Share

บทที่ 11

Author: หว่านชิงอิ๋น
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จือเฉาก็รู้สึกปลื้มปีติ นางพูดเสียงติดอ่างด้วยความตกใจ "พระ... พระชายา แต่บ่าวทำอะไรไม่เป็นเลยนะเจ้าคะ"

“เจ้ารู้วิธีส่งชาและส่งน้ำหรือไม่? วิธีหวีผมแบบง่าย ๆ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ ก็เพียงพอแล้ว” นางดึงจือเฉาขึ้นมาจากพื้น

จือเฉาสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นัก ลั่วชิงยวนวางชามและตะเกียบไว้ข้างหน้านาง "กับข้าวเยอะขนาดนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก เจ้ามานั่งกินด้วยกันสิ"

จือเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร นางหยิบชามข้าวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง และเริ่มกิน

เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง ลั่วชิงยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำบางอย่าง ครั้นเมื่อน้องสาวคนเล็กถูกท่านอาจารย์รับมานั้น นางก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้เช่นกัน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตก

หลังจากที่จือเฉาจากไป ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มีโอกาสที่หยิบเข็มทิศแห่งโชคชะตาออกมา นางสำรวจมันอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้นเข็มทิศก็หมุนอย่างรวดเร็ว นางตกใจเล็กน้อย จึงหยิบเข็มทิศแล้วเดินออกไปที่ประตู แต่กำลังจะเข้าไปในลาน จู่ ๆ ฝนก็ตกหนัก

นางเพิ่งสังเกตเห็นฮวงจุ้ยของตำหนักอ๋องแห่งนี้ ด้านหลังตำหนักมีทิวทัศน์เป็นภูเขา ซึ่งหาได้ยากในเมืองหลวง ด้านซ้ายสายน้ำไหล ซึ่งเรียกว่ามังกรฟ้า ด้านขวามีถนนราดยาวซึ่งเรียกว่าเสือขาว ด้านหน้ามีบ่อน้ำซึ่งเรียกว่าหงส์ไฟ และภูเขาด้านหลังนี้เรียกว่าเต่าดำ สมกับเป็นดินแดนอันล้ำค่า ตำหนักถูกสร้างที่จุดนี้ถือเป็นสิริมงคล

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีวิญญาณชั่วร้ายซ่อนอยู่ในตำหนัก นางถือเข็มทิศเดินไปรอบ ๆ ทางเดิน แต่ก็ไม่พบแหล่งที่มาของวิญญาณชั่วร้ายนี้ อาจเป็นผลกระทบมาจากพายุ ฝนฟ้าคะนอง คงต้องรอให้พายุสงบลงแล้วค่อยมาดู

ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่เต็มไปด้วยความร้อนอบอ้าว ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยสบาย

เมื่อตกกลางคืน ละอองสีดำลอยขึ้นเหนืออากาศทางประตูตำหนัก ลั่วชิงยวนคิ้วกระตุก และในวินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางรับใช้ในลานที่วิ่งเข้าไปในลานด้านในท่ามกลางสายฝน

หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟู่เฉินหวน?

นางรีบหาร่มและเดินออกจากเรือน และบังเอิญเจอจือเฉาที่กำลังเดินผ่านสวนไป ร่างผอมบางนั้นดูเหมือนจะล้มลงกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำได้ทุกเมื่อ

"จือเฉา เกิดอะไรขึ้น?"

จื่อเฉาส่ายหัว "ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านซูสั่งให้พวกบ่าวไปที่เรือนของท่านอ๋องเจ้าค่ะ"

ลั่วชิงยวนเดาว่าฝนตกหนักเช่นนี้ ต้องเป็นนางรับใช้คนนั้นที่ไม่ต้องการทำงาน จึงผลักจือเฉาออกมาอีกเช่นเคยเป็นแน่ นางรีบพูดกับจือเฉาทันที "เจ้ากลับไปเก็บกวาดที่ห้องของข้า และอย่าออกมาจนกว่าข้าจะกลับไป"

“เอ่อ...” จือเฉางุนงง

“เอ่ออะไร รีบไปสิ!”

"เจ้าค่ะ..." จือเฉาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่ห้องของลั่วชิงยวน

ลั่วชิงยวนเดินไปที่เรือนของฟู่เฉินหวนอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างทางมักถูกดึงดูดด้วยหินแกะสลัก และเครื่องประดับที่อยู่ข้างทางเสมอ รูปปั้นหินสิงโตมีท่าทางดุร้ายในดวงตา และรูปปั้นหินเทาเที่ยที่นั่งอยู่ในลำธาร กำลังกลืนน้ำด้วยความโกรธ ทำให้นางหวาดกลัวไปตลอดทางเดิน มีของตกแต่งแปลก ๆ เต็มไปหมด

เมื่อฟ้าร้อง เข็มทิศในแขนเสื้อนางก็สั่น ตำหนักมงคลหลังนี้ไม่เพียงกลายเป็นบ้านผีสิงเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยพิบัติอีกด้วย

