จั๋วซือหรานแต่งกายด้วยชุดสีขาวบาง คุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูของจวนจั๋วนางพูดกับผู้ที่เฝ้าหน้าประตูว่า "กรุณาบอกผู้อาวุโสใหญ่ว่า จั๋วจิ่วกลับมาเพื่อขออภัยโทษแล้ว"องครักษ์กำลังจะเข้าไปรายงาน ทว่ากลับถูกใครบางคนห้ามไว้“ห้ามไป” เจียงซาน ซึ่งเป็นคนของบิดาจั๋วหรูซิน เขาห้ามยามที่เฝ้าหน้าประตูไว้เจียงซานพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า "คุณหนูจิ่วไม่เชื่อฟังแม้แต่ผู้อาวุโส ทั้งยังไม่สนใจชื่อเสียงของตระกูลด้วยซ้ำมิใช่หรือ ในเมื่อตอนนี้ออกเรือนแล้ว กลับมาด้วยเหตุใด"จั๋วซือหรานเกิดมาพร้อมกับผิวพรรณเกลี้ยงเกลา คิ้วงดงามดังภาพวาด ด้วยรูปลักษณ์สตรีเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่ถูกมองเป็นสตรีผู้แสนน่าสงสารและอ่อนแอแต่นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอเห็นได้ชัดว่า นางกำลังคุกเข่าอยู่ แต่บุคลลิกของนางดูสูงส่งกว่าตอนที่นางยืนด้วยซ้ำ นางพูดอย่างเย็นชา "เจ้ามีฐานะเช่นใด เจ้ากล้าเยาะเย้ยข้าหรือ เหรือจ้าคิดว่า ข้าเป็นคนอ่อนแอที่กลั่นแกล้งง่ายเช่นนั้นหรือ"เจียงซาน "ผู้อาวุโสไม่อยากเห็นหน้าเจ้าเลย ต่อให้เจ้าคุกเข่าที่หน้าประตูจนตายก็ไร้ประโยชน์"จั๋วซือหรานพูดอย่างเย็นชา"เจ้าควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่า ผู้อาวุโสไ
จั๋วหรูซินตะโกนด้วยความโกรธ "จั๋วซือหราน เจ้า"“พอแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วและตะโกนจั๋วหรูซินยังอยากฟ้องต่อ "ผู้อาวุโสใหญ่ นาง..."จั๋วซือหรานกลับโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ "ข้าจะไปรับการลงโทษที่ห้องโถงบรรพบุรุษเจ้าค่ะ"ทิ้งจั๋วหรูซินอยู่นั่นผู้เดียว ปล่อยนางโกรธจนหน้าซีดระหว่างทางไปห้องโถงบรรพบุรุษ จั๋วซือหรานเจอฝูซูและฝูซาง“หลิ่วเย่ล่ะ” จั๋วซือหรานถามฝูซางตอบ “พวกเราหลบสายตาของผู้อื่น พานางเข้าเดินผ่านประตูหลังและเดินเข้าจวน มัดนางไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่ออธิบายรายละเอียดต่าง ๆ จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็สั่งให้ขังนางไว้ในห้องเก็บฟืนที่ลานด้านข้างจนกว่าเขาจะสอบปากคำ”ฝูซูถาม "คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูลิ่วกำจัดหลิ่วเย่หรือไม่เจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าไปคอยคุ้มกันไว้ดีไหมเจ้าคะ"จั๋วซือหรานยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม "หากนางฆ่าอีนังนั้นเสียจริง นั่นก็หมายความว่า หาเรื่องใส่ตัวแล้วน่ะสิ ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่สั่งขังหลิ่วเย่อยู่ในห้องเก็บฟืนที่ลานด้านข้าง แสดงว่าท่านต้องแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว"หากจั๋วหรูซินจิตใจลุกลี้ลุกลน แล้วไปฆ่าหลิ่วเย่จริง ๆ เรื่องน่าจะสนุกน่าดูสินะฝูซางกังวล"คุณหนูเจ้าค
เมื่อจั๋วซือหรานเห็นฝูซูกลับมา นางคิดว่าฝูซูพาคุณหมอมาถึงบ้านแล้ว ผู้ใดจะทราบได้ว่า ชายหนุ่มแสนหล่อเหลาที่กล่าวถึงในเมื่อวานนี้ว่า จะต่างคนต่างอยู่ เวลานี้ชายผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและกำลังนั่งหน้าโต๊ะแปดเซียนจั๋วซือหราน "ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ"เฟิงเหยียนเหลือบมองถ้วยชาในมือของเขา "ผู้ดูแลของเจ้าไปตามคุรหมอที่เรือนหมอของตระกูลเหยียน"“ข้าไปตามคุณหมอที่บ้านมิได้หรือเจ้าคะ” จั๋วซือหรานลากเก้าอี้หนึ่งตัวออกมาแล้วนั่งลง ใบหน้าของนางซีดเซียว นางริมชาเองและดื่มหมดถ้วย“เพราะคนที่ไปเชิญคุณหมอเป็นผู้ติดตามของเจ้า ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงส่งข่าวข้า ข้านึกว่าเจ้าจะมีกลอุบายใหม่ ๆ ดังนั้นจึงเข้ามาดูเสียหน่อย” เฟิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ“แล้วคุณหมอล่ะ เจ้าไม่ได้ให้คุณหมอตามมาด้วยหรือ ” จั๋วซือหรานถามเฟิงเกยียนไม่ได้พูดอะไร นั่นหมายถึงจั๋วซือหรานพูดได้ถูกเพราะเมื่อวานเหยียนฉีบอกว่า ชีพจรของนางแข็งแรงมากและถึงแม้จะมีอาการบาดเจ็บภายใน แต่ปัญหาก็ไม่ร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น พลังทางจิตวิญญาณและความสามารถในการฟื้นฟูของลูกหลานตระกูลจั๋วนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปมากเมื่อรวมกับยาน้ำค้
มีใบมีดคมที่เย็นเฉียบขึ้นจากหลังคอ และบัดนี้กระบี่เล่มนั้นกำลังถูกวางที่คอขององครักษ์เขาไม่กล้าขยับตัว เสียงของเขาก็สั่นเครือ “ จิ่ว คุณหนูจิ่ว ท่าน…มีอะไรจะพูด…ก็พูดกันดี ๆ เสียก่อน อย่าหุนหันพลันแล่นไปเลย... ““ข้าไม่ได้หุนหันพลันแล่น ข้าใจเย็นแล้วนะ” จั๋วซือหรานเสาะยิ้ม “แต่พวกเจ้าต่างหาก ตอนนี้พร้อมจะคุยกับข้าดี ๆ ยัง”“จิ่ว คุณหนูจิ่ว ท่านเป็นคนใจกว้าง อย่า อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับพวกข้าเลยขอรับ” ยามอ่อนแรงจนขาสั่น เขากลัวมือของจั๋วซือหรานจะสั่น“ตอนนี้ ข้าถามอะไร พวกเจ้าต้องตอบ เข้าใจหรือไม่”"เข้า เข้าใจแล้วขอรับ"“น้องชายของข้าอยู่ที่ไหน”“คุณท่านลิ่วนำตัวไปแล้ว”“นำตัวไปที่ไหน”“พวกเราไม่ทราบขอรับ” องครักษ์เกรงว่านางจะไม่เชื่อ จึงย้ำอีกครั้งว่า "พวกเราไม่รู้จริง ๆ และคุณท่านลิ่วก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราทราบการเดินทางของท่าน"“คำถามสุดท้าย จั๋วหรูซินอยู่ที่ไหน พาข้าไปหานางหน่อย” จั๋วหรูซินพูดอย่างเย็นชาโดยไม่ให้โอกาสผู้คุมปฏิเสธ นางกดกระบี่ลงจนทำให้เกิดรอยเลือดขึ้น*"ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น"ในห้องด้านใน จั๋วหรูซินทุบถ้วยชาในมือของนางออย่างแรง "ถังหยวนอ่อนให้
จั๋วซือหรานเหลือบมองกระบี่เรียบง่ายที่ดูธรรมดาในมือของนางความจริงนี่คือกระบี่ประจำตระกูลของเฟิงเหยียน และกระบี่เล่มนี้มีชื่อเดียวกับแหวนเสวียนเหยียนของนางจริง ๆในวันที่ลูกหลานของตระกูลกำเนิด ห้องกระบี่ประจำตระกูลจะเริ่มตีเหล็กเข้ารูปเพื่อทำกระบี่ให้ทารก รูปแบบของกระบี่จะแตกต่างกันไป แต่ตราประจำตระกูลเฟิงจะถูกสลักไว้ที่ด้ามจับ และชื่อของเด็กคนนั้นจะถูกสลักไว้ที่ส่วนท้ายของด้ามจับจั๋วซือหรานมองกระบี่เสวียนเหยียนที่อยู่ในมือของนางและไม่พูดอะไรความเงียบของนางทำให้จั๋วหรูซินโกรธมากขึ้น “เจ้าพูดมาสิ ทำไมเจ้าจึงมีกระบี่ประจำตระกูลของท่านอ๋องเฟิง”จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นและมองหน้านาง "เจ้ายังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าเขาให้ข้ามา"นางหยุดครู่หนึ่งและพูดทีละคำ "ของ ขวัญ แทน ใจ"“เป็นไปไม่ได้” จั๋วหรูซินโกรธแค้น นางกัดฟัน “เจ้าไม่ต้องพูดไร้สาระ ท่านอ๋องเฟิงเบื่อหน่ายกับการถูกบงการมากกว่าใคร ๆ ก่อนหน้านี้ เจ้ายกเลิกการหมั้นหมายและต้องการแต่งงานกับคนอื่น สมหวังเขาพอดี นางคิดว่าเขาอยากแต่งงานกับเจ้าหรือ เขาอยากแต่งงานกับเจ้าเพียงเพราะเจ้า…”“ซินเอ๋อร์ หยุดพูดได้แล้ว” จู่ ๆ คุณท่านจั๋วลิ่วก็พู
เมื่อได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ ผู้สูงอายุใหญ่ก็ขมวดคิ้วรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้สูงอายุสามแข็งทื่อ "เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร จวนของข้าจะขาดแคลนยาของเสี่ยวจิ่วได้เช่นไร ทว่าข้ายังคงขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน"จั๋วซือหราน "ขอบพระทัยท่านอ๋องแทนข้าด้วย"“ขอรับ เมื่อข้าส่งมอบของเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับไปรายงานเดี๋ยวนี้ ข้าขอลา และข้าขอคุณหนูจิ่วหายดีเร็ว ๆ ขอรับ”หลังจากผู้ติดตามของตระกูลเฟิงจากไปผู้สูงอายุใหญ่กล่าวอย่างเคร่งขรึม "ผู้ใดเข้ากะของคลัง นำตัวมา"จั๋วซือหรานยิ้มอย่างสงบ นางกล่าวว่า "ผู้อาวุโสใหญ่เจ้าคะ ผู้ที่ดูแลคลังของจวนแค่มองว่าใครมีฐานะสูงกว่ากัน และจะฟังคำสั่งของคนผู้นั้น หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครบางคน ก็จะมิกล้าทำเช่นนี้หรอก"ผู้อาวุโสใหญ่"ข้ารู้ว่าเจ้ามีความคับแค้นอยู่ในใจ เจ้าได้สสั่งสอนเสี่ยวลิ่วแล้ว เจ้าก็ยกโทษให้นางไปเสีย อย่าทำให้คนภายในตระกูลเสียความรู้สึกต่อกันเลย "จั๋วซือหรานพูดต่อ "หนูเทียบกับพี่ลิ่วมิได้หรอก นางยุยงให้คนนอกทำหนอนพิษกู่ใส่ข้า การกระทำเช่นนี้ ข้ายังไม่เรียกร้องความยุติธรรมเลย"“ทั้งหมดนี้ไม่มีที่เป็นยหลักฐานอันใด เหตุใดจึงต้องทำร้ายความส้มพัน
ที่จริงแล้วเฟิงเหยียนไม่มา จั๋วซือหรานกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมากนางมีเวลาว่างพอดี นางจะได้วิเคราห์ชะตากรรมเดิมของเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ในหัวในชะตาเดิมของเจ้าของร่าง เวลานี้นางได้แต่งงานกับฉินตวนหยางแล้ว ซึ่งตามมารยาท นางไม่ได้มาร่วมงานดอกไม้ในวังแน่นอน รู้เพียงในงานดอกไม้ครั้งนี้ จั๋วหรูซินทดลองยาให้ไทเฮาด้วยตัวเอง เพราะไทเฮานอนติดเตียงเป็นเวลานาน และนางได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นเสียงเอกฉันท์แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากงานเลี้ยงเริ่มต้นได้ไม่นาน จั๋วหรูซินก็ลุกขึ้น“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันทราบมาว่า ไทเฮาทรงประชวรนอนติดเตียงมานานแล้ว ซึ่งทำให้ท่านกังวลเป็นอย่างมาก...”