม่ก็กลับมาตาม ๆ กันขันทีโม่ส่ายหัวพลางเอ่ย “กระหม่อมคลาดกับบุรุษลึกลับผู้นั้น พลังของเขาสูงกว่ากระหม่อมมาก กระหม่อมตามมิทันจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนเคยได้รับรู้ถึงความสามารถของบุรุษผู้นั้นแล้ว จึงมิได้ตำหนิขันทีโม่ที่คลาดกับเขาฉินซานก็รายงานการสอบสวนตระกูลเก๋อของตน“ฝ่าบาท ครานี้ตระกูลเก๋อมาสองกลุ่ม นอกจากกลุ่มคุณหนูสองคนของตระกูลเก๋อแล้ว ยังมีกลุ่มของเก๋อเทียนซือด้วย พวกเขาน่าจะมิได้มากับคุณหนูสองคนของตระกูลเก๋อ แต่เป็นการต่างคนต่างทำงานพ่ะย่ะค่ะ!”“วันนี้คุณหนูสองคนของตระกูลเก๋อแยกกันค้นหา คุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อจับตามองคนตระกูลเฉียว ส่วนคุณหนูรองจับตามองเก๋อเทียนซือ เป้าหมายน่าจะเป็นการตามหาฮองเฮาทั้งหมด!”“วันนี้คุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อไปตลาดซื้อขายทาส เป็นสถานที่ประมูลทาสในเมืองเล็กนี้ แล้วนางก็ซื้อนางรับใช้มาสองสามคน!”“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่า ท่านสามารถไปดูที่ตลาดซื้อขายทาสแห่งนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ ในนั้นมีคนที่สามารถใช้งานได้มากมายนัก!”ฉินซานเอ่ยอย่างตื่นเต้น “วันนี้กระหม่อมเห็นทาสคุนหลุนคนหนึ่ง ดูเหมือนถ่านดำ แต่มีพลังมาก สิงโตหินถูกเ
เมื่อเซียวหลินเทียนกลับมาที่โรงเตี๊ยม ก็ให้เผยอวี้ ขันทีโมและลู่หนานแบ่งกองกำลังออกเป็นสามกลุ่มไปติดตามตระกูลเฉียว ตระกูลเก๋อ และบุรุษลึกลับผู้นั้นมิว่าตระกูลใดในสามตระกูลจะพบที่อยู่ของหลิงอวี๋ก่อน ก็ให้รายงานข้อมูลทันที และชิงช่วยเหลือหลิงอวี๋ออกมาตัดหน้าพวกเขาขันทีโม่รับผิดชอบในการติดตามบุรุษลึกลับ เผยอวี้รับผิดชอบตระกูลเฉียว และฉินซานติดตามคนตระกูลเก๋อเนื่องจากคนที่เผชิญหน้าล้วนเป็นผู้บำเพ็ญตนระดับสูงมาก องครักษ์ธรรมดาเหล่านั้นหากส่งไปก็หาได้มีประโยชน์ไม่ เซียวหลินเทียนจึงให้ลู่หนานส่งจดหมายถึงจ้าวซวน ให้เหลือคนที่มีวรยุทธ์แก่กล้าของค่ายกองทหารเสือไว้เพียงมิกี่สิบคนเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ให้กลับไปรอที่เมืองซานต้งคืนนั้นพวกขันทีโม่สามคนพาคนออกไปสืบข่าว ส่วนเซียวหลินเทียนก็รอฟังข่าวอยู่ที่โรงเตี๊ยมโรงเตี๊ยมแห่งนี้นับว่าค่อนข้างดีในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ที่ที่เซียวหลินเทียนอาศัยอยู่เป็นเรือนส่วนตัว แม้ว่าราคาจะสูงมากแต่เขาก็มิได้เสียดายแม้แต่น้อยเหยี่ยวน้อยที่เฮยอิงขององค์ชายอิงคาบมา เซียวหลินเทียนยังไม่มีโอกาสส่งมันกลับไปเมืองหลวง คราวนี้เซียวหลินเทียนก็พามันมาตามหาหลิงอวี๋ด้