เมื่อมาถึงลานของฟู่เฉินหวน มีนางรับใช้กลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่นี่ แต่ไม่ใช่ซูโหยวที่สั่งพวกนาง แต่เป็นลั่วเยวี่ยอิงที่สั่งพวกนางอย่างรีบร้อน

ใช้โอกาสเมื่อพวกนั้นอยู่อีกฝั่งของทางเดิน และทันไม่ได้สังเกตเห็นนาง นางรีบตรงเข้าไปในห้องของฟู่เฉินหวนในทันที

ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ฟู่เฉินหวนหน้าซีดและหมดสติอยู่บนเตียง เสื้อผ้าของเขาถูกปลดกระดุมออกราวกับว่าเขากำลังรอหมอมารักษาอาการบาดเจ็บของเขา นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดมัน และเห็นรอยดาบยาวบนหน้าอกของเขา บาดแผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วดาบนั้นอาบยาพิษ

ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เย็นชา เมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในช่องท้องของฟู่เฉินหวน!

นางกดนิ้วของนางไปข้างหน้า และสิ่งนั้นก็เคลื่อนตัวหนีไปในทันที ดวงตาที่เฉียบคมของนางบีบของสิ่งนั้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันใหญ่กว่าเล็บมือแค่นิดเดียว ทำให้บีบจับยาก นางบีบมันแน่น จนทำให้ผิวของฟู่เฉินหวนช้ำโดยไม่รู้ตัว

นางมองไปรอบ ๆ และเห็นกริชครึ่งหนึ่งยื่นออกมาจากใต้หมอน นางดึงกริชออกมาทันที นางกรีดใบมีดที่คมกริบผ่านผิวหนัง เมื่อสิ่งนั้นกระโจนออกมานางคว้าสิ่งที่เป็นสีดำที่บินออกมาไว้ในทันที นางโยนมันลงบนพื้นและบดขยี้อย่างแรง

กู่ฉงเกิดในเลือดและเติบโตในร่างกาย อาจกินเลือดกินเนื้อ และทำให้คนตายด้วยความเจ็บปวด หรืออาจกัดกร่อนประสาทของผู้คน และทำให้คนกลายเป็นหุ่นเชิด

นางบอกแล้วว่า ถ้าหากเขาออกไปข้างนอกจะต้องเกิดการนองเลือด แต่เขาก็ยังไม่เชื่อคำพูดของนาง!

เขายังโชคดีที่พบนาง ไม่เช่นนั้นหากช้ากว่านี้ กู่ฉงจะเติบโตในร่างกายของเขา และหากจะดึงมันออกมา จะต้องเจ็บปวดเหมือนเป็นตะคริวที่ผิวหนัง!

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ฟู่เฉินหวนตื่นขึ้นมาและเห็นว่านางถือกริชเปื้อนเลือด ดูเหมือนว่านางกำลังจะฆ่าเขา จึงตะโกนด้วยความโกรธ "ลั่วชิงยวน!"

เขาพยายามฝืนตัวยืนขึ้น ลั่วชิงยวนชำเลืองมองที่กริชแล้วรีบซ่อนไว้ข้างหลัง ก่อนจะกดเขากลับลงไปบนเตียง "อย่าพึ่งขยับ บาดแผลของท่านยังมีเลือดไหลอยู่!"

ฟู่เฉินหวนมีสายตาที่อาฆาต เขาคว้ามือของนาง แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ความแข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่งมากจนสามารถบดขยี้ข้อมือของนางได้

“ใครส่งเจ้ามาที่นี่! วันนี้ที่ข้าถูกลอบสังหาร เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของลั่วชิงยวนก็แทบไม่อยากเชื่อ นางตะคอกกลับไปด้วยความโกรธ "ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไง! นี่หม่อมฉันเพิ่งจะช่วยชีวิตท่านไป!"

นางเคยเตือนฟู่เฉินหวนว่าอย่าออกไป มิเช่นนั้นจะเกิดหายนะนองเลือด แต่เขายืนกรานที่จะออกไป และเมื่อถูกลอบสังหารจนเกือบเสียชีวิต กลับโยนความผิดมาที่นาง?

เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากนอกประตู ลั่วเยวี่ยอิงรีบเดินเข้ามาพร้อมกับซูโหยวและท่านหมอกู้

เมื่อเห็นฉากนี้ในห้อง ใบหน้าของซูโหยวก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบพุ่งเข้ามาปกป้องท่านอ๋อง เขายกร่างของลั่วชิงยวนออกไป และเตะท้องนางอย่างรุนแรง ทำให้นางตัวลอยออกไปจากประตู

ความเจ็บปวดรุนแรงถาโถมเข้าใส่นาง ร่างที่อ้วนท้วนของนางล้มลงกับพื้นอย่างแรง นางแทบจะไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดนั้นได้ และฝนที่ตกกระหน่ำก็กระทบร่างของนางราวกับก้อนหิน ทำให้นางเปียกโชกไปในทันที

นางมีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างหนัก ทำให้นางไม่สามารถลุกขึ้นมาจากพื้นได้เป็นเวลานาน และผลที่ตามมาของการชนกำแพงก็ปรากฏขึ้น

นางยืนขึ้นด้วยความยากลำบาก ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากออก

"ใครก็ได้ ลั่วชิงยวนรอบสังหารท่านอ๋อง จงนำตัวไปประหาร!" ซูโหยวหยิบกริชเปื้อนเลือดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา และออกคำสั่งทันที

ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน ดาบยาวขององครักษ์นับสิบก็จ่ออยู่ที่คอของนาง และนางก็ถูกลากขึ้นมาจากพื้น

นางหลับตาเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียน

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก

นางเอ่ยเสียงเย็น "หากข้าต้องการสังหารท่านอ๋อง กริชนี้จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เและอกของท่านอ๋องที่โดนแทงคงจะอาบไปด้วยเลือด ไม่ใช่แค่ใบมีดเท่านั้น!"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวก็ตกใจเล็กน้อย มองไปที่กริชในมือพลางขมวดคิ้ว

"แล้วท่านทำอะไรกับกริช?" ซูโหยวคิดว่า พระชายาเป็นคนของท่านอ๋องห้า ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะใช้กริชทำสิ่งดี ๆ ให้กับท่านอ๋อง
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Kaugnay na kabanata

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 12

    "เจ้าดูที่พื้นสิ มีกู่ฉงที่ข้าบดขยี้อยู่! ถ้าเอามันออกมาไม่ทันเวลา เจ้านายของพวกเจ้าคงตายไปแล้ว!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ห้องและตรวจดูที่พื้น และเห็นหนอนที่ถูกบดขยี้อยู่จริง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบซากมันขึ้นมา และถามท่านหมอกู้ที่เพิ่งเย็บแผลให้ท่านอ๋องเสร็จ “ท่านหมอกู้ ท่านคิดว่าสิ่งนี้คือกู่ฉงหรือไม่?”ดวงตาของท่านหมอกู้สว่างขึ้น เขาตรวจสอบก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า "ข้าว่าแล้วทำไมพิษบาดแผลของท่านอ๋องถึงได้แปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ทำลายชีวิต ที่แท้คือพิษกู่ฉงนี่เอง มันไม่ทำลายชีวิต แต่ช่วยให้หนอนตัวนี้ได้เข้าไปข้างในร่างกายนั่นเอง"หลังจากพูดจบ ท่านหมอกู้ก็อุทานว่า "โอ้! โชคดีจริง ๆ ที่นำสิ่งนี้ออกมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นชีวิตของท่านอ๋องอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวและฟู่เฉินหวนที่อยู่บนเตียงต่างก็ตกใจซูโหยวรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางถึงยื่นมือเข้ามาช่วย แต่เมื่อสักครู่นางถูกตำหนิอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นเขาจึงรีบบอกให้องครักษ์ตัวลั่วชิงยวนทันที"ข้าน้อยรีบร้อนจนเกินไป ขอประทานอภัยพระชายาด้วยขอรับ"

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 13

    เมื่อได้ยินเสียง ทุกคนมองไปที่ลั่วชิงยวนที่ประตูด้วยสายตารังเกียจซูโหยวขมวดคิ้วและก้าวไปข้างหน้า และกันไม่ให้นางเข้ามาด้านในอีกครั้ง ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเฉียบขาด ก่อนจะผลักเขาออกไปแล้วเดินเข้ามาสายตาที่เฉียบคมเมื่อสักครู่ ทำให้ซูโหยวเกิดความกลัวเล็กน้อยน้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ "เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีก?"ลั่วชิงยวนมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงอย่างเย็นชา นางหยิบเครื่องประดับปีศาจนั้นออกมา แล้วถามเสียงเย็น "ทำไมเจ้าไม่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุที่ล่อสายฟ้านี้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังหน่อยเล่า"ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกผิดเล็กน้อย และไม่กล้ามองนาง แต่นางก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง "ท่านพี่ถามข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ซูโหยวเองก็เห็นว่า ข้าเป็นคนหยิบของชิ้นนั้นออกไป ท่านพี่นำมันกลับมาเพื่อจะพิสูจน์อันใด?”"นั่นเป็นเพราะข้าเป็นคนขอให้เจ้านำของชิ้นนี้ออกมา แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้" ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะลั่วเยวี่ยอิงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง นางมองหน้านางด้วยน้ำตาคลอเบ้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร "ท่านพี่พูดอะไรก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ท่านพี่เป็นบ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 14

    ลั่วชิงยวนยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ ฟู่เฉินหวนสาวเท้าสองสามก้าว จ้องมองนางด้วยความโกรธ "เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นรึ?!"ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงบ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง "ท่านเชื่อหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?"คำที่นางพูดออกมาหมายถึงยอมรับมันฟู่เฉินหวนรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขาดึงดาบยาวออกมาจากเอวขององครักษ์ส่วนพระองค์ พลางชี้ไปที่คอของลั่วชิงยวน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้าจะฆ่าเจ้า!"ลั่วชิงยวนชูคอด้วยท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง "หากท่านอ๋องต้องการฆ่าก็ฆ่าเถิดเพคะ หลังจากที่ฆ่าหม่อมฉันแล้ว สิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋องนี้ยังไม่ถูกถอนออกไป และพายุฝนฟ้าคะนองนี้จะกินเวลาอีกหลายวัน ตำหนักของท่านอ๋องจะกลายเป็นซากปรักหักพังเป็นแน่ อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแม้แต่คนเดียว!"“เจ้า!” ฟู่เฉินหวนกำดาบยาวไว้ในมือ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากเซียวชูพยุงฟู่เฉินหวนทันทีด้วยความตกใจ และเป็นกังวล "ท่านอ๋อง!"“ท่านหมอกู้อยู่ที่ไหน! ท่านหมอกู้!” เซียวชูตะโกนทันทีองครักษ์นายหนึ่งตอบว่า "หมอกู้หมดสติหลังจากหนีออกมาจากกองไฟ!"เห็นดังนั้นลั่วชิงยวนจึงก้าวไปข้างหน้า และคว้าข้อมือของฟู่เฉินหวนขึ้น

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 15

    หลังจากที่จากไป ลั่วชิงยวนก็พาเซียวชูไปจัดการกับสิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋อง แม้ว่านางจะไม่สามารถหยิบเข็มทิศออกมาได้ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป เนื่องจากมันเป็นสมบัติของครอบครัวยามนี้ ฝนได้ซาลงมากแล้ว ในตำหนักยังคงสาละวนอยู่กับเรือนหลังที่ถูกฟ้าผ่า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นลั่วชิงยวนที่พาเซียวชูลัดเลาะไปมาภายในตำหนักลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว เมื่อนางรู้ข่าวว่า ท่านอ๋องอยู่ในห้องตำรากับลั่วชิงยวน นางจึงไม่สามารถเข้าไปรบกวนได้ ได้แต่เดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างใจจดใจจ่อในที่สุด เมื่อนางได้ยินว่าลั่วชิงยวนออกมาจากห้องตำราแล้ว นางจึงรีบไปที่นั่นอย่างเร่งรีบแต่เมื่อนางไปถึงห้องตำรา ซูโหยวก็หยุดนางไว้ "คุณหนูรอง ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส และกำลังพักผ่อนอยู่ขอรับ"ลั่วเยวี่ยอิงตกใจ ห้องตำราของท่านอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป ลั่วชิงยวนสามารถเข้าไปได้ แต่นางกลับเข้ามิได้ หรือว่าท่านอ๋องจะทรงสงสัยจริง ๆ ว่านางแย่งความดีความชอบจากลั่วชิงยวน?“คุณหนูรอง รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ” ซูโหยวเตือนเบา ๆลั่วเยวี่ยอิงกลับมาได้สติ นางหันหลังกลับและจากไป แม้แต่ซูโหยวก็มิไปส่งนางที่ห้องนางร

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 16

    หลังจากฝนตกหนักท้องฟ้าก็แจ่มใส อากาศสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อจือเฉากลับไปพักผ่อนแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเข็มทิศนางออกค้นหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยสมบูรณ์ ที่ดูดซับแก่นแท้ของดวงตะวันและจันทรา เพราะมันสามารถช่วยให้นางฝึกฝนความแข็งแกร่งของกำลังภายใน และทักษะทางจิตใจได้ นางต้องการฟื้นฟูความสามารถของตนเองโดยเร็วที่สุด!……ยามนี้เป็นช่วงเวลากลางดึก ทั้งเรือนจึงเงียบสงบ นางใช้เข็มทิศออกค้นหาไปรอบ ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงศาลาในสวนเล็ก ๆ อันเงียบสงบ นางจึงวางเข็มทิศไว้ข้างหน้าหมุนมันด้วยความคงที่อย่างช้า ๆ แสงจันทราสาดส่องลงบนเข็มทิศ กระจายแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจาง ๆครั้นรุ่งสาง เมื่อไก่ทองขัน และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาแม้ว่านางเพิ่งจะฝึกฝนกำลังภายในได้เพียงแค่สองวัน แต่ผลที่ได้นั้นช่างน่าอัศจรรย์ นางกำหมัดขึ้นมา รู้สึกได้เลยว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก“กรี๊ดดด…”ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ทำลายเช้าอันเงียบสงบและสวยงามนี้……เมิ่งจิ่นอวี่ได้เสียชีวิตแล้วนางเสียชีวิตในบ่อน้ำ ในลานของลั่วชิงยวน และเสียชีวิตในลักษณะที่แปลกประหลาดใบหน้าซีดเซียวลอยอ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 17

