วันรุ่งขึ้น ทูตชุดแรกจากแคว้นเล็ก ๆ เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วชุดแรกที่มาถึงก่อนก็คือสามแคว้นเล็กโดยรอบคือ แคว้นพัน แคว้นเฉิง แคว้นกันกู่คนที่นำแคว้นพันมาเยี่ยมเยือนก็คือหัวหน้าขุนนางจินอายุเกือบห้าสิบจากแคว้นพันทางแคว้นเฉิงคือท่านชายอวี่เหวินเย่ลูกชายคนโตของอ๋องเฉิงและอวี่เหวินเสียท่านหญิงที่เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นปีนี้ส่วนคนที่นำแคว้นกันกู่มาก็คือฮูเหยียนเสวี่ยท่านหญิงคนโตของประมุขและฮูเหยียนเจี้ยนกับน้องชายที่เพิ่งจะสิบขวบทั้งสามแคว้นเล็กต่างนำของพิเศษพื้นถิ่นจำนวนมิน้อยมาถวายแด่จักรพรรดิองค์ใหม่ ทั้งผ้าไหม เครื่องประดับหยก ทั้งยังมีผลไม้ตามฤดูกาลและของพิเศษที่มีอยู่ในพื้นถิ่นอีกด้วยหลิงอวี๋อยู่ที่วังหลัง มิได้พบทูตของทั้งสามแคว้นหลิงซวนจึงย่อมมิละเลยในเรื่องนี้ นางส่งหานอวี้ผู้ชอบซุบซิบนินทาไปสืบแล้วหานอวี้ปลอมตัวเป็นขันทีน้อยคอยดูทูตเหล่านั้นอย่างชัดเจนในเส้นทางที่พวกทูตต้องผ่านเมื่อเห็นท่านหญิงทั้งสอง หานอวี้ก็ตาโตมิสนผู้อื่นแล้วรีบกลับไปรายงานหลิงอวี๋“ฮองเฮาเพคะ ท่านหญิงอวี่เหวินเสียจากแคว้นเฉิงนั้นมิรู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร นางคลุมผ้าปิดหน้าไว้ แต่ชุดที่นางสวมใส่ท
เรื่องนี้เจ้ากรมพิธีได้แจ้งหลิงอวี๋ไว้ก่อนหน้านี้แล้วเซียวหลินเทียนขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ แคว้นเล็ก ๆ โดยรอบเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะยอมจำนนต่อเขาโดยซื่อสัตย์ การมาประชุมครานี้จะตัดเรื่องที่พวกเขามาดูลาดเลาออกไปมิได้ดังนั้นงานต้อนรับจึงมิเพียงแต่การจัดที่พักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความน่าตกใจที่ซ่อนอยู่ในรายการที่จัดงานเลี้ยงด้วยหลิงอวี๋ย่อมเข้าใจดีก่อนหน้านี้นางขัดแย้งกับเซียวหลินเทียนจึงมิอยากไปยุ่งเรื่องของเขาแต่หลังจากที่เซียวหลินเทียนขอโทษนางอย่างจริงใจแล้ว หลิงอวี๋จึงพยายามที่จะเตรียมการต้อนรับเพื่อช่วยเซียวหลินเทียนเพียงแต่ตอนนี้นางมิอยากบอกกับเซียวหลินเทียน หากบอกเรื่องนี้ไปก่อนก็มิประหลาดใจแล้ว“หม่อมฉันจัดการ ท่านยังมิวางพระทัยอีกหรือเพคะ?”หลิงอวี๋มองเซียวหลินเทียนอย่างตำหนิ พลางเอ่ยถามออกไป “ท่านคิดเห็นอย่างไรกับทูตทั้งสามแคว้นนี้หรือเพคะ?”เซียวหลินเทียนเอ่ยไปตามตรง “ทั้งสามแคว้นนี้นอกจากแคว้นกันกู่แล้ว แคว้นอื่นล้วนแสร้งมาบ่นลำบากกับข้า!””“หัวหน้าขุนนางจินผู้นั้นใบหน้าเย่อหยิ่ง ข้ามิรู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากที่ใดจึงกล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าข้าเช่นนี้ คิดว่าข้ายังเด็กรั
