ดวงตาของนางแดงก่ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชานางปิดประตู ยกมือขึ้นกดหน้าอกที่ยังปวดอยู่ พลางเดินกลับไปนั่งทำสมาธิบนเตียงการมาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางแทบจะไม่มีพละกำลังนางคือนักบวชที่ทุกคนต่างเคารพในแคว้นหลี่ นอกเหนือจากทักษะพิเศษด้านฮวงจุ้ย การอ่านโหงวเฮ้ง และการทำนายดวงชะตาแล้ว นางยังมีวรยุทธที่น่าเกรงขาม แบบหนึ่งต่อร้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงร่างกายของตนเองเป็นอย่างมาก นางฝึกฝนวรยุทธตั้งแต่ยังเด็ก เส้นลมปราณของนางค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ข้ารับใช้เหล่านี้ไม่สามารถจะกลั่นแกล้งนางได้น่าเสียดาย บัดนี้ร่างกายของนางน่าจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว… พอกลับมาที่ห้องตำรา ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกซูโหยวเดินมาเคาะประตู “ท่านอ๋อง คืนนี้ยังจะส่งชายพวกนั้นไปแกล้งขู่คุณหนูลั่วอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”พอได้ยิน ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก “ช่างเถอะ”เมื่อคืนนี้เขาได้สั่งสอนนางไปแล้ว หากขู่นางอีก นางคงแกล้งปลิดชีพตนไม่จบไม่สิ้นเสียทีและถ้าหากนางตายขึ้นมาจริง ๆ คงจะรายงานกับจวนอัครเสนาบดีได้ยากซูโหยวพยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ”……ฟึ่บบบานประตู
“ก็ช่วยไปแล้ว เหตุใดจะต้องมีเหตุผลด้วยเล่า?” ลั่วชิงยวนเอ่ยอย่างเรียบเฉยจากนั้นนางก็หันหลังและจากไปเมื่อเห็นว่านางกำลังจะเดินจากไปไกล แม่นมเติ้งก็รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เลยอดไม่ได้ที่จะเรียกนางไว้ "พระชายาเจ้าคะ!" ลั่วชิงยวนชะงักฝีเท้า แม่นมเติ้งรีบก้าวไปข้างหน้าทันที“บ่าวขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องดูแลรับใช้ท่าน บ่าวก็คงได้ออกจากตำหนักไปนานแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่บ่าวรู้สึกไม่พอใจ ก็เลยระบายความโกรธใส่ท่าน..." แม่นมเติ้งก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดนางไม่คิดว่า พระชายาจะเข้ามาช่วยนาง มิเช่นนั้นนางคงถูกเมิ่งจิ่นอวี่ทุบตีจนตายเป็นแน่! แล้วนางยังช่วยต่อแขนของตนอีกด้วย ซึ่งนั่นแตกต่างจากข่าวลือที่ว่านางคือนางงูพิษโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็เข้าใจเหตุผลแม่นมเติ้งเตือนขึ้นอีกครั้ง "หากท่านต้องการอยู่ในตำหนักต่อไป ก็อย่าได้ทำให้เมิ่งจิ่นอวี่ขุ่นเคืองเลยเจ้าค่ะ นางเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งในตำหนัก แล้วยังเป็นลูกสาวของแม่บ้านของตำหนักนี้อีกด้วยเจ้าค่ะ""ไม่ทันแล้วกระมัง" มาพูดเอาป่านนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วแม่นมเติ้งมองไปรอ
ลั่วชิงยวนหยิบไม้ที่อยู่ตรงมุมกำแพงขึ้นมา และหวดไม้ใส่เมิ่งจิ่นอวี่จนหมดสติ นางหยิบหมั่นโถวชิ้นเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยัดเข้าไปในปากของเมิ่งจิ่นอวี่ ทำให้นางกลืนมันลงไปชายบางคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากทางหน้าต่าง คิดว่าลั่วชิงยวนกำลังจะหนีออกไป "นี่! คิดจะหนีรึ!" หนึ่งในนั้นก้าวไปข้างหน้า และกระชากนางลงมาทันที ลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ปล่อยตัวเมิ่งจิ่นอวี่ พวกนั้นคิดว่าเมิ่งจิ่นอวี่ที่สลบไปคือลั่วชิงยวน จึงได้พานางกลับไปที่เตียงลั่วชิงยวนพิงผนังและฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง เมื่อแน่ใจว่ามันเป็นไปตามแผน นางจึงหันหลังและจากไปอย่างสบายใจในความมืด นางแอบเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง หลังจากค้นหาทั่วครัวก็ไม่มีอะไรเหลือให้กิน! นางจึงหามุมเพื่อเอนตัวลงนอน ก่อนจะผล็อยหลับไปณ ห้องตำราฟู่เฉินหวนกำลังจะหยุดพักหลังจากทำงานเสร็จสิ้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงตื่นตระหนกของลั่วเยวี่ยอิง "ท่านอ๋อง ท่านบรรทมอยู่หรือไม่เพคะ?"เมื่อได้ยินเสียงที่ลุกลน ฟู่เฉินหวนจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตู "มีเรื่องอันใดรึ?"ลั่วเยวี่ยอิงมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาที่ชุ่มน้ำของน
เมิ่งจิ่นอวี่และคนรับใช้พวกนี้ไม่ควรปรากฏตัวในห้องของลั่วชิงยวน แต่คืนนี้กลับมารวมตัวกันในห้องของนาง แถมนางยังไม่ได้อยู่ในห้องอีก เลยทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่อาจจะเป็นแผนการของลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนรู้สึกสับสน นางขมวดคิ้วพร้อมพลางมองด้วยสายตาเย็นชา "ท่านกำลังสอบสวนนักโทษอยู่หรือเพคะ?" เมื่อเห็นดังนั้น ลั่วเยวี่ยอิงก็รีบไปข้างหน้า และคว้าแขนของนาง จงใจใช้เสียงเบาที่ทุกคนได้ยินกล่าวว่า "ท่านพี่ อย่าพูดกับท่านอ๋องแบบนี้สิเจ้าคะ คืนนี้ท่านทำอะไร บอกความจริงกับท่านอ๋องเถิด มีข้าอยู่ ท่านอ๋องไม่ทำอะไรท่านพี่หรอก” การกระทำของลั่วเยวี่ยอิง ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ลั่วชิงยวนเป็นคนทำจริง ๆดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจงใจหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด และกระซิบตอบ "ข้ายอมรับว่าคืนนี้ข้าทำบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้..."เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเยวี่ยอิงแสร้งทำเป็นตกใจ และเปล่งเสียงออกมา "อะไรนะเจ้าคะ? ท่านพี่สับสนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!"ลั่วเยวี่ยอิงดึงลั่วชิงยวนไปข้างหน้า และพูดกับนางด้วยท่าทางเคร่งขรึม "ท่านพี่ ท่านยอมรับผิดต่อท่านอ๋องเถิด มีข้าอยู่ ไม่เป็นไรหรอกเจ้า
ภายใต้คำวิจารณ์ สีหน้าของลั่วชิงยวนยังคงเรียบเฉย นางเดินตรงไปข้างหน้าคนรับใช้ที่คุกเข่าเหล่านั้น และถามอย่างใจเย็น "พวกเจ้าพูดว่าข้าเป็นคนสั่งอย่างนั้นรึ?"“เช่นนั้นจงพูดมา ข้าไปสั่งให้พวกเจ้าที่ไหน เมื่อไหร่? แล้วให้เข้ามาในห้องนี้เวลาใด?”“ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือห้องของพระชายา พวกเจ้าก็ตกลงเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนั้นเลยรึ? ข้าตั้งเงื่อนไขอะไรให้กับพวกเจ้ากัน? ถึงได้กล้าเสี่ยงชีวิตมาที่นี่?” เมื่อนางถามออกไปเช่นนั้น สีหน้าของคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาจ้องไปที่เมิ่งจิ่นอวี่ เห็นได้ชัดว่ากำลังขอความช่วยเหลือจากเมิ่งจิ่นอวี่พวกเขาควรตอบอย่างไรดีฟู่เฉินหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย มองดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆ เขายังมองไปที่ลั่วชิงยวน ในสถานการณ์ที่มีศัตรูจำนวนมาก แต่นางยังสามารถควบวคุมสติอารมณ์ได้ ลั่วชิงยวนผู้นี้ค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว"พูดมาสิ? ข้าเป็นคนสั่งพวกเจ้าใช่หรือไม่? ข้าพูดอะไรกับพวกเจ้า เล่ามันออกมา?" ลั่วชิงยวนตะคอกเบา ๆเห็นดังนั้นเมิ่งจิ่นอวี่ก็รู้สึกเป็นกังวล แผนของพวกนางผิดเพี้ยนไปหมด นางไม่สามารถเชื่อมโยงคำถามเหล่านี้ได้เลยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ นางก็
ลั่วชิงยวนเห็นว่าคิ้วของฟู่เฉินหวนล้อมรอบด้วยวิญญาณชั่วร้าย รอบดวงตาค้ำ นางขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะเตือนเขาอีกครั้ง "ท่านอ๋อง แล้วแต่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีความหวังจริง ๆ ! ข้าแนะนำว่าอย่าออกไปไหนเป็นเวลาสองวัน มิเช่นนั้นจะเกิดการนองเลือด!"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่ได้เก็บมันมาคิดเลย แถมยังขู่กลับไปอีกด้วยว่า "หากเจ้ายังคงสร้างความสับสนให้กับผู้คนในตำหนักด้วยเรื่องไร้สาระนี้ และพูดชื่อของลั่วเยวี่ยอิงอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นและหัวของเจ้าซะ!” ลั่วชิงยวนสถบเบา ๆ นางอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี แต่ในสายตาของฟู่เฉินหวนกลับคิดว่านางกำลังใส่ร้ายลั่วเยวี่ยอิง ไม่น้อมรับน้ำใจคนก็แล้วไป เขาจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย! หากเขาตาย นางจะได้ไม่ต้องขอใบหย่า! นางเองก็ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงก้าวเท้าเดินกลับห้องไป ด้วยสถานะคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี ฟู่เฉินหวนจึงจะยังไม่ฆ่านาง แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดีเช่นกันนางต้องรอดูก่อนว่าฟู่เฉินหวนจะรอดจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่ เพราะในตัวเขามีพลังงานมังกรอยู่ บางทีเขาอาจจะมีสิ
คนในกระจกพูดอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ บ่าวจำได้! บ่าวไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระชายาอย่างไร จากนี้ไป บ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ท่านเอง หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจบ่าวรับใช้ผู้นี้นะเจ้าคะ”ขณะที่แม่นมเติ้งพูด นางก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาปักบนหัวให้นาง ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจับมือแม่นม และยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนางแม่นมเติ้งตกใจ และมองนางด้วยความงุนงง "พระชายา เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"เมื่อลั่วชิงยวนออกแรง แม่นมเติ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือออก และปิ่นก็ร่วงลงกับพื้นอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ความหมายของลั่วชิงยวน ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นผ่านม่านตา นางรีบคว้าปิ่นที่เหลือบนโต๊ะอีกครั้ง และพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอย่างโหดเหี้ยมลั่วชิงยวนไม่สามารถทนแรงนั้นได้ ร่างนางถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ปิ่นเงางามที่ลอยอยู่เหนือดวงตาของนางราวกับใบมีดคมกริบแม่นมเติ้งกัดฟัน พยายามแทงปิ่นลงไปที่ดวงตาของนางอย่างเอาเป็นเอาตายสิ่งที่นักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยขาดมิได้เลยก็คือ ดวงตาที่เฉียบแหลมคู่นี้ ลั่วชิงยวนมองไปที่แสงสีเขียวในดวงตาของแม่นมเติ้ง และก็ยิ่งแน่ใจว่ากำลังเจอกับอะไร!“เจ้าสัตว์ร้าย รนหาความตาย!” นางปล่อยข้อมือของแม่นมเติ้งทันทีป
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จือเฉาก็รู้สึกปลื้มปีติ นางพูดเสียงติดอ่างด้วยความตกใจ "พระ... พระชายา แต่บ่าวทำอะไรไม่เป็นเลยนะเจ้าคะ"“เจ้ารู้วิธีส่งชาและส่งน้ำหรือไม่? วิธีหวีผมแบบง่าย ๆ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ ก็เพียงพอแล้ว” นางดึงจือเฉาขึ้นมาจากพื้นจือเฉาสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นัก ลั่วชิงยวนวางชามและตะเกียบไว้ข้างหน้านาง "กับข้าวเยอะขนาดนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก เจ้ามานั่งกินด้วยกันสิ" จือเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร นางหยิบชามข้าวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง และเริ่มกินเมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง ลั่วชิงยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำบางอย่าง ครั้นเมื่อน้องสาวคนเล็กถูกท่านอาจารย์รับมานั้น นางก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้เช่นกันหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตก หลังจากที่จือเฉาจากไป ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มีโอกาสที่หยิบเข็มทิศแห่งโชคชะตาออกมา นางสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเข็มทิศก็หมุนอย่างรวดเร็ว นางตกใจเล็กน้อย จึงหยิบเข็มทิศแล้วเดินออกไปที่ประตู แต่กำลังจะเข้าไปในลาน จู่ ๆ ฝนก็ตกหนักนางเพิ่งส
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ
เพียงครึ่งเดือนเศษที่มิได้พบกัน มหาราชาจารย์เหยียนกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคนมหาราชาจารย์เหยียนจ้องมองนางอย่างมิพอใจ “พระชายาอ๋องจงดูแลตนเองเถิด!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง ฟังเสียงมหาราชาจารย์เหยียนที่อ่อนแรง ดูเหมือนจะสูญเสียพลังงานมาก ถึงแม้ว่าจะถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ล่าสุด แต่ก็มิควรจะสูญเสียมากถึงเพียงนี้ย่อมมีสาเหตุอื่น “ข้าหวังดี ท่านมหาราชาจารย์เหยียนมิจำเป็นต้องตอบโต้เช่นนี้”“ข้าเห็นท่านมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะสูญเสียกำลังภายในไปมาก และมีอาการเป็นพิษ ท่านมหาราชาจารย์เหยียนควรหาหมอที่มีฝีมือดีมารักษาเถิด”“อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มไปทั้ง ๆ ที่ยังมิได้ชนะแล้วกัน” ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะมหาราชาจารย์เหยียนหน้าซีด จ้องมองนางอย่างเย็นชา “มิต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วจากไปลั่วชิงยวนมองดูเงาของมหาราชาจารย์เหยียนที่รีบจากไป ในใจรู้สึกสับสน อาการป่วยของมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกลับไปแล้วนางก็ใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์คำนวณอีกครั้ง และไปดูที่บริเวณบ้านตระกูลเหยียนอีกครั้งถึงแม้ว่ามหาราชาจารย์เหยียนจะมีอาการป่วยหนัก
ซูโหยวพยักหน้า “ท่านอ๋องตามใจนางทุกอย่างแล้วขอรับ” “ถึงกระนั้นนางกลับยังขอให้ท่านอ๋องหย่ากับพระชายาและลงทัณฑ์พระชายาอย่างหนัก” “ท่านอ๋องมิได้ยินยอมและพิโรธยิ่งนัก จึงกลับเข้าห้องไป”ลั่วชิงยวนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น “ลั่วเยวี่ยอิงต้องการให้ท่านอ๋องหย่ากับข้าหรือ? จะให้ลงทัณฑ์ข้าด้วยหรือ?” ซูโหยวพยักหน้ารับอีกครั้งลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความผิดปกติ ลั่วเยวี่ยอิงอาจจะรู้แล้วหรือไม่ว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุมจิตใจอยู่? “เจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเอง ข้าจะมิเข้าไป” ซูโหยวพยักหน้าแล้วถอยออกไปลั่วชิงยวนเดินไปยังชายคาบ้าน มิได้ผลักประตูเข้าไป นางยืนอยู่ข้างกำแพง ฟังเสียงครวญครางอันแสนเจ็บปวดที่เล็ดลอดออกมาจากห้อง หัวใจของนางแทบจะขาดสะบั้นดวงตาแดงก่ำ ขณะนั่งคุกเข่าลงข้างกำแพง มีเพียงกำแพงกั้นไว้ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงครวญครางอันเจ็บปวดของฟู่เฉินหวนดังก้องเข้ามาในหูอย่างชัดเจนลั่วชิงยวนกำมือแน่น มิกล้าส่งเสียงใด ฟู่เฉินหวนซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ดิ้นรนทรมาน เลือดไหลออกมาจากปากความทรมานเช่นนั้นกินเวลายาวนานถึงหนึ่งชั่วยามเศษ แต่ฟู่เฉินหวนมิได้ออกมาจากห้อง ล
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ใจของลั่วชิงยวนก็ยังคงเจ็บปวดแต่จะทำอย่างไรได้ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น ฟู่เฉินหวนจึงจะมิถูกทรมานจนถึงตายในที่สุดลั่วเยวี่ยอิงที่ถูกอุ้มไปก็มีความสุขมากนางกอดฟู่เฉินหวน ร้องไห้คร่ำครวญน้ำตาไหลพราก “ท่านอ๋อง ในที่สุดหม่อมฉันก็ได้พบท่านแล้ว”“ท่านมิรู้หรอกเพคะว่าหม่อมฉันต้องใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา”“พระชายาเอาเลือดของหม่อมฉันไปทุกวัน หม่อมฉันคิดว่าชาตินี้จะมิได้พบกับท่านแล้ว…”ฟู่เฉินหวนได้ยินเสียงคร่ำครวญก็หงุดหงิด ยิ่งปวดหัวหนักขึ้น“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากภัยนี้ด้วยเถิดเพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้มิหยุด“ข้าจะให้หมอมาตรวจอาการเจ้า” ฟู่เฉินหวนพยายามควบคุมตนเองมิให้ต่อต้านพลังที่ควบคุมอยู่พยายามตามใจลั่วเยวี่ยอิง“เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มอย่างพอใจ ในใจมีความสุขสิ่งที่เหยียนหน่ายซินพูดนั้นเป็นความจริง......ลั่วชิงยวนนั่งอยู่ที่ห้อง จือเฉาใช้ยาบรรเทาอาการบวมช้ำที่ใบหน้าของลั่วชิงยวนพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋องกับพระชายาได้คืนดีกันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ จึงลงมือหนักเช่นนี้”“เขาก็มีเหตุผลของเขา” ลั่วชิงยวนถ