    “พวกเจ้าดูให้ชัด ๆ ฆาตกรคือนางต่างหาก!”"แขนเสื้อหลุดลุ่ย มีร่องรอยของเศษเชือกป่านและตะไคร่น้ำ! คนที่ตัดเชือกที่นี่เมื่อคืนนี้คือลั่วเยวี่ยอิง!"“การตายของเมิ่งจิ่นอวี่ไม่เกี่ยวกับข้า!” ขณะนั้นเกิดความโกลาหลไปทั่วลั่วเยวี่ยอิงพยายามดิ้นรนอย่างหวาดกลัว ใบหน้าของนางซีดเซียว และพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล "ข้ามิได้ทำ มิใช่ข้า""หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ เจ้ายังจะเถียงอีกหรือ! น้องสาวที่ดีของข้า เจ้าจงใจหลอกเมิ่งจิ่นอวี่และฆ่านาง จากนั้นก็โยนความผิดให้ข้า!" ลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง ดวงตาของนางแหลมคมราวกับใบมีด นางพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ "แล้วความรักที่ลึกซึ้งของพี่น้องเล่า? เจ้าทำเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร"ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่านางรังแกได้ง่าย ๆ อย่างงั้นหรือ!ถึงลั่วชิงยวนยอมทนกับความโกรธนี้ แต่นางลั่วเหลาจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด!อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา แขนอันทรงพลังคู่หนึ่งก็ดึงลั่วเยวี่ยอิงออกไป ก่อนจะตบนางอย่างรุนแรง พร้อมกับด่าทอด้วยความโกรธ "ลั่วชิงยวน!"ในขณะนั้นแหวนบนมือของฟู่เฉินหวนปัดผ่านแก้มของลั่วชิงยวน ทิ้งรอยนิ้วมือทั้งห้าไว้บนใบหน้าของนางพร้อมกับคราบเลือดกลิ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 18

    เมื่อไม่มีใครอยู่ในลานแล้ว ลั่วชิงยวนก็หยิบเข็มทิศออกมาและเดินไปที่ด้านข้างของบ่อน้ำ ดูเหมือนว่าวิญญาณชั่วร้ายถูกเปิดออก พวกมันพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และแพร่กระจายไปทั่วนางขมวดคิ้วสงสัยในใจ พลางผูกเชือกเข้ากับเสา แล้วปล่อยมันห้อยลงไปในบ่อน้ำ ก่อนจะจับเชือกแล้วค่อย ๆ เดินลงไปด้านในนางต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ด้านล่างนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่บ่อน้ำนั้นไม่ได้ลึกอย่างที่นางจินตนาการไว้ นางจึงกลั้นหายใจและว่ายไปที่ก้นบ่อ ก่อนจะพบว่า มีกระจกยันต์แปดทิศอยู่ที่ก้นบ่อ แต่กระจกยันต์แปดทิศนั้นหนักมาก และตรงมุมมีเชือกผูกติดเอาไว้ นางมิสามารถนำมันขึ้นมาได้ วิญญาณชั่วร้ายถูกปล่อยออกมาจากกระจกยันต์แปดทิศนี้ แสดงว่ามันน่าจะเอาไว้สะกดวิญญาณศพที่อยู่รอบ ๆ และเมื่อศพถูกนำออกไป ตำแหน่งของกระจกยันต์แปดทิศจึงเปลี่ยน และได้ปลดปล่อยวิญญาณร้ายจะออกมานางแน่ใจได้เลยว่า นี่คือการรวมตัวของสิ่งชั่วร้ายในแคว้นหลี่ตราบใดที่กระจกยันต์แปดทิศถูกผนึกอย่างดี พลังงานชั่วร้ายจะไม่รั่วไหลออกไป และโดยทั่วไปแล้วตรวจจับได้ไม่ง่ายนัก เมื่อพลังงานชั่วร้ายรวมตัวกัน และมีพลังเพียงพอ เมื่อมันถูกเปิดออกอีกครั้ง พลังงานชั่ว

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 19

    ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางจงใจเบียดตัวไปทางเฉียงเวย "ข้าตัวใหญ่จริง ๆ นั่นแหละ และข้าก็สามารถทับเจ้าตายได้ เจ้าเชื่อหรือไม่?"เฉียงเวยถูกเบียดเข้ามุม นางถูกบีบระหว่างลั่วชิงยวนและลั่วเยวี่ยอิง ลั่วชิงยวนเบียดจนมีพื้นที่ว่าง ก่อนจะกวักมือเรียกจือเฉาที่อยู่นอกรถม้า ตบพื้นที่ว่างข้างตัว และเอ่ยขึ้น "จือเฉา ขึ้นมา"จือเฉายิ้มและรีบเข้ามาในรถม้า "พระชายา ท่านใจดีจริง ๆ เจ้าค่ะ"เฉียงเวยบิดตัวไปมา และเอ่ยอย่างไม่พอใจ "พระชายารถม้าคันเล็กนิดเดียว เหตุใดท่านถึงได้นำนางรับใช้ขึ้นมาด้วยเล่าเจ้าคะ! ดูสิเบียดคุณหนูรองหมดแล้ว!”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกอึดอัดมาก จนนางแทบจะหายใจไม่ออก"พวกเจ้าเบียดกันแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า? ถ้าใครมิอยากเบียดก็ลงไปสิ" ลั่วชิงยวนตะคอกเสียงเย็น อาศัยขนาดของตัวเองเบียดเข้าไปอีก แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่น้ำหนักก็หนักพอควร ไม่ว่าเฉียงเวยจะผลักกลับแค่ไหน นางก็ไม่ขยับเลยสักนิด ราวกับภูเขาลูกเล็ก ๆ ท้ายที่สุดลั่วเยวี่ยอิงก็ทนมิไหวอีกต่อไป นางไล่นางรับใช้สองคนออกจากรถม้า จึงมีพื้นที่ที่กว้างขึ้นลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่นางก็ทำอะไรมิได้ ได้แต่นั่

