เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ไทเฮาพูด ทุกคนก็อดไม่ได้ที่ต้องมองไปที่ท่านอ๋องเฟิงเฟิงเหยียนมองจั๋วซือหรานอย่างไม่กระตือรือร้นจั๋วซือหรานรู้สึกดวงตาที่เย็นชาและลึกล้ำของชายคนนี้ดูเหมือนสื่อสานได้ ราวกับว่า เขากำลังเยาะเย้ยนางอย่างเงียบ ๆ เหมือนเขากำลังเยาะเย้ยนางตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง และนางกลับคำพูดของนางทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันก่อน นางยังบอกเขาว่า จะไม่กวนเขาและจะไม่ให้เขารับผิดชอบจั๋วหรูซินกำลังอยากโล่งอก อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องคู่กับฉินตวนหยางแต่นางยังไม่ทันโลง่อก และจั๋วซือหรานจะไม่ยอมให้นางสมหวังแน่นอน "ขอบพระทัยที่ไทเฮาเมตตา แต่สิ่งที่หม่อมฉันต้องการไม่ใช่พระราชโองการการสมรสกับท่านอ๋องเฟิงเพคะ"ทันใดนั้นจั๋วหรูซินตกตะลึงจนดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น และนางก็จ้องมองไปที่จั๋วซือหรานไทเฮาตรัสว่า “หรือ”จั๋วซือหรานยังคงสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของชายคนนั้น สายตานั้นราวกับเป็นประกาย เหมือนมีไฟลุกอยู่แผ่นหลังของนาง แต่เมื่อคิดถึงภัยคุกคามครั้งก่อนของผู้อาวุโสใหญ่ นางทำได้เพียงกัดกระสุนและพูดซ้ำสิ่งที่นางพูดในวันงานเลี้ยงแต่งงาน "หม่อมฉันมีความรักที่หยั่งรากลึกต่อท่านอ๋องเฟิงโดยไม
“ไร้... ไร้สาระ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้” จั๋วหรูซินพูดตะกุกตะกัก นางแอบเกลียดจั๋วซือหรานที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนเฉียบคมขนาดนี้ในความเป็นจริง ตั้งแต่วินาทีที่คุณท่านจั๋วลิ่วเห็นนางดึงกระกระบี่เสวียนเหยียนออกมา จั๋วซือหรานเห็นทัศนคติที่เขามีต่อนาง จั๋วซือหรานก็รู้ว่า มีบางอย่างผิดปกติ ช่วงสองวันที่นางฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ นางหาเวลาสอบถามข้อมูลบางอย่างด้วยพลังทางจิตวิญญาณของตระกูลเฟิง ผู้ที่มีพรสวรรค์มากเท่าใด จะมีฤทธิ์ร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น ฤทธิ์ร้ายแรงนั้นไม่เพียงเป็นภาระต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นภาระตนเองด้วยดังนั้นลูกหลานของตระกูลเฟิงจึงมีอายุได้ไม่นาน และยิ่งมีความสามารถมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งมีอายุน้อยลงเท่านั้นหากทุก ๆ ลูกหลานเป็นเช่นนี้ตลอด ตระกูลเฟิงจะถูกกำหนดให้พังพินาศหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเฟิงพยายามหาวิธีเพื่อแก้ปัญหานี้ได้ตระกูลเหยียนเก่งด้านการแพทย์และการใช้ยา ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงกลายเป็นเป็นหมอประจำของตระกูลเฟิงห้องกระบี่ประจำตระกูลออกแบบกระบี่ให้เป็นอาวุธประจำตระกูล และยังใช้เป็นตราประทับและเครื่องที่รองรับพลังด้วยดังนั้นบุตรหลานของตระกูลเ