หลิงอวี๋มิใช่แม่พระ ผู้ป่วยที่ต้องช่วยเหลือในใต้หล้ามีตั้งมาก นางมิสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องไปแคว้นกันกู่ที่อยู่ไกลถึงเพียงนั้นอีก!แต่ท่านหญิงใหญ่จะยอมแพ้หรือ?หากประมุขแคว้นกันกู่ป่วยหนักจริง ๆ อีกทั้งท่านหญิงใหญ่ก็เป็นลูกกตัญญู นางไม่มีทางยอมแพ้กับคำปฏิเสธนี้ของเซียวหลินเทียนแน่เมื่อนึกถึงที่หานอวี๋บอกว่า ท่านหญิงใหญ่เป็นสตรีที่ดูมีพลังมาก หลิงอวี๋ก็ให้ความสำคัญกับท่านหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นพิเศษเดิมทีหลิงอวี๋ยังคิดว่าอีกสองวันจึงจะได้พบกับฮูเหยียนเสวี่ยที่งานเลี้ยงไหนเลยจะคิดว่า วันรุ่งขึ้นยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะว่าราชกิจเสร็จ ป้ายอวยพรของฮูเหยียนเสวี่ยก็ส่งมาที่พระตำหนักคุนหนิงแล้ว“ฮองเฮาเพคะ หากท่านมิทรงต้องการพบ บ่าวจะไปปฏิเสธนางให้เพคะ!”หลิงซวนเอ่ยอย่างเอาใจใส่“เหตุใดจะมิพบเล่า?”หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “เชิญนางเข้ามาเถิด!”ฮูเหยียนเสวี่ยเข้ามาคารวะตนที่ตำหนักอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางหลิงอวี๋ก็ต้องพบเสียหน่อย เหตุใดจะต้องหลบซ่อนเล่า!หลิงอวี๋เปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่านแล้วไปพบฮูเหยียนเสวี่ยที่โถงกลางฮูเหยียนเสวี่ยพานางรับใช้มาเพียงสองคน ตอนที่นางเข
สีหน้าของหลิงอวี๋เรียบเฉยลงฮูเหยียนเสวี่ยผู้นี้ ตนเห็นแก่ที่พ่อของนางป่วยและเห็นใจอารมณ์ของนาง จึงพูดกับนางดี ๆแต่นางทำเหมือนตนเป็นแค่คนทั่วไปจริง ๆ ทั้งยังกล้ากล่าวโทษตนอีก!หลิงอวี๋นึกถึงอีกเป้าหมายหนึ่งที่แคว้นเล็ก ๆ เหล่านี้มาประชุมกันในครานี้ นั่นก็คือหยั่งเชิงความสามารถของเซียวหลินเทียนหากวันนี้ตนมิจัดการฮูเหยียนเสวี่ยผู้นี้ เช่นนั้นจะมิเป็นการทำให้เซียวหลินเทียนเสียหน้าหรือ?“เพล้ง!”หลิงอวี๋สะบัดมือแล้วถ้วยชาก็บินไปตกอยู่ตรงเท้าของฮูเหยียนเสวี่ย“ฮูเหยียนเสวี่ย เจ้าช่างกล้าหาญนัก กล้าบ่นโวยวายต่อหน้าข้า!”“เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไร?”หลิงอวี๋ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “อะไรคือที่เจ้าบอกว่ากันกู่ของเจ้ามอบบรรณาการมาให้ฉินตะวันตกทุกปี สิบปีมิเคยขาด? เจ้าคิดว่านี่คือความภาคภูมิใจของเจ้าในฐานะคนกันกู่หรือ?” “เจ้ามิเคยเรียนประวัติศาสตร์ของกันกู่หรือ? ตอนนั้นกันกู่ของเจ้าถูกแคว้นเพื่อนบ้านตีพ่าย ชนเผ่าเหลืออยู่เพียงหนึ่งพันกว่าคน สตรีและเด็กถูกทหารแคว้นเพื่อนบ้านทำลายอย่างโหดเหี้ยม!”“ปู่ของเจ้าเป็นดังสุนัขไร้บ้าน ร้องขอความช่วยเหลือไปทั่วทุกที่ สุดท้ายก็มาขอที่แทบเท้าของฉินตะ
ตุ้บ…ฮูเหยียนเสวี่ยคุกเข่าลง คำพูดของเซียวหลินเทียนทำให้นางตกใจจนหน้าซีด“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้มิได้เพคะ...”“ข้ามิสามารถทำเช่นไรได้?”เซียวหลินเทียนเอ่ยตัดบทนางด้วยเสียงแข็ง “สองแคว้นมีสัมพันธ์ต่อกันจะมิสังหารทูตที่มาเจรจา ข้าให้เวลาเจ้าออกไปแล้ว!”“ฮูเหยียนเสวี่ย หากเจ้ากล้าพูดจาโอหังอีก ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที กันกู่ของเจ้าก็ทำได้เพียงรับไปอย่างว่าง่ายเท่านั้น!”