เซียวหลินเทียนหันกลับไปจ้องมองซูจู๋ด้วยสายตาเย็นเยียบ ในฐานะจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจและเย็นชา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขานั้นกดดันจนร่างกายของซูจู๋หนาวไปทั่วร่างราวกับว่าจู่ ๆ บรรยากาศของโรงน้ำชาก็ลดลงถึงจุดเยือกแข็ง นางรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ไปหมดชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่า เพียงเซียวหลินเทียนยกเท้าขึ้นมาก็สามารถเหยียบย่ำนางจนตายเหมือนมดตัวหนึ่งได้แล้วเซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างเย็นชา “กบในกะลากล้าที่จะมาโวยวายกับข้า เจ้าคิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดเทียบตระกูลเก๋อได้จริง ๆ รึ? บอกว่าภรรยาของข้าเป็นตาปลา ในสายตาของข้า คุณหนูใหญ่ของเจ้ามิคู่ควรที่จะแบกรองเท้าของภรรยาข้าด้วยซ้ำ!”“หากข้าได้ยินคำพูดดูหมิ่นภรรยาของข้าจากปากเจ้าอีก ข้าจะทำให้พ่อแม่ของเจ้าเสียใจที่ให้กำเนิดเจ้ามา!”หลังจากพูดจบ เซียวหลินเทียนก็มิสนใจซูจู๋อีกและก้าวขายาวเดินออกไปในหัวของซูจู๋ว่างเปล่า เซียวหลินเทียนไปนานแล้วนางกลับเพิ่งตื่นขึ้นมาราวกับฝัน อาภรณ์ส่วนหลังของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นขึ้นไปอีกซูจู๋ตัวสั่น คุณชายผู้นี้เป็นคุณชายตระกูลใดกันแน่?เหตุใดนางมิเคยเห็นบุรุษที่มีอำนาจน่าส
เผยอวี้กับขันทีโม่ก็มิได้สังเกตเช่นกันขันทีโม่สังเกตเห็นเพียงว่า บุรุษที่ตามหลังบุรุษผู้นั้นไปก็เป็นยอดฝีมือในการบำเพ็ญตนเช่นกัน ดูจากการแต่งตัวของเขา น่าจะเป็นพวกบ่าวมีคนสามกลุ่มนี้ในเมืองเล็กก็หมายความว่าหลิงอวี๋อยู่ใกล้ ๆ นี้พวกเซียวหลินเทียนกับเผยอวี้รีบกินอาหารเย็นแล้วเดินออกไป หมายจะติดตามไปตามมิศทางของคนทั้งสามกลุ่มนี้พวกเซียวหลินเทียนสามคนเพิ่งจะเดินออกมา ก็เห็นนางรับใช้ที่วิพากษ์วิจารณ์คุณหนูรองตระกูลเก๋อเมื่อครู่เดินมาหาแล้วมุ่งตรงมาที่เซียวหลินเทียน จากนั้นจึงเอ่ย “คุณชาย หาสถานที่คุยกันสักหน่อยได้หรือไม่?”เซียวหลินเทียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วระวังตัวทันที หรือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อมองออกถึงตัวตนของเขาแล้วจึงจงใจให้นางรับใช้ผู้นี้มารออยู่ที่นี่?“ไปคุยกันที่โรงน้ำชาข้างหน้าแล้วกัน!”เซียวหลินเทียนกวาดสายตามอง เห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีโรงน้ำชาที่ยังคงเปิดอยู่ เขาจึงเดินนำไปเผยอวี้กับขันทีโม่มองหน้ากัน ต่างก็เดามิออกว่าคุณหนูใหญ่จากตระกูลเก๋อให้นางรับใช้มาหาเซียวหลินเทียนเพื่ออะไร แต่ทั้งคู่ก็ตามไปอย่างเข้าใจเซียวหลินเทียนหาโต๊ะริมหน้าต่างแล้วนั่งลงมองซูจู๋โดยมิพ
