ดวงตาของนางแดงก่ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชานางปิดประตู ยกมือขึ้นกดหน้าอกที่ยังปวดอยู่ พลางเดินกลับไปนั่งทำสมาธิบนเตียงการมาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางแทบจะไม่มีพละกำลังนางคือนักบวชที่ทุกคนต่างเคารพในแคว้นหลี่ นอกเหนือจากทักษะพิเศษด้านฮวงจุ้ย การอ่านโหงวเฮ้ง และการทำนายดวงชะตาแล้ว นางยังมีวรยุทธที่น่าเกรงขาม แบบหนึ่งต่อร้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงร่างกายของตนเองเป็นอย่างมาก นางฝึกฝนวรยุทธตั้งแต่ยังเด็ก เส้นลมปราณของนางค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ข้ารับใช้เหล่านี้ไม่สามารถจะกลั่นแกล้งนางได้น่าเสียดาย บัดนี้ร่างกายของนางน่าจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว… พอกลับมาที่ห้องตำรา ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกซูโหยวเดินมาเคาะประตู “ท่านอ๋อง คืนนี้ยังจะส่งชายพวกนั้นไปแกล้งขู่คุณหนูลั่วอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”พอได้ยิน ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก “ช่างเถอะ”เมื่อคืนนี้เขาได้สั่งสอนนางไปแล้ว หากขู่นางอีก นางคงแกล้งปลิดชีพตนไม่จบไม่สิ้นเสียทีและถ้าหากนางตายขึ้นมาจริง ๆ คงจะรายงานกับจวนอัครเสนาบดีได้ยากซูโหยวพยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ”……ฟึ่บบบานประตู
“ก็ช่วยไปแล้ว เหตุใดจะต้องมีเหตุผลด้วยเล่า?” ลั่วชิงยวนเอ่ยอย่างเรียบเฉยจากนั้นนางก็หันหลังและจากไปเมื่อเห็นว่านางกำลังจะเดินจากไปไกล แม่นมเติ้งก็รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เลยอดไม่ได้ที่จะเรียกนางไว้ "พระชายาเจ้าคะ!" ลั่วชิงยวนชะงักฝีเท้า แม่นมเติ้งรีบก้าวไปข้างหน้าทันที“บ่าวขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องดูแลรับใช้ท่าน บ่าวก็คงได้ออกจากตำหนักไปนานแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่บ่าวรู้สึกไม่พอใจ ก็เลยระบายความโกรธใส่ท่าน..." แม่นมเติ้งก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดนางไม่คิดว่า พระชายาจะเข้ามาช่วยนาง มิเช่นนั้นนางคงถูกเมิ่งจิ่นอวี่ทุบตีจนตายเป็นแน่! แล้วนางยังช่วยต่อแขนของตนอีกด้วย ซึ่งนั่นแตกต่างจากข่าวลือที่ว่านางคือนางงูพิษโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็เข้าใจเหตุผลแม่นมเติ้งเตือนขึ้นอีกครั้ง "หากท่านต้องการอยู่ในตำหนักต่อไป ก็อย่าได้ทำให้เมิ่งจิ่นอวี่ขุ่นเคืองเลยเจ้าค่ะ นางเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งในตำหนัก แล้วยังเป็นลูกสาวของแม่บ้านของตำหนักนี้อีกด้วยเจ้าค่ะ""ไม่ทันแล้วกระมัง" มาพูดเอาป่านนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วแม่นมเติ้งมองไปรอ
ลั่วชิงยวนหยิบไม้ที่อยู่ตรงมุมกำแพงขึ้นมา และหวดไม้ใส่เมิ่งจิ่นอวี่จนหมดสติ นางหยิบหมั่นโถวชิ้นเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยัดเข้าไปในปากของเมิ่งจิ่นอวี่ ทำให้นางกลืนมันลงไปชายบางคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากทางหน้าต่าง คิดว่าลั่วชิงยวนกำลังจะหนีออกไป "นี่! คิดจะหนีรึ!" หนึ่งในนั้นก้าวไปข้างหน้า และกระชากนางลงมาทันที ลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ปล่อยตัวเมิ่งจิ่นอวี่ พวกนั้นคิดว่าเมิ่งจิ่นอวี่ที่สลบไปคือลั่วชิงยวน