ฮูเหยียนเสวี่ยทั้งร้อนใจทั้งโกรธ เซียวหลินเทียนมิได้พูดเกินจริง กันกู่เมื่อเทียบกับฉินตะวันตกก็เป็นเพียงเด็กที่เล่นกับผู้ใหญ่เท่านั้นเซียวหลินเทียนแค่ส่งทหารไปสองหมื่นนายก็สามารถทำให้กันกู่แพ้ราบคาบได้แล้วหากเซียวหลินเทียนสังหารนาง กันกู่ก็มิกล้าเอาความนางมิสามารถทำให้ท่านพ่อและครอบครัวเดือดร้อนเพราะความผิดของตนได้ในช่วงนี้ฮูเหยียนเสวี่ยจัดการเรื่องการบ้านการเมืองแทนท่านพ่อ เคยชินกับการสั่งจากตำแหน่งที่สูงแล้ว ความรู้สึกเหนือกว่าที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้นางเสียตัวตนไปถึงขั้นตำหนิหลิงอวี๋ดังเช่นที่ทำกับเหล่าขุนนางใต้บังคับบัญชาไหนเลยจะคิดว่าหลิงอวี๋มิได้อ่อนโยนดังที่เห็นภายนอก เมื่อโหดเหี้ยมขึ้นมาก็เยือกเย
ในส่วนการตัดสินใจของเซียวหลินเทียน หลิงอวี๋มิอยากเข้าไปแทรก แม้ว่าในใจจะค่อนข้างเห็นใจราษฎรกันกู่ แต่นี่คือสิ่งที่ฮูเหยียนเสวี่ยสร้างขึ้นเองใต้หล้านี้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง หากไร้การคุ้มครองจากฉินตะวันตก กันกู่ก็คงดำรงอยู่มิได้และหลายปีมานี้ฉินตะวันตกเองมิได้รับบรรณาการของกันกู่มาเปล่า ๆ พวกเขาเองก็ต้องจ่ายเช่นกันเมื่อกันกู่ลำบาก ฉินตะวันตกล้วนตอบสนองต่อคำร้องขอความช่วยเหลือและไปสนับสนุนเสมอแต่สิ่งนี้มิได้รับคำขอบคุณจากกันกู่ ทั้งยังทำให้ฮูเหยียนเสวี่ยคิดว่าที่พวกเขาช่วยเป็นสิ่งที่ควรทำอีกด้วย!ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเซียวหลินเทียนต้องเสียสละทหารของตนไปเพื่อแคว้นเล็ก ๆ ที่ไร้ความภักดีต่อตนด้วยเล่า!ฮูเหยียนเสวี่ยรู้สึกคับข้องใจ เช่นนั้นก็ให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเถิด!ฮูเหยียนเสวี่ยถูกทหารกองทัพหลวงเอาตัวออกจากวังหลวง หลังจากที่นางผิดหวังอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บความรู้สึกเหล่านี้เปลี่ยนเป็นความแค้นฝังลึก!ทุกอย่างเป็นเพราะหลิงอวี๋คนเลวนั่น ทำให้ตนถูกบีบไปสู่สถานการณ์สิ้นหวังนางไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่!ใต้หล้านี้มิได้มีเพียงฉินตะวันตกที่เป็นแคว้นที่แข็งแก
ข่าวลือที่แพร่ออกไปกะทันหันเหล่านั้นมาถึงหูของหลิงอวี๋ ทีแรกนางมิได้สนใจ ตนอยู่ในตำแหน่งสูง มีคนจำนวนมากมิเชื่อมั่นเรื่องคัดเลือกสนมก่อนหน้านี้ถูกเซียวหลินเทียนปฏิเสธไป พวกคนที่อยากส่งลูกสาวเข้ามาในวังก็ย่อมมิพอใจอยู่แล้วดังนั้นจึงอยากจะอาศัยเรื่องของหลิงเสียงกังมาใส่ความตนคนบริสุทธิ์มิต้องทำสิ่งใดก็จะเห็นเองว่าบริสุทธิ์ นางรู้สึกว่าขอเพียงคนของตนรู้ว่าตนมีจิตใจดีก็เพียงพอแล้วแต่เหล่าขุนนางกลับมิได้เห็นเช่นนั้น ข่าวมิดีมากมายถูกปล่อยออกไปเช่นนี้ ฮองเฮาผู้มีศีลธรรมเสื่อมเสียจะเป็นมารดาแห่งแว่นแคว้นได้อย่างไร!พวกผู้ตรวจการเป็นผู้นำฟ้องร้องหลิงอวี๋ และเกลี้ยกล่อมให้เซียวหลินเทียนถอดถอนฮองเฮาจากนั้นขุนนางของพวกจ้าวฮุยก็พากันยื่นสาส์นกราบทูลฟ้องร้องหลิงอวี๋ เป้าหมายก็คือต้องการถอดถอนฮองเฮาเช่นกันเพียงแค่สองวัน สาส์นกราบทูลฟ้องร้องหลิงอวี๋ก็กองเต็มโต๊ะของเซียวหลินเทียนแล้วเซียวหลินเทียนอ่านไปเพียงมิกี่อันก็โกรธมาก เรื่องบุญคุณความแค้นของหลิงอวี๋กับหลิงเสียงกังนั้นเขารู้ดี ขุนนางเหล่านี้มิรู้สิ่งใดเลยกลับกล้ามาใส่ร้ายหลิงอวี๋เช่นนี้เซียวหลินเทียนให้จ้าวซวนไปหาหลิงเสียงกัง อย
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร