Share

บทที่ 8

Author: หว่านชิงอิ๋น
ภายใต้คำวิจารณ์ สีหน้าของลั่วชิงยวนยังคงเรียบเฉย นางเดินตรงไปข้างหน้าคนรับใช้ที่คุกเข่าเหล่านั้น และถามอย่างใจเย็น "พวกเจ้าพูดว่าข้าเป็นคนสั่งอย่างนั้นรึ?"

“เช่นนั้นจงพูดมา ข้าไปสั่งให้พวกเจ้าที่ไหน เมื่อไหร่? แล้วให้เข้ามาในห้องนี้เวลาใด?”

“ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คือห้องของพระชายา พวกเจ้าก็ตกลงเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนั้นเลยรึ? ข้าตั้งเงื่อนไขอะไรให้กับพวกเจ้ากัน? ถึงได้กล้าเสี่ยงชีวิตมาที่นี่?” เมื่อนางถามออกไปเช่นนั้น สีหน้าของคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาจ้องไปที่เมิ่งจิ่นอวี่ เห็นได้ชัดว่ากำลังขอความช่วยเหลือจากเมิ่งจิ่นอวี่พวกเขาควรตอบอย่างไรดี

ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย มองดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆ

เขายังมองไปที่ลั่วชิงยวน ในสถานการณ์ที่มีศัตรูจำนวนมาก แต่นางยังสามารถควบวคุมสติอารมณ์ได้ ลั่วชิงยวนผู้นี้ค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว

"พูดมาสิ? ข้าเป็นคนสั่งพวกเจ้าใช่หรือไม่? ข้าพูดอะไรกับพวกเจ้า เล่ามันออกมา?" ลั่วชิงยวนตะคอกเบา ๆ

เห็นดังนั้นเมิ่งจิ่นอวี่ก็รู้สึกเป็นกังวล แผนของพวกนางผิดเพี้ยนไปหมด นางไม่สามารถเชื่อมโยงคำถามเหล่านี้ได้เลย

เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ นางก็รีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น "ยา! นางจะต้องวางยางหม่อมฉันแน่เพคะ! ท่านอ๋อง นางเคยทำแบบนี้กับท่านมาก่อน เป็นเรื่องปกติสำหรับนางที่จะทำเช่นนี้!" ดวงตาของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

ลั่วชิงยวนดูเหมือนจะรู้ว่าฟู่เฉินหวนกำลังจะพูดอะไร นางจึงรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน "ท่านอ๋อง หากหม่อมฉันวางยาแบบนี้ต่อท่านในคืนวันแต่งงาน ท่านจะยังสามารถตื่นขึ้นมาได้อีกหรือ?"

“ยิ่งไปกว่านั้น กำยานที่หม่อมฉันนำมาในคืนนั้น ก็ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว หม่อมฉันตัวคนเดียวในตำหนัก จะไปหายาเช่นนี้ได้จากที่ใดเล่า?”

ในคืนนั้นลั่วชิงยวนใช้เพียงกำยานปลุกกำหนัดเท่านั้น และผลของมันก็ด้อยกว่าผงมหาสุขนี้มาก เมิ่งจิ่นอวี่ขนาดถูกโยนเข้าไปในลาน นางยังไม่ได้สติ และยังจมอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตา เห็นได้ชัดว่ายานี้แรงแค่ไหน

หากใช้ผงมหาสุขในคืนวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนคงได้หลับนอนกับฟู่เฉินหวนไปแล้ว

เมิ่งจิ่นอวี่รู้สึกสิ้นหวัง "ท่านอ๋อง สิ่งที่นางพูดหมายความว่า นางรู้ว่ามันเป็นยาชนิดใด! ถ้านางรู้! แสดงว่านางต้องเป็นคนทำแน่เพคะ!"

ลั่วชิงยวนเหลือบมองเมิ่งจิ่นอวี่และพูดอย่างใจเย็น “ตำหนักอ๋องนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ ลองค้นหาดูว่าใครมียานี้ก็สิ้นเรื่อง? ข้ามาที่นี่เพื่อแต่งงานแทน มิได้เอาอะไรมาด้วย เชิญพวกเจ้าค้นได้ตามสบาย!”

เมิ่งจิ่นอวี่ตกใจ นางหรี่ตาลงด้วยความรู้สึกผิด ผงมหาสุขยังใช้ไม่หมด ครึ่งหนึ่งที่เหลือยังซ่อนอยู่ใต้เตียงของนาง หากพวกเขาค้นหามันจริง ๆ ทุกอย่างคงถูกเปิดเผยเป็นแน่…

ลั่วเยวี่ยอิงเองก็ตกใจเช่นกัน ลั่วชิงยวนคนโง่คนนี้มีฝีปากเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หากเป็นเมื่อก่อน แค่ถูกคนรุมล้อมและชี้มา นางก็ทนไม่ไหวจนต้องวิ่งกลับไปซ่อนตัวที่ห้องแล้ว แต่วันนี้กลับโต้เถียงเมิ่งจิ่นอวี่ที่สำคัญคือ นางยังรอบคอบ ไม่ได้แถไปเรื่อยอีกด้วย

นางมองไปที่ฟู่เฉินหวนอย่างเป็นกังวล ท่านอ๋องยังคงไม่ออกคำสั่งใด เห็นชัดว่า เขากำลังคิดตามคำพูดของลั่วชิงยวน ข้าควรทำอย่างไรดี!

ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วมองไปที่ฟู่เฉินหวน จงใจยั่วยุด้วยคำพูด “ท่านอ๋องผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ท่านคงไม่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้ายหรอกใช่หรือไม่เพคะ?”

ดวงตาของฟู่เฉินหวนเคร่งขรึม คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

"ใครก็ได้ เอาตัวเมิ่งจิ่นอวี่..." เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของลั่วเยวี่ยอิงก็บีบแน่น แผนการของนางล้มเหลว นางจึงรีบขัดจังหวะขึ้นทันที "ท่านอ๋อง… เมิ่งจิ่นอวี่ได้เจอกับเรื่องเลวร้ายมามากพอแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นความอัปยศของผู้หญิง ได้โปรดเมตานางเถิดนะเพคะ?" เมื่อฟังจบ ฟู่เฉินหวนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมไว้ชีวิตเมิ่งจิ่นอวี่ “เอาตัวนางไปขังที่หลังตำหนัก"

ดวงตาที่เย็นชาของเขาสบเข้ากับคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเย็น "คนพวกนี้ ฆ่าทิ้งซะ"

ทันทีที่สิ้นเสียง คนรับใช้ต่างร้องอย่างตื่นตระหนก "่ท่านอ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตพวกบ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง พวกเราจะสารภาพ เราทุกคนจะสารภาพพ่ะย่ะค่ะ!" แต่ฟู่เฉินหวนไม่ต้องการไว้ชีวิตคนพวกนี้ เขายืนเอามือไพล่หลัง และพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "กล้าสร้างปัญหาในตำหนัก ก็มีเพียงจุดจบเดียวเท่านั้น"

คนรับใช้หลายคนยังคงตะโกนขอความเมตตา ซูโหยวขมวดคิ้ว และเรียกองครักษ์มาทันที "ลากพวกมันออกไปให้หมด!"

องครักษ์ทุบตีจนคนรับใช้พวกนั้นจนสลบไป ก่อนจะลากพวกนั้นออกไปจากตำหนัก

บรรยากาศเย็นยะเยือกทำให้ผู้คนในลานหวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจ และความเงียบก็เข้าปกคลุม

เมิ่งจิ่นอวี่ถูกลากออกไปจากลานเช่นเดียวกัน นางมิกล้าแม้แต่จะร้องขอความเมตตา แต่ตอนที่นางถูกลากออกไป นางมองไปที่ลั่วชิงยวนด้วยสายตาอาฆาตแค้น

ขณะนั้นเอง ลั่วชิงยวนมองเห็นพลังความตายจากจุดยิ้นถางของเมิ่งจิ่นอวี่ไม่ว่าจะจ้องมองนางหนักแค่ไหน ก็มีแต่ความมืดมน ไม่เหลือพลังเลยแม้แต่น้อย นางจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ความอัปยศอดสูในคืนนี้ มันเป็นตราบาปต่อผู้หญิงทุกคน ถึงแม้ว่าฟู่เฉินหวนจะไม่ฆ่านาง แต่มันก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะมีชีวิตรอด

จากนั้นซูโหยวก็ให้ทุกคนออกไปจากลาน

ลั่วเยวี่ยอิงดูหวาดกลัวมากกว่าปกติ นางยกมือขึ้นกุมหน้าผากก่อนจะเป็นลมล้มพับไป แต่ฟู่เฉินหวนรับไว้ได้ทัน เขามองนางด้วยความกังวล "เจ้าไหวหรือไม่?"

ลั่วเยวี่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ อย่างเขินอาย "ข้าไม่เป็นไร ท่านอ๋องคงจะเหนื่อยเช่นกัน ท่านรีบเสด็จกลับห้องไปพักผ่อนเถิดเพคะ”

สิ่งที่แอบแฝงในคำพูดของลั่วเยวี่ยอิงคือ การขอให้ฟู่เฉินหวนพานางกลับห้อง ฟู่เฉินหวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ซูโหยว เจ้าจงไปส่งคุณหนูลั่วเยวี่ยอิงที่ห้อง แล้วเรียกหมอกู้มาดูอาการ พร้อมกับสั่งยาช่วยให้นอนหลับแก่นางด้วย "

"ขอบพระทัยสำหรับความห่วงใยเพคะ ท่านอ๋อง"

ทันใดนั้น ซูโหยวก็ก้าวไปข้างหน้า และพาลั่วเยว่อิ่งกลับห้อง

ลานตำหนักกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเพียงลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนสองคนเท่านั้น

ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน ดวงตาของฟู่เฉินหวนดูเยือกเย็นเล็กน้อย ประโยคแรกที่เขาพูดคือคำเตือน "หากมีเรื่องแบบนี้อีกครั้ง ตำหนักอ๋องจะไม่ผ่อนปรนต่อเจ้าอีกเด็ดขาด!"

ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะยิ้มเยาะ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น "หากมีเรื่องแบบนี้อีกครั้ง? หากท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนทำ เหตุใดถึงได้ขังเมิ่งจิ่นอวี่เล่าเพคะ? ท่านควรจะจัดการหม่อมฉันไม่ใช่หรือไง?”

สายตาที่ยั่วยุของนางดึงดูดสายตาฟู่เฉินหวนเป็นพิเศษ เขาเอ่ยเสียงเย็น "เจ้านึกว่าข้าดูไม่ออกจริง ๆ อย่างนั้นรึ? เมิ่งจิ่นอวี่อาจต้องการที่จะทำร้ายเจ้า แต่สุดท้ายเป็นนางที่โดนกระทำ เจ้าไม่ใช่คนก่อปัญหานี้ไม่ใช่รึ?”

“คราวนี้ลืมมันไปซะ ครั้งหน้าถ้าเจ้ายังเล่นอุบายเหล่านี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแน่!” คำพูดของฟู่เฉินหวนทำให้นางรู้สึกโกรธในใจ นางมองเขาอย่างเฉียบขาด “เช่นนั้น ท่านอ๋องหมายถึง ถ้าคนอื่นต้องการทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันทำได้เพียงน้อมรับมันอย่างนั้นหรอกรึ? ถ้าหากท่านมองออกทุกอย่างจริง เช่นนั้นท่านมองไม่ออกหรือว่า ลั่วเยวี่ยอิงร่วมมือกับเมิ่งจิ่นอวี่? เรื่องในคืนนี้มันเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเลย!"

“ท่านอ๋องเกลียดหม่อมฉัน เพราะหม่อมฉันแต่งงานแทน แต่ท่านไม่เคยคิดเลยหรือว่า คนไร้อำนาจอย่างหม่อมฉัน เข้ามาในตำหนักที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนานี้ได้อย่างไร?”

นี่อาจเป็นเพราะคับแค้นใจของเจ้าของร่างเดิม

ตัวนางเองรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมของลั่วชิงยวน และอดไม่ได้ที่จะอธิบายอีกสองสามคำ

ลั่วชิงยวนค่อนข้างโง่เขลา แต่ลั่วเยวี่ยอิงเป็นคนออกความคิดเรื่องการแต่งงานแทน ทำไมเขาถึงโยนความผิดทั้งหมดมาที่นาง ตอนนี้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ผิดไปหมด!

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ฟู่เฉินหวนก็มีสีหน้าที่ยุ่งเหยิง เขามองนางอย่างเฉียบขาด เต็มไปด้วยการคุกคาม "ข้าเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย! หากเจ้ายังต้องการมีชีวิตอยู่ก็จงเงียบซะ!"