จึงได้พานางกลับไปที่เตียงลั่วชิงยวนพิงผนังและฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง เมื่อแน่ใจว่ามันเป็นไปตามแผน นางจึงหันหลังและจากไปอย่างสบายใจในความมืด นางแอบเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง หลังจากค้นหาทั่วครัวก็ไม่มีอะไรเหลือให้กิน! นางจึงหามุมเพื่อเอนตัวลงนอน ก่อนจะผล็อยหลับไปณ ห้องตำราฟู่เฉินหวนกำลังจะหยุดพักหลังจากทำงานเสร็จสิ้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงตื่นตระหนกของลั่วเยวี่ยอิง "ท่านอ๋อง ท่านบรรทมอยู่หรือไม่เพคะ?"เมื่อได้ยินเสียงที่ลุกลน ฟู่เฉินหวนจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตู "มีเรื่องอันใดรึ?"ลั่วเยวี่ยอิงมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาที่ชุ่มน้ำของน
เมิ่งจิ่นอวี่และคนรับใช้พวกนี้ไม่ควรปรากฏตัวในห้องของลั่วชิงยวน แต่คืนนี้กลับมารวมตัวกันในห้องของนาง แถมนางยังไม่ได้อยู่ในห้องอีก เลยทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่อาจจะเป็นแผนการของลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนรู้สึกสับสน นางขมวดคิ้วพร้อมพลางมองด้วยสายตาเย็นชา "ท่านกำลังสอบสวนนักโทษอยู่หรือเพคะ?" เมื่อเห็นดังนั้น ลั่วเยวี่ยอิงก็รีบไปข้างหน้า และคว้าแขนของนาง จงใจใช้เสียงเบาที่ทุกคนได้ยินกล่าวว่า "ท่านพี่ อย่าพูดกับท่านอ๋องแบบนี้สิเจ้าคะ คืนนี้ท่านทำอะไร บอกความจริงกับท่านอ๋องเถิด มีข้าอยู่ ท่านอ๋องไม่ทำอะไรท่านพี่หรอก” การกระทำของลั่วเยวี่ยอิง ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ลั่วชิงยวนเป็นคนทำจริง ๆดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจงใจหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด และกระซิบตอบ "ข้ายอมรับว่าคืนนี้ข้าทำบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้..."เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่ยอิงแสร้งทำเป็นตกใจ และเปล่งเสียงออกมา "อะไรนะเจ้าคะ? ท่านพี่สับสนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!"ลั่วเยวี่ยอิงดึงลั่วชิงยวนไปข้างหน้า และพูดกับนางด้วยท่าทางเคร่งขรึม "ท่านพี่ ท่านยอมรับผิดต่อท่านอ๋องเถิด มีข้าอยู่ ไม่เป็นไรหรอกเจ้า
ภายใต้คำวิจารณ์ สีหน้าของลั่วชิงยวนยังคงเรียบเฉย นางเดินตรงไปข้างหน้าคนรับใช้ที่คุกเข่าเหล่านั้น และถามอย่างใจเย็น "พวกเจ้าพูดว่าข้าเป็นคนสั่งอย่างนั้นรึ?"“เช่นนั้นจงพูดมา ข้าไปสั่งให้พวกเจ้าที่ไหน เมื่อไหร่? แล้วให้เข้ามาในห้องนี้เวลาใด?”“ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือห้องของพระชายา พวกเจ้าก็ตกลงเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนั้นเลยรึ? ข้าตั้งเงื่อนไขอะไรให้กับพวกเจ้ากัน? ถึงได้กล้าเสี่ยงชีวิตมาที่นี่?” เมื่อนางถามออกไปเช่นนั้น สีหน้าของคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาจ้องไปที่เมิ่งจิ่นอวี่ เห็นได้ชัดว่ากำลังขอความช่วยเหลือจากเมิ่งจิ่นอวี่พวกเขาควรตอบอย่างไรดีฟู่เฉินหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย มองดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆ เขายังมองไปที่ลั่วชิงยวน ในสถานการณ์ที่มีศัตรูจำนวนมาก แต่นางยังสามารถควบวคุมสติอารมณ์ได้ ลั่วชิงยวนผู้นี้ค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว"พูดมาสิ? ข้าเป็นคนสั่งพวกเจ้าใช่หรือไม่? ข้าพูดอะไรกับพวกเจ้า เล่ามันออกมา?" ลั่วชิงยวนตะคอกเบา ๆเห็นดังนั้นเมิ่งจิ่นอวี่ก็รู้สึกเป็นกังวล แผนของพวกนางผิดเพี้ยนไปหมด นางไม่สามารถเชื่อมโยงคำถามเหล่านี้ได้เลยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ นางก็