“แล้วล่ะขอรับ” เขาพูดเบา ๆจั๋วซือหรานตอบ "ดังนั้นพวกเราควรเลือกสิ่งที่เราต้องการ มาร่วมมือกัน"เฟิงเหยียนเลิกคิ้ว "ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือเช่นไร เจ้ามีอะไรที่ข้าต้องการหรือ"ดวงตาของจั๋วซือหรานสว่างเป็นประกาย นางมองเขาอย่างแน่วแน่ "อะไรที่เหยียนฉีไม่สามารถรักษาเจ้าได้ บางทีข้าอาจจะรักษาได้"เมื่อเฟิงเหยียนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาหรี่ตาลง เดิมทีมือของเขางวางบนกระบี่ประจำตระกูลที่เอวอย่างไม่ได้ตั้งใจที่ ทีนี้นิ้วหัวแม่มือดันด้ามมีดเล็กน้อย ใบมีดอันแหลมคมที่ประกายความหวาดกลัวนั้นปรากฏส่วนอันสั้นจากฝักหระบี่มันยาวเท่ากับนิ้วหัวแม่มือของมนุษย์เท่านั้นเองความอาฆาตจั๋วซือหรานรู้สึกถึงแรงผลักดันที่พุ่งออกมาจากเขาอย่างชัดเจนเขาคู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะที่ตระกูลเฟิงไม่เคยพบและไม่เคยเห็นมานานนับศตวรรษแข็งแกร่ง เสียจริงคนขับรถม้าเกือบจะฉี่รด เขาตัวสั่น และถอยไปด้านหลังสองสามก้าว“นี่คือสิ่งที่จั๋วลิ่วบอกเจ้าในเมื่อสักครู่หรือ” เฟิงเหยียนพูดอย่างเย็นชาจั๋วซือหรานพูด "นางไม่ต้องบอกข้า ขาก็เดาออกได้"จากปฏิกิริยาของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานรู้นางเดาถูก นางลดสายตาลงและมองขาอันยาว
บ้าระห่ำจั๋วซือหรานชอบคนบ้าระห่ำเช่นนี้ นางรู้สึกเจอคนประเภทเดียวและเกิดความรู้สึกการเอ็นดูเฟิงเหยียนเดินจากไปแล้ว และนางคิดชื่อจากคำพูดของเขา “จั๋วเสี่ยวจิ่ว(จิ่วหมายถึง เลข เก้า ในภาษาไทย)หรือ ดีแล้วข้าไม่ได้เปิดเป็นบุตรคนที่สองของตระกูล...ไม่อย่างนั้น ก็จะดูเหมือนคนรับใช้ที่ร้านแล้ว”“จิ่ว...คุณหญิงจิ่วขอรับ” คนขับรถม้าเดินเข้ามาอย่างสั่นเทา “กลับ..กลับตอนนี้หรือขอรับ”"เจ้าค่ะ กลับเถอะ" จั๋วซือหรานเห็นคนขับรถม้าไสั่นเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่ต้องสงสายและถาม"เจ้าหนาวหรือ"คนขับหดคอลงจนเกือบจะร้องไห้ "เมื่อครู่นั้น ท่านอ๋องเฟิงทำเช่นนั้น...ข้า..ข้าน้อยกลัวแทบจะตาย"จั๋วซือหรานนึกถึงเจตนาฆ่าของเฟิงเหยียนที่เขาประกายในเมื่อครู่ คนทั่วไปรับพลังนั้นไม่ไหวเสียจริงนางยกมือขึ้นแล้วโบกมือให้คนขับรถม้า คนขับรถม้ารู้สึกมีสายลมพัดมาบนใบหน้าของเขา และความรู้สึกการกดขี่ที่น่ากลัวก่อนหน้านี้ก็หายไป*ในห้องส่วนตัวจั๋วซือหรานหรี่ตาลงและจ้องมองไปที่แหวนสีแดงเข้มที่เรียบง่ายบนนิ้วชี้ของมือขวาของนาง มันคือแหวนเสวียนเหยียนจริง ๆแต่นางไม่เข้าใจ“ทำไมถึงตามข้ามา” จั๋วซือหรานพึมพำจิตวิญญาณเ
บรรยากาศอันแสนอบอุ่นแตกสลายทันทีสีหน้าของจั๋วซือหรานแข็งค้าง ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมและจั๋วหวายต่างก็เป็นลูกของผู้บัญชาการทหาร และพวกเขาไม่สนใจเรื่องเรียนเลยจริง ๆ หากให้พวกเขาเขียนหนังสือเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม( 1 ชั่วยาม=2 ชั่วโมง) พวกเขายอมฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามชั่วยามมากกว่า"ไม่เอาก็ต้องเอา" ความอ่อนโยนบนใบหน้าของจั๋วซือหรานในก่อนหน้านี้หายไป “เจ้าคิดว่าข้าชิงโอกาสเข้าเรียนในวังได้ ง่ายมากเลยหรือ คนอื่นอยากไปเรียนแต่ไปไม่ได้ แต่เจ้าต้องไป ไม่เช่นนั้น ฮึม ๆ ”จั๋วซือหรานกำหมัดของนาง ข้อต่อนิ้วของนางมีเสียง กร๊อบ ตั้งขึ้นจั๋วหวายเป็นผู้ที่หากไม่ใช้ความรุนแรงกับเขา เขาจะไม่ร่วมมือ เวลานี้ เขาถูกพี่สาวสั่งสนอย่างเชื่อง เขาจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วตอบตกลงไป“ข้าจะไปบอกท่านแม่เรื่องนี้ หากพวกเราสองคนได้ไปเรียนที่วังได้ ท่านแม่ต้องดีใจแน่นอน”อวิ๋นเหนียงดีใจมากจริง ๆ แม้ว่าตระกูลทางบ้านนางจะไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็เป็นตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเภณีอันดีงามจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานทว่านางแต่งงานกับผู้รู้ศิลปะการต่อสู้ และนางให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ โดยเ
องค์ชายเจ็ดของปัจจุบัน ซือคงเซี่ยน เป็นถึงท่านชินอ๋องที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดท่านแม่เป็นนางสนมผู้สูงศักดิ์ เขามีฐานะสูงส่งตั้งแต่เกิด เขาคงไม่เคยคิดหรอกว่รา สักวันหนึ่ง เขาจะถูกห้ามไว้หน้าประตูเรือนซือคงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น เคาะประตูของสวนจี๋หย่าย่วนเบา ๆหลังจากนั้นไม่นาน มีคนเปิดประตูออก และมีหัวของผู้คนยื่นออกจากด้านใน คนนั้นถามด้วยความสงสัย “ท่านเป็นใคร ท่านต้องมาพบใครเจ้าคะ”“ไม่ทราบว่าคุณหนูจั๋วจิ่วอยู่หรือเปล่า” ซือคงเซี่ยนถามอย่างอ่อนโยนฝูซูเป็นคนโง่เขลา นางก็ลืมถามถึงตัวตนของอีกฝ่าย เมื่อได้ยินว่าตามหาคุณหนูง นางรีบโบกมือแล้วพูดว่า “คุณหนูป่วย ไม่พบใครเจ้าค่ะ”ซือคงเซี่ยนยังไม่ทันพูดอะไรอีก ประตูลานก็ถูกปิดลงซือคงเซี่ยนตกตะลึง ยืนอยู่ที่นั่นและขำในสวนจี๋หย่าย่วน ฝูซังเดินออกจากห้องครัวแล้วถามฝูซูว่า "นั่นใคร"“ไม่รู้สิ คนนั้นหาคุณหนู”ฝูซังขมวดคิ้ว "อย่างน้อย เจ้าควรถามหน่อยว่า เขาเป็นใคร"นางรีบไปเปิดประตูลาน และเห็นคุณชายที่สง่างามบังคงยืนอยู่ข้างนอก "ท่านเป็นใครเจ้าคะ มาหาคุณหนูมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ"“ข้าแซ่ซือคง ซือคงเซี่ยน
ทันทีที่พระราชกฤษฎีกานี้ออกมา สิทธิ์ทั้งสองที่สัญญาไว้กับจั๋วซือหรานนั้นเป็นสิทธิ์ของพวกเขาอย่างแน่นอน แม้ว่านางตั้งใจจะมอบสิทธิ์นั้นกับคนอื่นก้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าคนอื่นต้องการแย่งสิทธิ์นั้น อย่างหวังเลยดังนั้นเมื่อจั๋วซือหรานมาที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อรับพระราชโองการ สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็ซีดขาวเมื่อจั๋วซือหรานเห็นพวกเขาไม่สบายใจ จั๋วซือหรานก็รู้สึกมีสบายใจขึ้น ในที่สุดความโกรธที่นางได้รับในห้องโถงนี้ในตอนเช้าก็บรรเทาลบุคคลที่มาประกาศกฤษฎีกาคือองค์ชายเจ็ด ซือคงเซี่ยน ซึ่งนางได้พบเขาในตอนเช้าหลังจากที่เขาประกาศกฤษฎีกาแล้ว เขาก็ยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "คุณจั๋วจิ่ว รับพระราชโองการขอรับ"“หน่อมฉันขอขอบพระคุณในกรุณาธิดา” จั๋วซือหรานกล่าวซือคงเซี่ยนให้นางไม่ต้องทำพิธีเคารพ “เอาล่ะ เจ้าสัญญาว่าจะรักษาไทเฮา ตอนนี้เจ้าได้รับพระราชโองการแล้ว ยังรู้สึกไม่สบายเหมือนตอนเช้าหรือเปล่า”เขาพูดสิ่งนี้ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส ซึ่งทำให้กลายเป็นว่า สร้างปัญหาแก่จั๋วซือหรานโดยตรงปรากฎว่า นางแกล้งทำเป็นไม่สบาย และจงใจไม่เข้าไปรักษาไทเฮาที่วังจั๋วซือหรานไม่สนใจคนอื่นจะคิดอย่างไรกับนาง และ
“บังอาจ พวกเจ้าอยากทำอะไร” ซือคงเซี่ยนพูดด้วยความโกรธจั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่า จะมีคนกล้าทำเช่นนี้ต่อหน้าพระราชวัง และกล้าทำเช่นนี้ภายใต้สายตาขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องเซี่ยน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เตรียมพร้อมเมื่อนางตระหนักถึงอันตราย มือของนางก็ถูกจับไว้อยู่ข้างหลังแล้วเสียง คะตะ ดังขึ้นขั้นแรก มีแหวนโลหะคล้อมมือของนางไว้ด้านหลัง และแหวนโลหะอีกวงคล้องคอของนางไว้จั๋วซือหรานไม่รู้แหวนโลหะนั้นทำจากวัสดุอะไร มันช่างเย็นเหลือเกิน"พวกเจ้า..." แววตาของจั๋วซือหรานเป็นประกาย นางพยายามดิ้นรน แต่นางกลับไม่สามารถใช้พลังจิตและศิลปะการต่อสู้โบราณของตนเองได้เลย ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดชายที่สวมชุดดำพูดอย่างเย็นชา "อย่าเสียแรงเปล่า ๆ เลย ไปกับพวกเราเลย"เขาเอามือของตัวเองกดหลังของจัวซือหรานอย่างแรง และมีพลังภายในอะไรบางอย่างทะลุเข้าไปในร่างกายของจั๋วซือหราน"อื้อนางถอนหายใจเข้าและฮึมเสียงหนึ่งที ทันใดนั้น ลำคอของนางมีรสหวานและรสคาวก็พรั่งพรูออกมา และรอยเลือดสีสดก็ไหลออกจากมุมริมฝีปากของนาง“พวกเจ้าช่างกล้าเสียจริง” ซือคงเซี่ยนเกรี้ยวโกรธ แต่ชั่วพริลตาเดียว เขามองไปที่แหวนโลหะที่อยู่รอบคอของจั๋ว
นางหยวนแน่นอนไม่คิดจะผิดใจกับหลานสาวคนนี้ แม้จะบอกว่าไม่รู้ว่าที่ลือกันเป็นจริงอยู่กี่ส่วน แต่คนผู้นี้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แล้วยังเป็นโหวหญิงอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตำแหน่งขุนนางในตัวแน่นอนต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษนางหยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "หรานหราน เจ้าเข้าใจบ้านพวกเราผิดแล้ว เสี่ยวหวายไม่ได้ถูกขังไว้ในอวิ๋นหลิวไม่ให้กลับเมืองหลวง แต่หลังจากเขาไปที่อวิ๋นหลิว อาจจะเพราะการกินอยู่ไม่สบายหรืออะไรสักอย่าง ร่างกายก็ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด เส้นทางกลับมาก็ไกลแล้วยังขรุขระด้วย ดังนั้นจึงให้เขาอยู่ที่อวิ๋นหลิว รอให้ร่างกายดีแล้วค่อยกลับมาเมืองหลวง"เดิมทีขณะที่พวกนางพูดกันก็กำลังเดินไปด้านในเมืองหลวงแต่พอนางหยวนพูดคำนี้ เท้าของจั๋วซือหรานก็หยุดลงทันทีนางหันมามองนางหยวนนิ่งๆนางหยวนถูกสายตาของนางมองจนลนลาน "หรานหราน เจ้า เจ้า...