Related chapters

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 9

    ลั่วชิงยวนเห็นว่าคิ้วของฟู่เฉินหวนล้อมรอบด้วยวิญญาณชั่วร้าย รอบดวงตาค้ำ นางขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะเตือนเขาอีกครั้ง "ท่านอ๋อง แล้วแต่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีความหวังจริง ๆ ! ข้าแนะนำว่าอย่าออกไปไหนเป็นเวลาสองวัน มิเช่นนั้นจะเกิดการนองเลือด!"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่ได้เก็บมันมาคิดเลย แถมยังขู่กลับไปอีกด้วยว่า "หากเจ้ายังคงสร้างความสับสนให้กับผู้คนในตำหนักด้วยเรื่องไร้สาระนี้ และพูดชื่อของลั่วเยวี่ยอิงอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นและหัวของเจ้าซะ!” ลั่วชิงยวนสถบเบา ๆ นางอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี แต่ในสายตาของฟู่เฉินหวนกลับคิดว่านางกำลังใส่ร้ายลั่วเยวี่ยอิง ไม่น้อมรับน้ำใจคนก็แล้วไป เขาจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย! หากเขาตาย นางจะได้ไม่ต้องขอใบหย่า! นางเองก็ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงก้าวเท้าเดินกลับห้องไป ด้วยสถานะคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี ฟู่เฉินหวนจึงจะยังไม่ฆ่านาง แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตที่ดีเช่นกันนางต้องรอดูก่อนว่าฟู่เฉินหวนจะรอดจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่ เพราะในตัวเขามีพลังงานมังกรอยู่ บางทีเขาอาจจะมีสิ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 10

    คนในกระจกพูดอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ บ่าวจำได้! บ่าวไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระชายาอย่างไร จากนี้ไป บ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ท่านเอง หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจบ่าวรับใช้ผู้นี้นะเจ้าคะ”ขณะที่แม่นมเติ้งพูด นางก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาปักบนหัวให้นาง ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจับมือแม่นม และยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนางแม่นมเติ้งตกใจ และมองนางด้วยความงุนงง "พระชายา เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"เมื่อลั่วชิงยวนออกแรง แม่นมเติ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือออก และปิ่นก็ร่วงลงกับพื้นอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ความหมายของลั่วชิงยวน ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นผ่านม่านตา นางรีบคว้าปิ่นที่เหลือบนโต๊ะอีกครั้ง และพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอย่างโหดเหี้ยมลั่วชิงยวนไม่สามารถทนแรงนั้นได้ ร่างนางถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ปิ่นเงางามที่ลอยอยู่เหนือดวงตาของนางราวกับใบมีดคมกริบแม่นมเติ้งกัดฟัน พยายามแทงปิ่นลงไปที่ดวงตาของนางอย่างเอาเป็นเอาตายสิ่งที่นักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยขาดมิได้เลยก็คือ ดวงตาที่เฉียบแหลมคู่นี้ ลั่วชิงยวนมองไปที่แสงสีเขียวในดวงตาของแม่นมเติ้ง และก็ยิ่งแน่ใจว่ากำลังเจอกับอะไร!“เจ้าสัตว์ร้าย รนหาความตาย!” นางปล่อยข้อมือของแม่นมเติ้งทันทีป

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 11

    เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จือเฉาก็รู้สึกปลื้มปีติ นางพูดเสียงติดอ่างด้วยความตกใจ "พระ... พระชายา แต่บ่าวทำอะไรไม่เป็นเลยนะเจ้าคะ"“เจ้ารู้วิธีส่งชาและส่งน้ำหรือไม่? วิธีหวีผมแบบง่าย ๆ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ ก็เพียงพอแล้ว” นางดึงจือเฉาขึ้นมาจากพื้นจือเฉาสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นัก ลั่วชิงยวนวางชามและตะเกียบไว้ข้างหน้านาง "กับข้าวเยอะขนาดนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก เจ้ามานั่งกินด้วยกันสิ" จือเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร นางหยิบชามข้าวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง และเริ่มกินเมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง ลั่วชิงยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำบางอย่าง ครั้นเมื่อน้องสาวคนเล็กถูกท่านอาจารย์รับมานั้น นางก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้เช่นกันหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตก หลังจากที่จือเฉาจากไป ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มีโอกาสที่หยิบเข็มทิศแห่งโชคชะตาออกมา นางสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเข็มทิศก็หมุนอย่างรวดเร็ว นางตกใจเล็กน้อย จึงหยิบเข็มทิศแล้วเดินออกไปที่ประตู แต่กำลังจะเข้าไปในลาน จู่ ๆ ฝนก็ตกหนักนางเพิ่งส

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 12

    "เจ้าดูที่พื้นสิ มีกู่ฉงที่ข้าบดขยี้อยู่! ถ้าเอามันออกมาไม่ทันเวลา เจ้านายของพวกเจ้าคงตายไปแล้ว!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ห้องและตรวจดูที่พื้น และเห็นหนอนที่ถูกบดขยี้อยู่จริง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบซากมันขึ้นมา และถามท่านหมอกู้ที่เพิ่งเย็บแผลให้ท่านอ๋องเสร็จ “ท่านหมอกู้ ท่านคิดว่าสิ่งนี้คือกู่ฉงหรือไม่?”ดวงตาของท่านหมอกู้สว่างขึ้น เขาตรวจสอบก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า "ข้าว่าแล้วทำไมพิษบาดแผลของท่านอ๋องถึงได้แปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ทำลายชีวิต ที่แท้คือพิษกู่ฉงนี่เอง มันไม่ทำลายชีวิต แต่ช่วยให้หนอนตัวนี้ได้เข้าไปข้างในร่างกายนั่นเอง"หลังจากพูดจบ ท่านหมอกู้ก็อุทานว่า "โอ้! โชคดีจริง ๆ ที่นำสิ่งนี้ออกมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นชีวิตของท่านอ๋องอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวและฟู่เฉินหวนที่อยู่บนเตียงต่างก็ตกใจซูโหยวรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางถึงยื่นมือเข้ามาช่วย แต่เมื่อสักครู่นางถูกตำหนิอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นเขาจึงรีบบอกให้องครักษ์ตัวลั่วชิงยวนทันที"ข้าน้อยรีบร้อนจนเกินไป ขอประทานอภัยพระชายาด้วยขอรับ"

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 13

    เมื่อได้ยินเสียง ทุกคนมองไปที่ลั่วชิงยวนที่ประตูด้วยสายตารังเกียจซูโหยวขมวดคิ้วและก้าวไปข้างหน้า และกันไม่ให้นางเข้ามาด้านในอีกครั้ง ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเฉียบขาด ก่อนจะผลักเขาออกไปแล้วเดินเข้ามาสายตาที่เฉียบคมเมื่อสักครู่ ทำให้ซูโหยวเกิดความกลัวเล็กน้อยน้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ "เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีก?"ลั่วชิงยวนมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงอย่างเย็นชา นางหยิบเครื่องประดับปีศาจนั้นออกมา แล้วถามเสียงเย็น "ทำไมเจ้าไม่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุที่ล่อสายฟ้านี้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังหน่อยเล่า"ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกผิดเล็กน้อย และไม่กล้ามองนาง แต่นางก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง "ท่านพี่ถามข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ซูโหยวเองก็เห็นว่า ข้าเป็นคนหยิบของชิ้นนั้นออกไป ท่านพี่นำมันกลับมาเพื่อจะพิสูจน์อันใด?”"นั่นเป็นเพราะข้าเป็นคนขอให้เจ้านำของชิ้นนี้ออกมา แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้" ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะลั่วเยวี่ยอิงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง นางมองหน้านางด้วยน้ำตาคลอเบ้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร "ท่านพี่พูดอะไรก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ท่านพี่เป็นบ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 14