ลั่วชิงยวนเห็นว่าคิ้วของฟู่เฉินหวนล้อมรอบด้วยวิญญาณชั่วร้าย รอบดวงตาค้ำ นางขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะเตือนเขาอีกครั้ง "ท่านอ๋อง แล้วแต่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีความหวังจริง ๆ ! ข้าแนะนำว่าอย่าออกไปไหนเป็นเวลาสองวัน มิเช่นนั้นจะเกิดการนองเลือด!"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่ได้เก็บมันมาคิดเลย แถมยังขู่กลับไปอีกด้วยว่า "หากเจ้ายังคงสร้างความสับสนให้กับผู้คนในตำหนักด้วยเรื่องไร้สาระนี้ และพูดชื่อของลั่วเยวี่ยอิงอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นและหัวของเจ้าซะ!” ลั่วชิงยวนสถบเบา ๆ นางอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี แต่ในสายตาของฟู่เฉินหวนกลับคิดว่านางกำลังใส่ร้ายลั่วเยวี่ยอิง ไม่น้อมรับน้ำใจคนก็แล้วไป เขาจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย! หากเขาตาย นางจะได้ไม่ต้องขอใบหย่า! นางเองก็ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงก้าวเท้าเดินกลับห้องไป ด้วยสถานะคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี ฟู่เฉินหวนจึงจะยังไม่ฆ่านาง แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดีเช่นกันนางต้องรอดูก่อนว่าฟู่เฉินหวนจะรอดจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่ เพราะในตัวเขามีพลังงานมังกรอยู่ บางทีเขาอาจจะมีสิ
คนในกระจกพูดอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ บ่าวจำได้! บ่าวไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระชายาอย่างไร จากนี้ไป บ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ท่านเอง หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจบ่าวรับใช้ผู้นี้นะเจ้าคะ”ขณะที่แม่นมเติ้งพูด นางก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาปักบนหัวให้นาง ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจับมือแม่นม และยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนางแม่นมเติ้งตกใจ และมองนางด้วยความงุนงง "พระชายา เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"เมื่อลั่วชิงยวนออกแรง แม่นมเติ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือออก และปิ่นก็ร่วงลงกับพื้นอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ความหมายของลั่วชิงยวน ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นผ่านม่านตา นางรีบคว้าปิ่นที่เหลือบนโต๊ะอีกครั้ง และพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอย่างโหดเหี้ยมลั่วชิงยวนไม่สามารถทนแรงนั้นได้ ร่างนางถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ปิ่นเงางามที่ลอยอยู่เหนือดวงตาของนางราวกับใบมีดคมกริบแม่นมเติ้งกัดฟัน พยายามแทงปิ่นลงไปที่ดวงตาของนางอย่างเอาเป็นเอาตายสิ่งที่นักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยขาดมิได้เลยก็คือ ดวงตาที่เฉียบแหลมคู่นี้ ลั่วชิงยวนมองไปที่แสงสีเขียวในดวงตาของแม่นมเติ้ง และก็ยิ่งแน่ใจว่ากำลังเจอกับอะไร!“เจ้าสัตว์ร้าย รนหาความตาย!” นางปล่อยข้อมือของแม่นมเติ้งทันทีป