Pinakabagong kabanata

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1408

    เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1407

    ตามแผนที่นั้น ลั่วชิงยวนนำทางพวกเขาอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดก็มาถึงถ้ำที่โหยวเซียงผลักนางลงไปเนื่องจากก่อนหน้านี้โหยวเซียงนำคนมาไล่ตามพวกนางจากด้านล่าง ด้านบนจึงไม่มีสิ่งใดปิดบังแล้วและบนผนังหินก็มีเถาวัลย์ยาวห้อยลงมาด้วยเมื่อลองดึงเถาวัลย์นั้นก็พบว่าแข็งแรงมาก“ไปกันเถอะ”คนใบ้ยังคงเดินนำหน้า เขาจับเถาวัลย์ปีนขึ้นไปเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้วลั่วชิงยวนก็ปีนตามไปสุดท้ายก็ดึงโฉวสือชีขึ้นไปทัศนวิสัยเบื้องหน้าพลันสว่างและกว้างขึ้นลั่วชิงยวนมองไปที่คนใบ้ “ยามนั้นเจ้าถูกลากตัวมาที่นี่หรือ?”คนใบ้พยักหน้าโฉวสือชีกล่าวว่า “ข้าก็เหมือนจะเคยมาที่นี่เช่นกัน รู้สึกว่าที่นี่มีพลังหยินเข้มข้นนัก”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ก็ที่นี่แหละ”นี่คือจุดหมายที่สองของพวกเขาลั่วชิงยวนทำได้เพียงค้นหาไปทีละแห่ง ตามตำแหน่งที่อยู่ใกล้พวกนางมากที่สุดนางหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาเริ่มค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนทั้งสามถือโอกาสพักผ่อนในป่าสักครู่และหาอะไรกินเพื่อเติมพลังยามนี้ก็บ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าฟ้าใกล้จะมืดลง ทั้งสามจึงออกเดินทางต่ออีกครั้งจนได้พบถ้ำแห่งหนึ่งด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้หนา เ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1406

    ทั้งสามรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในมิช้า โหยวเซียงและต่งอวิ๋นซิ่วก็นำผู้คนจำนวนมากมาถึงที่นี่อย่างรีบร้อนแต่เมื่อทั้งคณะพุ่งเข้าไปในถ้ำ กลับพบว่าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!สีหน้าของต่งอวิ๋นซิ่วเปลี่ยนไป นางตวาดเสียงดัง “ตามหาให้ทั่ว!”“ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะยังมีใครที่เดินเหินไปมาอย่างอิสระในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้!”ยามนี้ลั่วชิงยวนมีแผนที่อยู่ในมือ นางสามารถเดินไปไหนมาไหนในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้อย่างอิสระจริง ๆนางถึงขนาดรู้ทุกซอกทุกมุมในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ดีกว่าต่งอวิ๋นซิ่วและพรรคพวกด้วยซ้ำเพราะนั่นคือแผนที่ที่อวี๋ตันเฟิ่งวาดให้นาง ซึ่งละเอียดลออยิ่งส่วนพวกต่งอวิ๋นซิ่ว ท้ายที่สุดแล้วความทุ่มเทที่พวกนางมีต่อเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ย่อมมิอาจเทียบกับอวี๋ตันเฟิ่งได้ ความเข้าใจที่พวกนางมีจึงด้อยกว่าอวี๋ตันเฟิ่งลั่วชิงยวนเดินตามแผนที่ มิได้วิ่งหนีเข้าไปในหน้าผาหากไปในเส้นทางนั้นก็อาจถูกตามทันได้ขณะที่วิ่งหนี ลั่วชิงยวนก็แหงนหน้ามองตามผนังหินไปด้วยในที่สุดก็พบทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งแม้จะสูงไปสักหน่อยแต่ทางขึ้นไปก็มิได้ชันมาก ปีนป่ายขึ้นไปก็ได้แล้ว“ปีนขึ้นไปทางนั้น!”เมื่อ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1405

    สิ่งที่อยู่ในโลงเริ่มสั่นไหวรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น และโลงศพก็ระเบิดออกในที่สุดทันใดนั้น ศพชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาบีบคอฝูเหมิ่งไว้สิ่งที่เป็นกึ่งคนกึ่งผีทั้งสองเริ่มต่อสู้กันลั่วชิงยวนสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่า ชายคนนั้นก็ดุร้ายเช่นกันและเป็นสิ่งที่อันตรายมากทั้งสองเข้าโรมรันต่อสู้กันอย่างดุเดือดเนื่องจากศพชายคนนั้นฉุดรั้งฝูเหมิ่งไว้ ลั่วชิงยวนจึงหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมาสังเกตการณ์ในถ้ำแห่งนี้อย่างเงียบ ๆแท้จริงแล้วที่นี่คือหนึ่งในจุดรวมพลังศพของอวี๋ตันเฟิ่งก็ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่มีทางผิดพลาดแน่แต่ถ้ำแห่งนี้มีขนาดเล็กเพียงเท่านี้ มองปราดเดียวก็เห็นทั่วแล้ว ไม่มีที่ให้เข้าไปลึกกว่านี้แล้วลั่วชิงยวนถือเข็มทิศมองอยู่นาน และทันใดนั้นดวงตาของนางก็พลันเป็นประกายใต้พื้นถ้ำ!เมื่อมองไปยังใต้โลงศพก็พบว่าเป็นจานกลมขนาดใหญ่ น่าจะขยับได้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มค้นหาตัวไขกลไก ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นหินบนผนัง“พวกเจ้าช่วยคุ้มกันข้าหน่อย!”ลั่วชิงยวนหยิบเชือกออกมาคล้องที่เอวพร้อมมัดไว้ก่อนจะส่งปลายเชือกให้อาถู่และโฉวสือชีถือไว้จากนั้นนางก็กระโจนไ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1404