แต่โครงเรื่องต่อไปไม่ได้เป็นไปตามโครงเรื่องเดิมเนื่องจากจั๋วหรูอหรานเปลี่ยนบทสนทนา "น้องสาวจิ่วของหม่อมฉันมีพรสวรรค์อย่างมาก มากเสียจนสามารถรักษาตัวจากแส้หนามของครอบครัวได้ภายในหนึ่งหรือสองวันหลังจากได้รับเฆี่ยนตีเก้าครั้ง ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งและพลังทางจิตวิญญาณ หากนางได้เป็นผู้ทดลองยายาของไทเฮา อาการเจ็บป่วยของไทเฮาจะหายขาดในไม่ช้า”ก่อนเข้าร่วมงานดอกไม้ในวัง บิดาและผู้อาวุโสสามให้นางเสนอจั๋วซือหรานให้เป็นผู้ทดลองยาให้แก่
ตำหนักหย่งโซ่วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ไทเฮาจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหันและตกอยู่ในอาการขั้นร้ายแรงเมื่อฮองเฮาพาคนมาที่ตำหนักหย่งโซ่ว แม่นมยวี่ที่อยู่เคียงข้างไทเฮาก็ระมัดระวังมากขึ้นเมื่อนางรู้ว่า จั๋วซือหรานมาที่นี่เพื่อวินิจฉัยและรักษาไทเฮา ดวงตาของแม่นมยวี่เป็นประกาย แต่ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็วฮองเฮาจะใจดีขนาดนี้ได้อย่างไรนางยังเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูจั๋วจิ่วมาก่อน คนเล่ากันว่า คุณหนูจั๋วจิ่วมีความอัจฉริยะ แต่น่าเสียดายที่คุณหนูจั๋วจิ่วเป็นคนของตระกูลจั๋ว มีใครหรือที่มิทราบว่า แท้จริงแล้วตระกูลเหยียนเป็นหมอเทวดาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือ ตระกูลจั๋วไม่เคยมีใครรับตำแหน่งเป็นคุณหมออย่างจริงจังเลยเหยียนชาง ผู้เป็นหัวหน้าของห้องหมอหลวงยืนอยู่ข้าง ๆ "จั๋วจิ่ว เจ้าพูดเบาเลยนะ เจ้ามีวิชาหมอด้วยหรือ"เขาเชื่อจั๋วจิ่วไม่มีปัญญารักษาไทเฮาได้ และเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเมื่อไม่นานมานี้ เหยียนชางดูถูกจั๋วซือหรานอย่างมากจั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ข้าพอรู้มานิดหน่อย ขอแสดงฝีมืออันน่าอับอายเสียหน่อย"นางยกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นมือออก มือของนางขาวราวหยก นิ้วของนางอยู่ห่างจากผิวหนังข้อมือของ
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง
"เจ้าอย่ามาพูดให้เกินจริงนัก! ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาฟังเจ้าพูดเกินจริง!""นั่นสิ ตระกูลฮั่วเพราะอะไรถึงได้ช่วยจั๋วจิ่วแบบนี้ เสี่ยงจะผิดใจกับตระกูลอื่นๆ อีก..."และก็มีเสียงคัดค้านไม่เชื่อปรากฏขึ้นเช่นกันแต่คนฉลาดก็หัวเราะเย็นชาขึ้นา "ใช่สิ ข้าพูดเกินจริงเองนั่นล่ะ พวกเจ้าเห็นว่าตระกูลฮั่วมันโง่สินะ"คนผู้นี้โมโหจนหัวเราะ "ตระกูลฮั่วถูกพวกเราสี่ตระกูลกดมาตั้งหลายปี! พวกเขาในสายตาพวกเราคืออะไร? ผู้ค่าข่าว ผู้จัดการโรงเตี๊ยม...หลายปีมานี้ถูกพวกเราสี่ตระกูลกดดัน""ตอนนี้พวกเขาได้เวลาเฉิดฉายแล้ว โดยไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารอีกด้วย ก็แค่เพราะ...เดิมพันถูกกับความโดดเด่นของจั๋วจิ่วเท่านั้น! พวกเจายังคิดว่าเขาจะร่วมมือกับเราเพื่อแก้แค้นหรือ? พวกเรานั่นล่ะที่เป็นศัตรูของเขา!"พูดจบสิ่งเหล่านี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้แล้วมีแค่วิธีเดียว ออกไป รีบออกไปจากตระกูลที่ไม่มียาอะไรจะช่วยได้แล้วนี่เสียคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของเหยียนฉีนั่นเองในงานประชุมของตระกูลเช่นนี้ แม้ยังพูดเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง แต่เพราะความตรงไปตรงมาและรุนแรงเกินไป ทำให้ก่อนหน้านี้มักจะก่
สิ่งเหล่านี้ จั๋วซือหรานล้วนไม่รู้เหมือนกับที่นางก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้ในตระกูลเหล่านั้น ตอนนี้มีสภาพเช่นไรมันวุ่นวายยุ่งเหยิงแค่ไหนเพราะว่า ข่าวที่นางได้รับชัยไม่ใช่เพิ่งลือมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้แม้จะบอกว่าเช้าวันนี้เพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แต่ในฐานะตระกูลชั้นสูง เมื่อวานนี้ก็รู้ข่าวที่ค่ายคุ้มกันแล้วดังนั้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อนอยู่ในค่ายคุ้มกันในเมืองหลวง ตระกูลต่างๆ กลับเป็นคนละแบบกันไปเลยในโถงใหญ่งานพิธีตระกูลเหยียน โคมไฟสว่างไสวบรรยายาศกลับตึงเครียด"ตอนนี้อย่างไรถึงจะดี..." คำถามแบบที่ไม่มีความเห็นแบบนี้และมีพวกที่อารมณ์รุนแรง ด่ากราดออกมาทันที "ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าคิดแต่จะไปยุ่งกับตระกูลเฟิง คงไม่ทำให้จั๋วจิ่วผิดใจจนเป็นแบบนี้"มีคนไม่ค่อยยอมรับกับคำพูดนี้ "เจ้าพูดอะไรออกมา! จั๋วจิ่วนั่น! ตระกูลเหยียนของพวกเราผิดใจไปตั้งนานแล้ว! คนที่ผิดใจกับนางตอนแรกสุดคือพวกเรา! ตอนนี้ถ้าคิดจะถอยออกมามันทันเสียที่ไหน!""เพราะอะไรถึงไม่ทัน! ทำไมถึงจะไม่ทัน! เพราะอะไรถึงจะไม่ทัน! นางไปร่วมมือกับตระกูลฮั่วแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเห็น ตระกูลจั๋วเหมือนจะต้องกระโจนขึ
ตอนนี้ข่าวที่รู้แน่ชัดแล้วคือ องค์จักรพรรดิเฒ่าจะส่งอำนาจพ่อค้าหลวงของตระกูลจั๋วให้กับนางวังสวนอุทยานหลิ่วพ่านของราชวงศ์เองก็ให้นางด้วยแล้วจากที่พูด กระทั่งจวนชินอ๋องอวี้กับสวนชิวอี ก็จะยอมยกให้นางด้วยแล้วยังมีข่าวที่มากกว่า เริ่มทยอยกันลือออกมา"ได้ยินว่าฝ่าบาทยังถามนางด้วยว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนหรือเปล่า!""ให้ตายเถอะ! นี่มันสุดยอดไปเลย""จริงด้วย ตระกูลเฟิงทำผิดกับนาง เอาจริงๆ จั๋วจิ่วคนนี้ควรจะไม่เหลือหน้าตาอีกแล้วสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าฝ่าบาทถึงกับถามนางว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนไหม!""จะว่าไป สถานการณ์ตรงหน้านนี้ ชินอ๋องอวี้ท่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง เช่นนั้นหลังจากนี้...ไม่แน่ว่าอ๋องเซี่ยนก็จะเป็น...""จริงด้วย ถ้านางพยักหน้าล่ะก็ อนาคตจะไม่ใช่..."พระมารดาแห่งใต้หล้าหรือ!ตามหลักการ ตัวตนฐานะของจั๋วจิ่วเองก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ตระกูลจั๋วเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวตระกูลสูงปัญหาคือตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้นพอบวกกับ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นไปครั้งหนึ่ง ตัวนางเองก็โดนเสน่ห์หนอนพิษกู่จนต้องมาเสียใจที่แต่งงาน แล้วก็ยังเกือบจะได้แต่งงานไปครั้งหนึ่งด้วย ทำเอาพิธีแต่งงานวั
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""
บางครั้ง คำพูดร้ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดขณะที่กำลังโกรธจัดถึงจะมีพลังทำร้ายประหัตประหารกระทั่งในบางโอกาศ พูดออกมาตอนที่ยิ้มๆ ยังมีพลังทำร้ายมากยิ่งกว่าอย่างเช่นตอนนี้ จั๋วซือหรานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่พูดว่านางสะกดคำว่าตายไม่เป็นก่อนหน้านี้ เกิดอาการเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาเขาอ้าปากพะงาบๆ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำนี้ของจั๋วซือหรานอย่างไรจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขา เอ่ยต่อมาว่า "ถ้าหากมีคนยอมบอกข้าล่ะก็ ข้าก็จะไว้ชีวิตนั้นไว้ โอ้จริงด้วย กระทั่งไม่แตะต้องแมลงกู่บนตัวเลยนะ"และหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำนี้ของจั๋วจิ่วแล้วจึงเห็นนางนับจำนวนพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก "พวกเจ้ามีสิบสี่คน แต่ข้ามีแมลงแค่เจ็ดตัว ก่อนหน้านี้กินไปที่ประตูค่ายแล้วตัวนึง เหลืออีกหกตัว เมื่อครู่กินของพวกเจ้าไปแล้วหกคน พวกเจ้ายังเหลืออีกแปดคนสินะ ทว่ามื้อต่อไปขอแค่เจ็ดคนก็พอ"นางคำนวณขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า "เหลือไว้ได้คนนึงจริงๆ"เหล่าปรมาจารย์กู่แดนใต้ดูสิ้นหวังหน่อยๆ เพราะพวกเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานแล้วอะไรคือ...มื้อต่อไป?เจ้
ให้ใครมาเห็น ก็ล้วนไม่ใช่ภาพที่ชวนมองนักหน้าผากคนเหล่านี้ เส้นเลือดที่คอกับแขนขาไขกระดูก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดทะลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้ ว่านั่นคือไหมกู่ของเจ้าพวกก้อนเนื้อ พวกมันเข้ากลืนกินแมลงกู่ทั้งหมดที่น่าจะซ่อนและบำรุงอยู่ตามเส้นลมปราณเส้นชีพจรของปรมาจารย์กู่คนเถื่อนเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับคนเถื่อนเหล่านี้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่นะ แมลงกู่ของพวกเขาล้วนเป็นรากฐานที่ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างมั่นคงไหนจะเรื่องที่แมลงกู่พวกนี้ต้องใช้เลือดเนื้อของตัวพวกเขาในการชุบเลี้ยง ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเข้าไปอีกตอนนี้ถูกแมลงกู่ของจั๋วจิ่ว กินกันอย่างเอร็ดอร่อยมื้อใหญ่...พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไรแต่นอกจากความโกรธแล้ว ก็ยังมีความตกตะลึงอยู่ด้วยนางเป็นแค่หญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง แล้วยังอยู่ในดินแดนต้าชาง แล้วไปฝึกวิชากู่มาจากไหน? ฝึกแมลงกู่ที่อหังการขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร?เพราะ นางยัดเข้ามาในปากคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้กังวลเลยว่าแมลงกู่ของตนเองจะมาเจอกับแมลงที่ร้ายกาจกว่าของตนเองสังหารหรือไม่นางไม่กังวลเลยสั