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จือเฉาก็รู้สึกปลื้มปีติ นางพูดเสียงติดอ่างด้วยความตกใจ "พระ... พระชายา แต่บ่าวทำอะไรไม่เป็นเลยนะเจ้าคะ"“เจ้ารู้วิธีส่งชาและส่งน้ำหรือไม่? วิธีหวีผมแบบง่าย ๆ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ ก็เพียงพอแล้ว” นางดึงจือเฉาขึ้นมาจากพื้นจือเฉาสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นัก ลั่วชิงยวนวางชามและตะเกียบไว้ข้างหน้านาง "กับข้าวเยอะขนาดนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก เจ้ามานั่งกินด้วยกันสิ" จือเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร นางหยิบชามข้าวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง และเริ่มกินเมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง ลั่วชิงยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำบางอย่าง ครั้นเมื่อน้องสาวคนเล็กถูกท่านอาจารย์รับมานั้น นางก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้เช่นกันหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตก หลังจากที่จือเฉาจากไป ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มีโอกาสที่หยิบเข็มทิศแห่งโชคชะตาออกมา นางสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเข็มทิศก็หมุนอย่างรวดเร็ว นางตกใจเล็กน้อย จึงหยิบเข็มทิศแล้วเดินออกไปที่ประตู แต่กำลังจะเข้าไปในลาน จู่ ๆ ฝนก็ตกหนักนางเพิ่งส
เซียวชูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวด้วยความร้อนใจ “เห็ดหลินจือน้ำแข็งอยู่ที่ใด ข้าจะไปตามหา!”เซียวชูพูดจบก็จะวิ่งออกจากห้องไปแต่ในตอนนั้นเอง พลันมีเสียงดังมาจากด้านนอก“ข้ามีเห็ดหลินจือน้ำแข็ง!”ในวินาทีต่อมา ซ่งเชียนฉู่ก็วิ่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ“เชียนฉู่?” ซ่งอวี่ตกใจซ่งเชียนฉู่รีบหยิบเห็ดหลินจือน้ำแข็งส่งให้ซ่งอวี่ “ท่านพ่อ รีบช่วยชีวิตคนเถิดเจ้าค่ะ”ซ่งอวี่ตาเป็นประกาย รีบลงมือทันใดเซียวชูซาบซึ้งใจ “คุณหนูซ่ง ขอบคุณมาก!”ซ่งเชียนฉู่ยังคงหอบหายใจขณะถามว่า “ชิงยวนเล่า? นางพักอยู่ที่ใด?”เป็นฉู่จิ้งที่ไปรับนางบนเขา แล้วจึงพานางกลับมาซีหลิงได้อย่างรวดเร็วมิเช่นนั้นหากนางเดินทางเองคงต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะถึงเซียวชูได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจ รีบพาซ่งเชียนฉู่ออกไปข้างนอกแล้วกล่าวอย่างลังเล “พระชายาไปกับเฉินชีแล้ว”“ไปแคว้นหลี”ซ่งเชียนฉู่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ “ว่ากระะไรนะ? นางไปแคว้นหลีแล้วหรือ?”“เหตุใดกัน?”เซียวชูจึงเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้ซ่งเชียนฉู่ฟังเรื่องราวตอนนั้นเกิดขึ้นกะทันหัน เซียวชูจึงมิรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงไปกับเฉินชีหลังจากที่ซ่งเชียนฉู่ฟั
แต่ในตอนนี้จู่ ๆ ก็กลับนึกขึ้นได้ราวกับย้ำเตือนนางว่า ความหวังดีชั่วคราวของเฉินชีอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงชายคนนี้โหดเหี้ยมไร้ยางอายมาตั้งแต่เด็กเป็นคนไร้หัวใจ“อาเหลา มานี่สิ กินยาก่อนเถิด” ทันใดนั้นก็มีเสียงของเฉินชีดังขึ้นลั่วชิงยวนจึงได้สติกลับมานางรับชามยามาแต่วางไว้บนโต๊ะ “ร้อน”“เช่นนั้นข้าเป่าให้”แต่ลั่วชิงยวนยกมือห้ามเขา “มิต้อง”เฉินชีหยิบขวดยาอีกสองขวดวางไว้บนโต๊ะ“ยานี้รักษาอาการบาดเจ็บภายใน อย่าลืมกินด้วย”กล่าวจบเฉินชีก็เดินออกไป เขาวุ่นวายอยู่ในกระท่อมบนเขา ทั้งปูที่นอน เตรียมอาหารและอาภรณ์ให้นางลั่วชิงยวนนอนอยู่บนเก้าอี้ตลอด มิอยากขยับตัวหลังจากกินยาแล้วก็หลับไปเฉินชีเติมฟืนในเตาผิงเสร็จจึงจากไปในเมื่อนางให้เขาฆ่าลั่วฉิง เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ......ซีหลิงฟู่เฉินหวนบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนเตียง เซียวชูแบกซ่งอวี่ขึ้นหลังวิ่งมาเมื่อถูกวางลงบนพื้น ซ่งอวี่ก็ตกใจ พลันรีบเข้าไปตรวจชีพจรและตรวจดูบาดแผลให้ฟู่เฉินหวนก่อนจะกล่าวด้วยความตกใจมาก “เหตุใดจึงมีบาดแผลมากมายเช่นนี้”“ท่านหมอซ่ง ตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่ช่วยท่านอ๋องได้ ได้โปรดช่วยรักษาช
เฉินชีตกตะลึง หลังจากครุ่นคิดสักพักจึงพยักหน้า “ได้!”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยแววตาลึกล้ำ “จริงหรือ? เจ้าตัดใจได้หรือ?”เฉินชีนั่งลงรินชาใส่ถ้วย แล้วยื่นให้นาง “มีเพียงอาเหลาเท่านั้นที่ทำให้ข้าตัดใจมิได้”“รอให้ร่างกายของเจ้าดีขึ้น ข้าค่อยไปฆ่าลั่วฉิงได้หรือไม่?”“บนเขานี้ไม่มีใครดูแลเจ้า ข้ามิวางใจ”ลั่วชิงยวนก้มหน้า นัยน์ตาฉายแววเย็นชาขณะกล่าวเสียงแผ่วเบา “กลัวข้าหนีหรือ”“เจ้าสบายใจได้ ในเมื่อข้าเต็มใจไปกับเจ้าแล้วก็จะมิกลับไปอีก”เมื่อก้าวออกจากซีหลิง นางก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับแคว้นเทียนเชวียอีกต่อไปนางตายครั้งแล้วครั้งเล่า ควรจะตัดใจได้แล้วเวลาที่เหลือ นางจะทำสิ่งที่อาจารย์ยังทำมิเสร็จให้สำเร็จ“เช่นนั้นรอข้าไปหาสมุนไพรมาให้เจ้าก่อน”ตอนนี้เฉินชีอ่อนโยนราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนแต่ลั่วชิงยวนก็หาได้แปลกใจไม่เอาแน่เอานอนมิได้ นิสัยเปลี่ยนแปลงง่าย นี่คือที่มาของฉายาเฉินชีจอมบ้าคลั่งลั่วชิงยวนหลับตาลง อยากจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า มิอยากตื่นขึ้นมาอีกเลยเฉินชีออกจากห้อง ปิดประตูแล้วเดินออกไปหลังจากรีบไปเก็บสมุนไพรแล้วเขาก็วิ่งขึ้นเขาด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อผลักปร
“เฉินชี ข้าจะกลับไปกับเจ้า ถอยทัพเดี๋ยวนี้” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเฉินชีรีบยกมือขึ้นกองทัพแคว้นหลีหยุดรุกคืบเฉินชียื่นมือไปหานาง “เจ้าจะกลับไปกับข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนมิหันกลับมามอง แต่ยื่นมือออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวเฉินชียกยิ้มอย่างผู้มีชัย แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะดึงลั่วชิงยวนขึ้นหลังม้าด้วยกัน แล้วควบม้าหันหลังกลับไปอย่างองอาจส่วนกองทัพแคว้นหลีก็ถอยทัพทันทีเซียวชูเห็นดังนั้นก็พึมพำ “แคว้นหลีถอยทัพแล้ว เป็นพระชายาที่หยุดสงครามครั้งนี้...”ฟู่เฉินหวนกำมือแน่น เห็นร่างที่พร่ามัวค่อย ๆ หายไป เขาร้อนใจจนอยากจะลุกขึ้น แต่เลือดกลับไหลทะลักออกมาสุดท้ายทุกอย่างก็มืดลง“ท่านอ๋อง!”......เฉินชีมีความสุขมาก เขาควบม้าอย่างรวดเร็วข้างหูของลั่วชิงยวนมีเพียงเสียงลมและเสียงพูดด้วยความตื่นเต้นของเฉินชี “อาเหลา นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเต็มใจขี่ม้ากับข้า”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ช้าลงหน่อย ข้าปวดหู”เฉินชีก็ชะลอความเร็วลงลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนมาที่นี่ นางกินโอสถจตุรธาตุ ดูเหมือนว่าจะได้ผลกับเฉินชีจริง ๆ“ข้ายังมิอยากกลับแคว้นหลี ข้าต้องร