    โฉวสือชีชะงักไปครู่หนึ่ง “มีทางลงไปจากหน้าผาด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าหลังจากที่ทั้งสามพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าลงจากเขาไปเมื่อเดินไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ลั่วชิงยวนก็พาพวกเขามาถึงเชิงผา ที่นี่มีหน้าผาสูงชันทั้งสองด้านและด้านล่างเป็นลำธารตื้น ๆ สายหนึ่งพวกเขาก้าวเท้าไปตามลำธาร เดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆที่นี่อากาศหนาวเย็นจัด หนาวจนมือเท้าชาเลยทีเดียวทางเดินบางครั้งก็กว้าง บางครั้งก็แคบ แสงสว่างบางครั้งก็สว่างจ้า บางครั้งก็สลัวเดินไปนานมาก ในที่สุดด้านหน้าก็ปรากฏร่างหนึ่งศพของหงไห่นั่นเองเมื่อตกลงมาจากที่สูงเช่นนั้นจึงมิเหลือแม้แต่ซากศพที่สมบูรณ์...ลั่วชิงยวนหดหู่ใจ หยิบยันต์รวมวิญญาณออกมาแล้วนำขวดออกมาบรรจุวิญญาณของหงไห่แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าโฉวสือชีและคนใบ้ค้นบริเวณนี้มาครู่หนึ่งแล้วเมื่อกลับมาถึง ทั้งสามก็สบตากัน สีหน้าหนักอึ้งไปตามกัน“ฝูเหมิ่งยังมิตาย”พวกเขามิพบศพของฝูเหมิ่งเรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของลั่วชิงยวนอยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุด ในร่างของฝูเหมิ่งในตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิงแต่เมื่อตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น ร่างกายของฝูเหมิ่งก็น่าจะได้ร

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1403

    ลั่วชิงยวนรีบเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏอยู่เหนือศีรษะของนาง!มิว่าจะเป็นฝูเหมิ่งหรือโหยวจิ้งเฉิงที่อยู่ในร่างของฝูเหมิ่งล้วนจ้องไปที่ลั่วชิงยวนเป้าหมายของพวกเขาคือลั่วชิงยวนมาโดยตลอด!ฝูเหมิ่งแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมกระโจนเข้ามาทันใดนั้นเอง หงไห่ก็ตัดเชือกที่เอวทิ้งแล้วพุ่งตัวกระโจนเข้าใส่ขณะที่เขาหลุดออกจากหน้าผา ลั่วชิงยวนตกใจจนหน้าซีดเผือดจากนั้นก็เห็นหงไห่คว้าตัวฝูเหมิ่งไว้ ทั้งสองร่วงลงจากหน้าผาไปพร้อมกันลั่วชิงยวนตาไวมือไว รีบคว้าเชือกที่ผูกเอวหงไห่ไว้อีกครั้ง แต่แรงของนางกลับฉุดพวกเขาไว้มิได้นางจึงพันเชือกไว้รอบข้อมือเชือกรัดจนข้อมือนางขาวซีดและฝ่ามือถลอกคนใบ้รีบเข้ามาช่วยดึงลั่วชิงยวนไว้ เกรงว่านางจะถูกฉุดกระชากลงไปด้วยหงไห่กอดฝูเหมิ่งไว้แน่น ส่วนฝูเหมิ่งก็กัดแทะไหล่ของหงไห่อย่างโหดเหี้ยมเลือดสาดกระเซ็น เศษเนื้อชิ้นแล้วชิ้นเล่าตกลงไปในหุบเหวลั่วชิงยวนกัดฟันแน่น “เจ้าจงอดทนไว้!”หงไห่ทนความเจ็บปวดอย่างสุดกำลัง บังคับฝูเหมิ่งไว้ให้ได้“ปล่อย! พวกเจ้าฉุดข้าไว้มิได้หรอก! พวกเจ้าจะถูกข้าดึงลงไปด้วย!”โฉวสือชีก็ขยับตัวอย่างกระวนกระวาย หม