ทำไมมองข้าแบบนั้น?"จากนั้นนางจึงเห็นรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจบนใบหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานก็ถามนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมาคำหนึ่ง "ท่านป้า ไม่รู้ว่าครั้งนี้มีแค่ท่านป้าที่มากับท่านแม่ใช่ไหม?"นางหยวนแม้จะถูกนางจ้องจนรู้สึกลนลาน แต่พอได้ยินคำถามท
จั๋วซือหรานอันที่จริงก็สังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ว่าครั้งนี้ท่านแม่ไม่ได้กลับมาคนเดียวแต่นางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกินคาดนัก เพราะครั้งนี้ที่ให้ท่านแม่กลับไปบ้านตายาย หนึ่งก็คือกลับไปเยี่ยมญาติ สองคือคิดจะให้บ้านของตายายเข้าไปอยู่ในตลาดวัตถุดิบยาของเมืองหลวงดังนั้น ถ้าหากบ้านตายายจะให้คนกลับมาเมืองหลวงด้วยกัน มาหารือเรื่องการค้า จั๋วซือหรานก็ไม่รู้สึกมีปัญหาอะไรตอนนี้พอเห็นหญิงสาวคนนี้เดินมา แล้วยังตัดบทสนทนาของนางกับท่านแม่ด้วย จั๋วซือหรานจึงถามว่า "คนผู้นี้คือ?"เซี่ยอวิ๋นเหนียงเอ่ยขึ้นข้างๆ "นี่คือป้ารองของเจ้า"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ท่านป้ารอง"นางหยวนเองก็พยักหน้าให้จั๋วซือหราน"ป้ารองเมื่อครู่พูดถึงน้องชายข้า" เสียงของจั๋วซือหรานมั่นคงมาก "เสี่ยวหวายเขาทำไมหรือ?"นางหยวนเดิมทีรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะจัดการได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรก็เป็นแค่หญิงสาวเท่านั้นแต่พอได้เห็นกับตา แล้วยังเห็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกันของค่ายป้องกันลาดตระเวน มีท่าทีเกรงอกเกรงใจกับจั๋วซือหรานนางหยวนจึงไม่กล้าเล่นใหญ๋ แค่รู้สึกว่าหลานสาวคนนี้ ไม่ใช่แค่คนธรรมดาง่ายๆ อย่างที่พวกเขาคิดเสียแล้วน่าจะเ
หานกวงฟังฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดจากในน้ำเสียงเขา แต่ฟังออกว่า นายท่านไม่ค่อยเบิกบานนัก......จั๋วซือหรานให้ความสำคัญกับแม่และน้องชายมาโดยตลอด ดังนั้นตอนที่เซี่ยอวิ๋นเหนียงกลับเมืองหลวง จั๋วซือหรานจึงออกไปรับที่ประตูเมืองด้วยตนเองคนคุ้มกันที่เฝ้าประตูเมืองก็ล้วนเปลี่ยนผลัดกันมาจากค่ายป้องกันลาดตระเวน พอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา จึงกระตือรือร้นกันอย่างกับอะไรดีถ้าไม่ใช่จั๋วซือหรานปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก พวกเขาคงจะเอาเก้าอี้มาให้นางนั่งที่ประตูเมืองแล้ว...มานั่งเหมือนคนแก่ที่ประตูเมือง มันคงไม่ค่อยน่าดูนักแต่พวกเขากังวลว่าจั๋วซือหรานจะเหนื่อย ถึงแม้ในใจพวกเขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ว่านี่คือจอมโฉดรับมือกับพวกโจรพรมแดนใต้มานะจอมโฉดอะไร? จอมโฉดก็ยังเป็นหญิงสาวนะ แล้วสองวันนี้อากาศก็เป็นช่วงที่อากาศเย็นลงด้วย ประตูเมืองเองก็มีลมผ่านรอบด้าน คนมารอที่นั่นนานๆ คงได้ถูกลมพัดจนตัวชาดังนั้นหัวหน้าหน่วยคุมกันประตูเมือง จึงมาเตือนอย่างหวังดี ให้จั๋วซือหรานไปนั่งรอที่แผงน้ำชาข้างทางดีกว่า"ถ้ารถม้าของฮูหยินมาถึง ข้าจะมาแจ้งแม่นางทันทีเลย ไม่ต้องกังวล คอยหลบลมอยู่ตรงนี้เถิด วันนี้ลมแรงมากจริงๆ"อีกฝ่า
จั๋วซือหรานหลังได้ยินคำนี้ ก็เพียงแค่ยิ้มบางๆ "ทุกคนไม่ใช่เด็กกันแล้ว ใครทำเรื่องอะไรไม่มีสาเหตุกันบ้าง""เพียงแต่สาเหตุของท่าน ผลของมันข้ากลับต้องมาแบกรับ ตอนนี้ใครเมืองหลวงใครไม่รู้บ้าง ว่าจั๋วซือหรานอย่างข้าถูกท่านอ๋องทอดทิ้งไปแล้ว" เนื้อหาในคำพูดของจั๋วซือหรานแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ในน้ำเสียงอันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร นางเหมือนจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล แข็งแกร่งเหมือนต้นกก"ข้าโดนบังคับให้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วยังไม่ยอมให้ข้าได้คิดหาวิธีเองเลยหรือ?"ตอนที่นางพูดกับเฟิงเหยียน ใบหน้ายังมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ด้วย ราวกับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยนางเอ่ยต่อ "นี่มันเหตุผลอะไรกัน?"เฟิงเหยียนนิ่งงัน ไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดจะรอให้เขาเอ่ยปากด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรสมองก็ไปหมดแล้วนี่ ในปากเองก็คงไม่มีคำพูดอะไรดีดีนักพอหมุนตัวจะเดินไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่ม ดังลอดเข้ามาด้านหลัง "ปันอวิ๋นเป็นคนรู้จักเก่าของข้า"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ก็เดาได้อยู่"เฟิงเหยียนเม้มปาก คิ้วขมวด "ข้ากับเขามีบุญคุณความแค้นกัน ถ้าเขามาหาเรื่องเจ
จั๋วซือหรานคาดไว้แล้ว จึงไม่ได้ห้ามแสดงชัดเจนว่าไม่กลัวว่าเฟิงเหยียนจะรู้ กระทั่งพูดได้ว่า ตั้งใจให้เฟิงเหยียนรู้ด้วยซ้ำแล้วก็เป็นไปตามคาด นี่ก็ไม่ใช่เข้ามาแล้วหรือชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงรู้ว่า "ทำไมต้องเป็นปันอวิ๋น"จั๋วซือหรานฟังออก ว่าระหว่างชายหนุ่มกับปันอวิ๋น น่าจะมีอะไรกันอยู่ไม่เช่นนั้นปันอวิ๋นเองก็คงไม่ดื้อแพ่งคิดแต่จะบรรลุความร่วมมือหมั้นหมายกับนางแล้ว"แล้วทำไมถึงเป็นปันอวิ๋นไม่ได้" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ สายตามองเขา "เขาก็หน้าตาดีอยู่นี่""แค่เพราะเรื่องนี้หรือ?" ในดวงตาคิ้วที่เฉียมคมลึกซึ้งของชายหนุ่ม มีอารมณ์อื่นแทรกเข้ามา"ไม่อย่างนั้นจะเพราะอะไรล่ะ?" จั๋วซือหรานตอบ "เพียงแต่ ท่านอ๋องเอาฐานะอะไรเข้ามาถามข้ากัน?"จั๋วซือหรานมองสีหน้าเขา ในที่สุดก็ไม่เหลือรอยยิ้มใดอีก แม้แต่รอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้อยู่ในดวงตาก่อนหน้า ก็หายไปจากใบหน้างามของนางหมดแล้ว"จะยุ่งมากไปหน่อยหรือเปล่า?" จั๋วซือหรานมองเขาสายตาเย็นชาชายหนุ่มถูกนางจ้องเย็นชาเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนในใจอะไรบางอย่างขาดหายไป เหมือนมุมไหนสักมุมกำลังถูกทิ่มแทงราวกับว่า...ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรจะ
จั๋วซือหรานตอนออกจากโรงหมอ ฟ้าก็มืดไปแล้วนางก้าวเดินออกจากโรงหมออย่างสบาย ผู้จัดการก็รีบเดินตามขึ้นมา "คุณหนู! ให้ข้าเรียกรถม้าให้ท่านไหม?""ไม่ต้อง" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ "ข้าเดินกลับไปก็พอ นั่งมาทั้งวันก็ได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยพอดี"ผู้จัดการเดิมทีคำพูดติดอยู่มุมปากแล้ว กังวลว่านางที่เป็นหญิงสาวคนเดียวเดินกลับตอนกลางคืนอาจจะไม่ปลอดภัยแต่พอคำพูดขึ้นมาถึงมุมปากก็รู้สึกว่าตนเองโง่หรือเปล่า นี่มันใครกัน? นี่ใช่หญิงสาวอ่อนแอเสียที่ไหน? นี่แม่นางจิ่วนะ!กังวลว่าแม่นางจิ่วเดินกลับบ้านแล้วไม่ปลอดภัยเรอะ? สู้กังวลคนอื่นที่มายั่วโมโหแม่นางจิ๋วว่าจะปลอดภัยหรือเปล่าดีกว่า...จั๋วซือหรานเดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงพบว่าตนเองหิวจะแย่แล้ว จึงเดินไปยังร้านข้างทางร้านหนึ่ง ซื้อขนมปิ่ง ถือไว้ในมือ เดินไปด้วยพลางกินหงุบหงับไปด้วยตอนที่เดินยังไม่ถึงครึ่ง จั๋วซือหรานก็กินขนมปิ่งในมือหมดไปแล้ว ดูดนิ้วของตัวเองเบาๆหลังจากนั้นนางจึงมองนิ้วมันแผลบของตนเอง ยืนคิดๆ อยู่กับที่ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ตามข้ามาตั้งนานแล้ว มีผ้าเช็ดมือไหม? ข้าอยากเช็ดมือ""..." รอบๆ นอกจากสายลมยามราตรีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไห
"เจ้าบอกข้าหน่อยว่านี่มันโรคอะไร? เฮอะ! เจ้าอย่ามาทำตัวรู้มากนัก ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย! เจ้ามาทำตัวลึกลับแบบนี้คิดว่ามีคนหลงเชื่อ แล้วยกเจ้าเป็นหมอเทวดาเรอะ ก็แค่เด็กน้อยยังไม่โต ทำเป็ฯรู้มาก น่าขันเสียจริง"พนักงานข้างๆ คนหนึ่งรำคาญขึ้นมาแล้ว คิดจะไล่คนออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าจั๋วซือหรานกลับไม่ได้รำคาญเลยสีหน้าบนหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก แค่มองคนคนนี้นิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ป่วย?"ชายหนุ่มตอบกลับทันที "ข้ามันคนแกร่ง! ไถนาได้สามไร่! กินข้าวมื้อละสามชาม!"พอสิ้นเสียงคนผู้นี้ จั๋วซือหรานก็เอ่ยรับเสียงเรียบ "แต่บนเตียงกลับทนได้ไม่ถึงสามนาที ไตพร่องพลังชี่ขาด น้ำเชื้อจึงเบาบาง แค่ลูกเจ้าก็มีไม่ได้ นี่หนักหนาอยู่นะ"จั๋วซือหรานพูด พลางเขียนตำรับยาพอได้ยินนางพูดเช่นนี้ รอบๆ จึงมีเสียงหัวเราะขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนที่ดุดันขนาดนั้นก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับถูกแม่นางจั๋วจิ่วพูดไปสองสามคำจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออกไปแล้ว...มีคนแอบกระซิบว่า "สีหน้าเขาดูแย่มากนะ คงไม่ใช่ถูกแม่นางจั๋วจิ่วแทงถูกจุดเข้ากระมัง...""น่าขำชะมัด แม่นางจั๋วจิ่วนี่เก่งกาจจริงๆ"ชายห
หานกวงถามคำนี้อย่างระมัดระวัง จั๋วซือหรานยิ้มออกมาบางๆ มองหานกวง "ทำไมหรือ? กลัวว่าข้าจะไม่เอาซื่อจื่อของพวกเจ้าแล้ว?"หานกวงคิด ตอบกลับเสียงต่ำ "ไม่ใช่แค่นั้น ข้ายังกังวลแม่นางจิ่วจะหุนหันพลันแล่นเพราะรู้สึกน้อยใจ แล้วไปแสร้งทำตัวเอาใจกับคนที่ไม่ได้ชอบ"จั๋วซือหรานโบกมือเอ่ยขึ้น "เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยทำให้ตัวเองต้องน้อยใจมาโดยตลอด และแทบจะไม่เคยแสร้งทำตัวเอาใจใครด้วย แทนที่เจ้าจะมากังวลเรื่องนี้ สู้ไปกังวลว่าข้าไม่ชอบซื่อจื่อของเจ้าแล้วหรือเปล่าดีกว่านะ"หานกวงเบิกตากลม สายตาลนลานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ไม่หรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานยักไหล่เอ่ยเอ่ยขึ้นยิ้มๆ "ไม่แน่นะ? คนที่ไม่ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ชอบ ข้าเองก็เป็นพวกรักก็รักชังก็ชังเสียด้วย""แต่ แต่ว่า..."จั๋วซือหรานไม่รอให้หานกวงเติมเชื้อฟืนอะไรให้เจ้านายนาง เอ่ยขึ้นว่า "ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็เป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษเลยนะ ข้าต้องการให้เขาชี้แนะวิชากู่กับข้า แล้วเขาก็หน้าตาใช้ได้ด้วย"หานกวงในใจร้อนรนขึ้นมา แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะนางตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว กลัวว่าตนเองยิ่งพูดอะไรต่อหน้าแม่นางจิ่วก็จะยิ่งไปเติมฟืนไฟให้นายท่านตนเอง
จั๋วซือหรานส่งสายตาปลอบโยนให้นาง "ไม่ต้องเครียด"หานกวงกลับผ่อนคลายไม่ลง การคุกคามชีวิตในคำพูดนั้นของชายหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง นางฟังออกว่า แม่นางจิ่วเหมือนจะสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว!แต่ แต่ว่า...! หานกวงรู้ว่านายท่านกับแม่นางจิ่วหวานชื่นมีอะไรกันแล้วนะดังนั้นอันที่จริงก็จินตนาการไม่ออกเลย ภาพที่แม่นางจิ่วไม่ได้ตกร่องปล่องชิ้นกับนายท่าน แต่กลับไปอยู่กับคนอื่นแทนหลังจากนั้น หานกวงก็เห็นแม่นางจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังเข้าหาเก้าอี้ สองมือกอดที่หน้าอก มองเรียบๆ ไปทางปันอวิ๋นท่าทางนี้ของแม่นางจิ่ว...หานกวงรู้สึกคุ้นเคย รู้สึก...เหมือนว่าตอนแม่นางจิ่วจะเริ่มเจรจาเงื่อนไขกับใคร หรือเริ่มจะหลอกลวงใคร ก็จะมีท่าทางประมาณนี้ปรากฏขึ้นดังนั้นหานกวงที่เดิมทีเตรียมจะอ้าปากเตือน จึงอดทนเอาไว้ อยากจะเห็นว่าแม่นางจิ่วจะมีปฏิกิริยาเช่นไรจั๋วซือหรานมองปันอวิ๋น "เช่นนั้นก็ไม่ต้องลำบากเจ้าหุบเขาช่วยข้าจัดการองครักษ์เงาหรอก เพียงแต่ว่า เจ้าหุบเขาในเมื่อคิดจะเจรจาร่วมมือกับข้า..."ในตาจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา สวยงามมากแต่ตอนที่ปันอวิ๋นเห็นรอยยิ้มที่สวยง