เสียงกลองศึกดังขึ้นกองทัพแคว้นหลีบุกมาถึงชายแดนอีกครั้งและครั้งนี้ ฟู่เฉินหวนนำทัพออกรบด้วยตัวเองเฉินชีควบม้าอยู่หน้ากองทัพแคว้นหลีเมื่อเห็นฟู่เฉินหวน เขาก็ยกยิ้มเย็นชา “ในที่สุดเจ้าก็มิเป็นเต่าหัวหดแล้ว! ช่างหาได้ยากนัก!”ฟู่เฉินหวนมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “นางอยู่ที่ไหน?”เฉินชีหรี่ตาลง ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย “ฆ่าตายไปแล้ว”แววตาของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยจิตสังหาร“เป็นอย่างไร? จะสู้กับข้าจนตายไปข้างหนึ่งหรือไม่?” ดวงตาของเฉินชีลุกโชน อยากจะลงมือเต็มทีแล้วฟู่เฉินหวนชักกระบี่กระโจนเข้าใส่ในชั่วขณะนั้น เซียวชูก็ใจกระตุกวูบเฉินชียกยิ้มอย่างผู้มีชัย รีบชักกระบี่กระโดดขึ้น วันนี้เขาจะฆ่าฟู่เฉินหวนด้วยมือของเขาเอง!กระบี่ยาวในมือของทั้งสองฟาดฟันกันจนเกิดเสียงดังสนั่นจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วขณะต่อสู้ ฟู่เฉินหวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฉินชี เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องเป็นข้า! เฉินชีคนนี้มิเคยพ่ายแพ้!” เฉินชีหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหังฟู่เฉินหวนใช้พลังทั้งหมดต้านทานการโจมตีของเฉินชี พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต่อหน้ากองทัพ หาก
คนที่เขาต้องการฆ่าคือฟู่เฉินหวน!......ในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งมีแผนที่แขวนอยู่บนผนัง บนโต๊ะมีแบบจำลองขนาดใหญ่ ที่นี่คือสถานที่สำหรับวางกลยุทธ์ฟู่เฉินหวนที่ใบหน้าซีดเซียวกำลังดื่มชา “แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก...”เซียวชูรีบลูบหลังให้ท่านอ๋อง “ท่านอ๋อง ร่างกายของท่านแย่ลงเรื่อย ๆ อยู่ที่ห้องใต้ดินมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้างล่างนี้หนาวเย็นเกินไป”หลังจากที่ฟู่เฉินหวนหยุดไอก็โบกมือ “หากออกไปจะถูกเฉินชีหาเจอ”“เขาเป็นชาวแคว้นหลี มีวิธีมากมายในการตามหาข้า”“มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่อยู่ได้ พลังหยินปกปิดพลังหยางจึงหามิพบ”เซียวชูกล่าวอย่างจนใจ “มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่คิดวิธีนี้ออก”ที่นี่คือห้องใต้ดินของสัปเหร่อในสุสานเดิมทีห้องใต้ดินนี้ใช้สำหรับเก็บอาหารของสัปเหร่อ ตอนนี้ด้านบนเต็มไปด้วยหลุมศพในห้องใต้ดินนั้นหนาวเย็นมาก อาภรณ์หนาแค่ไหนก็มิสามารถต้านทานความหนาวเย็นได้หนึ่งถึงสองเดือนมานี้ ท่านอ๋องอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะต้องหลบหนีการตามล่าของเฉินชีคอยวางแผนในซีหลิงอย่างลับ ๆ และควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดจนถึงตอนนี้ยังมิเคยแพ้ มิเพียงแต่มิให้กองทัพแคว้นหลีบุกเข้าซีหลิงได้เท่านั้น แต่ยั
“จะได้มิต้องกังวล”ลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจหายดวงตาใต้หน้ากากของนางแดงก่ำ อยากจะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็พูดมิออกนางจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบเมื่ออยู่คนเดียวแล้วก็พิงกำแพงร้องไห้ออกมาเหตุใดญาติพี่น้องของนางจึงต้องจากไปทีละคนลั่วชิงยวนเอนหลังพิงเตียงพลางครุ่นคิด นางรู้ว่าคำพูดนั้นโหดร้าย ทว่าเจ็บแต่จบดีกว่าเจ็บเรื้อรังบางทีในภายภาคหน้านางอาจจะหาวิธีรักษาชีวิตได้ ถึงตอนนั้นค่อยบอกข่าวนี้กับพวกนาง