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1402

    โชคดีที่นางจับกริชไว้แน่นส่วนคนใบ้ที่อยู่ด้านหลังก็รีบคว้าแขนของนางไว้อย่างรวดเร็วแล้วช่วยพยุงนางไว้ลั่วชิงยวนยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง รอดตายหวุดหวิดในใจของทุกคนตึงเครียดอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครเอ่ยคำใด ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนอื่น ๆ ตึงเครียดไปด้วย พวกเขาก้าวเท้าแต่ละก้าวบนหน้าผาอย่างเชื่องช้าแต่ดูเหมือนหนทางเบื้องหน้าจะไร้ที่สิ้นสุด มิรู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้เหยียบพื้นอย่างมั่นคงทันใดนั้นเอง หงไห่ที่ไต่นำหน้าก็หยุดนิ่งลั่วชิงยวนจำต้องหยุดตาม มิกล้าเข้าไปใกล้มากนัก เพราะก้อนหินที่เหยียบอยู่นั้นอาจรับน้ำหนักสองคนมิไหวเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ก้อนหินที่เหยียบอยู่พังลงพร้อมกัน พวกเขาจึงเว้นระยะห่างกันพอสมควร“มีกระไรหรือ?” ลั่วชิงยวนถามทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดมาจากเบื้องหน้า พร้อมกับกลิ่นอายอาฆาตลั่วชิงยวนขมวดคิ้วอันตรายที่มาจากเบื้องหน้าทำให้ลั่วชิงยวนกลั้นหายใจนางขยับเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วก็ได้เห็นภาพสยองชวนขนลุกบนหน้าผาเบื้องหน้า ฝูเหมิ่งกำลังเกาะติดอยู่ราวกับแมงมุม ซึ่งขวางทางของพวกเขาไว้พอดีที่แขนขาของเขามีกรงเล็บเหล็ก เหมือนกับที่ลั่วชิงยวนเคยเห็นบนร่างข

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1401

    เมื่ออวี๋ตันเฟิ่งได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”“ข้าถูกกักขังอยู่ในภูเขาแห่งนี้นานแสนนาน เวลาผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ข้ามิรู้เลยว่าบิดามารดาและพี่น้องของข้าเคยมาเยี่ยมเยือนข้าบ้างหรือไม่”“บางทีพวกเขาคงคิดว่าข้าเป็นลูกอกตัญญู ถอดชื่อข้าออกจากตระกูลไปนานแล้วกระมัง…”ท้ายที่สุดแล้ว ในยามนั้นนางก็หนีออกจากบ้านมาที่นี่แต่เพียงผู้เดียวบางทีครอบครัวอาจมิเคยรู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่บนภูเขาแห่งนี้“ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว พวกเขาคงลืมข้าไปหมดแล้วกระมัง…”น้ำเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งแฝงไปด้วยความเศร้าช่วงเวลากว่าสิบปีหลังความตาย นอกจากความแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็คงเหลือเพียงความคิดถึงที่มีต่อครอบครัวเมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็อดเห็นใจมิได้ “หากเรื่องนี้แก้ไขได้ ข้าจะลองดูว่าจะสามารถพาเจ้าลงจากเขาไปได้หรือไม่”“จริงหรือ? เจ้าจะพาข้าลงจากเขาได้จริง ๆ หรือ?” อวี๋ตันเฟิ่งกล่าวอย่างเหลือเชื่อนางรู้ว่าโหยวจิ้งเฉิงใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมทารุณเพียงใด นางมิได้หวังว่าจะสามารถจากที่นี่ไปได้อีก“ข้ามิอาจรับประกันได้ คงทำได้เพียงพยายามอย่างสุดความสามา

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1400

    นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางมองไปยังอวี๋ตันเฟิ่งอวี๋ตันเฟิ่งค่อย ๆ สงบลง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้นค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิม เส้นเลือดในดวงตาก็จางหายไปลั่วชิงยวนจึงปล่อยนางเป็นอิสระในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่งเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น จ้องมองลั่วชิงยวนมิวางตา“โหยวจิ้งเฉิงตายไปแล้ว ข้าต้องการให้เขาถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย “ตายแล้วหรือ? เขาตายได้อย่างไร?”อวี๋ตันเฟิ่งกล่าวว่า “เมื่อคืนคนที่อยู่ในร่างของชายคนนั้นคือโหยวจิ้งเฉิง!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งประหลาดใจจากนั้นก็นึกถึงใบหน้าของโหยวจิ้งเฉิง และนึกถึงใบหน้าชายที่เห็นในร่างของฝูเหมิ่ง ก็อดมิได้ที่จะใจหายวูบแท้จริงแล้วคือโหยวจิ้งเฉิง!เพียงแต่อายุห่างกันประมาณสิบกว่าปีการปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้นานอีกสิบกว่าปีก็ถือว่าดีเกินไปสำหรับเขาแล้วลั่วชิงยวนพยักหน้าตอบตกลง “ไม่มีปัญหา”“เพียงแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาตายได้อย่างไร?”อวี๋ตันเฟิ่งตอบว่า “มิรู้”“เมื่อมิกี่วันที่ผ่านมาข้าเพิ่งถูกเจ้าปลดปล่อยออกมา และเพิ่งรู้ว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและกลายเป็นเหมือนข้า”“น่าเสียดายที่ข้ามิอาจฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status