    ลั่วชิงยวนยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ ฟู่เฉินหวนสาวเท้าสองสามก้าว จ้องมองนางด้วยความโกรธ "เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นรึ?!"ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงบ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง "ท่านเชื่อหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?"คำที่นางพูดออกมาหมายถึงยอมรับมันฟู่เฉินหวนรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขาดึงดาบยาวออกมาจากเอวขององครักษ์ส่วนพระองค์ พลางชี้ไปที่คอของลั่วชิงยวน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้าจะฆ่าเจ้า!"ลั่วชิงยวนชูคอด้วยท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง "หากท่านอ๋องต้องการฆ่าก็ฆ่าเถิดเพคะ หลังจากที่ฆ่าหม่อมฉันแล้ว สิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋องนี้ยังไม่ถูกถอนออกไป และพายุฝนฟ้าคะนองนี้จะกินเวลาอีกหลายวัน ตำหนักของท่านอ๋องจะกลายเป็นซากปรักหักพังเป็นแน่ อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแม้แต่คนเดียว!"“เจ้า!” ฟู่เฉินหวนกำดาบยาวไว้ในมือ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากเซียวชูพยุงฟู่เฉินหวนทันทีด้วยความตกใจ และเป็นกังวล "ท่านอ๋อง!"“ท่านหมอกู้อยู่ที่ไหน! ท่านหมอกู้!” เซียวชูตะโกนทันทีองครักษ์นายหนึ่งตอบว่า "หมอกู้หมดสติหลังจากหนีออกมาจากกองไฟ!"เห็นดังนั้นลั่วชิงยวนจึงก้าวไปข้างหน้า และคว้าข้อมือของฟู่เฉินหวนขึ้น

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 15

    หลังจากที่จากไป ลั่วชิงยวนก็พาเซียวชูไปจัดการกับสิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋อง แม้ว่านางจะไม่สามารถหยิบเข็มทิศออกมาได้ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป เนื่องจากมันเป็นสมบัติของครอบครัวยามนี้ ฝนได้ซาลงมากแล้ว ในตำหนักยังคงสาละวนอยู่กับเรือนหลังที่ถูกฟ้าผ่า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นลั่วชิงยวนที่พาเซียวชูลัดเลาะไปมาภายในตำหนักลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว เมื่อนางรู้ข่าวว่า ท่านอ๋องอยู่ในห้องตำรากับลั่วชิงยวน นางจึงไม่สามารถเข้าไปรบกวนได้ ได้แต่เดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างใจจดใจจ่อในที่สุด เมื่อนางได้ยินว่าลั่วชิงยวนออกมาจากห้องตำราแล้ว นางจึงรีบไปที่นั่นอย่างเร่งรีบแต่เมื่อนางไปถึงห้องตำรา ซูโหยวก็หยุดนางไว้ "คุณหนูรอง ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส และกำลังพักผ่อนอยู่ขอรับ"ลั่วเยวี่ยอิงตกใจ ห้องตำราของท่านอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป ลั่วชิงยวนสามารถเข้าไปได้ แต่นางกลับเข้ามิได้ หรือว่าท่านอ๋องจะทรงสงสัยจริง ๆ ว่านางแย่งความดีความชอบจากลั่วชิงยวน?“คุณหนูรอง รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ” ซูโหยวเตือนเบา ๆลั่วเยวี่ยอิงกลับมาได้สติ นางหันหลังกลับและจากไป แม้แต่ซูโหยวก็มิไปส่งนางที่ห้องนางร

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 16

    หลังจากฝนตกหนักท้องฟ้าก็แจ่มใส อากาศสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อจือเฉากลับไปพักผ่อนแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเข็มทิศนางออกค้นหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยสมบูรณ์ ที่ดูดซับแก่นแท้ของดวงตะวันและจันทรา เพราะมันสามารถช่วยให้นางฝึกฝนความแข็งแกร่งของกำลังภายใน และทักษะทางจิตใจได้ นางต้องการฟื้นฟูความสามารถของตนเองโดยเร็วที่สุด!……ยามนี้เป็นช่วงเวลากลางดึก ทั้งเรือนจึงเงียบสงบ นางใช้เข็มทิศออกค้นหาไปรอบ ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงศาลาในสวนเล็ก ๆ อันเงียบสงบ นางจึงวางเข็มทิศไว้ข้างหน้าหมุนมันด้วยความคงที่อย่างช้า ๆ แสงจันทราสาดส่องลงบนเข็มทิศ กระจายแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจาง ๆครั้นรุ่งสาง เมื่อไก่ทองขัน และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาแม้ว่านางเพิ่งจะฝึกฝนกำลังภายในได้เพียงแค่สองวัน แต่ผลที่ได้นั้นช่างน่าอัศจรรย์ นางกำหมัดขึ้นมา รู้สึกได้เลยว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก“กรี๊ดดด…”ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ทำลายเช้าอันเงียบสงบและสวยงามนี้……เมิ่งจิ่นอวี่ได้เสียชีวิตแล้วนางเสียชีวิตในบ่อน้ำ ในลานของลั่วชิงยวน และเสียชีวิตในลักษณะที่แปลกประหลาดใบหน้าซีดเซียวลอยอ