แม้ว่าเก๋อเฟิ่งฉิงจะชอบเซียวหลินเทียน แต่เกียรติของคุณหนูตระกูลใหญ่ทำให้นางมิสามารถละทิ้งท่าทีของตนแล้วก้าวไปเริ่มพูดคุยกับเซียวหลินเทียนได้ จึงพาคนของตนกลับไปก่อนที่หน้าประตู นางให้ซูจู๋นางรับใช้ของตนไปสืบเรื่องของเซียวหลินเทียนซูจู๋เป็นคนสนิทของเก๋อเฟิ่งฉิง และรู้ว่าเรื่องการแต่งงานของเก๋อเฟิ่งฉิงมิราบรื่นนัก ทันทีที่ได้ยินก็เข้าใจแล้วรับคำสั่งไปโดยมิรีรอคราวนี้เซียวหลินเทียนสงบลงแล้ว หลังจากได้ยินเรื่องการต่อสู้ภายในของตระกูลเก๋อ มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเยาะเย้ยตระกูลเก๋อมิได้สามัคคีกันเหนียวแน่น บางทีอาจจะใช้ความขัดแย้งของพวกนางมาทำให้พวกเขาต่อสู้กันเองได้อาหารมาแล้ว เซียวหลินเทียนกับเผยอวี้เพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมาก็เห็นคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมลุกขึ้นเดินออกไปบุรุษสองคนเดินตามกันไป บุรุษที่เดินนำหน้ารูปร่างสูง สวมชุดสีขาวดุจหิมะ และบนชุดนั้นก็มีลวดลายลึกลับที่ประณีตอยู่ด้วยหลังจากที่เซียวหลินเทียนได้รับการบำเพ็ญตนจากหลิงอวี๋ ก็พอจะมีความรู้เรื่องผ้าอาภรณ์อยู่บ้าง มองปราดเดียวก็มองออกทันทีว่า แม้ว่าอาภรณ์สีขาวของบุรุษผู้นั้นจะดูเรียบง่าย แต่ก็ทำจากผ้าปักลายดอกที่มูลค่ามห
เก๋อเฟิ่งฉิงคุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อถูกน้องสาวกดดันเช่นนี้ ใบหน้าก็พลันมืดมนลง นางดุว่า “หากเจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระอีกก็กลับไปเสีย ข้ามิต้องการให้เจ้าตามไป!”เก๋อเฟิ่งเจียวก็ดูเหมือนจะมิใช่คนที่ยอมรับความอับอายเช่นกัน นางยิ้มเยาะเย้ย “ท่านคิดว่าข้าชอบที่จะติดตามท่านหรือไร? หากมิใช่ท่านพ่อให้ข้ามา ข้าก็มิอยากจะมากับท่านหรอก!”“ทำงานขี้ขลาด… ท่านก็แค่อาศัยว่าแก่กว่าข้าจึงถูกท่านยายเลือกเป็นผู้สืบทอดมิใช่รึ? ในแง่ของความสามารถ ข้ามิได้ด้อยไปกว่าท่านเลย!”“ตึง!”เก๋อเฟิ่งเจียวกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วลุกขึ้นเดินออกไป “พวกเราไปกันเถอะ!”นางรับใช้สองคนก็เดินตามนางไปสีหน้าของเก๋อเฟิ่งฉิงมืดมนลงซูจู๋นางรับใช้ข้างกายนางยิ้มเยาะ “อย่างน้อยคุณหนูใหญ่ของเราก็เกิดจากภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามธรรมเนียมของตระกูลเก๋อ ไหนเลยจะเหมือนกับมารดาของบางคนที่อาศัยวิธีสกปรกขึ้นสู่ตำแหน่ง!”“พูดให้ฟังง่ายก็คือ คุณหนูรองตระกูลเก๋อ แต่ใครมิรู้บ้างว่าคุณหนูรองผู้นี้ก็เป็นเพียงบุตรีนอกสมรสที่มิอาจออกหน้าทางสังคมได้!”“สารเลว เจ้าพูดว่ากระไรนะ? ผู้ใดมิอาจออกหน้าทางสังคมได้?”เมื่อเก๋อเฟิ่งเจียวได้ยินค