เอาจริงๆ เจ้าพวกนี้โอดครวญอยู่นานแล้วก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานทนการโอดครวญของเจ้าพวกนี้ แล้วไปรักษาทหารบาดเจ็บคนนั้นนี่ทำให้จั๋วซือหรานเกิด...ความรู้สึกของหมอในสนามรบแล้วจริงๆหมอในสนามรบคนอื่นด้านนอกมีเสียงการล่าการสังหารแต่ในสมองนางมีเสียงพวกลูกๆ ทะเลาะกันจะเป็นจะตายจะว่าอย่างไรดี ถ้าว่าจากเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ถือว่าพอๆ กัน สถานการณ์ที่นางเจอไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานยังรู้สึกว่า เนื่องจากเจ้าพวกแมลงสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในจิตสำนึกนางได้โดยตรงดังนั้น...บางทีสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญจะดูรุนแรงกว่าการรบกวนที่พวกแพทย์สนามรบได้รับเสียอีกแมลงพวกนี้ไม่ได้จงใจเอะอะใส่นาง แต่ก่อนหน้านี้ที่นางยัดขนมชาเขียวเข้าไปในปากปรมาจารย์กู่ที่เตรียมจะระเบิดตัวเองคนนั้นหลังจากที่เก็บขนมชาเขียวกลับมา ขนมชาเขียวก็ดูอิ่มเอมมาก อดไปพูดให้เจ้าก้อนเนื้อตัวอื่นๆ ในมิติน้ำพุวิเศษฟังอย่างอดไม่อยู่ส่วนเจ้าพวกก้อนเนื้อจะว่าอย่างไรดี เพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้ไม่นานนัก จะมากน้อยก็ยังมีความคิดนิสัยแบบเด็กๆ อยู่ขนมชาเขียวพอเอาของอร่อยที่ผู้ปกครองซื้อให้กลับไปคุยโม้กับเพื่อนๆ คนอื่นในหั
แพทย์ทหารเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าข้ามีทักษะเช่นนี้...ทหารราบเหล่านั้นก็คงไม่ตายกันแล้ว..."เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาประจักษ์กับตาแล้วถึงการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ของแม่นางจั๋วจิ่วแล้วพอเห็นว่านางทำตัวราวกับเป็นช่างยอดฝีมือ จัดการเย็บช่องท้องของคนผู้นี้ราวกับเย็บกระเป๋าขาดยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการรักษาส่วนที่บาดเจ็บของอวัยวะภายในไปแล้วด้วยนี่ทำให้เขาอดคิดไปถึงทหารที่ตายอย่างน่าเวทนาเหล่านั้น ต่อมาถูกก็ถูกพวกคนเถื่อนเอาหัวขึ้นไปแขวนบนคาน...เขาอดคิดไม่ได้เลย ถ้าหากตนเองมีฝีมือเสียหน่อย ไม่แน่คนเหล่นั้นอาจจะช่วยไว้ได้กระมังคำพูดนี้มีอารมณ์อยู่ด้วย เพราะตอนนี้อารมณ์ของเขาถูกส่งผลกระทบอยู่จริงๆแต่เสียงของจั๋วซือหรานกลับสงบ นางก้มหน้าพูดว่า "ไม่หรอก ถ้าหากเจ็บหนักเกินไป อย่างเช่นหัวขาดออกจากกัน ต่อให้เทพเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน ข้าเป็นแค่แพทย์ ไม่ใช่พระเจ้า"แม้คำพูดนี้จะดูใจเย็น ราวกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอยู่ แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้แพทย์ทหารที่ยังรู้สึกโทษตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานเย็บเข็มส