Latest chapter

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1306

    “ดูเหมือนว่าจะมิได้อะไรจากศพพวกนี้ ไปดูคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ดีกว่า”ลั่วชิงยวนมองไปยังนายท่านมู่นายท่านมู่มองเวินซินถงด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านนักบวชระดับสูง ที่สำคัญคือผู้ใดเข้าไปในเรือนของบุตรสาวข้าล้วนต้องประสบเคราะห์ร้าย”“หากมิต้องเข้าไปแล้วแก้ไขเรื่องนี้ได้ก็จะดีที่สุด”“ข้าเกรงว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านนักบวชระดับสูง ถึงตอนนั้นข้าคงรับผิดชอบมิไหวขอรับ”เวินซินถงกล่าวอย่างราบเรียบ “มิเป็นอะไร ข้าอยากจะสอบถามสถานการณ์จากนาง”“ก็ได้ขอรับ ท่านนักบวชระดับสูงเชิญตามข้ามา”จากนั้นนายท่านมู่ก็พานางไปยังหน้าเรือนของมู่หยวนหยวนเมื่อมาถึงที่นี่ก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดแรงคมกริบราวกับคมดาบโอบล้อมไปด้วยจิตสังหารปะทะเข้าใส่ในเรือนอย่างบ้าคลั่งทั่วทั้งเรือนอบอวลไปด้วยรัศมีชั่วร้าย ผู้ที่เข้ามาสัมผัสกับรัศมีเหล่านี้ย่อมต้องประสบกับความโชคร้ายถึงขั้นอาจจะถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงจนเสียชีวิตได้เวินซินถงและลั่วชิงยวนเข้าไปในเรือนผลักเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มู่หยวนหยวนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างด้วยท่าทางหดหู่ใบหน้าของนางซีดเซียวและอิดโรย ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ร

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1305

    ตระกูลมู่จึงร้อนใจมาก รีบเชิญนักบวชระดับสูงมาช่วยปัดเป่าเมื่อก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลมู่ กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นก็พุ่งเข้าปะทะราวกับเข็มทิ่มแทงผิวเวินซินถงก็รู้สึกได้เช่นกัน“ท่านนักบวชระดับสูง!” คนในเรือนต้อนรับอย่างอบอุ่นและคำนับอย่างนอบน้อมมินานนายท่านตระกูลมู่ก็รีบมา “ท่านนักบวชระดับสูง ท่านมาแล้ว”“ท่านนักบวชระดับสูง เชิญด้านในก่อนขอรับ”ลั่วชิงยวนเดินตามเวินซินถงเข้าไปในคฤหาสน์ชั้นในของตระกูลมู่“สถานการณ์เป็นเช่นไร?” เวินซินถงถามนายท่านมู่พานางไปยังเรือนหลังหนึ่งบนพื้นมีร่างไร้วิญญาณถูกคลุมด้วยผ้าขาวนอนเรียงรายอยู่นายท่านมู่เดินเข้าไปเปิดผ้าขาวออก ศพบนพื้นมีทั้งชายและหญิง แต่ละคนตายอย่างน่าอนาถด้วยสาเหตุแตกต่างกันไป“ท่านนักบวชระดับสูง โปรดดูเถิดขอรับ”“คนเหล่านี้คือคนที่อยู่เป็นเพื่อนบุตรสาวของข้าในเรือนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทุกคนอยู่ค้างคืนด้วย วันรุ่งขึ้นก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ!”“ข้าเคยเชิญซินแสในเมืองหลวงมาหลายคน แต่ก็มิอาจปราบภูตผีปีศาจตนนี้ได้”“ท่านนักบวชระดับสูงโปรดดูว่ามีทางแก้ไขหรือไม่”เวินซินถงนั่งยอง ๆ ลงไปตรวจสอบศพลั่วชิงยวนก็ก้มลงไป

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1304

    ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1303

    ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1302

    เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1301

    “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1300

    ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1299

    อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1298

    อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status