ลุงเฉียวมองเฉียวไป๋น้องชายของเฉียวเค่อที่อยู่ตรงข้ามแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “ลุงสามทำนายแล้ว นั่นเป็นลางมิดี สถานที่ที่เฉียวเค่อปรากฏตัวครั้งสุดท้ายอยู่แถวนี้ วันพรุ่งเราค่อยมาตามหาบริเวณใกล้เคียงกันเถิด!”“เฉียวไป๋พูดถูก เฉียวเค่อไม่มีทางที่จะหายตัวไปเช่นนี้ ต่อให้รอดชีวิตแล้วมิพบใคร ตายก็ต้องพบศพ แต่ที่ลุงสามทำนายครั้งสุดท้ายนั้นมิชัดเจน ลุงสามก็มิรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”เซียวหลินเทียนได้ยินก็ใจเต้น ที่แท้คนที่หายไปคือเฉียวเค่อนี่เอง เช่นนั้นคนตระกูลเฉียวปรากฏตัวที่นี่ก็เพื่อตามหาเฉียวเค่อหากพวกเขาตามคนตระกูลเฉียวไป ก็อาจจะได้ข่าวหลิงอวี๋บ้าง“ลุงสาม ความสามารถในการทำนายของท่านไร้ผู้ใดเทียบ แม้แต่ท่านยังมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วใต้หล้านี้จะมีผู้ใดรู้กัน!”เฉียวไป๋ทั้งโกรธและกังวล “ลุงสาม หรือว่า… หรือว่าพี่ชายของข้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว?”ใต้คิ้วบางของลุงสามตระกูลเฉียวนั้นดวงตาของเขาประกายวับแวมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “เฉียวไป๋ พี่ชายของเจ้าอาจตกอยู่ในอันตราย… แต่หาอย่าได้ผิดหวังเกินไปนัก ลุงสามก็อาจผิดพลาด หรือทำนายผิดไปได้เหมือนกัน!”ทว่าในแดนเทพแห่งนี้
เมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินสิ่งนี้ก็ให้พวกจ้าวซวนเก็บค่ายละออกเดินทางสู่เยวี่ยใต้ในวันนั้นทันทีระหว่างทางเซียวหลินเทียนก็ซักถามขันทีโม่เกี่ยวกับสถานการณ์ของวังเทพ และได้รู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับวังเทพจากปากของขันทีโม่“วังเทพถูกสร้างขึ้นบนภูเขาน้ำแข็ง ตระกูลหวงฝู่อาศัยอยู่อย่างสันโดษในวังเทพมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว เรื่องนี้วัยรุ่นรุ่นหลังในแดนเทพก็มิรู้ ผู้ที่อายุมากก็ละเรื่องทางโลกเพราะตระกูลหวงฝู่ และไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวพวกเขา!”ขันทีโม่เอ่ย “คาดว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะพาหลิงอวี๋บุกไปที่วังเทพโดยบังเอิญ ตามรูปแบบของตระกูลหวงฝู่แล้ว จะไม่มีทางช่วยคนมิดีกักขังหลิงอวี๋ เว้นแต่ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะสร้างปัญหา!”เซียวหลินเทียนกังวลมาก หลิงอวี๋หายไประยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง?พวกเขาเข้าสู่เยวี่ยใต้ในวันรุ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนให้จ้าวซวนส่งคนไปแจ้งมู่หรงเหยียนซงว่า เขาแค่อาศัยเส้นทางไปภูเขาเทียนซาน มิจำเป็นต้องให้มู่หรงเหยียนซงมาพบตนภูเขาเทียนซานอยู่บริเวณชายแดนเยวี่ยใต้ ยิ่งเข้าไปก็ยิ่งห่างไกลเพื่อที่จะไปถึงภูเขาเทียนซานโดยเร็วที่สุด เซียวหลินเทียนจึงพาแค่เผยอวี้กับ