อาจจะเป็นเรื่องน่ายินดีก็เป็นได้หลังจากกินยาแล้วลั่วชิงยวนก็พักผ่อนครึ่งวัน จากนั้นจึงออกเดินทางไปซีหลิงต้องเดินทางอย่างช้า ๆ ร่างกายของลั่วชิงยวนมิสามารถทนต่อการเดินทางไกลได้อีกแล้วจึงต้องหยุดพักบ่อยครั้งในคืนที่แสงจันทร์กระจ่าง ลั่วชิงยวนจะใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ซึ่งพลังที่ดูดซับมาจะทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนจึงถึงซีหลิงส่วนเฉินชีนั้นเดินทางไปกลับหนึ่งรอบแล้วในวันที่เดินทางถึงซีหลิง ลั่วชิงยวนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ส่วนฉู่จิ้งรีบไปหาซ่งเชียนฉู่เขาจึงแยกทางกับพวกนางลั่วชิงยวนคิดว่าควรจะให้ลั่วอวิ๋นสี่กลับไปได้แล้ว จึงให้จือเฉ
บัดนี้การต่อสู้ระหว่างทั้งสองกองทัพหยุดลงแล้ว แต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดต่อไปถึงแม้ว่าเฉินชีอยากจะฆ่าฟู่เฉินหวน แต่ก็มิยอมให้คนของตัวเองตายอย่างสูญเปล่าหากพูดถึงกลยุทธ์ แม้แต่เฉินชียังต้องยอมรับว่าฟู่เฉินหวนเก่งกาจมาก ถือเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งการจะฆ่าเขานั้นมิใช่เรื่องง่ายดังนั้นจึงหยุดรบก่อนแล้วค่อยหาโอกาสหลายวันมานี้ เขาปลอมตัวเข้าไปในซีหลิงเพื่อสืบข่าวและสังเกตการณ์การป้องกันของซีหลิงแต่การป้องกันของซีหลิงนั้นแปลกประหลาด เพราะมิเห็นเลยว่าคนอยู่ที่ไหน มิรู้ว่าที่ใดมีกำลังพลมาก ที่ใดมีกำลังพลน้อยแม้แต่ร่องรอยของฟู่เฉินหวนก็ยังมิแน่นอนเขาคิดว่าตัวเองสามารถเข้าไปในซีหลิงได้โดยไม่มีใครรู้ บนใต้หล้านี้มีน้อยคนนักที่จะมีวรยุทธ์สูงส่งเทียบเท่าเขาแต่กลับหามิพบแม้กระทั่งที่ซ่อนของฟู่เฉินหวนมีค่ายประจำการอยู่มิน้อย แต่เฉินชีก็ดูออกว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตาที่ใช้หลอกล่อเขาวันนี้เฉินชียังคงเดินไปมาในซีหลิงเพื่อสำรวจไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปก่อนจะรีบควบม้าออกไปทันที......อากาศกลับมาหนาวเย็น ล
“ท่านแม่... ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกเลย ท่านไปที่ใด ข้าก็จะไปที่นั่น!”เมื่อจือเฉาได้ยินดังนั้นก็ตกใจฉู่จิ้งเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ“เจ้ามีลูกชายโตถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”เสียงนี้ฟังดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าลั่วชิงยวนเสียอีกลั่วชิงยวนกล่าวอย่างจนใจ “ก็... อยู่ ๆ ก็มี...”หลังจากกล่าวจบ นางก็มองไปที่ลั่วอวิ๋นสี่ “ตอนนี้วรยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มิต้องการเขาแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วอวิ๋นสี่พยักหน้า “แข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว น่าจะปกป้องพี่หญิงได้แล้ว”“ส่วนเตี่ยฉุย ให้เขาตามเจ้าไปเถิด”ลั่วชิงยวนตอบรับ “ได้ เมื่อไปถึงซีหลิงแล้วข้าจะหาวิธีพาเขาออกมา”......ลั่วฉิงถูกขังอยู่ในวงเวท พยายามดิ้นรนออกไป แต่ก็ออกไปมิได้วงเวทนี้ขังนางไว้อย่างแน่นหนาเมื่อเห็นเลือดถูกดูดออกไปจากร่าง ลั่วฉิงก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมากนางจะตายที่นี่มิได้!นางรอแล้วรอเล่า ในที่สุดเมื่อฟ้าเริ่มสางก็มีคนเดินผ่านมาลั่วฉิงราวกับพบเจอผู้ช่วยชีวิต นางนอนคว่ำอยู่บนพื้น แล้วยื่นมือออกไป “ช่วยข้าด้วย...”ชายที่แบกจอบตกใจ รีบนั่งยอง ๆ และกล่าวถาม “แม่นาง เจ้าเป็นอะไร? จะไปหาหมอหรือไม่?”ลั่วฉิงเห็นเขาเข้ามาในเ